มรรค ๘ เทียบกับวิสุทธิ ๗

                  มรรค ๘ นำไปถึงความหมดจดแห่งทัสสนะอย่างไร พึงรู้ด้วยเทียบกับวิสุทธิ ๗ อย่างนี้
                  สัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะ  สงเคราะห์เข้าเป็นสีลวิสุทธิที่ 
                  สัมมาวายามะ  สัมมาสติ  สัมมาสมาธิ  สงเคราะห์เข้าเป็นจิตตวิสุทธิที่    อันได้แก่     สมาบัติ
                  สัมมาทิฏฐิ  และสัมมาสังกัปปะ  ได้ในวิสุทธิ    ในลำดับ
                  สัมมาสังกัปปะ  ทำกิจพิจารณา  สัมมาทิฏฐิ  ทำกิจสันนิษฐานเป็นชั้น ๆ  อย่างนี้
                  พิจารณาเห็นสังขารโดยไตรลักษณ์  จัดเป็นทิฏฐิวิสุทธิ  หมดจดแห่งความเห็น  นับเป็นที่ 
                  พิจารณาเห็นสังขารเป็นไปเนื่องด้วยเหตุดังแสดงในบาลีว่า  เหมือนอย่างว่า  พืชชนิดใดชนิดหนึ่งอันหว่านไว้แล้ว  อาศัยรสแห่งแผ่นดิน  และยางในพืชรวมกันเข้าทั้ง    อย่าง    ย่อมงอกขึ้นในนาฉันใด  ขันธ์  ธาตุ  อายตนะ    เหล่านี้  อาศัยเหตุเกิดขึ้น  ฉันนั้น  ย่อมดับเพราะสลายแห่งเหตุนี้  จัดเป็นกังขาวิตรณวิสุทธิ  หมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามความสงสัย    นับเป็นที่    ได้ในพระพุทธพจน์ว่า
                  ในกาลนั้น  ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป  เพราะมารู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุและเพราะมารู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย
             พิจารณาเห็นสังขารด้วยอาการอย่างนั้น  ด้วยใช้โยนิโสมนสิการกำกับ  รู้จักว่าน้อมอย่างไรถูกทางทาง  อย่างไรผิดทาง  จัดเป็นมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ  หมดจดแห่งญาณทัสสนะ  ว่าทางหรือมิใช่ทาง  นับเป็นที่ 
                  ความรู้และความเห็นในทางปฏิบัติถูก  จัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ  คือ  ตัววิปัสสนาญาณ 
                  พิจารณาเห็นสำเร็จเป็นอริยมรรค  จัดเป็นญาณทัสสนวิสุทธิ  หมดจดแห่งญาณทัสสนะ  นับเป็นที่ครบ    ที่หมายกล่าวในบาลีว่า
เอเสว  มคฺโค  นตฺถญฺโญ  ทสฺสนสฺส  วิสุทฺธิยา
ทางนี้แล  ไม่มีทางอื่น  เพื่อหมดจดแห่งทัสสนะ
                  ในรถวินีตสูตร  แสดงวิสุทธิ    ว่า  ส่งต่อกันโดยลำดับจนถึงอนุปาทาปรินิพพาน      เหมือนการเดินทางกว่าจะถึงที่สุดด้วยรถ    ผลัด
                  วิสุทธิ  เป็นไวพจน์แห่งวิมุตติ  คือ  ใช้เรียกแทนกัน  ความหมายเหมือนกัน  คือ  ไม่มีกิเลส
                  วิสุทธิ    ข้างต้นเป็นโลกิยะ  วิสุทธิที่    เป็นโลกุตตระ
                  สมเด็จ ฯ  ทรงเรียงวิสุทธิต่อจากวิมุตติ  ทรงอธิบายว่า  จิตพ้นจากอาสวะแล้วย่อมผ่องแผ้ว  (บริสุทธิ์)  เหมือนผ้าฟอกแล้วย่อมหมดมลทิน  ย่อมขาวผ่อง

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