ตำนานจีนที่คุณไม่ทราบ ตอน...18อรหันต์ ผู้พิทักษ์ธรรม (1)


ภาพจากอินเตอร์เน็ต ...ขอขอบคุณ

 เกริ่น.. 
วันก่อนได้เที่ยวชมวัดกระทุ่มเสือปลา มีศิลปะเชิงช่างจีนมากมาย ที่น่าสนใจคือช่างที่สร้าง
ล้วนมาจากจีนจึงมีสิ่งที่น่าสนใจและศึกษา ในส่วนของสวนหินแกะสลักสิบแปดอรหันต์ 
ที่ขึ้นชื่อของจีน มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากมายทีเดียว...
 
ภาพจากอินเตอร์เน็ต ...ขอขอบคุณ


ที่มาของสิบแปดอรหันต์ ...
ในสมัยราชวงศ์ถัง พระตรีปิฎกธราจารย์ (เฮี่ยนจั๋ง) ได้ทำการแปล คัมภีร์ธรรมสถิต ซึ่งมีการเอ่ยถึง
พระอรหันต์ ทั้ง สิบแปดองค์ด้วย โดยในคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องราวของพระอรหันต์ผู้มีหน้าที่รักษา
พระธรรมจนกว่าจะหมดกาลแห่งศาสนาของพระสมณโคดม คัมภีร์นี้รจนาโดยพระอรหันต์นนทิมิตร
(อรหันต์กำราบมังกร) ที่เกาะลังกา เดิมในพระคัมภีร์กล่าวนามพระอรหันต์เพียง ๑๖ องค์ แต่ต่อมา
มีการเพิ่มพระอรหันต์ เป็น ๑๘ องค์ คือ พระนนทิมิตร และพระปิณโฑละ.... 
ทั้งนี้ จะอธิบายตามฉายาของท่านเนื่องจากคนทั่วไป ส่วนมากจะรู้จักมากกว่าแต่จะ
ระบุนามท่านที่แปลทับเสียงจีนตามคัมภีร์เดิม  ในการเล่ารายละเอียดจึงขอยึดรูปแบบ
ตามนี้เช่นกัน..



 

สมญา.. 降龍羅漢 ฮั้งเล้งหล่อฮั่ง ( เสียงหลงหลั่วฮั่น ) อรหันต์กำราบมังกร เหตุที่ท่านได้สมญานี้
เพราะท่านเกี่ยวข้องกับตำนานการกำราบมังกรร้าย..

นาม.. นนทิมิตร ( คีลี )   慶友尊者 ชิ่งอิ่วจุนเจ่อ 

พระอรหันต์ผู้เทศนาเรื่องพระอรหันต์ ๑๖ องค์ ที่ลังกา ท่านเทศนาสอนธรรมไว้ว่า ต้องใช้อุบาย
ทางธรรมะในการ ชำระซึ่งกิเลส-ตัณหา-อุปาทาน รูปปั้นที่มีมังกรอยู่ด้านข้างของท่าน
นั้นเป็น เชิงสัญญลักษณ์ นัยยะสื่อว่าอย่าตกเป็นทาสของกิเลสนั้นเอง...
(ดูหมายเหตุหนึ่ง)




สลักนาม 降龍羅漢 ฮั้งเล้งหล่อฮั่ง ( เสียงหลงหลั่วฮั่น ) อรหันต์กำราบมังกร ที่ ฐาน..



