วิเคราะห์การลงทุนจากพอร์ต

ผมได้มีโอกาสเห็นพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนรายหนึ่งที่ได้เริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่ปี 2552 หรือเมื่อ 2 ปีที่แล้ว   นักลงทุนรายนี้เป็นสุภาพสตรีอายุประมาณ 50 ปีและไม่มีทายาท  ทำงานเป็นพนักงานบริษัทมีเงินเดือนประมาณ 30,000 หมื่นบาทต่อเดือน มีภาระค่าใช้จ่ายไม่มาก  วัตถุประสงค์ที่เข้ามาลงทุนคือต้องการมีเงินใช้จ่ายประมาณ 20,000 หมื่นบาทต่อเดือนโดยไม่ต้องทำงานหลังเกษียณอายุที่ 55 ปี โดยมีเงินลงทุนเริ่มต้นประมาณล้านกว่าบาท  กลยุทธ์การลงทุนที่ใช้ก็คือ  Value Investing  ผลลัพธ์การลงทุนสองปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าจะไม่ได้กำไร  เหตุคงเป็นเพราะว่า  “ไม่สามารถเอาชนะความโลภได้” นั่นก็คือ  ยังซื้อ ๆ  ขาย ๆ  หุ้นเป็นประจำ  ในพอร์ตมีหุ้น “ติดดอย” จำนวนมาก

            การวิเคราะห์ของผมพบว่า  ข้อแรก  จำนวนเงินในพอร์ตประมาณล้านบาทต้น ๆ  นั้น  มีหุ้นอยู่ถึงเกือบ 20 ตัว  เฉลี่ยถือหุ้นตัวละประมาณ 6-70,000 บาท  ตัวที่สูงที่สุดประมาณสองแสนกว่าบาทหรือประมาณ 20% ของพอร์ต  นอกจากนั้นแล้วก็ถือกระจายกันไปค่อนข้างมาก  ในความเห็นของผม  การถือหุ้นถึง 20 ตัวจากพอร์ตประมาณล้านบาทนั้น  สำหรับบุคคลธรรมดาที่ไม่ได้เป็นนักลงทุนอาชีพนั้น  ถือว่าถือหุ้นมากตัวเกินไป  ผลตอบแทนที่ออกมาจะทำให้โดดเด่นได้ยาก  เช่นเดียวกัน  การติดตามดูแลก็จะทำได้ไม่ทั่วถึง  ควรถือหุ้นไม่เกิน 10 ตัว  หรือถ้าจะให้เหมาะสมจริง ๆ  อาจจะถือเพียง 5-6 ตัวกระจายกันไปในหลายอุตสาหกรรมก็พอแล้ว

            ประเด็นที่สองที่ผมเห็นจากพอร์ตก็คือ  พอร์ตมีผลตอบแทนติดลบอยู่ประมาณ 6%   เรื่อง นี้ประกอบกับการที่เจ้าของบอกว่าผลการลงทุนที่ผ่านมาไม่ได้กำไรทำให้ผม รู้สึกว่าคงมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเนื่องจากในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้น  ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมากว่าร้อยเปอร์เซ็นต์  การที่ลงทุนแล้วผลตอบแทนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมากขนาดนี้แสดงให้เห็นว่าวิธีการลงทุนคงมีความผิดพลาด  ซึ่งความผิดพลาดที่ผมคิดข้อหนึ่งก็คือ   การซื้อขายหุ้นบ่อยและการพยายามคาดเดาจังหวะการซื้อขายหุ้น  ซึ่งก็สะท้อนจากการที่พอร์ตมีผลขาดทุนอยู่ทั้งที่ลงทุนมาสองปีแล้วในช่วงที่ตลาดหุ้นสดใส

            เรื่องของพอร์ตที่ขาดทุนนั้น  ในความเห็นของผมเป็นเรื่องสำคัญมาก  นักลงทุนแบบ Value Investment ที่มุ่งมั่นและเดินทางในสายของการลงทุนจริง ๆ  ไม่ควรมีพอร์ตที่ขาดทุนหลังจากที่เขาลงทุนมาแล้วหลายปีและในช่วงนั้นตลาดหุ้นไม่ได้มีภาวะผิดปกติรุนแรง  เหตุผลก็เพราะว่า  การลงทุนนั้นควรเป็นเรื่องระยะยาว   การถือหุ้นแต่ละตัวโดยเฉลี่ยไม่ควรน้อยกว่า 3-4 ปีขึ้นไป  หุ้นที่ถือลงทุนเองนั้นก็ควรให้ผลตอบแทนพอสมควร  ดังนั้น  โดยทั่วไปแล้ว หุ้นที่เราถือมานานควรจะมีราคาเพิ่มขึ้น  และในเมื่อพอร์ตการลงทุนของเรานั้นถูกถือมานานพอควร  พอร์ตจึงควรมีราคาและมูลค่าเพิ่มขึ้นไม่ใช่น้อยลง

