กัณฑ์ที่ ๕๗ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๘

กัณฑ์ที่ ๕๗ ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร วันที่ ๑ มกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๘

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมา สมฺพุทธฺธสฺส (๓ หน)

เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา พาราณสียํ วิหรติ อิสิปตเน  มิคทาเย ตตฺรโข  ภควา  ปญฺจวคฺคิเย  ภิกฺขุ  อานมฺเตสิ
เทฺวเม  ภิกฺขเว  อนฺตา  ปพฺพชิเตน  นเสวิตพฺพา โย จายํ  กาเมสุ  กามสุขลฺลิกานุโยโค  หีโน  คมฺโม  โปถุชฺชนิโก  อนริโย  อนตฺถสญฺหิโต  โย  จายํ  อตฺตกิลมถานุโยโค  ทุกฺโข  อนริโย  อนตฺถสญฺหิโต ฯ  เอเต  เต  ภิกฺขเว  อุโภ  อนฺเต  อนุปคมฺม  มชฺฌิมา  ปฏิปทา  ตถาคเตน  อภิสมฺพุทฺธา  จกฺขุกรณี  ญาณกรณี  อุปสมาย  อภิญฺญาย  สมฺโพธาย  นิพฺพานาย  สํวตฺตติ ฯ     
กตมา  จ  สา  ภิกฺขเว  มชฺฌิมา  ปฏิปทา  ตถาคเตน  อภิสมฺพุทฺธา  จกฺขุกรณี  ญาณกรณี  อุปสมาย  อภิญฺญาย  สมฺโพธาย  นิพฺพานาย  สํวตฺตติ ฯ  อยเมว  อริโย  อฏฺฐงฺคิโก  มคฺโค ฯ  เสยฺยถีทํ ฯ  สมฺมาทิฏฺฐิ  สมฺมาสงฺกปฺโป  สมฺมาวาจา  สมฺมากมฺมนฺโต  สมฺมาอาชีโว  สมฺมาวายาโม  สมฺมาสติ  สมฺมาสมาธิ ฯ  อยํ  โข  สา  ภิกฺขเว  มชฺฌิมา  ปฏิปทา  ตถาคเตน  อภิสมฺพุทฺธา  จกฺขุกรณี  ญาณกรณี  อุปสมาย  อภิญฺญาย  สมฺโพธาย  นิพฺพานาย  สํวตฺตติ ฯ

ณ บัดนี้ อาตมาภาพจักได้แสดงธรรมิกถา ในวันปัณรสีที่ ๑๕ ค่ำ ในเดือนยี่นี้  เป็นวันขึ้นปีใหม่ของทางสุริยคติ ผู้เทศน์ก็ต้องดำริหาเรื่องที่จะต้องแสดงให้สมกับวันขึ้นปีใหม่เป็นวัน แรก        และเป็นวันมงคลของพระพุทธ-ศาสนิกชนทั้งหลาย

วันนี้แหละถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ เราจะทำอย่างไรจึงจะเป็นคนดี เรื่องนี้เรื่องที่เป็นมงคลดีไม่ดีนั้น พระองค์ทรงรับสั่งยืนยันตัดสิน ตั้งแต่ปีใหม่นี้เราต้องตั้งใจเด็ดขาดลงไป  สมกับที่พระองค์จอมปราชญ์แสดงมงคลว่า

อเสวนา  จ  พาลานํ  ปณฺฑิตานญฺ  จ  เสวนา  ปูชา  จ  ปูชานียานํ  เอตมฺมงฺคลมุตฺมํ

เราต้องตัดสินใจเด็ดขาดลงไปว่า อเสวนา จ พาลานํ ไม่เสพสมาคมคบหาคนพาลเด็ดขาดทีเดียว ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตั้งแต่ได้อรุณวันนี้ ไม่เสพคบหาสมาคมกับคนพาลเป็นเด็ดขาด จะเสพสมาคมคบหาแต่บัณฑิตเท่านั้น จะบูชาสิ่งที่ควรบูชา  ปูชา จ ปูชานียานํ เอตํมิ  วิภตฺตยํ

