มหากาพย์ ไตรภาค โดย นริศ จิระวงศ์ประภา 03

แนวคิด การเล่นหุ้นคือการประกอบกิจการ

• ก่อนอื่นต้องขอโทษคนส่วนมากที่เข้าใจแนวคิดในเรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ครั้นผมจะกล่าวถึงเรื่องอื่น โดยไม่กล่าวถึงเรื่องที่เป็นหัวใจสำคัญที่สุดของการเป็นนักลงทุน
• ก็กระไรอยู่ ท่านที่รู้อยู่แล้วก็ผ่านบทนี้ไปได้เลยครับ ไม่น่าจะเป็นไร แต่ท่านไหนที่ยังไม่เคลียร์ ขอให้ท่านทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้อย่างถ่องแท้นะครับ เพราะอย่างที่ผมได้กล่าวไปเบื้องต้นว่า ถ้าท่านคิดจะเป็นนักลงทุนแนวVI(Value Investor) เรื่องนี้ถือว่าเป็นแกนหลักยึดเหนี่ยวการลงทุนทีเดียวครับ

• ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจในวิธีหาเงินกันก่อนนะครับว่ามีกี่รูปแบบและอะไรบ้าง ในเรื่องวิธีการหาเงินนี้ผมได้แนวคิดมาจากพ่อรวยเรื่องเงินสี่ด้าน ถ้าใครอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ซื้อมาอ่านดูนะครับ การแยกประเภทการหาเงินของเขามีอยู่สี่รูปแบบคือ

• 1.ลูกจ้าง=การหาเงินโดยใช้แรงกายเข้าแรก1ต่อ1 โดยไม่มีตัวช่วย อาชีพในกลุ่มนี้นับตั้งแต่คนขายแรงงานหาเช้ากินค่ำ ไปถึงดารานักฟุตบอลที่มีค่าตัวเดือนละหลายล้านบาท การหาเงินในกลุ่มนี้จะใช้เวลาของตนเองเข้าไปแลกกับเงินโดยตรง มีเงินเดือนที่ตายตัว ถ้าหยุดการทำงาน ก็ไม่ได้เงิน 

• 2.เจ้าของกิจการ=การหาเงินโดยใช้แรงกายเข้าไปแลก แต่แตกต่างจากกลุ่มแรกคือ คนกลุ่มนี้เป็นเจ้านายของตนเอง ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย แต่ยังเหมือนกันอยู่อย่างคือ ยังต้องเป็นหนูปั่นจักร ถ้าไม่ทำก็ไม่ได้เงิน สังเกตกันดีๆจะเห็นว่า คนที่เล่นหุ้นประเภทต้องเฝ้าหน้าจออยู่ตลอดเวลา เข้าข่ายคนกลุ่มนี้เช่นเดียวกัน เพียงแต่ว่าคนเล่นหุ้นจะมีตัวช่วยพิเศษในเรื่องของเงินเข้ามาช่วยเพิ่มความเร่งให้กับจักรอีกแรงหนึ่ง แต่ถ้าเขาหยุดเทรดเขาก็ไม่ได้เงิน

• 3.การหาเงินโดยใช้แรงกาย+แรงสมองเข้าแรก=กลุ่มนี้จะพิเศษกว่าคือจะมีส่วนของระบบและคนมาช่วยแบ่งเบาภาระในบางส่วน ทำให้เขาสามารถหยุดการทำงานเป็นช่วงๆได้โดยเนื้องานไม่สะดุด หมายความว่าถึงแม้นคนกลุ่มนี้จะไม่ทำงาน แต่ยังสามารถมีรายได้และกำไรตราบเท่าที่ระบบและคนที่วางไว้ทำงานแทนให้ คนกลุ่มนี้มีส่วนน้อยนักที่สามารถพัฒนาองค์กรจนกระทั่งเหวี่ยงงูให้พ้นคอ ลอยตัวจากปัญหาของธุรกิจของตนเองได้ ส่วนมากถ้าองค์กรไม่ใหญ่พอ คนกลุ่มนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของฟันเฟืองที่ยังต้องขับเคลื่อนไปกับองค์กร ไม่สามารถหยุดงานได้เบ็ดเสร็จจริงๆ 