            ประเด็นที่สามที่ผมเห็นก็คือ  ในหุ้นจำนวน 19 ตัวในพอร์ตนั้น  มีหุ้นที่ขาดทุนถึง 10 ตัวหรือประมาณครึ่งหนึ่ง  นี่ก็เป็นสิ่งที่อาจจะชี้ให้เห็นว่าพอร์ตนี้เป็น  “พอร์ตเก็งกำไร”  ที่ทำให้หุ้นมีทั้งกำไรและขาดทุนพอ ๆ  กัน   โดยปกติพอร์ตที่ลงทุนจริง ๆ  นั้น  ไม่ควรมีหุ้นที่ขาดทุนหรือถ้าจะมีก็ต้องน้อยมาก  หุ้น 20 ตัวน่าจะมีหุ้นขาดทุนไม่เกิน 5 ตัว  และหุ้นที่ขาดทุนนั้น  ส่วนใหญ่ควรเป็นหุ้นที่เพิ่งมีการซื้อเข้าพอร์ตมาไม่นาน  หุ้นที่ซื้อมานานแล้วไม่ควรมีการขาดทุน  เพราะหุ้นที่ซื้อมานานแล้วยังขาดทุนเราควรจะพิจารณาว่าเราซื้อหุ้นผิดหรือไม่  และถ้าผิดเราก็ควรจะขายทิ้งไปแล้วไม่ปล่อยให้ค้างอยู่ในพอร์ตอย่างนั้น

            ความคิดเพิ่มเติมของผมเกี่ยวกับเรื่องจำนวนหุ้นขาดทุนและหุ้นกำไรในพอร์ตก็คือ  ยิ่งเป็นพอร์ตเน้นการลงทุนมาก  จำนวนหุ้นขาดทุนก็จะยิ่งน้อย  เพราะพอร์ตลงทุนจริง ๆ  นั้น  ควรจะเป็นพอร์ตที่ถือหุ้นยาวและถือหุ้นคุณภาพดีที่ราคาค่อย ๆ  เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  จนหุ้นจำนวนมากนั้นแทบไม่มีโอกาสขาดทุนเลยเนื่องจากต้นทุนของตัวหุ้นจะต่ำมาก    ตรงกันข้าม  ยิ่งพอร์ตหุ้นเน้นการเก็งกำไรมาก  จำนวนหุ้นขาดทุนในพอร์ตก็จะสูง  สาเหตุก็เพราะว่าพอร์ตหุ้นเก็งกำไรนั้น  มักจะเป็นพอร์ตของหุ้นที่เราถือระยะสั้น  ซึ่งในระยะสั้นแล้ว  การที่หุ้นจะขึ้นหรือลงมักจะมีพอ ๆ  กัน  ทำให้เราเห็นหุ้นขาดทุนมีมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง  นักเก็งกำไรบางคนโดยเฉพาะที่เป็นรายย่อยนั้น  “ชอบเก็บหุ้นขาดทุนและขายหุ้นที่กำไร”  ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นไปเรื่อย ๆ  เราก็จะพบว่าในพอร์ตเต็มไปด้วยหุ้นที่ขาดทุน

            ประเด็นที่สี่ที่ผมพบจากหุ้นในพอร์ตก็คือเรื่องของหุ้นแต่ละตัว  ซึ่งผมพบว่าสามารถแบ่งได้เป็นสี่กลุ่มกลุ่มละประมาณ 5 ตัว  แต่สิ่งที่หุ้นเกือบทุกตัวมีร่วมกันก็คือ  หุ้นเกือบทุกตัวเป็น  “หุ้นร้อน”  ความหมายก็คือ  หุ้นเกือบทุกตัวนั้นเป็นหุ้นที่มีราคาขึ้นลงหวือหวาในช่วงเร็ว ๆ  นี้  ปริมาณการซื้อขายสูงลิ่วเมื่อเทียบกับหุ้นในกลุ่มเดียวกัน  และมีการกล่าวขวัญกันในสื่อต่าง ๆ  ค่อนข้างมาก

