ตอนที่ 7 : กระจายความเสี่ยง Vs โฟกัส

ในโลกของการเงิน เราจะได้ยินผู้คนมากมายพูดเรื่องของการกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ว่าควรจะเเบ่งสัดส่วนการลงทุนเข้าสู่ส่วนต่างๆ ดังคำกล่าวที่ว่า "จงอย่าใส่ไข่ไว้ในตระกร้าเดียวกัน"ซึ่งผมจะลองสมมุติสถานการณ์เพื่อให้ทุก ท่านเห็นภาพตาม ถ้าเรามีเงินลงทุน 1 ล้านบาท เราควรกระจายการลงทุน( Asset Allcoation) ไปยังตราสารต่างๆ โดยนาย ก. ได้เเบ่งสรรการลงทุนของเขาดังต่อไปนี้ ตราสารทุน หุ้น 50% กองทุนรวมตราสารหนี้ 30% กองทุนรวมต่างประเทศ 10% พันธบัตรัฐบาล 5% เงินสด 5%
ซึ่งฟังเเล้วดูเหมือนจะดี สมบูรณ์เเบบ เพราะถ้าหากตลาดหุ้นไม่ดี เขาก็ยังมีผลตอบเเทนจากการลงทุนอื่นๆมาชดเชย ผมก็รู้สึกว่ามันน่าจะดี ......เเต่ทำไม
1.นักลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่าง วอเรนท์ บัพเฟตต์ กลับลงทุนในหุ้นถึงเกือบ 100% ของพอร์ต
2.ปรมาจารย์ด้านการลงทุนหุ้นคุณค่า อย่างดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ก็ลงทุนในหุ้นเกือบเต็มพอร์ต
3.จิม โรเจอร์ มือขวาของจอร์จ โซรอสที่ร่วมกันจัดตั้งกองทุน"ควอนตัมฟันด์" ก็ลงทุนในตลาดcomodities เเละหุ้นซะเกือบ 100%
4.สุดยอดนักลงทุน เเละเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่กลับไม่ได้นำหลักการนี้มาใช้กันเลย

จนในที่สุดผมก็เจอหนังสือเล่มนึง "The Zurich Axioms" ซึ่งเรียบเรียงเป็นภาษาไทย โดย ดร.ก้องเกียรติ โอภาศวงการ ได้ให้เหตุผลไว้ค่อนข้างดีทีเดียว โดยได้พูดถึงข้อเสีย 3 ข้อใหญ่ๆของการกระจายการลงทุนดังต่อไปนี้

1.การกระจายความเสี่ยงขัดกับหลักการที่ว่า เราควรลงทุนเพื่อผลลัพธ์ที่มีคุณค่าพอเท่านั้น นั่นหมายความว่า ถ้าเราตั้งต้นที่เงินทุนที่น้อยเเล้ว การกระจายความเสี่ยงก็ยิ่งทำให้ทุกอย่างดูเเย่ลงกว่าเดิมอีก ยิ่งเรากระจายความเสี่ยงมากเพียงใด โอกาสที่เราจะได้กำไรเเบบเป็นกอบเป็นกำก็น้อยลงเพียงเท่านั้น จงเสี่ยงด้วยเงินลงทุนที่มีมากพอจะดีกว่า เเล้วเราอาจจะลงเอยด้วยผลลัพธ์ที่ดีก็เป็นได้

2.การกระจายความเสี่ยงทำให้ผลกำไรเเละขาดทุนของหลักทรัพย์เเต่ละตัวลบล้างกันไป ผลคือ....เราจบลงที่จุดเริ่มต้น เช่น เราเเบ่งเงิน 10 ล้านบาท ลงทุนในหุ้น 5 ล้าน พันธบัตรเเละทองคำ 5 ล้าน เมื่อเวลาผ่านไป เศรษฐกิจเกิดรุ่งโรจน์ขึ้นมา ---> ความต้องการกู้เงินมีมากขึ้น ---> ดอกเบี้ยขยับตัวสูงขึ้น ทำให้
-พันธบัตรของเรามีมูลค่าลดลง
-บรรดาผู้ถือทองก็พากันเทขายเพื่อ ให้ได้เงินสดคืน ไปลงทุนหรือฝากธนาคารในอัตราดอกเบี้ยสูงๆ
-หุ้นราคาสูงขึ้น จากการที่เศรฐกิจรุ่งโรจน์
สรุปคือ ได้กำไรจากหุ้น 2 ล้านบาท เเต่ขาดทุนจากทองคำ & พันธบัตร 2 ล้านบาท = ไม่ได้อะไร