• 4.การหาเงินโดยใช้แรงสมองเข้าแรกเพียงอย่างเดียว=คนกลุ่มนี้สามารถไปไหนมาไหนได้อย่างอิสระ ไม่ต้องเอาแรงกายไปแรกเงินมา กลุ่มนี้เรียกตนเองว่า “นักลงทุน”คนกลุ่มนี้จะลงทุนในทรัพย์สินประเภทต่างๆ รวมไปถึง “คนเล่นหุ้น” อย่างเราๆท่านๆด้วย คนกลุ่มนี้จะใช้เงินให้ไปทำหน้าที่หาเงินแทนเรา ถ้าจะพูดในมุมมองของการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หน้าที่นักลงทุนคือเลือกซื้อกิจการที่เราต้องการเป็นเจ้าของและคอยติดตามดูผลการดำเนินงานของกิจการเป็นระยะๆ

• จะเห็นได้ว่า การลงทุน คือการให้เงินทำหน้าที่หาเงินแทนเรา ผมว่าทุกๆคนเข้าใจในเรื่องนี้ แต่ยังเข้าใจในวิธีการ เอาเงินไปต่อเงินที่ไม่เหมือนกัน คนกลุ่มหนึ่งมองราคาหุ้นเป็นหลัก มองผลกำไรอยู่ที่ส่วนต่างของราคาหุ้น มองว่าทำอย่างไรจะขายให้แพงกว่าที่ซื้อมา โดยไม่มองว่าทรัพย์สินชิ้นนั้นมีราคาเท่าไหร่ ถ้ามองในมุมนี้จะคล้ายๆการเล่นแชร์ลูกโซ่ ใครเป็นไม้แรกก็รวยไป ใครจะมารับเป็นไม้สุดท้ายก็กินแกลบ แต่ยังมีคนอีกกลุ่มมองว่า การลงทุนคือการเลือกซื้อกิจการในมูลค่าที่เหมาะสม และให้กิจการนั้นหาเงินให้แก่เรา คนกลุ่มนี้จะประเมินมูลค่าของกิจการให้ออกว่ามีมูลค่าเหมาะสมทั้งกิจการอยู่ที่เท่าไหร่ และทำการเปรียบเทียบกับราคาในตลาด ส่วนต่างของสองราคานี้จะเรียก Upside หรือ MOS(magin of safety)ก็ได้ครับ

• ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนี้ อยู่ตรงที่เราต้องใช้มันสมองเข้าแรกผลตอบแทนที่เราอยากจะได้ โดยการศึกษาธุรกิจที่เราจะไปลงทุนว่ามูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่เท่าไหร่ และซื้อในราคาที่ถูกกว่ามูลค่าที่มันควรจะอยู่ให้มากที่สุด เมื่อเลือกได้แล้วก็เพียงแต่ซื้อแล้วถือเพื่อให้กิจการทำงานแทนเราจนกว่าธุรกิจเขาเปลี่ยนแปลงไปหรือเราเจอบริษัทที่ถูกและดีกว่าจึงทำการขายธุรกิจเดิมเพื่อไปซื้อธุรกิจใหม่ ถ้าท่านบอกว่ารู้...แต่ว่าไม่รู้วิธีการประเมินมูลค่าของกิจการ หรือ รู้....แต่เคยประเมินแล้วมันผิดพลาด หรือ รู้....แต่มันยากและนานเกินไปในการศึกษา

• จริงอยู่ว่ามันยาก และใช้เวลา เพราะผมเคยใช้เวลาถึงสองสามปีในการมองเห็นแนวทางการประเมินมูลค่าของกิจการอย่างชัดเจนและมั่นใจในแนวทางของตนเอง แต่ผมคิดว่าประสบการณ์ของผมที่นำมาเขียนหนังสือเล่มนี้ บางทีท่านอาจจะใช้เวลาเพียงสองสามวันในการอ่านและทำความเข้าใจ และนำไปฝึกฝนเพียงสองสามเดือนก็สามารถประเมินมูลค่าของกิจการที่ตนเองลงทุนได้อย่างคร่าวๆ 
• เพียงแต่ท่านต้องยอมหงายแก้ว รองรับน้ำที่ผมจะรินใส่ในแก้วของพวกท่านนะครับ แล้วท่านจะรู้ว่า “การเล้นหุ้น คือ การประกอบกิจการ” จริงๆ


