ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓
๑. | ๑.๑ | การตั้งญัตติและสวดอนุสาวนามีอยู่ในกรรมอะไรบ้าง ในสังฆกรรม ทั้ง ๔ ? |
| ๑.๒ | สังฆกรรม ๔ นั้น อย่างไหนต้องทำในสีมา อย่างไหนทำนอกสีมาก็ได้ ? |
๑. | ๑.๑ | การตั้งญัตติ มีในญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม ส่วนการสวดอนุสาวนา มีในญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม |
| ๑.๒ | ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม และญัตติจตุตถกรรม ต้องทำในสีมาเท่านั้น ทำนอกสีมาไม่ได้ เพราะต้องตั้งญัตติ ส่วนอปโลกนกรรม ทำนอกสีมา ก็ได้ เพราะไม่ต้องตั้งญัตติ |
๒. | ๒.๑ | พัทธสีมามีกำหนดขนาดพื้นที่ไว้หรือไม่ ? ถ้ามี กำหนดไว้อย่างไร ? |
| ๒.๒ | สถานที่ที่เป็นสีมาตามพระวินัยไม่ได้ มีหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? |
๒. | ๒.๑ | มีกำหนดไว้ คือกำหนดไม่ให้สมมติสีมาเล็กเกินไปจนจุภิกษุ ๒๑ รูป นั่งไม่ได้และไม่ให้สมมติสีมาใหญ่เกินไปกว่า ๓ โยชน์ สีมาเล็กเกินไปใหญ่เกินไป เป็นสีมาวิบัติ ใช้ไม่ได้ |
| ๒.๒ | ไม่มี เพราะในป่าที่ไม่มีบ้าน ก็จัดเป็นสัตตัพภันตรสีมา ในน่านน้ำที่ได้ขนาด ก็จัดเป็นอุทกุกเขปสีมา ผืนแผ่นดินที่มีหมู่บ้านก็จัดเป็นคามสีมา แม้สีมันตริกซึ่งคั่นระหว่างมหาสีมากับขัณฑสีมาก็จัดเป็นคามสีมา |
๓. | ๓.๑ | คำว่า “เจ้าอธิการ” ในพระวินัยหมายถึงใคร ? มีกี่แผนก ? อะไรบ้าง ? |
| ๓.๒ | การให้ภิกษุถือเสนาสนะเป็นหน้าที่ของใคร ? ผู้นั้นพึงปฏิบัติอย่างไร ? |
๓. | ๓.๑ | หมายถึงภิกษุที่สงฆ์สมมติให้เป็นเจ้าหน้าที่ทำกิจการของสงฆ์ มี ๕ แผนก คือ |
| | ๑) เจ้าอธิการแห่งจีวร ๒) เจ้าอธิการแห่งอาหาร ๓) เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ ๔) เจ้าอธิการแห่งอาราม ๕) เจ้าอธิการแห่งคลัง |
| ๓.๒ | เป็นหน้าที่ของเจ้าอธิการแห่งเสนาสนะ พึงปฏิบัติอย่างนี้ คือ เจ้าอธิการแห่งเสนาสนะพึงกำหนดฐานะของภิกษุผู้ถือเสนาสนะว่า เป็นผู้ใหญ่หรือผู้น้อย เป็นผู้มีอุปการะแก่สงฆ์หรือหามิได้ เป็นผู้เล่าเรียนหรือประกอบกิจในทางใดบ้าง เป็นต้น แล้วพึงให้ถือเสนาสนะ |
๔. | ๔.๑ | วัดมีพระจำพรรษาวัดละ ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ทายกประสงค์จะถวายกฐิน นิมนต์พระมารวมในวัดเดียวกันเพื่อรับกฐิน เป็นกฐินหรือไม่ ? เพราะเหตุใด ? |
| ๔.๒ | ในคัมภีร์บริวาร ภิกษุผู้ควรกรานกฐินประกอบด้วยองค์เท่าไร ? บอกมา ๓ ข้อ |
๔. | ๔.๑ | ไม่เป็นกฐิน เพราะองค์กำหนดสิทธิของภิกษุผู้จะกรานกฐินมี ๓ คือ |
| | ๑) เป็นผู้จำพรรษาถ้วนไตรมาสไม่ขาด ๒) อยู่ในอาวาสเดียวกัน ๓) ภิกษุมีจำนวนตั้งแต่ ๕ รูปขึ้นไป |
| ๔.๒ | ประกอบด้วยองค์ ๘ (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ) |