 坐鹿羅漢  จั่วลู่หลั่วฮั่น หรือ   騎 鹿 羅 漢   ฉีลู่หลั่วฮั่น อรหันต์ขี่กวาง  
ที่มา ..ท่านเป็นพระมหาเถระที่ได้รับการยกย่องจากกษัตริย์อย่างมากโดยท่านจะขี่กวางเข้าวัง
เพื่อสอนธรรมะแด่พระราชาเสมอ จึ่งเป็นที่มาของชื่อท่าน..
 นาม... 賓羅跋羅多尊者 ปินหลั่วป๋าหลั่วตัวจุนเจ่อ หรือ พระอรหันต์ ปินโฑละ
เป็นหนึ่งใน 18 อรหันต์ ปางนี้เป็น ปางประทับกวาง สื่อระหัสแห่งธรรมะถึงการการมีอุดมไมตรีจิต
ผูกมิตรมุ่งสามัคคีธรรม ทำให้กวางซึ่งเป็น สัตว์เดรัจฉานที่มักตื่นตระหนกกลัวทุกสิ่งแปลกหน้า
กลับรักใคร่ให้ความไว้วางใจ ยอมตัวรองรับเป็นที่นั่งให้ได้ ด้วยมั่นใจว่าไม่เป็นอันตรายต่อตนเอง





舉缽羅漢  จี่โปหลั่วฮั่น หรือ 托 缽 羅 漢  ทัวปัวหลั่วฮั่น  อรหันต์ ยก / ทูนบาตร  
ที่มาของฉายา เนื่องจาก ท่านชอบให้ทานดูแลผู้คนเดินทางโดยทั่วไป จึงมีสัญญลักษณ์พระทูนบาตร
迦諾迦跋梨隨阇尊者 เจียนั่วเจียป๋าหลีสุยตูจุนเจ่อ พระ จูฬปันถก 
ตามประวัติท่าน
พระจูฬปันถก หรือ พระจูฬปันถกเถระ, พระจุลลปันถกะ เป็นชาวเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ
ท่านเป็น 1 ในพระอสีติมหาสาวก ของพระพุทธเจ้า พระจูฬปันถก เป็นน้องชายของพระมหาปันถก
ท่านบวชตามการสนับสนุนของพี่ชาย เมื่อแรกบวชท่านเป็นคนมีปัญญาทึบมาก ไม่สามารถท่องมนต์
หรือเข้าใจอะไรได้เลย จึงทำให้ท่านถูกพระพี่ชายของท่านออกอุบายธรรมแกล้ง ขับไล่ท่าน
ออกจากสำนัก เมื่อพระพุทธเจ้าทรงเล็งพระญาณทราบความจึงเสด็จมาสอนคาถาบทสั้นๆ
ที่เหมาะกับท่านและประทานผ้าเช็ดพระบาทสีขาวบริสุทธิ์ให้ท่านภาวนาไปพร้อมกับลูบผ้า
จนในที่สุดท่าน พิจารณาเห็นว่าผ้าขาวเมื่อถูกลูบมีสีคล้ำลง จึงนำมาเปรียบกับชีวิตของคนเรา
ที่ไม่มีความยั่งยืน ท่านจึงได้เจริญวิปัสสนาและบรรลุพระอรหันต์เพราะสิ่งที่ท่านพบจากการลูบ
ผ้าขาวนั่นเอง เมื่อท่านบรรลุพระอรหันต์ ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ
ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้า ให้เป็นผู้ เป็นเอตทัคคะในด้านชำนาญในมโนมยิทธิ
พระจูฬปันถก เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า
" ปัญญาในการตรัสรู้ไม่เกี่ยวกับปัญญาในการจำเรียนรู้ทั่วไป..."
ปัญญาในการตรัสรู้คือจินตมยปัญญา กล่าวคือความสามารถที่จะใช้ปัญญาแยบคายที่เกิดจาก
ใช้ปัญญาพิจารณาธรรมะภายใน พิจารณาให้เห็นความจริงของโลกได้ด้วยตนเองได้หรือไม่
การท่องจำหรือเรียนเก่งไม่เก่งจึงไม่ใช่อุปสรรคในการตรัสรู้ธรรมนั้นเอง..
 คาถาบทที่พุทธองค์ทรงสอน จูฬปันถกคือ 
"ระโชหะระตะนัง ระชังหะนะเรติ"
คาถาบทนี้ มีผู้รู้บางท่านยกให้เป็นคาถาสำหรับให้เด็กๆ เรียนเก่ง นั้นเอง...