• แนวคิดที่สอง “เวลา”

• เกี่ยวกับเรื่องของเวลา ผมมีแนวความคิดอยู่หลายแนวทางครับก็ต้องขออนุญาต เล่าสู่กันฟังไปเรื่อย ๆ นะครับ อาจจะมีเนื้อนิด น้ำหน่อย ผสมปนเป ก็ถือว่าอ่านนิยายแล้วกันนะครับ

• “เวลา” ในความคิดผม สิ่งนี้เป็นทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดในการบริหารจัดการ หลายท่านที่มีความรู้มากกว่าผมอาจจะงง เพราะตำราเล่มไหน ๆ ก็กล่าวถึงเพียงแค่ 4M (Man, Money, Material and Management) เท่านั้นเอง แต่ผมอยากจะขอแถม Time หรือเวลาเข้าไปอีกอย่างครับ บางท่านอาจจะบอกว่าอยู่ใน Time Management ไงล่ะ ผมคิดว่าก็อาจจะเป็นอย่างนั้นในตำราบางเล่ม เพียงแต่ต้องขอยกออกมาให้ชัดเจน เพื่อให้ท่านได้เห็นความสำคัญของมันในเรื่องที่เราคุยกันอยู่ครับ เพราะการจัดการจะมีประสิทธิภาพที่สุด ก็ต่อเมื่อได้เนื้องานที่ต้องการ ในเวลาที่กำหนดเท่านั้น เช่นมีร้านอาหารแห่งหนึ่งที่ทำอาหารได้อร่อยมากๆ แต่ทำอาหารออกมาจานละชั่วโมงก็คงไม่ไหว ไช่ไหมครับ


• เคยมีคนกล่าวถึงเรื่องเวลาในมุมมองของธุรกิจไว้ว่า เวลาเป็นสิ่งเดียวที่เงินซื้อไม่ได้ เราได้เวลามาคนละเท่า ๆ กัน และที่สำคัญ เราได้มันมาอย่างจำกัดเสียด้วย เราจึงควรรบริหารจัดการมันให้ดีที่สุดในแต่ละวัน พูดง่าย ๆ ก็ใช้มันให้คุ้มค่านั่นแหล่ะครับ การใช้เวลาให้คุ้มค่าในความคิดของผม ไม่ได้หมายความว่าท่านต้องใช้เวลาทั้งหมดไปทุ่มเทให้กับงาน งาน งาน และงาน หรือต้องทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งมากเป็นพิเศษเพื่อชดเชยเวลาอันจำกัด แต่การใช้เวลาให้คุ้มค่าในความคิดของผม จะหมายถึงให้ท่านพิจารณาถึง ผลที่ได้มาเมื่อเทียบกับเวลาที่ท่านกำลังเสียไปกับเรื่องนั้น ๆ มากกว่า 



• อย่างที่ได้คุยกันไปแล้วข้างต้น ถ้าท่านเลือกทางเดินผิดทาง ก็เท่ากับว่าสิ่งที่เพียรพยายามมาตลอดกลับพาตัวท่านไปยังจุดหมายที่ไม่ต้องการ ท่านก็จะเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์ นอกจากนั้นประสบการณ์ที่ได้รับระหว่างทางยังอาจจะทำให้ได้ความเชี่ยวชาญที่ผิด ๆ มาเป็นของแถมอีกด้วย

• ผมขอยกตัวอย่างที่เห็นเป็นรูปธรรมขึ้นมาอีกนิด เพื่อให้เห็นภาพ ไหน ๆ ตอนแรกก็เปรียบกับคอมพิวเตอร์แล้ว เพื่อให้ต่อเนื่องก็ขอยกตัวอย่างเรื่องใกล้ตัวนะครับ