3.การกระจายความเสี่ยงทำให้เรากลายเป็นนักเล่นกลที่พยามจะโยนลูกบอลขึ้นไปในอากาศมากลูกเกินไปในเวลาเดียวกัน เช่น เราโยนบอลขึ้นไปในอากาศ 6 ลูกพร้อมกัน (เสมือนการกระจายการลงทุนในหุ้น 6 ตัว) อยู่ๆ ลูกบอลครึงหนึ่งทำท่าจะวิ่งเฉไปทางอื่น โอกาสที่เราจะเเก้ไขสถานการณ์คงเป็นไปได้ยาก เเละอาจจะทำให้ลูกบอลที่เหลือตกพื้นไปหมดด้วย
นัก ลงทุนบางคนใน wall Street เชื่อว่า "จงใส่ไข่ทั้งหมดของคุณลงในตระกร้าใบเดียวกัน จากนั้นให้คอยเฝ้าดูตระกร้าใบนั้นอย่างใกล้ชิด " ใครก็ตามที่พูดเเบบนี้ เเสดงว่าเค้าไม่ใช่ลูกศิษย์ของทฤษฎีการกระจายความเสี่ยง

สำ หรับผมเเล้ว ผมเชื่อทฤษฎีของการโฟกัส เปรียบเสมือนการใช้พลังเลนนูนส์ของเเว่นขยาย ที่เราทดลองกันสมัยเด็กๆ เมื่อมีการรวมพลังงานกันที่มากพอ จะสามารถทำให้เกิดความร้อนเเละลุกไหม้ขึ้นมาได้ การโฟกัสในการลงทุน จะช่วยให้เราได้ผลตอบเเทนที่สูง ถ้าเราเข้าใจ เเละเชี่ยวชาญเครื่องมือที่เราลงทุนดีพอ ผมมีคำถามที่จะช่วยให้ท่านนักลงทุนเห็นภาพชัดเจนขึ้นไปอีก โดยถ้าเราสามารถเลือกเป็นบุคคลต่อไปนี้ได้ เพียงเเค่คนเดียว เราจะเลือกเป็นใคร............ ใน 10ปี ต่อจากนี้

1.สุดยอดนักลงทุน ในหุ้น มีความเชี่ยวชาญสุดๆในเรื่องหุ้นเนื่องจากใช้เวลาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมา ถึง10 ปี เมื่อเวลาผ่านไป 10ปี เขาจึง รู้เรื่องการลงทุนในหุ้นเป็นอย่างดีติดอันดับมหาเศรษฐีหุ้นไทย เข้าใจงบการเงินทะลุปรุโปร่ง ทุกๆ วันนักลงทุนผู้นี้จะศึกษาเรื่องหุ้นก่อนเข้านอนวันละ 2 ชั่วโมงเพราะไม่ยอมหยุดพัฒนาความรู้ นอนหลับสบาย มีความสุขกับครอบครัว เเถมยังมีเวลาว่างๆ เเต่งหนังสือขายอีกด้วย
/images/emoticons/mozilla_yell.gifนักลงทุนผู้นี้ผมจำลองมาจากตัวเเบบของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร)

2.สุด ยอดเทรดเดอร์ค่าเงินมีความเชี่ยวชาญสุดๆในเรื่องค่าเงินเนื่องจากใช้เวลา ฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมาถึง10 ปี เมื่อเวลาผ่านไป 10ปี เขาจึงประสบความสำเร็จมีพอร์ตการลงทุนที่ใหญ่มหาศาล เคยสร้างรายได้สูงสุดคืนละ 3.5 ล้านบาทต่อคืน เทรดเดอร์ผู้นี้ยังคงใช้เวลาทำงานตอนกลางคืน 5 วันต่อสัปดาห์ ตั้งเเต่ 6 โมงเย็น ถึงเที่ยงคืนเพราะมีความสุขกับการเทรดมาก เสาร์-อาทิตย์ ไปเที่ยว เเละพักผ่อนกับครอบครัวเนื่องจากตลาดปิด ตอนกลางวันนั่งพักผ่อนเเละเล่นกับลูก
/images/emoticons/mozilla_yell.gifนักลงทุนผู้นี้ผมจำลองมาจากตัวเเบบของ ดาร์ วอง สุดยอดเทรดเดอร์ชาวฮ่องกง)