過江羅漢 กั้วเจียงหลั่วฮั่น อรหันต์ข้ามแม่น้ำ  
ศิลปะสื่อถึงท่าทางกำลังข้ามแม่น้ำ ซึ่งหมายถึงโอฆสงสาร ซึ่งเป็นวนเวียน ของภพ ชาติ  ของเหล่า
สรรพสัตว์ ในโลกเรานั้นเอง...
跋陀羅尊者 ป๋าถั่วหลั่วจุนเจ่อ  พระอรหันต์ภัทร ( ชะโตโล )
  พระอรหันต์ภัทร แปลว่า ประเสริฐ สถิตอยู่ตามรทวีป พร้อมด้วยพระอรหันต์อีก ๙๐๐ รูป
เป็นบริวาร บ้างว่าท่านเป็นพระญาติของพระพุทธเจ้า บ้างก็ว่าท่านอยู่ในสกุลสูง ท่านเป็นมหาสาวก
องค์หนึ่ง มีความสามารถอธิบาย อรรถธรรมที่ลึกซึ้งให้เข้าใจด้วยคำพูดง่ายๆ



  伏虎羅漢  ฝูหู่หลั่วฮั่น อรหันต์เสือหมอบ(ศิโรราบ)  มูลเหตุที่ได้สมญานี้เพราะครั้งหนึ่งท่านได้
กำราบเสือร้ายนั้นเอง..
นาม ..賓頭盧尊者 ปินโถ่วหลู่จุนเจ่อ พระปิณโฑลภารทวาชเถระ  
พระปิณโฑลภารทวาชเถระ เดิมเป็นพราหมณ์ในพระนครราชคฤห์ เกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล
ชื่อว่า ภารทวาชโคตร เดิม ท่านมือชื่อตามโคตรของท่านว่า ภารทวาชมาณพ เมื่อเจริญวัยได้ศึกษา
เล่าเรียนจนจบไตรเภท ได้ตั้งตนเป็นอาจารย์  บอกศิลปวิทยาแก่มาณพทั้ง 500 คน ภารทวาชนั้น
เมื่อเป็นฆราวาสมีนิสัยโลภในอาหารเป็นเนืองนิตย์ เที่ยวแสวงหากินกับศิษย์ ของตนไม่เลือกที่
ดังนั้นท่านจึงมีชื่อว่า ปิณโฑลภารทวาชมาณพ  ต่อมามีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาขอ
อุปสมบท ไม่นานท่านก็บรรลุอรหันตผล ท่านเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอินทรีย์ทั้ง 3 คือ
สติ, สมาธิ และปัญญา เวลาท่านไปที่ไหน แม้จะอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระพุทธเจ้าก็ตาม
ท่านก็ชอบเปล่งสีหนาทอยู่เสมอ ๆ ว่า 
"ใครมีความสงสัยในมรรคผล ผู้นั้นจงถามเราเถิด"
ด้วยเหตุนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงยกย่องท่านว่า เป็นเอตทัคคะผู้เลิศ กว่าภิกษุทั้งหลายในด้าน
ผู้บันลือสิงหนาท ...

 


