มรรค ๘ เทียบกับวิสุทธิ ๗
มรรค ๘ นำไปถึงความหมดจดแห่งทัสสนะอย่างไร พึงรู้ด้วยเทียบกับวิสุทธิ ๗ อย่างนี้
สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สงเคราะห์เข้าเป็นสีลวิสุทธิที่ ๑
สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สงเคราะห์เข้าเป็นจิตตวิสุทธิที่ ๒ อันได้แก่ สมาบัติ
สัมมาทิฏฐิ และสัมมาสังกัปปะ ได้ในวิสุทธิ ๕ ในลำดับ
สัมมาสังกัปปะ ทำกิจพิจารณา สัมมาทิฏฐิ ทำกิจสันนิษฐานเป็นชั้น ๆ อย่างนี้
พิจารณาเห็นสังขารโดยไตรลักษณ์ จัดเป็นทิฏฐิวิสุทธิ หมดจดแห่งความเห็น นับเป็นที่ ๓
พิจารณาเห็นสังขารเป็นไปเนื่องด้วยเหตุดังแสดงในบาลีว่า เหมือนอย่างว่า พืชชนิดใดชนิดหนึ่งอันหว่านไว้แล้ว อาศัยรสแห่งแผ่นดิน และยางในพืชรวมกันเข้าทั้ง ๒ อย่าง ย่อมงอกขึ้นในนาฉันใด ขันธ์ ธาตุ อายตนะ ๖ เหล่านี้ อาศัยเหตุเกิดขึ้น ฉันนั้น ย่อมดับเพราะสลายแห่งเหตุนี้ จัดเป็นกังขาวิตรณวิสุทธิ หมดจดแห่งญาณเป็นเครื่องข้ามความสงสัย นับเป็นที่ ๔ ได้ในพระพุทธพจน์ว่า
ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรมพร้อมทั้งเหตุและเพราะมารู้ความสิ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย
พิจารณาเห็นสังขารด้วยอาการอย่างนั้น ด้วยใช้โยนิโสมนสิการกำกับ รู้จักว่าน้อมอย่างไรถูกทางทาง อย่างไรผิดทาง จัดเป็นมัคคามัคคญาณทัสสนวิสุทธิ หมดจดแห่งญาณทัสสนะ ว่าทางหรือมิใช่ทาง นับเป็นที่ ๕
ความรู้และความเห็นในทางปฏิบัติถูก จัดเป็นปฏิปทาญาณทัสสนวิสุทธิ คือ ตัววิปัสสนาญาณ ๙
พิจารณาเห็นสำเร็จเป็นอริยมรรค จัดเป็นญาณทัสสนวิสุทธิ หมดจดแห่งญาณทัสสนะ นับเป็นที่ครบ ๗ ที่หมายกล่าวในบาลีว่า
เอเสว มคฺโค นตฺถญฺโญ ทสฺสนสฺส วิสุทฺธิยา
ทางนี้แล ไม่มีทางอื่น เพื่อหมดจดแห่งทัสสนะ
ในรถวินีตสูตร แสดงวิสุทธิ ๗ ว่า ส่งต่อกันโดยลำดับจนถึงอนุปาทาปรินิพพาน เหมือนการเดินทางกว่าจะถึงที่สุดด้วยรถ ๗ ผลัด
วิสุทธิ เป็นไวพจน์แห่งวิมุตติ คือ ใช้เรียกแทนกัน ความหมายเหมือนกัน คือ ไม่มีกิเลส
วิสุทธิ ๖ ข้างต้นเป็นโลกิยะ วิสุทธิที่ ๗ เป็นโลกุตตระ
สมเด็จ ฯ ทรงเรียงวิสุทธิต่อจากวิมุตติ ทรงอธิบายว่า จิตพ้นจากอาสวะแล้วย่อมผ่องแผ้ว (บริสุทธิ์) เหมือนผ้าฟอกแล้วย่อมหมดมลทิน ย่อมขาวผ่อง