สัมภาษณ์ผู้ให้กำเนิด Start Menu, ความเป็นมาและความรู้สึกที่ได้เห็น Start Menu บน Windows 10
หลังจากที่ไมโครซอฟท์โชว์ตัวอย่าง Start Menu แบบใหม่พร้อม
เปิดรับคิดความเห็นจากชาว Windows Insider
ให้ได้เลือกว่าถูกใจแบบใหม่หรือแบบเก่ามากกว่ากัน
นี่น่าจะเป็นครั้งแรกที่ไมโครซอฟท์ถามความเห็นจากภายนอกบริษัทอย่างเป็น
เรื่องเป็นราวเพื่อนำมาปรับปรุง Start Menu ที่เป็นเอกลักษณ์คู่กับ Windows
มาตั้งแต่ Windows 95 และเจ้า Start Menu
นี่เองที่ใช้งานได้ดีจนทำให้ผู้ใช้งานเคยชินถึงระดับที่ว่าหากมีการเปลี่ยน
แปลงอะไรไปจากเดิมก็อาจเจอเสียงบ่นกันระงมเลยทีเดียว ดังจะเห็นได้จากการเปลี่ยน Start Menu เป็น Start Screen ใน Windows 8
เลยนึกอยากเขียนถึงบทสัมภาษณ์ผู้สร้าง Start Menu รุ่นแรก เกี่ยวกับที่มาที่ไปและความรู้สึกของเขาหลังจาก Windows 10 เปลี่ยนกลับมาใช้ Start Menu อีกครั้งซักหน่อย (เป็นบทสัมภาษณ์โดย Business Insider เขียนไว้ตั้งแต่ Windows 10 ออกใหม่ๆ อาจจะเก่าไปหน่อยแต่คิดว่ายังมีคุณค่าแต่การพูดถึงอยู่ครับ)
ภาพ Windows 95 ที่มาพร้อมกับ Start Menu และ Task bar จาก Wikipedia
Daniel Oran อดีตพนักงานผู้ออกแบบและถือสิทธิบัตร Start Menu และ Task bar บน Windows 95 เข้าร่วมไมโครซอฟท์เมื่อปี 1992 ในฐานะนักจิตวิทยาพฤติกรรม Oran จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ที่เขาได้ทำโปรเจ็กต์ด้านการออกแบบอินเตอร์เฟซเป็นครั้งแรกร่วมกับนัก จิตวิทยาพฤติกรรมชื่อดัง BF Skinner กับความพยายามออกแบบคีย์บอร์ดสำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะสอนชิมแปนซีวัยรุ่นสองตัวให้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้!
"แล้ว ชิมแปนซีเรียนการพูดได้หรือไม่? คำตอบคือไม่ ไม่ใกล้เคียงเลยซักนิด" อ้างอิงจาก สไลด์ที่ Oran ได้เขียนไว้ อย่างไรก็ตามโปรเจ็กต์ดังกล่าวก็ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกมากมายเกี่ยวกับการออกแบบโปรแกรมให้ใช้ได้ง่ายกระทั่งชิมแปนซีก็ใช้งานได้
คีย์บอร์ดที่ Oran สร้างขึ้นมาใช้สอนชิมแปนซีให้หัดพูดจากสไลด์ของ Oran
ปี ค.ศ. 1992 ยุคสมัยของ Windows 3.1 อันเป็นที่เลืองลือกันถึงความใช้งานยาก ในตอนนั้น Oran ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบ Windows ให้ผู้ที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคนิคสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ด้วยความที่ Oran เป็นแฟนตัวยงของระบบปฏิบัติการ Mac OS ของแอปเปิลทำให้เขาสามารถออกความเห็นที่เป็นมุมมองจากคนนอกได้
หนึ่งในก้าวแรกของการออกแบบคือการเก็บข้อมูลในขณะที่ลูกค้ากำลังใช้งาน Windows กันจริงๆ Oran และโปรแกรมเมอร์จะต้องสอนให้ผู้ทดสอบรู้ถึงวิธีการสั่งงานง่ายๆ บน Windows และดูว่าพวกเขาทำได้หรือไม่อย่างไร ภายในเวลาไม่นานการทดลองดังกล่าวก็ได้เป็นประสบการณ์น่าอึดอัดใจสำหรับ Oran เมื่อทางโปรแกรมเมอร์มองไม่ออกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้ใช้งานแต่เป็นตัว ระบบปฏิบัติการเอง