            หุ้นกลุ่มแรกก็คือ  หุ้นที่ร้อนแรงและเล่นกันในระดับสถาบันทั้งไทยและต่างประเทศ  ตัวอย่างเช่นหุ้นพลังงานและแบ็งค์ขนาดใหญ่  หุ้นกลุ่มที่สองคือหุ้นขนาดใหญ่ที่  “ร้อนแรงมาก”  และราคาอาจขึ้นไปแล้วหลายเท่า  หุ้นกลุ่มนี้มักมีผลประกอบการที่ปรับขึ้นอย่างโดดเด่นและมี Story หรือเรื่องราวที่ดีมาก ๆ  รองรับ  หลายหุ้นอาจจะใหญ่ขึ้นมาเพราะการปรับขึ้นของราคาหุ้น  หุ้นกลุ่มที่สามก็คือหุ้นขนาดกลางที่กำลังร้อนแรงในหมู่  “VI”  นี่ก็คือหุ้นที่มีการพูดถึงกันในเวปไซ้ต์และสื่อสมัยใหม่อื่น ๆ ของการลงทุนในแนว Value Investment อย่างเข้มข้น  หุ้นเหล่านี้มีการซื้อขายที่ร้อนแรงมากไม่ต่างจากหุ้นเก็งกำไรแต่มักเป็นหุ้นที่กำลังมีผลประกอบการโดดเด่นพร้อม ๆ  กับเรื่องราวที่น่าตื่นเต้น  สุดท้ายก็คือหุ้นตัวเล็กที่กำลังร้อนแรง  หลาย ๆ  ตัวเพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  และก็เช่นเดียวกัน  มักเป็นหุ้นที่กำลังมีผลประกอบการที่โดดเด่นและเรื่องราวดี ๆ

            ประเด็นสุดท้ายที่ผมพยายามที่จะวิเคราะห์รวบยอดว่าพอร์ตของสุภาพสตรีท่านนี้บอกอะไรเกี่ยวกับการลงทุนของเธอบ้าง  ก็คือ  ผมคิดว่าข้อแรก  เธอตั้งเป้าของการลงทุนสูงเกินไป  การที่จะหวังให้ได้รายได้ประมาณเดือนละ 20,000 บาท หมายความว่าเธอจะต้องมีพอร์ตประมาณ 200 เท่าของรายรับประจำเดือนนั่นแปลว่าจะต้องมีพอร์ตถึงประมาณ 4-5 ล้านบาท ซึ่งภายในเวลาประมาณ 4-5 ปีนับจากนี้ก็น่าจะเป็นเรื่องยากที่จะทำเงินล้านกว่าเป็น 4-5 ล้านบาท  ประการที่สอง  เธอมีความตั้งใจที่จะลงทุนแบบ VI และได้ติดตามหาความรู้เกี่ยวกับการลงทุนแบบนี้  อย่างไรก็ตาม  เนื่องจากเวลาและการศึกษาอาจจะยังไม่เพียงพอ  ดังนั้น  การหาข้อมูลตัวหุ้นที่จะลงทุนจึงอาจจะเป็นการติดตามหุ้นจากสื่อที่  “ถูกป้อน”  เข้ามามากกว่าจะเป็นการออกไปค้นหาเอง  ดังนั้น  เธอจึงมักลงทุนเฉพาะใน  “หุ้นร้อน”  ที่อาจจะมี  “กลิ่นอายของ VI”  มากกว่าที่จะเป็น VI จริง ๆ  นั่นคือ  เธออาจจะเข้าไปลงทุนหลังจากราคาหุ้นขึ้นไปถึง  “ยอดดอย”  ซึ่งทำให้หุ้นนั้นหมดสภาพการเป็นหุ้น VI ไปแล้ว  สุดท้ายก็คือเรื่องของจิตใจ  ซึ่งเธออาจจะยังไม่พร้อมซึ่งทำให้เธอตกอยู่ในอิทธิพลของเพื่อนและสื่อต่าง ๆ  ในการซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้น  ผลก็คือ  เธอยังไม่ประสบความสำเร็จในการที่จะเป็นนักลงทุนแบบ VI ตามที่ต้องการ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