靜坐羅漢 จิ้งจั้วหลั่วฮั่น  พระอรหันต์ นั่งกรรมฐาน รูปลักษณ์การนั่งสมาธิ นัยยะสื่อถึงการวอนมนุษย์
ให้หยุดการทะเลาะกัน หันมาดีกันเพื่อสันติสุข การทำสมาธินั้นเป็นการฝึกจิตของตนเอง เมื่อเข้าใจ
ตนเองแล้วความขัดแย้งก็จะไม่เกิดขี้น...
นาม ..諾距羅尊者 นั่วจี้หลั่วจุนเจ่อ พระอรหันต์ นกุละ 
พระอรหันต์นกุละ แปลว่า พังพอน สถิตอยู่ชมพูทวีป พร้อมด้วยพระอรหันต์อีก ๘๐๐ รูป เป็นบริวาร
ท่านชอบอยู่อย่างวิเวก ถือการธุดงค์เป็นวัตร ไม่มีศิษย์ ไม่เคยเทศนา ไม่ชอบเข้าหมู่คณะ ไม่เคย
อาพาธ พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า เป็นพระสาวกที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ๑๖๐ ปี ทั้งนี้เพราะเป็น
อานิสงส์มาจากเมื่อครั้งสมัยพระวิปัสสีพุทธเจ้า ท่านได้ถวายเภสัชแก่ภิกษุอาพาธ
เหตุที่ท่านไม่เทศนาโปรดใครนั้น เพราะท่านเห็นว่าพระมหาสาวกองค์อื่นๆเทศน์ได้ดีแล้ว
ท่านจึงไม่จำเป็นต้องเทศน์ 



長眉羅漢 ฉางเหมยหลั่วฮั่น พระอรหันต์คิ้วยาว  ที่ได้ฉายานี้เพราะ ท่านมีคิ้วทั้งสองยาวแต่กำเนิด 
นาม   阿氏多尊者 อาซื่อตัวจุนเจ่อ , 阿化多尊者 อาฮั่วตัวจุนเจ่อ  พระอรหันต์อชิตะ ( อะสะโต )
พระอรหันต์อชิตะ แปลว่าไม่พ่าย ท่านสถิตอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ พร้อมด้วยพระอรหันต์อีก ๑,๕๐๐ รูป
เป็นบริวาร  เทียบเคียงแล้ว เรื่องราวของท่านไม่ปรากฏชัดเจนนัก ในคราวทุติสังคายนา มีพระภิกษุ
องค์หนึ่งชื่อเดียวกับท่าน  ส่วนในเถรคาถามี พระอชิตเถระ เป็นบุตรของพราหมณ์
คำว่า อชิต เป็นนามพระเมตไตรยโพธิสัตว์ ...




ฉายา 布袋羅漢    ปู้ไต้หลั่วฮั่น พระอรหันต์ ถุงผ้า มีลักษณะ แย้มยิ้ม  แบกถุงผ้าหนึ่งใบ
ที่บ่าซ้าย เป็นนัยยะทางธรรม หมายถึง พึงสันโดษ พอเพียง ยินดีในสิ่งที่ตนมี และพึงมี 
อันจะเป็นการฝึกจิตตนเพื่อก้าวไปสู่การบรรลุธรรมได้...
นาม ..因揭陀尊者อินเจียถัวจุนเจ่อ  พระอรหันต์อิงคท/อิคะโต
ท่าน สถิตอยู่บนภูเขาไวบูลยบารศ์ พร้อมด้วยพระอรหันต์อีก ๑,๓๐๐ รูปเป็นบริวาร พระอิคะโตหาก
เป็นองค์เดียว กันกับพระอังคชะ ก็เป็นมหาสาวกองค์หนึ่ง ร่างกายสะอาดมาก มีกลิ่นหอม หรือ
ถ้าเป็นองค์เดียวกันกับพระอังคิละ ก็เป็นมหาสาวก เช่นกัน และเป็นองค์ที่บริบูรณ์ในสิ่งทั้งปวง
มองในแง่พุทธศิลป์ที่ช่างชาวจีนสลักมีเค้าคล้ายพระศรีอริยเมตไตร  ทำให้หลายท่านมักเข้าใจผิด..