๓ ข้อนี้แหละเป็นมงคลอันสูงสุด คือ จะไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต บูชาแต่สิ่งที่ควรบูชา ตั้งใจให้เด็ดขาดลงไปอย่างนี้ อย่าลอกแลก ไม่เสพสมาคมกับคนพาลน่ะ

ในตัวของตัวเองมีหรือ ซีกทางโลกเป็นซีกของโลภ โกรธ หลง นั่นเป็นเหตุของคนพาล  เป็นเหตุให้เกิดพาล
ซีกของไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง เป็นซีกของบัณฑิต เป็นเหตุให้เกิดบัณฑิต
บูชาสิ่งที่ควรบูชา มั่นลงไปอย่างนี้นะ
นี่วันนี้ ปีใหม่เราต้องตั้งใจให้เด็ดขาดลงไปอย่างนี้ เมื่อเด็ดขาดลงไปดังนี้ละก็ตัดสินใจว่าเราดีแน่ นี่วันนี้ปีใหม่

เราต้องตั้งใจให้เด็ดขาดลงไปอย่างนี้ เมื่อเด็ดขาดลงไปดังนี้ ไม่มีทุจริตไม่มีชั่วเข้าไปเจือปนเลย  เป็นซีกบัณฑิตแท้ๆ เหตุนี้แล เมื่อเป็นบัณฑิตแล้วสมควรจะฟังธรรมเทศนาในวันใหม่ปีใหม่ในทางสุริยคตินี้

พระจอมไตรอุบัติขึ้นในโลก ยังไม่ได้แสดงธรรมเทศนากับบุคคลใดบุคคลอื่นเลย ได้แสดงปฐมเทศนาเป็นครั้งแรกโปรดพระปัญจวัคคีย์ วันนี้จะแสดงปฐมเทศนา ที่พระองค์โปรดปัญจวัคคีย์ทั้งห้า ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวันแคว้นเมืองพาราณสี

บัดนี้เราจะฟังปฐมเทศนาซึ่งเป็นธรรมอันลุ่มลึกสุขุมนัก ไม่ใช่ธรรมพอดีพอร้าย และธรรมนี้เป็นตำรับตำราของพุทธศาสนิกชนสืบต่อไปด้วย ไม่ใช่เป็นเพียงแต่ว่าเป็นปฐมเทศนาเท่านั้น เป็นตำรับตำราของพุทธศาสนิกชนทีเดียว ที่ผู้ปฏิบัติจะเอาตัวรอดได้ในธรรมวินัยของพระบรมศาสดา

เริ่มต้นแห่งปฐมเทศนาว่า
เอวมฺเม สุตํ
นี่เป็นพระสูตรที่พระอานนท์เอามากล่าวปฏิญาณตน เพื่อให้พ้นจากความเป็นสัพพัญญู ว่าตัวไม่ได้รู้เอง เพราะได้ยินได้ฟังมาจากสำนักของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า
เอวํ อากาเรน  ด้วยอาการอย่างนี้
เอกํ สมยํ      ในสมัยครั้งหนึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคผู้เป็นที่พึ่งของสัตว์โลกทั้งหลาย ทรงประทับสำราญอริยาบท ณ สำนักมิคทายวัน แคว้นเมืองพาราณสี ครั้งนั้น พระองค์ทรงรับสั่งหาพระภิกษุปัญจวัคคีย์ ทั้ง ๕ มารับสั่งว่า
เทฺวเม ภิกฺขเว อนฺตา ปพฺพชิเตน น เสวิตพฺพา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดทั้ง ๒ อย่างนี้นั้น  อันบรรพชิตไม่ควรเสพ
โย จายํ กาเมสุ กามสุขลฺลิกานุโยโค
การประกอบตนให้พัวพันด้วยกามในกามทั้งหลายนี้ที่ใด
หีโน                        เป็นของต่ำทราม
คมฺโม                      เป็นเหตุให้ตั้งบ้านเรือน
โปถุชฺชนิโก               เป็นคนมีกิเลสหนา
อนริโย                     ไม่ไปจากข้าศึกคือกิเลสได้
อนตฺถสญฺหิโต            ไม่เป็นประโยชน์ นี่คืออย่างหนึ่ง
โย จายํ อตฺตกิลมถานุโยโค ทุกฺโข อนติถสญฺหิโต
การประกอบความลำบากให้แก่ตนเปล่า  กลับเป็นทุกข์แก่ผู้ประกอบด้วย  ไม่ไปจากข้าศึก คือ กิเลสได้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ นี้อย่างหนึ่ง