Oran ยกตัวอย่าง ผู้ทดสอบคนนึงที่ใช้เวลาจ้องหน้าจอเดสก์ทอปของ Windows 3.1 เป็นเวลาถึง 20 นาทีก่อนจะสามารถเปิดโปรแกรมแก้ไขข้อความได้ โปรแกรมเมอร์คนนึงที่รับไม่ได้ถึงกับโพล่งออกมาว่า "ลูกค้าเรามันทึ่ม" ("Our customers are morons!") เรื่องน่าอึดอัดใจไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อพวกเขาพูดคุยกับผู้ทดสอบถึงได้ทราบในภายหลังว่าผู้ทดสอบทำงานวิศวกรรม การบินด้านการขับเคลื่อนให้กับบริษัทอย่างโบอิ้งเลยทีเดียว
"ผู้ใช้งานคนนั้นเป็นถึงนักวิทยาศาสตร์จรวด แต่ก็ยังมองไม่ออกว่า Windows ใช้งานยังไง" Oran กล่าว
ระหว่างทางที่ Oran นั่งรถกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของไมโครซอฟท์ที่ Redmond เขาก็ครุ่นคิดว่าสิ่งที่ผิดพลาดน่าจะเป็นที่การออกแบบและริเริ่มแนวคิดที่จะ ใช้ปุ่มกดเพียงปุ่มเดียวที่จะนำพาผู้ใช้งานไปสู่ทุกอย่างๆ เริ่มแรกเขาตั้งชื่อปุ่มดังกล่าวว่า "System" และวางมันไว้บนสุดของหน้าจอ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าใช้ศัพท์ที่ฟังดูเทคนิคเกินไป ไม่มีผู้ทดสอบคนใดคิดจะกดปุ่มนั้น แต่เมื่อตั้งชื่อใหม่เป็น "Start" ผู้ใช้ก็เริ่มเข้าใจมันในทันที
Oran มั่นใจว่ามาถูกทางเมื่อผู้ทดสอบสามารถใช้ Start Menu สั่งงานได้จนเสร็จสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสอนการใช้งานให้ก่อน
ภาพสเก็ตช์คอนเซปต์ของ Start Menu จากสไลด์ของ Oran
อีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญในการออกแบบครั้งนี้คือ Task bar ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่บน Windows 3.1 เนื่องจากผู้ใช้มักจำไม่ได้ว่าเปิดโปรแกรมอะไรขึ้นมาบ้างแล้วและเปิดไปแล้ว กี่โปรแกรม เป็นไปได้ที่ผู้ใช้งานจะเปิด Solitaire ขึ้นมาเล่นใหม่อีกหน้าต่างหลังจากที่เพิ่งจะย่อหน้าต่างเดิมลงเมื่อเจ้านาย เดินผ่าน
แม้ว่า Windows 3.1 จะมี Task Manager เพื่อแสดงผลโปรแกรมที่กำลังรันอยู่แต่ผู้ใช้ทั่วไปก็มักจะไม่รู้ว่าต้องเข้า ใช้งานผ่านทางไหน จนอาจส่งผลถึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงเรื่อยๆ เนื่องจากมีโปรแกรมที่เปิดค้างไว้แล้วไม่มีการปิด จนกว่าผู้ใช้จะรีสตาร์ทนั่นเองเครื่องถึงจะกลับมาเป็นปกติ
"พวกเขาไม่มีทางรู้เลย" Oran กล่าว
Oran แก้ไขปัญหานี้ด้วยไอเดียพื้นๆ อย่างการวางแถบที่จะแสดงผลว่ารันโปรแกรมอะไรอยู่บ้าง ต้นแบบแรกๆ ของแนวคิดนี้กลายมาเป็นชุดของแท็บที่วางตำแหน่งไว้ด้านบนของหน้าจอคล้ายกับ แท็บที่ปรากฏในเบราว์เซอร์อย่าง Chrome หรือ Safari เป็นอย่างมาก
แต่แท็บดังกล่าวกลับใช้เนื้อที่ของหน้าจอมอนิเตอร์มากเกินไป โดยเฉพาะกับจอมอนิเตอร์สมัยนั้นที่ส่วนใหญ่จะเล็กและมีความละเอียดเพียง 640 x 480 เท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้แนวคิดนี้เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ Oran จึงตัดสินใจทำแท็บให้เล็กลงและเปลี่ยนให้กลายเป็นปุ่มแทน
เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน Start Menu และ Task bar จึงถูกผนวกเข้าด้วยกันแต่ด้วยเหตุผลที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดไมโครซอฟท์ย้าย Task bar ไปไว้ข้างล่างหน้าจอแทน (Oran กล่าวว่ามีข่าวลือเรื่องไมโครซอฟท์เกรงว่าจะออกมาคล้ายกับ Mac OS เกินไปจนอาจเกิดการฟ้องร้อง แต่ตัว Oran เองก็ไม่ได้สืบดูว่าจริงหรือไม่) และกลายมาเป็นค่าตั้งต้นของ Start Menu เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
วิวัฒนาการของการออกแบบ Task bar บน Windows 95 จากสไลด์ของ Oran
Oran ออกจากไมโครซอฟท์ในปี 1994 ก่อนหน้า Windows 95 จะวางจำหน่ายเพื่อกลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปัจจุบันเขาทำงานด้านสาธารณสุขโดยใช้ความเชี่ยวชาญที่มีในการสร้างกลยุทธ์ เพื่อการช่วยเหลือและป้องกันการฆ่าตัวตาย
ในตอนนี้เขาแค่เฝ้ามองไมโครซอฟท์จากภายนอก แต่ในฐานะผู้ได้ออกแบบ Start Menu การได้เห็น Windows 10 ใช้สิ่งที่เขาสร้างไว้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึง 20 ปีแล้ว ให้ความรู้สึกที่ดีและน่าผิดหวังเล็กๆ ในเวลาเดียวกัน
แม้ว่านี่จะหมายถึงการมีผู้คนนับล้านใช้งานสิ่งประดิษฐ์ของเขาในทุกๆ วัน แต่ก็หมายความว่าภายในเวลา 22 ปีให้หลังจากที่เขาได้คิด Start Menu ขึ้นมานั้น ไม่มีการสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมาแทนที่ได้เลย
"เมื่อได้ลองมองย้อนกลับไป, ผมว่าผมอยากได้ค่าลิขสิทธิ์ล่ะ" Oran กล่าวติดตลก
เขายังบอกอีกว่ามันเป็นการดีแล้วที่มีความพยายามทดลองแนวคิดใหม่ๆ ใน Windows 8 นอกเหนือจากแนวคิด Start Menu เดิมที่มีอายุถึงสองทศวรรษ
Oran ยังหนุ่มมากเมื่อตอนที่เขาทำงานให้ไมโครซอฟท์ แต่สิ่งที่เขาสร้างนั้นกลับส่งผลยาวนาน แน่นอนว่าประสบการณ์ของ Oran จะเป็นบทเรียนอย่างดีให้กับผู้สร้างและนักประดิษฐ์รุ่นหลัง
"สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ อาจสร้างผลกระทบได้อย่างน่าประหลาด" Oran กล่าวทิ้งท้าย
ภาพ Start Menu ขณะที่ Windows 10 เปิดตัวได้ไม่นาน
เลยนึกอยากเขียนถึงบทสัมภาษณ์ผู้สร้าง Start Menu รุ่นแรก เกี่ยวกับที่มาที่ไปและความรู้สึกของเขาหลังจาก Windows 10 เปลี่ยนกลับมาใช้ Start Menu อีกครั้งซักหน่อย (เป็นบทสัมภาษณ์โดย Business Insider เขียนไว้ตั้งแต่ Windows 10 ออกใหม่ๆ อาจจะเก่าไปหน่อยแต่คิดว่ายังมีคุณค่าแต่การพูดถึงอยู่ครับ)
ภาพ Windows 95 ที่มาพร้อมกับ Start Menu และ Task bar จาก Wikipedia
Daniel Oran อดีตพนักงานผู้ออกแบบและถือสิทธิบัตร Start Menu และ Task bar บน Windows 95 เข้าร่วมไมโครซอฟท์เมื่อปี 1992 ในฐานะนักจิตวิทยาพฤติกรรม Oran จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่ที่เขาได้ทำโปรเจ็กต์ด้านการออกแบบอินเตอร์เฟซเป็นครั้งแรกร่วมกับนัก จิตวิทยาพฤติกรรมชื่อดัง BF Skinner กับความพยายามออกแบบคีย์บอร์ดสำหรับโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่จะสอนชิมแปนซีวัยรุ่นสองตัวให้สามารถพูดภาษาอังกฤษได้!