3.สุด ยอดเทรดเดอร์ฟิวเจอร์ส -ออปชั่น มี ความเชี่ยวชาญสุดๆในเรื่องตราสารความเสี่ยงสูง เนื่องจากใช้เวลาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมาถึง10 ปี เมื่อเวลาผ่านไป 10ปี เขาจึงประสบความสำเร็จพอร์ตเติบโตเกิน 1,000 ล้าน เเต่ก็ยังศึกษาต่อเนื่องนั่งศึกษากลยุทธ์ออปชั่นวันละ 5 ชั่วโมง เข้าเทรดเดือนละ 2-3 ครั้ง มีเวลาถ่ายทอดความรู้ให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ อีกมากมาย หยุดพักผ่อนเพื่อท่องเที่ยวได้ เมื่ออยากไป
/images/emoticons/mozilla_yell.gifนักลงทุนผู้นี้ผมจำลองมาจากตัวเเบบของ ชาร์ค ฮิวส์ เเชมป์เทรด 6 สมัย)

4.สุด ยอดนักลงทุนตามระบบ (System trader)มี ความเชี่ยวชาญสุดๆในเรื่อง System trading เนื่องจากใช้เวลาฝึกฝนอย่างต่อเนื่องมาถึง10 ปี ในการสร้าง ทดสอบ เเละแก้ไขระบบเทรด เมื่อเวลาผ่านไป 10ปี เขาจึง เช็คทุกวันก่อนตลาดปิดวันละ 10 นาที (ทำงานวันละ 10 นาที) ว่าระบบส่งสัญญาณซื้อ หรือขาย มีเวลาท่องเที่ยวต่างประเทศยาวๆ ต่อเนื่องกันปีนึง 2 ครั้งๆ ละ1 เดือน ตอนกลางวันทำสวน อยู่กับบ้านเเละเดินทางออกไปทำบุญสร้างพระ ปฏิบัติธรรมบ่อยๆ
/images/emoticons/mozilla_yell.gifนักลงทุนผู้นี้ผมจำลองมาจากตัวเเบบของ ลุงโฉลก สุดยอด System trader ชาวไทย)

5.นัก ลงทุนผู้เชียวชาญ มีความรู้ในการลงทุนในการลงทุนทุกตราสาร เเต่ไม่เชี่ยวชาญเชิงลึก รู้ว่าจะต้องลงทุนอะไรบ้าง เนื่องจากใช้เวลาเรียนรู้ในการเรื่องการจัดพอร์ต เเละการริหารความเสี่ยง นักลงทุนผู้นี้ อาจจะสำเร็จก็ได้ เเต่ยังไม่มีตัวเเบบปรากฎที่ชัดเจน
/images/emoticons/mozilla_yell.gifนักลงทุนผู้นี้ผมยังไม่มีตัวเเบบที่ประสบความสำเร็จ)

ที่ ผมต้องการจะสื่อก็คือว่า นักลงทุนในข้อ 1-4 ที่กล่าวมานั้น ล้วนใช้กลยุทธ์การโฟกัส ไปยังเครื่องมือที่เขาสนใจเพียงเครื่องมือเดียวเท่านั้น ศึกษาอย่างต่อเนื่อง ฝึกซ้อม ฝึกซ้อม เเละก็ฝึกซ้อม จนมีความเชี่ยวชาญ จนในที่สุดผลลัพธ์ก็ปรากฏขึ้น ถ้าหากเรามีเวลาอีก 10 ปีในการที่พัฒนาไปสู่ความเชี่ยวชาญได้เพียงด้านเดียว เราจะเลือกตัวเเบบใด..........

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