 





看門羅漢 โท่ยมึ้งหล่ออั่ง (คั่นเหมินหลั่วฮั่น) อรหันต์ดูแล (คุ้มครอง)  มีท่าทางองอาจ
ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ (ดูแล)
นาม..注茶半托迦尊者 จู้ฉาปั้นทัวเจียจุนเจ่อ พระอรหันต์วัชระบุตร
พระอรหันต์วัชระบุตร  เป็นหนึ่งใน 18 อรหันต์ ปางนี้เป็น ปางถือไม้เท้าขักขระ
สื่อระหัสแห่งธรรมะ และการ ถือธุดงค์วัตรสิบสาม ถือปฏิบัติอย่างเข้มข้นมีสามหมวด
รวมสิบสามข้อ 

หมวดที่ 1 จีวรปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับจีวร)

หมวดที่ 2 ปิณฑปาตปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับบิณฑบาต)

หมวดที่ 3 เสนาสนปฏิสังยุตต์ (เกี่ยวกับเสนาสนะ)

อ่านรายละเอียดทั้สิบสามข้อ ในหมายเหตุ หมายเลขสอง 

(กรุณา ติดตาม สิบแปดอรหันต์ ในตอนที่สองเร็วๆๆนี้ ...)
เชิญ อ่าน  บทความย้อนหลัง ...ตอนที่สอง   เทพและสวรรค์ในอุดมคติจีน ...
                                            ตอนที่หนึ่ง ไหว้เจ้าเสริมดวงที่ วัดกระทุ่มเสือปลา..


 อ้างอิง....

โครงการแปลพระสูตรมหายานจีนไทยเฉลิมพระเกียรติ 
วัดบรมราชา (เล่งเน่ยยี่สอง)
เวปไซด์พิพิธภัณฑ์วิหารเซียน
ประวัติพระสาวก บางส่วน จากวิกกิพีเดีย


 หมายเหตุ หนึ่ง

降 คำนี้มี สองเสียงสองความหมาย โดย
  หากออกเสียงว่า ฮั้ง (ก. เสียง) แปลว่า 1.ยอมจำนน (เช่น เต่าฮั้ง  .... สวามิภักดิ)
                                   2. กำราบ,สยบ,พิชิต เช่น 降龍十八掌 ฮั้งเล้งจับโป้ยเจี้ย
                                                                          ฝ่ามือกำราบมังกรสิบแปดท่า ...
  หากออกเสียงว่า กั่ง (ก. เจี้ยง) แปลว่าตก,ตกลงเช่น 降雨 กั่งโห่ว ... ฝนตก 
สำนวน 
降龙伏虎  เจี้ยงหลงฝูหู (xiáng lóng fú hǔ)  ฮั้ง  แปลว่า กำราบมังกรและสยบเสืออุปมาว่า มีอานุภาพที่จะพิชิต
                                                                              สิ่งที่มีกำลังเข้มแข็งเกรียงไกรได้

 หมายเหตุ สอง  ธุดงควัตรสิบสาม
ธุดงควัตร หมายถึงกิจวัตรของการธุดงค์ที่พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตมี 13 วิธีจัดเป็นข้อสมาทานละเว้น และข้อสมาทานปฏิบัติ
คือ
ปังสุกูลิกังคะ ละเว้นใช้ผ้าที่ประณีตเหมือนที่คหบดีใช้ (พระป่านิยมใช้ผ้าท่อนเก่า) สมาทานถือใช้แต่ผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งแล้ว
(ข้อนี้ตามคัมภีร์เมื่อเทียบกับวัดป่าไม่ต่างกัน)
เตจีวริตังคะ ละเว้นการมีผ้าครอบครองและใช้สอยผ้าเกิน 3 ผืน (วัดป่าสมาทานการใช้สอยผ้าไตรจีวร ในความหมายว่าผ้านุ่ง