• ผมมีเพื่อนสองคนที่หลงในเทคโนโลยี ไอทีคอมพิวเตอร์ด้วยกันทั้งคู่ คนแรกตัดสินใจเลือกที่จะใช้เวลาไปกับการศึกษา เรียนรู้ถึงกระบวนการต่าง ๆ ทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ คนที่สองเลือกเอาความลุ่มหลงและตอบสนองความต้องการด้วยการสรรหามาลอง ตอบสนองความสนุกในการใช้ เรียกว่ารุ่นไหนออกใหม่ ต้องมีหมด ทั้งไอแพด ไอโฟน ไปจนไอติม (ถ้ามันจะมี) จนเมื่อวันเวลาผ่านไปช่วงหนึ่ง ๆ ท่านทั้งหลายก็คงเดาออก ทั้งสองคนมีความสุขกับเส้นทางที่ตนเองเลือกโดยที่คนแรกกลายเป็นโปรแกรมเมอร์ที่มีทักษะ มีความเข้าใจระบบการทำงานของเครื่องไม้เครื่องมือทั้งหลายอย่างทะลุปรุโปร่ง ยิ่งไปกว่านั้น อนาคตเขาอาจจะเป็นคนที่คิดชุดคำสั่งหรือระบบอะไรสักอย่างให้กับเครื่องมือพวกนั้นด้วยซ้ำไป ในขณะที่คนที่สอง ก็จะมีอุปกรณ์จำพวกนี้แทบทุกรุ่น เก็บเป็นซากบ้าง เสียบ้าง มีความรู้ในการใช้อุปกรณ์แทบทุกชนิด แต่ไม่มีทักษะในการมองระบบทั้งระบบ และสุดท้าย เขาก็ยังต้องคาดเดา รอคอยว่าอะไรจะออกมาใหม่ และวิ่งไล่ตามให้ทันกับอุปกรณ์พวกนั้นอยู่ดี

• สิ่งที่ผมอยากจะบอกในเรื่องนี้ก็คือ ท่านมีความสุขความพอใจกับเป้าหมายแบบไหน และท่านได้อะไรจากการเดินทางในเส้นทางสายนั้น คุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปแค่ไหน เวลาที่เราเสียไปอยู่ทุก ๆ วันนี้ มันเพิ่มทักษะอะไรให้กับเราบ้าง และที่สำคัญทักษะนั้นสามารถพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ ต่อยอดแนวความคิดของเราได้หรือไม่ 

• เรื่องของการลงทุนก็เช่นเดียวกัน การนั่งเฝ้าหน้าจอดูตัวเลข , ดูกราฟที่เปลี่ยนแปลง เวลาที่ท่านเสียไป 1 วัน 1 เดือน 1 ปี หรือ 10 ปี... ท่านได้พัฒนาอะไรไปบ้าง เมื่อเทียบกับการใช้เวลาเท่า ๆ กัน ในการอ่านหนังสือกูรูหุ้น อ่าน 56-1 อ่านรายงานการประชุม ดูงบการเงิน วิเคราะห์รูปแบบธุรกิจ ในหุ้นแต่ละตัว แต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม........ผมไม่บอก ท่านก็คงรู้ว่า บรรทัดสุดท้ายของชีวิตสองคนนี้ ว่าใครจะมีงบการเงินที่สวยกว่ากัน

• แนวคิดที่ผมคิดว่าน่าสนใจอีกแนวหนึ่ง สำหรับเรื่องเวลา คงเป็นเรื่อง “การบริหารจัดการเวลาอย่างเข้มข้นและมีตัวช่วย” ครับ เพราะในขณะเราต้องการที่จะประสบความสำเร็จทางด้านการเงิน การลงทุน แต่ปัจจัยบางอย่างใน 4M ของเราอาจมีไม่เท่ากับคนอื่น ๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ นั่นแปลว่าเราต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการเรื่องเวลาให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดีที่สุด หรือประสบความสำเร็จนั่นเองครับ เพราะอย่างที่ผมเคยเกริ่นไว้ก่อนหน้านี้ว่า แม้ว่าเวลาจะเป็นสิ่งเดียวที่หาซื้อไม่ได้ แต่เราทุกคนมีเวลาคนละเท่า ๆ กัน ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบกันในเรื่องของของปัจจัยข้อนี้ครับ

• ก่อนที่ผมจะนำเข้าเรื่อง “เวลา” อีกครั้ง ผมขอพาท่านทั้งหลายรำลึกความหลัง เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ในเรื่อง “เวลา” ในเรื่องเก่าแก่นี้ บางท่านอาจจะนึกได้ไม่ยาก เพราะพึ่งจะได้ติวให้ลูกไปไม่นาน หรือบางท่านก็อาจจะนานนนนนนมาก เพราะลูกๆเรียนจบหมดแล้ว ฮา. แต่ผมคิดว่าคงพอนึกออกได้ไม่ยากหรอกครับ เพราะชื่อย่อหุ้นเกือบ500ตัวยังจำได้เกือบหมดเลยครับ ฮา.