เป็นสองอย่างนี้ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค
นี่เป็นตัวกามสุขัลลิกานุโยค  อัตตกิลมถานุโยคทีเดียว
เอเต เต ภิกฺขเว อุโก อนฺเต อนุปคมฺม มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา
ข้อปฏิบัติอันเป็นสายกลาง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติเป็นกลาง ไม่แวะเข้าใกล้ซึ่งที่สุดทั้งสองอย่างนี้นั่นนั้น  อันพระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญายิ่ง และทำความเห็นให้เป็นปกติ  เรียกว่า

จกฺขุกรณี ญาณกรณี สํวตฺตติ      ย่อมเป็นไปพร้อม
อุปสมาย                  เพื่อความเข้าไปสงบระงับ
อภิญฺญาย                เพื่อความรู้ยิ่ง
สมฺโพธาย                เพื่อความรู้พร้อม
นิพฺพานาย               เพื่อความดับสนิท
กตมา จ สาภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา  
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อปฏิบัติเป็นกลางนั้น ที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง เป็นไฉน
อยเมว อริโย อฏฐงฺคิโก มคฺโค
หนทางที่องค์ ๘ ประการ ไปจากข้าศึก คือ กิเลสได้
เสยฺยถีทํ คือ
สมฺมาทิฏฐิ               ความเห็นชอบ
สมฺมาสงฺกปฺโป          ความดำริชอบ
สมฺมาวาจา              กล่าววาจาชอบ
สมฺมากมฺมนฺโต         ทำการงานชอบ
สมฺมาอาชีโว            เลี้ยงชีพชอบ
สมฺมาวายาโม          ทำความเพียรชอบ
สมฺมาสติ                 ระลึกชอบ
สมฺมาสมาธิ             ตั้งใจชอบ
นี่ประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ

อยํ โข สา ภิกฺขเว มชฺฌิมา ปฏิปทา ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา จกฺขุกรณี ญฺาณกรณี  อุปสมาย อภิญฺญาย สมฺโพธาย นิพฺพานาย สํวตฺตติ
อย่างนี้แหละภิกษุทั้งหลาย
อย่างนี้แหละข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ที่พระตถาคตเจ้าตรัสรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
กระทำความเห็นให้เป็นปกติ
กระทำความรู้ให้เป็นปกติ
ย่อมเป็นไปเพื่อความออกไปสงบระงับ
เพื่อความรู้ยิ่งรู้พร้อมซึ่งพระนิพพาน

นี้หลักประธานปฐมเทศนา ทรงรับสั่งใจความพระพุทธศาสนาบอกพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ โดยตรงๆ ไม่มีวกไปทางใดทางหนึ่งเลย บอกตรงๆ ทีเดียว

แต่ว่าผู้ฟังพอเป็นวิสัยใจคอเป็นฝ่าย ขิปปาภิญญา เท่านี้ก็เข้าใจแล้วว่าธรรมของพระศาสดานี้ลึกจริง