ผ้าห่ม ผ้าคลุมด้วย (ในทางปฏิบัติจะใช้ผ้าคลุมนุ่งเมื่อซักตากผ้านุ่งและผ้าห่มชั่วคราว) คือ ผ้าที่เป็นผืน ๆ ที่ไม่ได้ตัดเป็นชุด
ตามหลักผ้าใช้นุ่งห่มเพื่อกันความร้อนความเย็นและปกปิดร่างกายกันความน่าอายเท่านั้น
ปิณฑปาติกังคะ ละเว้นรับอดิเรกลาภ (คือรับนิมนต์ไปฉันที่ได้มานอกจากบิณฑบาตรเช่นไปฉันที่บ้านที่โยมจัดไว้ต้อนรับ)
สมาทาน เที่ยวบิณฑบาตเป็นประจำ (ข้อนี้ตามคัมภีร์เมื่อเทียบกับวัดป่าไม่ต่างกัน)
สปทานจาริปังคะ ละเว้นการโลเล (ยึดติด) เที่ยวจาริก (ภิกขาจาร) (เพื่อมิให้ผูกพันกับญาติโยม) สมาทานบิณฑบาตร
ตามลำดับ ลำดับบ้าน ไม่เลือกบ้านที่จะรับบิณฑบาต เดินแสวงหาบิณฑบาตไปตามลำดับ. ส่วนของวัดป่าบางที่นั้นจะมีวิธี
การเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นบิณฑบาตซ้ำที่เดิม ถืออย่างเบาย้ายสายบิณฑบาตทุกวัน อย่างหนักออกเดินทาง
ย้ายที่เที่ยวบิณฑบาตไม่ต่ำกว่าที่เดิมไม่เกินโยชน์ (16 กิโลเมตร) สมาทานบิณฑบาตตามลำดับบ้าน ลำดับอายุพรรษา
ไม่เดินแซง (แย่งอาหาร) ซึ่งไม่ผิดจากพระไตรปิฎก-อรรถกถาแต่อย่างใด สามารถทำได้เช่นกัน.
เอกาสนิกังคะ ละเว้นอาสนะที่สอง สมาทานอาสนะเดียว (ฉันมื้อเดียว). ปกติมักถือการนั่งฉันเมื่อเคลื่อนก้นจากฐาน
อาสนะที่นั่งเป็นอันยุติการฉันหรือรับประทานอาหารในวันนั้น ส่วนของวัดป่านั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก
คือ จะกำหนดเวลาฉันในแต่ละวัน เช่นกำหนดฉันเวลา 9 นาฬิกา ก็จะฉันในเวลานั้นทุกวัน (จะไม่ฉันก่อนเวลานั้น หรือ
หลังเวลานั้น เช่นเวลา 8 นาฬิกา หรือ 10 นาฬิกา) จะไม่เปลี่ยนเวลาฉันตามความอยากฉัน หรือ ไม่อยากฉันตามอารมณ์
แต่ฉันตามสัจจะตามเวลาที่อธิษฐานไว้
ปัตตปิณฑิกังคะ ละเว้นฉันภาชนะที่ 2 ใส่อาหารรวมในภาชนะเดียวกันทั้งหมด สมาทาน ฉันเฉพาะในบาตร. ส่วนของวัดป่า
บางที่นั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ จะต้องคนอาหารรวมกันด้วย ซึ่งแม้จะไม่มีในข้อธุดงค์ตามคัมภีร์แต่ก็
ทำได้ไม่ผิดอะไร.
ขลุปัจฉาภัตติกังคะ ละเว้นการรับประทานอาหารเหลือ สมาทานเมื่อเริ่มลงมือฉันแล้วไม่ยอมรับเพิ่ม. ส่วนของวัดป่าบางที่นั้น
จะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นฉันเหลือให้เป็นเดน (ฉันเหลือเนื่องจากไม่ประมาณในการบริโภค) ซึ่งก็ทำได้
