อภิสัมโพธิกถา กัณฑ์ที่ ๒
เมื่อพระโพธิสัตว์ทรงเจริญวัยได้ ๒๙ พรรษา ทรงรู้สึกสลดพระทัยด้วยคิดถึง ชรา พยาธิ และมรณะ อันมีประจำแก่สรรพสัตว์ และพระองค์จะต้องได้รับอย่างแน่นอน
การคิดถึง ชรา พยาธิ และมรณะ เป็นเหตุให้ทำลายความเมา ๓ อย่าง คือ ความเมาในวัย หลงคิดว่าตนยังหนุ่มยังสาว ความเมาในความไม่มีโรค หลงคิดว่าตนยังมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง และความเมาในชีวิต ความลืมคิดถึงความตาย
ความเมาทั้ง ๓ อย่างนี้ เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้คนประพฤติทุจริต หรืออย่างน้อยที่สุดก็เป็นเหตุให้ลืมทำความดี
การบรรพชาเป็นวิธีที่ดีอย่างหนึ่ง สามารถทำลายความทั้ง ๓ นั้นได้ หรือทำให้บรรเทาเบาบางลง เมื่อถึงเวลาแก่ เจ็บ หรือตาย ก็จะไม่มีความเศร้าโศกเสียใจ เหมือนคนทั่วไป ที่เรียกว่า หลงตาย
เพราะทรงเห็นประโยชน์แห่งการบรรพชาอย่างนี้จึงเกิดกุศลฉันทะน้อมใจไปในบรรพชา ในที่สุดได้เสด็จออกบรรพชา ทั้งที่ยังทรงพระเยาว์ดรุณกุมาร มีพระเกศายังดำสนิท
เมื่อเสด็จออกบรรพชา ถือเพศเป็นนักพรตแล้ว ได้เสด็จสัญจรจาริกเที่ยวเสาะหาสันติวรบท คือ ทางเครื่องบรรลุถึงธรรมอันระงับดับกิเลส
สมัยนั้น แคว้นสักกะมีคณาจารย์ใหญ่ ๒ ท่าน คือ อาฬารดาบส กาลามาโคตร ๑ อุทกดาบส รามบุตร ๑ ประชุมชนเคารพนับถือโดยคุณธรรม
พระโพธิสัตว์เสด็จเข้าไปยังสำนักของอาฬารดาบส ทรงศึกษาลัทธิสมัยได้สมาบัติ ๗ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๓ เว้นเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ต่อจากนั้นเสด็จเข้าไปยังสำนักของอุทกดาบส ทรงศึกษาลัทธิสมัยได้สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ อรูปฌาน ๔
ทรงเห็นว่า ลัทธิสมัยของอาจารย์ทั้งสองเป็นเพียงสันติวิหาร คือ อุบายเครื่องอยู่เป็นสุขทางใจเท่านั้น ก่อให้เกิดปปัญจธรรม คือ ธรรมเป็นเหตุเนิ่นช้ากับการเวียนว่ายในวัฏทุกข์ ได้แก่ ตัณหา มานะ และทิฏฐิ
จากนั้น ทรงเสาะหาอนุตรสันติวรบททางเครื่องพ้นจากกิเลสอย่างยอดเยี่ยมต่อไป ได้เสด็จเข้าสู่แคว้นมคธ จนลุถึงอุรุเวลาเสนานิคม อันน่ารื่นรมย์สำราญจิต สมควรจะเป็นสถานที่บำเพ็ญสัมมัปปธานวิริยะ จึงประทับอยู่ ณ ที่นั้น
ณ สถานที่นั้น อุปมา ๓ ข้อ อันเป็นอนวัศวริยะ (ไม่เคยสดับมาก่อน) ได้มาแจ่มแจ้งเป็นวิสยญาณโคจร (อารมณ์แห่งญาณวิสัย) แก่พระโพธิสัตว์ว่า
๑. ไม้สดที่ชุ่มด้วยยาง ทั้งแช่อยู่ในน้ำ จะพยายามอย่างไรก็สีให้เกิดไฟไม่ได้
๒. ไม้สดที่ชุ่มด้วยยาง แม้จะวางไว้บนบก ก็สีให้เกิดไฟไม่ได้เช่นเดียวกัน
๓. ไม้แห้งที่ปราศจากยาง และวางไว้บนบก หากพยายามเต็มที่และถูกวิธี ก็ย่อมสีให้เกิดไฟได้
อุปมาข้อที่ ๑ เปรียบได้กับสมณพราหมณ์ผู้บริโภคกามคุณ ทั้งใจก็ยังยินดีในกามคุณนั้นอยู่
อุปมาข้อที่ ๒ เปรียบได้กับสมณพราหมณ์ผู้ออกบำเพ็ญพรต แต่ใจยังรักใคร่ปรารถนาจะได้กามคุณอยู่
อุปมาข้อที่ ๓ เปรียบได้กับสมณพราหมณ์ผู้ออกบำเพ็ญพรต ด้วยใจที่เบื่อหน่ายในกาม ถ้าหากพากเพียรอย่างถูกวิธี ก็สามารถบรรลุธรรมพิเศษได้
ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
ประโยชน์จากการบำเพ็ญทุกรกิริยา
ทรงเลิกทุกรกิริยา
ตรัสรู้
จตุตถฌานเป็นบาทแห่งอภิญญา
จตุตถฌาน (อภิญญา) เป็นบาทแห่งวิปัสสนา
อรหัตมรรคญาณเป็นที่มาแห่งญาณทั้งปวง
ทรงบำเพ็ญทุกรกิริยา
ประโยชน์จากการบำเพ็ญทุกรกิริยา
ทรงเลิกทุกรกิริยา
ตรัสรู้
จตุตถฌานเป็นบาทแห่งอภิญญา
จตุตถฌาน (อภิญญา) เป็นบาทแห่งวิปัสสนา
อรหัตมรรคญาณเป็นที่มาแห่งญาณทั้งปวง