ถ้าว่าไม่เป็นขิปปาภิญญา เป็นทันธาภิญญา จะต้องชี้แจงแสดงขยายออกไปอีก จึงจะเข้าใจปฐมเทศนา พระองค์ทรงรับสั่งบอกพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ว่าที่สุดทั้งสองอย่างนั่นนั้นอันบรรพชิตไม่ควรเสพ

ที่สุด ๒ อย่างน่ะอะไร
เอาใจไปจด ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในสัมผัสที่ชอบใจนั้นแหละ
หรือยินดีรูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ชอบใจนั้นแลตัวกามสุขัลลิกานุโยค
ถ้าว่าเอาไปจดรูปนั้นเข้าแล้วจะเป็นอย่างไร
ทุกฺโข เป็นทุกข์แก่ผู้เอาใจไปจดนั้น
หีโน  ถ้าเอาใจไปจดเข้ารูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสที่ชอบใจนั้น ใจต่ำ ไม่สูง ใจต่ำทีเดียว ใจมืดทีเดียว ไม่สว่างเพราะเอาไปจดกับอ้ายที่ชอบใจที่มัวซัวเช่นนั้น
ถ้าไปจดที่มืดมันก็แสวงหาที่มืดทีเดียว  ไม่ไปทางสว่างละ
นั่นน่ะจับตัวได้ เอาใจเข้าจดกับรูปเสียงกลิ่นสัมผัสที่ชอบใจ ชวนไปทางมืดเสียแล้ว  ไม่ชวนไปทางสว่าง  ปิดทางสว่างเสียแล้ว
เมื่อเป็นอย่างนั้นท่านจึงได้ยืนยัน หีโน ต่ำทราม ไม่ไปทางนักปราชญ์ราชบัณฑิต ไปทางโลกไปทางปุถุชนคนพาลเสียแล้ว  หีโน ต่ำทรามลงไปอย่างนี้
คมฺโม  ถ้าไปจดมันเข้าไม่สะดวก ทำให้ต้องปลูกบ้านปลูกเรือนให้เหมาะเจาะ  มีฝารอบขอบชิดให้ดีจึงจะสมความปรารถนานั้น ไปเสียทางโน้นอีกแล้ว นั้นใจมันชักชวนเสียไปทางนั้นแล้วนั้น
คมฺโม โปถุชฺชนิโก ก็หมักหมมสั่งสมกิเลสให้หนาขึ้นทุกที ไม่บางสักทีหนึ่ง นั่นแหละ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัสเข้ามาๆๆ เป็นตึกร้านบ้านเรือนกันยกใหญ่เชียวคราวนี้ แน่นหนากันยกใหญ่เชียว
อนริโย  ออกไม่ได้ ไม่ไปจากข้าศึกคือกิเลสได้ ไม่หลุดจากรูป เสียงกลิ่น รส สัมผัส ไม่หลุดจากความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ติดอยู่นั่นเอง
พระองค์ทรงรับสั่งว่า นี่ๆ พวกนี้ กามสุขัลลิกานุโยค ไปจากข้าศึกคือกิเลสไม่ได้ ไปไม่ได้ทีเดียว
อนตฺถสญฺหิโต แล้วเป็นอย่างไรบ้าง  ไม่มีประโยชน์เลย
ถามคนแก่ดูก็ได้ ที่ครอบครองเรือนมาแล้วที่ติดอยู่ในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสมาแล้ว ติดจนกระทั่งถึงแก่ เฒ่าชรา  ไปถามเถอะ ๑๐๐ คน ๑,๐๐๐ คนมายืนยัน
บอกตรงทุกคน ทำไมจึงบอกตรงล่ะ แกวางก้ามเสียแล้วนะ บอกตรงซิ ถ้ายังไม่วางก้าม ยังกระมิดกระเมี้ยนอยู่ ยังจะนิยมชมชื่นอยู่