ไม่ผิด ทั้งยังเป็นมรรยาทที่ดีงามและพบตัวอย่างของพระสมัยพุทธกาลที่ทำเช่นนี้ด้วย. (อติริตต อาหารอันเป็นเดน)
อารัญญิกังคะ ละเว้นการอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน สมาทานการอยู่ในป่าไกล 500 ชั่วคันธนู หรือ ราว 1 กิโลเมตร โดยจะต้อง
ให้ตะวันขึ้นในป่า หากตัวอยู่ในบ้านตอนตะวันขึ้น เป็นอันธุดงค์แตก สมาทานถืออยู่ในป่า (วน - กลุ่มต้นไม้, อรัญญ - ป่าไกลบ้าน)
รุกขมูลิกังคะ ละเว้นนอนในที่มีที่มุงที่บัง (เช่นบ้าน ถ้ำ กุฏิ) สมาทานอยู่โคนไม้ แต่ท่านอนุญาตให้ทำซุ้มจีวรได้ ส่วนของวัดป่า
บางที่นั้นจะต่างออกไปเล็กน้อย คือ จะใช้การปักกลดแทน ประเพณีนี้ไม่ทราบที่มาแน่ชัดนัก แต่ถ้าไม่เอาด้ามกลดปักดินก็ทำได้
เพราะถึงอย่างไรกลดก็ไม่ใช่กุฏิ (ปักกลด คือการกางร่มกลด (ร่มที่พระใช้ขณะเดินทาง) ใต้ต้นไม้ เป็นวิธีการของพระสายวัดป่าไทย
โดยเฉพาะแต่เดิมครั้งพุทธกาลไม่มีมาก่อน กลดมี 2 ลักษณะคือผูกเชือกแล้วแขวนกลด และใช้ด้ามกลดปักพื้น (มักทำพระอาบัติ
ปาจิตตีย์กันบ่อยด้วยปฐวิขณนสิกขาบท เพราะจงใจขุดดินทั้งที่รู้ตัว) บางรูปวางกับพื้น เรียกว่ากางโลงศพเพราะได้แต่อิริยาบถ
นอนในกลดเท่านั้น ลุกมานั่งสมาธิไม่ได้ (แต่สามารถถือวางพาดบ่าก็ลุกนั่งได้) โดยปกติจะครอบคลุมด้วยผ้ามุงทรงกระบอก
เพื่อกันยุง ในครั้งพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ใส่รองเท้าเมื่อเดินลุยในน้ำ ไม่ทรงอนุญาตให้ใส่ที่อื่น เนื่องจากเดินลุยน้ำ
เรามองไม่เห็นว่าในน้ำมีอะไรจึงต้องใส่รองเท้า แต่บนพื้นเรามองเห็นอยู่จะพลาดเหยียบหนามก็เพราะขาดสติ (ทรงอนุญาตให้ใส่
รองเท้าในวัด หรือป่า เป็นต้นได้ แต่ห้ามใส่เข้าในเขตหมู่บ้าน[8]) อีกทั้งทรงอนุญาตให้ใช้ร่มเมื่อเข้าไปในใต้ต้นไม้เพื่อป้องกัน
การร่วงหล่นใส่ของกิ่งไม้แต่ในเบื้องต้นยังไม่อนุญาตให้กางนอกต้นไม้เพื่อใช้กันแดดกันฝน ในคัมภีร์ท่านไม่ได้อนุญาตให้กางร่ม
กลดไว้ แต่หากเอาตามอัพโภกาสิกังคธุดงค์แล้วก็ทรงอนุญาตให้ทำซุ้มจีวรได้ (สันนิษฐานว่าคงเป็นผ้ามุ้งหูเดียวที่ผูกแขวนใต้
ต้นไม้เพราะข้อธุดงค์รุกขมูลที่กำหนดไว้ให้อยู่ใต้ต้นไม้ ไม่น่าจะเป็นการเอาไม้มาพาดแล้วคลุมด้วยผ้าคล้ายเต็นท์ เพราะเต็นท์