• เรื่องแรก น่าจะเป็นความรู้วิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต้น ในบทแรงและการเคลื่อนที่ ที่กล่าวไว้ว่า แรงกิริยาเท่ากับแรงปฎิกิริยา แปลง่าย ๆ ก็ Action = Reaction นั่นล่ะครับความหมายของมันก็ไม่ซับซ้อน คือถ้าลงแรงกระทำเท่าไร ก็จะได้ผลลัพธ์ของแรงนั้นกลับมาเท่ากัน อ่านถึงตรงนี้อาจจะงง ตกลงว่าเกี่ยวกันตรงไหน เกี่ยวกันตรงที่ว่า ถ้าท่านทุ่มเทสนใจในการศึกษาพื้นฐานของกิจการมากเท่าไหร่ ท่านก็จะได้ความรู้ความเข้าใจในกิจการนั้นตอบสนองกลับคืนมามากเท่านั้นเช่นกันครับ ท่านอาจจะคิดว่ากฎข้อนี้ก็พื้น ๆ ไม่มีอะไรเด็ดๆเลย เอามาพูดทำไม...ผมว่าเราไปดูข้อถัดไปเพื่อหาตัวช่วยดีกว่า

• เรื่องที่สอง คานและโมเมนต์ ที่พูดถึงการออกแรงที่น้อยแต่ได้งานที่มากกว่า......กฎข้อนี้ได้สอนเราในเรื่อง เราต้องหาจุดหมุน หาเครื่องทุ่นแรง ที่ทำให้เราออกแรงน้อยที่สุด แต่ได้งานมากที่สุด........แล้วมันหมายความว่าไงล่ะ... เกี่ยวกันตรงไหน ยังไม่เห็นเข้าใจ

• งั้นเราก็ไปดูกฎข้อสุดท้ายเลยแล้วกัน จะได้เข้าใจกันเสียที...... เดี๋ยวท่านทั้งหลายจะว่าผมอ่านแต่ฟิสิกส์ เพราะฉนั้นเรื่องสุดท้ายอยู่ในวิชาชีววิทยาครับ เรื่องพันธุศาสตร์กับวิวัฒนาการ

• เรื่องที่สาม การอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต โดยอาศัยการสืบพันธุ์และขยายพันธุ์ของธรรมชาติมีอยู่ 3 ประเภท 

• 1.การขยายพันธุ์แบบการแบ่งตัว ก็ค่อย ๆ งอกจากตัวเดิมออกมาเป็นติ่ง ใหญ่ขึ้น ๆ แล้วก็หลุดออกมาดื้อ ๆ นี่แหละครับ จากหนึ่งเป็นสอง สองเป็นสี่ ทวีคูณไปเรื่อย ๆ มีพวกเชื้อรา แบคทีเรียเป็นตัวอย่างครับ

• 2.การขยายพันธุ์แบบการผสมพันธุ์ การขยายพันธุ์แบบนี้จะมีการถ่ายทอดพันธุกรรมจากเพศผู้กับเพศเมียไปหารุ่นถัดไปอย่างละครึ่งๆ คงไม่ต้องยกตัวอย่างใช่ไหมครับ ว่าเช่นอะไร

• 3.การขยายพันธุ์แบบผิดธรรมชาติ หรือการกลายพันธุ์ เป็นความผิดปกติของการขยายพันธุ์จากแบบที่1หรือ2 เกิดการนอกลู่นอกทางไม่อยู่กับร่องกับรอยเดิม นาน ๆ จะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง และมีโอกาสน้อยมากที่เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกโฉมสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ เช่น หวัด2009 คนมีเขี้ยวลากดิน หรือม้ามีปีก ใครนึกภาพไม่ออกลองหาภาพยนตร์เรื่อง X-MEN หรือ งานประชุมรัฐสภามาเปิดดูกันครับ ฮา.