นั่นพระองค์ทรงรับสั่งว่า กามสุขัลลิกานุโยค ไม่มีประโยชน์อะไร อย่าเข้าไปติด ถ้าเข้าไปติดแล้วไปไม่ได้

นั่นว่า โย จายํ อตฺตกิลมถานุโยโค ทุกฺโข      ประกอบความลำบากให้แก่ตนเปล่า  ไร้ประโยชน์

นี่ อตฺตกิลมถานุโยโค เป็นทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไปจากข้าศึกคือกิเลสนั้นไม่ได้  ไม่มีประโยชน์อีกเหมือนกัน

อตฺตกิลมถานุโยโค นั่นทำอย่างไร ประกอบความลำบากให้แก่ตน พวกประกอบความลำบากให้นั่นทำอย่างไร  นอนหนาม ตากแดด ย่างไฟ ไม้เคาะหน้าแข้ง หาบทราย นี่พวกประพฤติดับกิเลส นอนหนาม ตากแดด ย่างไฟ ไม้เคาะหน้าแข้ง หาบทราย

นอนหนาม หนามนั่นเจ็บเสียความสงัดยินดีก็หายไปได้  เข้าใจว่าหมดกิเลส  เป็นทางหมดกิเลส

ตากแดดล่ะ เมื่อตากแดด แดดร้อนเข้าก็ไม่มีความกำหนัดยินดีเข้านะซิ  เข้าใจว่ากิเลสดับแล้ว  นั่นความเข้าใจของเขา เข้าใจอย่างนั้น

ย่างไฟล่ะ  ย่างไฟมาจากแดด  แดดไม่สะดวกก็เอาไฟย่าง มาก่อไฟ ก่อไฟถ่าน อยู่ข้างบนเข้าให้ นอนบนกองไฟ นอนบนไฟย่างนอนบนไฟ นอนข้างบนร้อนรุ่ม  เหมือนอย่างกับไฟย่างนั้น ได้ชื่อว่าย่างไฟ

ไม้เคาะหน้าแข้งล่ะ มีความกำหนัดยินดีขึ้นมา ไม่รู้จะทำอย่างไร
มันเดินก็ไม่ถนัดขาแข็งไปหมด ไม้เคาะหน้าแข้งเปกเข้าไปให้ เงียบ หายความกำหนัดยินดี  ดับไปเอ้อ นี่ดีนี่ ได้อย่างทันอกทันใจ ทีหลังกำหนัดยินดีเวลาไหน ก็เอาไม้เคาะหน้าแข้งเปกๆ เข้าไปให้อย่างหนัก นี้ความกำหนัดยินดีก็หายไป

อย่างนี้เป็นหมู่เป็นพวกต้องทำเหมือนกัน เป็นหนทางดีทางถูกของเขา พวกไม้เคาะหน้าแข้ง

หาบทราย  หาบทรายเหนื่อยเต็มที่ หมดความกำหนัดยินดี ควายเปลี่ยวๆ ยังสยบเลย  ถึงอย่างนั้นหาบทราย

ไอ้ ทรายกองใหญ่ที่พวกอัตตกิลมถานุโยค ประพฤติปฏิบัติอยู่นาน เข้ามาอาศัย  กองใหญ่มหึมาทีเดียว หาบมาเอามากองเข้าไว้ หาบเข้ามากองไว้ใหญ่มหึมา นั่นเพื่อจะทำลายกิเลส ดับกิเลส

นี่เขาเรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค ทั้งนั้น ลักษณะอัตตกิลมถานุโยคมีมากมายหลายประการ ที่ผิดทางมรรคผลปฏิบัติตนให้เหนื่อยเปล่าไม่มีประโยชน์  นั่นแหละอัตตกิลมถานุโยคทั้งนั้น

ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อัตตกิลมถานุโยค เหมือนกัน เอาดีไม่ได้ เดือดร้อนร่ำไป นั่นอัตตกิลมถานุโยคเหมือนกัน