จะอยู่นอกใต้ต้นไม้ได้) อย่างไรก็ตามการใช้กลดก็ไม่ผิด เพราะก็อยู่โคนไม้ไม่ใช่กุฏิเหมือนกัน).
อัพโภกาสิกังคะ ละเว้นการเข้าในที่มีที่มุงที่บังและใต้ต้นไม้ สมาทานอยู่กลางแจ้ง คือการไม่เข้าไปพักในร่มไม้หรือชายคาหลังคา
ใด ๆ หรือแม้การกางร่มกลดเพื่อกันแดดกันฝนก็ไม่ได้ห้ามทั้งซุ้มจีวรและการใช้มุงใด ๆ.วัดป่าบางทีก็ถือการไม่ใช่อาสนะใด ๆ
เลยเช่น เก้าอี้ เตียง ผ้าปูหรือ แม้แต่ผูกเปล รวมทั้งไม่นอนบนต้นไม้ โดยถือหลักการไม่อิงอาศัยสิ่งใดเกินจำเป็น แม้แต่รองเท้า
ก็ตาม
โสสานิกังคะ ละเว้นการอยูในสถานที่ไม่เปลี่ยว สมาทานอยู่ป่าช้า ในคัมภึร์หมายถึงป่าช้าเผาศพ ซึ่งต้องเคยมีการเผาศพมาก่อน
อย่างน้อยครั้งหนึ่ง แต่ไม่ใช่ป่าช้าฝังผี ข้อนี้ก็เหมือนกับ 2 ข้อ ก่อน ตรงที่ถ้าไม่ได้อยู่ในป่าช้าตอนตะวันขึ้นธุดงค์ก็แตกเช่นกัน.
วัดป่ามักถือการไม่อยู่ในป่าช้าใกล้ ๆกับที่มีมนุษย์อยู่ในบริเวณใกล้ๆกับสถานที่ตนอยู่ เพราะการอยู่ในป่าช้าก็เพื่อการทดสอบจิตใจ
ต่อการกลัวในความมืดและความเงียบ โดยการอยู่ในที่เปลี่ยวในป่าช้าห่างไกลผู้คนและหมายถึงป่าทั้งที่ฝังและเผา
(สน สงัด สุสาน มีปกติสงัดดี)
ยถาสันถติกังคะ ละเว้นการโลเล (ยึดติด) ในเสนาสนะ สมาทานอยู่ในที่ตามมีตามได้ เสนาสนคาหาปกะจัดให้อย่างไรก็อยู่ตามนั้น.
ส่วนของวัดป่านั้นจะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นการนอนซ้ำที่เดิม (เพื่อไม่หวงแหนในติดในสถานที่) โดย
ถืออย่างเบาคือนอนย้ายที่ในอาวาสทุกวัน
ถืออย่างหนักคือออกเดินทางย้ายที่นอนทุกวัน
ถ้านอกอาวาส ถ้าหลายรูปให้พรรษาที่สูงกว่าเลือกให้และให้พรรษาสูงกว่าเลือกก่อน (ข้อนี้เป็นสมาจาริกศีล ไม่ใช่ธุดงค์) และ
อยู่บนกุฏิวิหารให้ทำให้สะอาด ถ้าตามโคนไม้ไม่กวาดหรือทำอะไรเพราะใบไม้มีประโยชน์เช่นทำให้เท้าไม่ เปื้อนก่อนเข้าอาสนะ
และสัตว์หรือคนเข้ามาย่อมได้ยินเสียง.
เนสัชชิกังคะ สมาทานถืออิริยาบถนั่ง-อิริยาบถยืน-อิริยาบถเดินเพียง 3 อิริยาบถไม่อยู่ในอิริยาบถนอน ส่วนของวัดป่านั้น
จะมีวิธีการเพิ่มออกนอกไปจากคัมภีร์อีก คือ ละเว้นการหลับด้วย ซึ่งก็ทำได้ไม่ผิด (มักเรียกการประพฤตินี้ว่าเนสัชชิก)

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