| | ๑) รู้จักบุพพกรณ์ ๒) รู้จักถอนไตรจีวร ๓) รู้จักอธิษฐานไตรจีวร ๔) รู้จักการกราน ๕) รู้จักมาติกาคือหัวข้อแห่งการเดาะกฐิน ๖) รู้จักปลิโพธกังวลเป็นเหตุยังไม่เดาะกฐิน ๗) รู้จักการเดาะกฐิน ๘) รู้จักอานิสงส์กฐิน |
๕. | ๕.๑ | จงให้ความหมายของคำต่อไปนี้ ๑. ปฏิจฉันนาบัติ ๒. อันตราบัติ |
| ๕.๒ | สัมมุขาวินัยมีองค์เท่าไร ? อะไรบ้าง ? |
๕. | ๕.๑ | ๑) ปฏิจฉันนาบัติ หมายถึง อาบัติที่ภิกษุต้องแล้วปกปิดไว้ ๒) อันตราบัติ หมายถึง อาบัติสังฆาทิเสสที่ภิกษุต้องเข้าอีกระหว่าง ประพฤติวุฏฐานวิธี |
| ๕.๒ | มีองค์ ๔ คือ |
| | ๑) ในที่พร้อมหน้าสงฆ์ ๒) ในที่พร้อมหน้าธรรม ๓) ในที่พร้อมหน้าวินัย ๔) ในที่พร้อมหน้าบุคคล |
๖. | ๖.๑ | การคว่ำบาตรในทางพระวินัยมีความหมายว่าอย่างไร ? |
| ๖.๒ | การคว่ำบาตรนี้ สงฆ์ทำแก่ผู้ประพฤติเช่นไร ? บอกมา ๓ ข้อ |
๖. | ๖.๑ | มีความหมายว่าไม่ให้คบค้าสมาคมด้วยลักษณะ ๓ ประการคือ |
| | ๑) ไม่รับบิณฑบาตของเขา ๒) ไม่รับนิมนต์ของเขา ๓) ไม่รับไทยธรรมของเขา |
| ๖.๒ | ทำแก่คฤหัสถ์ (เลือกตอบเพียง ๓ ข้อ) |
| | ๑) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ลาภแห่งภิกษุทั้งหลาย ๒) ขวนขวายเพื่อไม่ใช่ประโยชน์แห่งภิกษุทั้งหลาย ๓) ขวนขวายเพื่ออยู่ไม่ได้แห่งภิกษุทั้งหลาย ๔) ด่าว่าเปรียบเปรยภิกษุทั้งหลาย ๕) ยุยงภิกษุทั้งหลายให้แตกกัน ๖) กล่าวติเตียนพระพุทธ ๗) กล่าวติเตียนพระธรรม ๘) กล่าวติเตียนพระสงฆ์ |
๗. | ๗.๑ | ใครเป็นผู้ทำลายสงฆ์ให้แตกกัน หรือเป็นผู้ขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์ได้ ? |
| ๗.๒ | เหตุที่สงฆ์จะแตกกันมีอะไรบ้าง ? จะป้องกันได้ด้วยวิธีอย่างไร ? |
๗. | ๗.๑ | ภิกษุผู้ปกตัตตะเป็นสมานสังวาส อยู่ในสีมาเดียวกันเท่านั้น ย่อมอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันเป็นก๊กเป็นพวกได้ นางภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา หาอาจทำลายสงฆ์ให้แตกกันได้ไม่ เป็นได้เพียงขวนขวายเพื่อทำลายสงฆ์เท่านั้น |
| ๗.๒ | มี ๒ อย่างคือ |
| | ๑) มีความเห็นปรารภพระธรรมวินัยแตกต่างกันจนเกิดเป็นอธิกรณ์ ๒) ความประพฤติปฏิบัติไม่เสมอกัน ยิ่งหย่อนกว่ากันแล้วเกิดความ รังเกียจกันขึ้น |
| | จะป้องกันได้ด้วย ๒ วิธีคือ |
| | ๑) ต้องส่งเสริมและกวดขันการศึกษาพระธรรมวินัย ให้มีความ เห็นชอบเหมือนกัน ๒) ต้องส่งเสริมและกวดขันความประพฤติของภิกษุทั้งหลาย ให้เสมอกัน ไม่ให้เป็นทางรังเกียจกัน |
| | |
| | พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ |
๘. | ๘.๑ | กรรมการมหาเถรสมาคมดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละกี่ปี ? |
| ๘.๒ | ผู้จะดำรงตำแหน่งเลขาธิการมหาเถรสมาคม มีกำหนดไว้อย่างไร ? |