• แล้วไวรัส หรือ X-MEN มาเกี่ยวกับเรื่องของเวลาได้ยังไง...เริ่มโมโหแล้วนะเฟ้ย

• บอกแล้วไงว่า จะมีทั้งเนื้อและน้ำผสมปนเป ฮา. หลอกให้อ่านตั้งนาน อย่าเพิ่งโกรธกัน ผมจะเข้าเรื่องแล้วครับ ผมคิดว่าถ้าเราต้องการใช้เวลาให้มีค่าที่สุดในการเรียนรู้เรื่องใดเรื่องหนึ่ง จากความรู้พื้นฐานมัธยมที่หลอกให้อ่านมาข้างต้น ผมดึงมาใช้ได้แบบนี้ครับ

• 1. Action = Reaction 
• ผลลัพธ์ เท่ากับแรงกระทำ เห็นด้วยไหมครับ เราจึงควรใช้เวลาในเรื่องนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ หมายความว่า ถ้าพูดถึงเรื่องการลงทุนแนวVI เราต้องฝึกมองทุกๆอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นการลงทุนแนวนี้ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของใช้ตามตลาดสดจนกระทั่งซื้อบ้าน ให้รู้จักเปรียบเทียบสินค้าแต่ละชนิดให้เห็นถึงความถูกความแพง.........หรือ การใช้ของใช้ต่างๆก็ต้องรู้จักคิดในแนวVIคือใช้ให้คุ้มค่า ไม่ใช่ฟุ่มเฟือย.........หรือถ้าเราเจอข่าวอะไรก็ตามที่ผ่านมาในแต่ละวัน ให้เรานึกถึงผลกระทบที่มันจะเกิดขึ้นในอนาคต แรกๆก็จะไม่คล่องหรอกครับ สมองก็จะเป็นบื้อๆหน่อย เหมือนจีบสาวครั้งแรกนั่นแหล่ะครับ ถ้าคนแรกบื้อๆแล้วแห้วนะครับ คนที่สองสามสี่เดี๋ยวก็คล่องเองแหล่ะครับ ไม่เชื่อก็ถามพี่ porjai@thaivi ดูสิ 
• ถ้าเราฝึกบ่อยๆ หัดมองในมุมของธุรกิจ และ มองทุกๆอย่างในแนวของ Value หรือมองคุณค่าในสิ่งของ สักวันหนึ่ง คำว่า VI มันจะอยู่ในสายเลือด และเมื่อถึงเวลานั้นคุณจะทำอะไร จิตใต้สำนึกมันจะสั่งการแบบแวลู ให้โดยอัตโนมัติครับ

• 2.คาน และโมเมนต์
• แม้ว่าธรรมชาติได้ลงโทษผมให้เกิดมาไม่ค่อยฉลาดนัก แต่เพื่อความสมดุลย์ ธรรมชาติจึงให้ผมเกิดมาท่ามกลางคนที่ฉลาดล้ำลึกมากมายหลายคน แถมยังโชคดีได้เกิดมาในยุคที่การติดต่อสื่อสารสุดแสนทันสมัย ยุคที่สามารถรู้จักเพื่อนที่อยู่คนละทวีป(แต่กับคนข้างบ้านเราอาจจะไม่รู้จักกัน)..ฮา. ยังเถลไถลใส่น้ำได้อีก...

• ข้อนี้ถือเป็นข้อได้เปรียบที่ผมเรียกว่าตัวช่วย ในแง่ที่ว่าถ้าผมต้องการศึกษาเรื่องใดเรื่องหนึ่งให้ถ่องแท้ด้วยตัวผมเอง ผมอาจจะต้องใช้เวลาเป็นปีในเรื่องนั้นๆ แต่โชคดีที่ผมได้กูรูผู้รู้จริงแนะนำ จึงอาจเป็นการเบิกฟ้าเห็นตะวัน(บ้าหนังจีน) ให้กับผมได้ภายใน 15 นาที 

