DCA in Behavioral finance
มีเพื่อน ถามมาถึงพฤติกรรมการถัวเฉลี่ยราคาของนักลงทุนเวลาที่หุ้นมันลงมาเรื่อย ๆ ว่ามีความเกี่ยวข้อง และ สามารถอธิบายในทาง Behavioral finance ได้อย่างไร
ขอตอบว่า
วิธีถัวเฉลี่ยถ้าใช้ให้ถูกวิธีจะเป็นคุณมากกว่าโทษ
ในขณะที่ผู้ที่ศึกษา finance หรือ economic มาโดยตรงมักจะไม่สนับสนุนวิธี DCA เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่ไร้เหตุผล
แต่ผู้ที่ศึกษา behavioral finance ส่วนใหญ่จะสนับสนุนการใช้ DCA เพราะจะช่วยลบเจตคติที่โอนเอียงของนักลงทุนได้
วิธีถัวเฉลี่ยถ้าใช้ให้ถูกวิธีจะเป็นคุณมากกว่าโทษ
ในขณะที่ผู้ที่ศึกษา finance หรือ economic มาโดยตรงมักจะไม่สนับสนุนวิธี DCA เพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่ไร้เหตุผล
แต่ผู้ที่ศึกษา behavioral finance ส่วนใหญ่จะสนับสนุนการใช้ DCA เพราะจะช่วยลบเจตคติที่โอนเอียงของนักลงทุนได้
ตัวอย่าง การถัวเฉลี่ยตามแนวคิดของ behavioral finance (ภาษาอังกฤษ)
http://knol.google.com/k/the-merits-of-dollar-cost-averaging-dca#
http://www.yorku.ca/milevsky/Papers/WP2001C.pdf
http://personal.fidelity.com/products/funds/content/pdf/dollar_cost_averaging_bear_market_solution_update.pdf
http://www.yorku.ca/milevsky/Papers/WP2001C.pdf
http://personal.fidelity.com/products/funds/content/pdf/dollar_cost_averaging_bear_market_solution_update.pdf
แต่อย่างไรก็ดีการถัวเฉลี่ยโดยผิดหลักการอาจสร้างความเสียหายอย่างมากมายแก่นักลงทุนได้
วันนี้เราลองมาอธิบายพฤติกรรมการถัวเฉลี่ยในทาง ทฤษฎีกันดู
เริ่มจากแนวพฤติกรรม
จิตวิทยา สายที่ศึกษาทางพฤติกรรม มักจะมองว่ากระบวนการ(process)ภายในจิตใจเป็นเหมือน กล่องดำ(Black box)ซึ่งจะแกะออกดูภายในไม่ได้ ดังนั้น เราจะสนใจแต่ input หรือสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคล กับ output หรือปฎิกิริยาที่เกิดจากสิ่งเร้า เท่านั้น
วันนี้เราลองมาอธิบายพฤติกรรมการถัวเฉลี่ยในทาง ทฤษฎีกันดู
เริ่มจากแนวพฤติกรรม
จิตวิทยา สายที่ศึกษาทางพฤติกรรม มักจะมองว่ากระบวนการ(process)ภายในจิตใจเป็นเหมือน กล่องดำ(Black box)ซึ่งจะแกะออกดูภายในไม่ได้ ดังนั้น เราจะสนใจแต่ input หรือสิ่งเร้าที่เกิดขึ้นกับตัวบุคคล กับ output หรือปฎิกิริยาที่เกิดจากสิ่งเร้า เท่านั้น
ยกตัวอย่าง สายพฤติกรรม Case A input => process(blackbox) => output หุ้นตก => blackbox => ซึ้อถัวเฉลี่ย หุ้นตกอีก => blackbox => ซึ้อถัวเฉลี่ย หุ้นขึ้น => blackbox => ขาย Case B หุ้นตก => blackbox => cutlost หุ้นตกอีก => blackbox => ซึ้อกลับ หุ้นขึ้น => blackbox => ขาย Case C หุ้นตก => blackbox => ซึ้อถัวเฉลี่ย หุ้นตกอีก => blackbox => ขายขาดทุน หุ้นขึ้น => blackbox => ซื้อคืน
สายที่มอง input กับ output จะจัดประเภทคนประมาณนี้ ที่จริงต้องมีหลากหลายกว่านี้มาก แต่ลองยกตัวอย่างดูคร่าว ๆ
Case A
จะเป็นคนที่ชอบถัวเฉลี่ยยิ่งตกยิ่งซื้อ จะขายเฉพาะกำไรเท่านั้น
ข้อเสียคือถ้าหุ้นมันลงไม่ขึ้นเขาจะถืออยู่อย่างนั้นตลอดไป
จะเป็นคนที่ชอบถัวเฉลี่ยยิ่งตกยิ่งซื้อ จะขายเฉพาะกำไรเท่านั้น
ข้อเสียคือถ้าหุ้นมันลงไม่ขึ้นเขาจะถืออยู่อย่างนั้นตลอดไป
Case B
อุปนิสัยแบบนักเก็งกำไร
ถ้าหุ้นเริ่มลงเขาจะทำการ cutloss และรอซื้อกลับ และจะขายเมื่อกำไรเท่านั้น
DSM น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้
อุปนิสัยแบบนักเก็งกำไร
ถ้าหุ้นเริ่มลงเขาจะทำการ cutloss และรอซื้อกลับ และจะขายเมื่อกำไรเท่านั้น
DSM น่าจะจัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้
Case C
เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่สุด
เขามักจะซื้อเพิ่มเวลาหุ้นเริ่มตก แต่มักจะขายขาดทุนเมื่อหุ้นมันตกลงมามาก ๆ และกลับเข้าซื้อเวลามันวิ่งขึ้นไป
กลุ่มนี้เสี่ยงต่อการขาดทุนมากที่สุด น่าเสียดาย ที่ผมพบกับกลุ่มตัวอย่างนี้บ่อยมาก :)
เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงที่สุด
เขามักจะซื้อเพิ่มเวลาหุ้นเริ่มตก แต่มักจะขายขาดทุนเมื่อหุ้นมันตกลงมามาก ๆ และกลับเข้าซื้อเวลามันวิ่งขึ้นไป
กลุ่มนี้เสี่ยงต่อการขาดทุนมากที่สุด น่าเสียดาย ที่ผมพบกับกลุ่มตัวอย่างนี้บ่อยมาก :)
เดี๋ยวตอนต่อไปเรามาดูแนวคิดของฝ่ายอื่นกันบ้างครับ