๘. | ๘.๑ | กรรมการมหาเถรสมาคมที่เป็นสมเด็จพระราชาคณะ ไม่มีกำหนดเวลา ส่วนกรรมการมหาเถรสมาคมที่สมเด็จพระสังฆราชทรงแต่งตั้ง ดำรงอยู่ในตำแหน่งคราวละ ๒ ปี |
| ๘.๒ | มีกำหนดไว้ว่าต้องเป็นอธิบดีกรมการศาสนา (โดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๓ ความว่า ให้อธิบดีกรมการศาสนาเป็นเลขาธิการมหาเถรสมาคมโดยตำแหน่ง) |
๙. | ๙.๑ | ในกรณียุบเลิกวัด ทรัพย์สินของวัดนั้นจะพึงตกแก่ใคร ? |
| ๙.๒ | การดูแลและจัดการศาสนสมบัติ กำหนดให้เป็นหน้าที่ของใคร ? |
๙. | ๙.๑ | ให้ตกเป็นของศาสนสมบัติกลาง จะแบ่งให้ใครไม่ได้ (มาตรา ๓๒ วรรค ๒ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕) |
| ๙.๒ | การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง กำหนดให้เป็นหน้าที่ของกรมการศาสนา การดูแลและจัดการศาสนสมบัติของวัด กำหนดให้เป็นหน้าที่ของ เจ้าอาวาส (การดูแลและจัดการศาสนสมบัติกลาง บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๐ ว่า ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกรมการศาสนา เพื่อการนี้ให้ถือว่ากรมการศาสนาเป็นเจ้าของศาสนสมบัติกลางนั้นด้วย และมาตรา ๔๑ ว่า ให้กระทรวงศึกษาธิการจัดทำงบประมาณประจำปีของศาสนสมบัติกลาง ด้วยความเห็นชอบของมหาเถรสมาคม และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว ให้ใช้งบประมาณนั้นได้ ส่วนการดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัดมีในมาตรา ๓๗ (๑) ว่า เจ้าอาวาสมีหน้าที่บำรุงรักษาวัด จัด กิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดีและใน มาตรา ๔๐ ว่า การดูแลรักษาและจัดการศาสนสมบัติของวัด ให้เป็นไปตามวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง) |
๑๐. | ๑๐.๑ | เจ้าอาวาส ตามกฎมหาเถรสมาคม ฉบับที่ ๒๔ ใครเป็นผู้แต่งตั้ง ? |
| ๑๐.๒ | เจ้าอาวาสผู้ได้รับแต่งตั้งมีหน้าที่อย่างไร ? |
๑๐. | ๑๐.๑ | สมเด็จพระสังฆราช ทรงแต่งตั้งเจ้าอาวาสพระอารามหลวง เจ้าคณะจังหวัด แต่งตั้งเจ้าอาวาสวัดราษฎร์ |
| ๑๐.๒ | เจ้าอาวาสมีหน้าที่ตามมาตรา ๓๗ แห่งพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕, (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนี้ |
| | ๑) บำรุงรักษาวัด จัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ๒) ปกครองและสอดส่องให้บรรพชิตและคฤหัสถ์ที่มีที่อยู่หรือพำนัก อาศัยอยู่ในวัดนั้น ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย กฎมหาเถรสมาคม ข้อบังคับ ระเบียบ หรือคำสั่งของมหาเถรสมาคม ๓) เป็นธุระในการศึกษาอบรม และสั่งสอนพระธรรมวินัยแก่บรรพชิต และคฤหัสถ์ ๔) ให้ความสะดวกตามสมควรในการบำเพ็ญกุศล |