• ดังนั้นผมจึงอยากแนะนำให้ท่าน เรียนรู้จากคนหลายๆคน เปิดสมองเปิดใจให้กว้างเปรียบเสมือนเป็นแก้วที่ใส่น้ำแข็ง พร้อมที่จะเทชาเย็น น้ำเขียว น้ำหวานใส่ได้เสมอ อยากได้น้ำอะไร ก็ไปหาตู้กดน้ำชนิดนั้น เช่นเดียวกัน ถ้าท่านอยากรู้เรื่องไหน ให้ไปหากูรูเรื่องนั้น ๆ ประสบการณ์ของคนหลาย ๆ คน ที่ลองผิดลองถูกมาทั้งชีวิต น่าจะเป็นตัวช่วยทางลัดที่จะทำให้เราใช้เวลาในการเรียนรู้สั้นลงไปเยอะเลยนะครับ แต่ทั้งนี้ก็ต้องหาให้ถูกคนนะ ถ้าผิดคนก็นรกเลยล่ะ เพราะดันไปปีนหน้าผาหรือกระโดดลงเหวที่ผิดด้านครับ

• ถึงตรงนี้ หลายท่านคงจะถามผมว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าไปหาถูกคนหรือเปล่า...ผมคิดว่าเราไปดูข้อที่สามกันดีกว่า หลายท่านน่าจะเห็นคำตอบครับ

• 3.การอยู่รอดของสิ่งมีชีวิต (หรือการอยู่รอดของนักลงทุน) มีอยู่สามทาง 

• ทางแรก การขยายพันธุ์ด้วยการแบ่งตัว คือพวก copy paste แบ่งเซล...เอาไปซะทุกอย่าง ผิด ๆ ถูก ๆ เขาให้มา ก็เอาไปหมด คิดเองก็ไม่เป็น โอกาสของคนกลุ่มนี้ในตลาดหุ้น ก็ทำได้แค่เพียงเท่าๆกับดัชนี บางคนก็เถียงว่า ขอเป็นเหาฉลามที่ถูกตัว เกาะไปเรื่อยๆ ก็รวยได้.....ผมก็ขอให้บุญเก่าที่ท่านได้สะสมมาในอดีตชาติ เป็นแรงผลักดันทำให้ท่านได้เกาะฉลามให้ถูกตัวถูกที่ถูกเวลาแล้วกันนะครับ.....แต่ถึงแม้นบุญเก่าทั้งจะมากโข ผมก็ยังไม่แนะนำ เพราะท่านต้องพึ่งเขาอยู่ตลอดเวลา....เชื่อใจเขาได้แค่ไหนกัน....ท่านเป็นผู้ทรงอิทธิพลต่อเขาจนสามารถทำให้เขากลัวตัวสั่น จนเวลาเขาจะซื้อหรือจะขายต้องแจ้งให้ท่านทราบก่อนทุกครั้งหรือเปล่า....จะใช่หรือไม่ใช่ ผมก็คิดว่าอย่าเสี่ยงดีกว่านะครับ

• ทางที่สอง กลุ่มนี้จะไม่เอามาทั้งหมดเหมือนกลุ่มแรก แต่จะมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม จากพ่อ และ แม่ อย่างละครึ่ง โดยธรรมชาติจะเป็นตัวคัดเลือกให้ผู้ที่เข้มแข็ง ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ ให้คงอยู่ต่อไป ส่วนสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอจะล้มหายตายจาก และสูญพันธุ์ไปในที่สุด ถ้าเปรียบการลงทุน เราต้องมองหารูปแบบพันธุกรรม หรือ นักลงทุนต้นแบบ ที่เขาสามารถอยู่รอดในตลาดมาอย่างยาวนาน แล้วทำการ copy , adjust and paste เป็นเทคนิคคล้าย ๆ R&D (Research and Develop) แต่เราไม่ต้องเสียเงินเสียเวลาทำวิจัยหรือทดลองเอง แต่ใช้วิธีที่เรียกว่า C&D (Copy and Develop) อย่าคิดว่าผมเขียนให้อ่านสนุก ๆ ไปนะครับ เทคนิคนี้ สมัยนี้ใช้กันตั้งแต่นักเรียนทำรายงาน นักศึกษาทำวิทยานิพนธ์ ไปจนบริษัทข้ามชาติเชียวนะครับ 