"แล้ว ชิมแปนซีเรียนการพูดได้หรือไม่? คำตอบคือไม่ ไม่ใกล้เคียงเลยซักนิด" อ้างอิงจาก สไลด์ที่ Oran ได้เขียนไว้ อย่างไรก็ตามโปรเจ็กต์ดังกล่าวก็ได้ให้ข้อมูลเชิงลึกมากมายเกี่ยวกับการออกแบบโปรแกรมให้ใช้ได้ง่ายกระทั่งชิมแปนซีก็ใช้งานได้
คีย์บอร์ดที่ Oran สร้างขึ้นมาใช้สอนชิมแปนซีให้หัดพูดจากสไลด์ของ Oran
ปี ค.ศ. 1992 ยุคสมัยของ Windows 3.1 อันเป็นที่เลืองลือกันถึงความใช้งานยาก ในตอนนั้น Oran ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบ Windows ให้ผู้ที่ไม่ได้ทำงานด้านเทคนิคสามารถใช้งานได้ง่ายขึ้น ด้วยความที่ Oran เป็นแฟนตัวยงของระบบปฏิบัติการ Mac OS ของแอปเปิลทำให้เขาสามารถออกความเห็นที่เป็นมุมมองจากคนนอกได้
หนึ่งในก้าวแรกของการออกแบบคือการเก็บข้อมูลในขณะที่ลูกค้ากำลังใช้งาน Windows กันจริงๆ Oran และโปรแกรมเมอร์จะต้องสอนให้ผู้ทดสอบรู้ถึงวิธีการสั่งงานง่ายๆ บน Windows และดูว่าพวกเขาทำได้หรือไม่อย่างไร ภายในเวลาไม่นานการทดลองดังกล่าวก็ได้เป็นประสบการณ์น่าอึดอัดใจสำหรับ Oran เมื่อทางโปรแกรมเมอร์มองไม่ออกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ผู้ใช้งานแต่เป็นตัว ระบบปฏิบัติการเอง
Oran ยกตัวอย่าง ผู้ทดสอบคนนึงที่ใช้เวลาจ้องหน้าจอเดสก์ทอปของ Windows 3.1 เป็นเวลาถึง 20 นาทีก่อนจะสามารถเปิดโปรแกรมแก้ไขข้อความได้ โปรแกรมเมอร์คนนึงที่รับไม่ได้ถึงกับโพล่งออกมาว่า "ลูกค้าเรามันทึ่ม" ("Our customers are morons!") เรื่องน่าอึดอัดใจไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เมื่อพวกเขาพูดคุยกับผู้ทดสอบถึงได้ทราบในภายหลังว่าผู้ทดสอบทำงานวิศวกรรม การบินด้านการขับเคลื่อนให้กับบริษัทอย่างโบอิ้งเลยทีเดียว
"ผู้ใช้งานคนนั้นเป็นถึงนักวิทยาศาสตร์จรวด แต่ก็ยังมองไม่ออกว่า Windows ใช้งานยังไง" Oran กล่าว
ระหว่างทางที่ Oran นั่งรถกลับไปยังสำนักงานใหญ่ของไมโครซอฟท์ที่ Redmond เขาก็ครุ่นคิดว่าสิ่งที่ผิดพลาดน่าจะเป็นที่การออกแบบและริเริ่มแนวคิดที่จะ ใช้ปุ่มกดเพียงปุ่มเดียวที่จะนำพาผู้ใช้งานไปสู่ทุกอย่างๆ เริ่มแรกเขาตั้งชื่อปุ่มดังกล่าวว่า "System" และวางมันไว้บนสุดของหน้าจอ แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง หรืออาจจะเป็นเพราะว่าใช้ศัพท์ที่ฟังดูเทคนิคเกินไป ไม่มีผู้ทดสอบคนใดคิดจะกดปุ่มนั้น แต่เมื่อตั้งชื่อใหม่เป็น "Start" ผู้ใช้ก็เริ่มเข้าใจมันในทันที
Oran มั่นใจว่ามาถูกทางเมื่อผู้ทดสอบสามารถใช้ Start Menu สั่งงานได้จนเสร็จสมบูรณ์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้มีการสอนการใช้งานให้ก่อน
ภาพสเก็ตช์คอนเซปต์ของ Start Menu จากสไลด์ของ Oran
อีกหนึ่งส่วนประกอบสำคัญในการออกแบบครั้งนี้คือ Task bar ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่บน Windows 3.1 เนื่องจากผู้ใช้มักจำไม่ได้ว่าเปิดโปรแกรมอะไรขึ้นมาบ้างแล้วและเปิดไปแล้ว กี่โปรแกรม เป็นไปได้ที่ผู้ใช้งานจะเปิด Solitaire ขึ้นมาเล่นใหม่อีกหน้าต่างหลังจากที่เพิ่งจะย่อหน้าต่างเดิมลงเมื่อเจ้านาย เดินผ่าน
แม้ว่า Windows 3.1 จะมี Task Manager เพื่อแสดงผลโปรแกรมที่กำลังรันอยู่แต่ผู้ใช้ทั่วไปก็มักจะไม่รู้ว่าต้องเข้า ใช้งานผ่านทางไหน จนอาจส่งผลถึงให้คอมพิวเตอร์ทำงานช้าลงเรื่อยๆ เนื่องจากมีโปรแกรมที่เปิดค้างไว้แล้วไม่มีการปิด จนกว่าผู้ใช้จะรีสตาร์ทนั่นเองเครื่องถึงจะกลับมาเป็นปกติ
"พวกเขาไม่มีทางรู้เลย" Oran กล่าว
Oran แก้ไขปัญหานี้ด้วยไอเดียพื้นๆ อย่างการวางแถบที่จะแสดงผลว่ารันโปรแกรมอะไรอยู่บ้าง ต้นแบบแรกๆ ของแนวคิดนี้กลายมาเป็นชุดของแท็บที่วางตำแหน่งไว้ด้านบนของหน้าจอคล้ายกับ แท็บที่ปรากฏในเบราว์เซอร์อย่าง Chrome หรือ Safari เป็นอย่างมาก
แต่แท็บดังกล่าวกลับใช้เนื้อที่ของหน้าจอมอนิเตอร์มากเกินไป โดยเฉพาะกับจอมอนิเตอร์สมัยนั้นที่ส่วนใหญ่จะเล็กและมีความละเอียดเพียง 640 x 480 เท่านั้น ดังนั้นเพื่อให้แนวคิดนี้เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ Oran จึงตัดสินใจทำแท็บให้เล็กลงและเปลี่ยนให้กลายเป็นปุ่มแทน
เพื่อเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน Start Menu และ Task bar จึงถูกผนวกเข้าด้วยกันแต่ด้วยเหตุผลที่ยังไม่เป็นที่แน่ชัดไมโครซอฟท์ย้าย Task bar ไปไว้ข้างล่างหน้าจอแทน (Oran กล่าวว่ามีข่าวลือเรื่องไมโครซอฟท์เกรงว่าจะออกมาคล้ายกับ Mac OS เกินไปจนอาจเกิดการฟ้องร้อง แต่ตัว Oran เองก็ไม่ได้สืบดูว่าจริงหรือไม่) และกลายมาเป็นค่าตั้งต้นของ Start Menu เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
วิวัฒนาการของการออกแบบ Task bar บน Windows 95 จากสไลด์ของ Oran
Oran ออกจากไมโครซอฟท์ในปี 1994 ก่อนหน้า Windows 95 จะวางจำหน่ายเพื่อกลับไปศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปัจจุบันเขาทำงานด้านสาธารณสุขโดยใช้ความเชี่ยวชาญที่มีในการสร้างกลยุทธ์ เพื่อการช่วยเหลือและป้องกันการฆ่าตัวตาย
ในตอนนี้เขาแค่เฝ้ามองไมโครซอฟท์จากภายนอก แต่ในฐานะผู้ได้ออกแบบ Start Menu การได้เห็น Windows 10 ใช้สิ่งที่เขาสร้างไว้แม้ว่าเวลาจะผ่านไปถึง 20 ปีแล้ว ให้ความรู้สึกที่ดีและน่าผิดหวังเล็กๆ ในเวลาเดียวกัน
แม้ว่านี่จะหมายถึงการมีผู้คนนับล้านใช้งานสิ่งประดิษฐ์ของเขาในทุกๆ วัน แต่ก็หมายความว่าภายในเวลา 22 ปีให้หลังจากที่เขาได้คิด Start Menu ขึ้นมานั้น ไม่มีการสร้างสิ่งที่ดีกว่าขึ้นมาแทนที่ได้เลย
"เมื่อได้ลองมองย้อนกลับไป, ผมว่าผมอยากได้ค่าลิขสิทธิ์ล่ะ" Oran กล่าวติดตลก
เขายังบอกอีกว่ามันเป็นการดีแล้วที่มีความพยายามทดลองแนวคิดใหม่ๆ ใน Windows 8 นอกเหนือจากแนวคิด Start Menu เดิมที่มีอายุถึงสองทศวรรษ
Oran ยังหนุ่มมากเมื่อตอนที่เขาทำงานให้ไมโครซอฟท์ แต่สิ่งที่เขาสร้างนั้นกลับส่งผลยาวนาน แน่นอนว่าประสบการณ์ของ Oran จะเป็นบทเรียนอย่างดีให้กับผู้สร้างและนักประดิษฐ์รุ่นหลัง
"สิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ อาจสร้างผลกระทบได้อย่างน่าประหลาด" Oran กล่าวทิ้งท้าย
ภาพ Start Menu ขณะที่ Windows 10 เปิดตัวได้ไม่นาน