• วิธีนี้ต่างกับวิธีแรกตรงที่ เราต้องคัดเลือกผู้ที่มีพันธุกรรมที่ดี ชนะในตลาดมาอย่างยาวนาน มาเป็นต้นแบบ พยายามมองทะลุไปหาพันธุกรรมที่ทำให้เขาสามารถขึ้นมาเป็นผู้นำ(มองหาเหตุว่าเขาคิดอย่างไร ปฎิบัติอย่างไร กับการลงทุน) เรียนรู้และสอบถามจากกูรูทั้งหลายเหล่านั้น นำความคิดเหล่านั้นมาตกผลึกให้เป็นแนวความคิดของเราเองให้ได้ แล้วจึงนำไปต่อยอด ทดลองปฎิบัติในตลาดสไตล์การลงทุนของเรา

• สาเหตุที่เราต้องทำอย่างนี้เพราะ พวกเขาเหล่านั้นได้พิสูจน์ให้เราได้เห็นแล้วว่า พวกเขามีแนวทางที่ถูกต้อง ที่เขาสามารถทนต่อสภาวะแวดล้อมในอดีตมาอย่างยาวนานได้อย่างดีเยี่ยม 


• แล้วกลุ่มคนเหล่านั้นคือใครครับ......หาได้ที่ไหนช่วยบอกที........ผมแนะนำให้ไปหาที่นี่เลยนะครับwww.thaivi.org กลุ่มคนเหล่านี้ เรียกตนเองว่า เป็นนักลงทุนเน้นหุ้นคุณค่า(Value Investor) ที่เราๆท่านๆได้รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม ไม่ว่าจะเป็นต้นตำหรับ บิดาของชาววีไอคือ ปู่ทวดเบนจามิน เกรแฮม, ปีเตอร์ ลินซ์, วอเรน บัฟเฟตต์, ฟิลลิป ฟิชเชอร์, อาจารย์นิเวศน์ เหมวชิรวรากร , อาจารย์ไพบูลย์ เสรีวิวัฒนา, พี่หมอบำรุง ศรีงาน , พี่chatchai@thaivi , พี่พรชัย รัตนนนทชัยสุข, พี่มนตรี@thaivi , พี่วิบูลย์@thaivi , คุณลูกอิสาน@thaivi , คุณIH , คุณyoyo ,คุณblueblood ,คุณpicatos และอีกเยอะแยะมากมายที่ถ้าให้ผมเขียน คงจะเขียนได้อีก1หน้ากระดาษ คนกลุ่มนี้ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น ในแนวทางนี้ คนกลุ่มนี้เสกเงินหมื่นเป็นร้อยล้านบาทได้ถ้ามีเวลามากพอ แล้วท่านคิดว่าท่านจะเลือกใครไปเป็นต้นแบบดีครับ...ส่วนผมนั้นมีต้นแบบในใจแล้วครับ

• อย่างที่สาม พวกกลายพันธุ์ หลายท่านที่ได้ดู x-men คงจะชอบ ถ้าเราสามารถกลายร่างเป็นมนุษย์แปลกๆ เช่น หายตัวได้ หรือ มีพลังจิตอ่านใจคนเป็นต้น แต่ในความเป็นจริงของสิ่งมีชีวิต ความน่าจะเป็นของสิ่งมีชีวิตที่กลายพันธุ์แล้วสามารถมีชีวิตอยู่รอดโดยปกติ น่าจะเป็นสักหนึ่งในล้าน และยิ่งถ้าสามารถกลายพันธุ์แล้วประสบความสำเร็จเป็นสิ่งมีชีวิตใหม่ที่ดีกว่าเดิมได้ ความน่าจะเป็นยิ่งจะน้อยกว่ามากๆๆ

• ผมจึงคิดว่า ถ้าท่านไม่ได้มีไอคิวที่เป็นเลิศ หรือคิดว่าตนมีสิ่งพิเศษที่เหนือกว่าคนทั่วไปแล้ว ผมคิดว่า เราไม่ควรแสวงหาหนทางการลงทุนที่แปลกๆ ที่คนส่วนน้อยที่มีความสามารถพิเศษเท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จ 

• ผมจึงคิดว่าถ้าท่านไม่อยากเสี่ยงกับเงินของท่านเพื่อแลกกับคำว่า “ผู้ค้นพบหนทางใหม่” เช่นโคลัมบัส ท่านก็ไม่ต้องไปค้นหาหนทางเดินใหม่ที่ยังไม่มีใครพิสูจน์ว่านั่นคือหนทางที่ถูกต้องในระยะยาวดีกว่าครับ.............เชื่อ ผม เต๊อะ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