อัตตกิลมถานุโยค เป็นอย่างไรล่ะ ร่างกายทรุดโทรมไปตามกัน ฆ่าตัวเอง ทำลายกำลังตัวเอง ตัดแรงตัวเอง นี่งมงายอวดว่าฉลาด

นึกดูทีเอ้อ เราไม่รู้เท่าทัน  ถ้ารู้เท่าทันไม่ถึงขนาดนี้เลย เพราะไม่ได้ยินได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าพระอรหันต์ ไม่ได้ฝึกฝนใจทางพระพุทธเจ้าเลย ความรู้ไม่เท่าทันจึงได้เป็น อัตตกิลมถานุโยค อยู่เช่นนี้ นี่เรียกว่า อัตตกิลมถานุโยค

๒ อย่างนี้ กามสุขัลลิกานุโยค อัตตกิลมถานุโยค เลิกเสีย ไม่เสพ อย่าเสพ อย่าเอาใจไปจด อย่าเอาใจไปติดปล่อยทีเดียว ปล่อยเสียให้หมด

เมื่อปล่อยแล้วเดินมัชฌิมาปฏิปทา ข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ไม่แวะวงเข้าไปใกล้ซึ่งทางทั้งสองอย่างนั้น อันพระตถาคตเจ้าตรัสรู้แล้วด้วยพระญาณอันยิ่ง  นี่ข้อปฏิบัติเป็นกลางซึ่งเราควรรู้

กลางนี่ลึกซึ้งนัก ไม่มีใครรู้ใครเข้าใจกันเลย ธรรมที่เรียกว่าข้อปฏิบัติอันเป็นกลางน่ะ
ปฏิบัติ แปลว่า ถึงเฉพาะซึ่งกลาง
อะไรถึง  ต้องเอาใจเข้าถึงซึ่งกลางซิ  เอาใจเข้าไปถึงซึ่งกลาง
กลางอยู่ตรงไหน  กลางมีแห่งเดียวเท่านั้นแหละ
เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ใจเราก็หยุดอยู่กลาง 
เมื่อเวลาเราจะหลับ  ใจเราก็ต้องไปหยุดกลาง  ผิดกลางหลับไม่ได้
ผิดกลางเกิดไม่ได้  ผิดกลางตายไม่ได้  ผิดกลางตื่นไม่ได้  ต้องเข้ากลาง   ถูกกลางละก็  เป็นเกิด  เป็นหลับ เป็นตื่นกันทีเดียว

อยู่ตรงไหน  ในมนุษย์นี่มีแห่งเดียวเท่านั้น  ศูนย์กลางกายมนุษย์ สะดือทะลุหลังขึงได้กลุ่มเส้นหนึ่งตึง ได้ระดับกรอบปรอททีเดียว สะดือทะลุหลังขึงด้ายกลุ่มเส้นหนึ่งตึง  ขวาทะลุซ้ายขึงด้ายกลุ่มอีกเส้นตึงอยู่ในระดับแค่กัน  ได้ระดับกันทีเดียว ได้ระดับกันเหมือนแม่น้ำทีเดียว ระดับน้ำหรือระดับปรอทแบบเดียวกัน

เมื่อได้ระดับเช่นนั้นแล้ว ดึงทั้งสองเส้น ข้างหน้าข้างหลังตึง ตรงกลางจดกัน ตรงกลางจดกันนั่นแหละ  เขาเรียกว่ากลางกั๊ก ที่เส้นด้ายคาดกันไปนั่น กดลงไปนั่นกลางกั๊ก กลางกั๊กนั่นแหละถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ ใส บริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์นั่นแหละ

แรกเรามาเกิด เอาใจหยุดอยู่ตรงนั้น
ตายก็ไปอยู่ตรงนั้น
หลับก็ไปอยู่ตรงนั้น
ตื่นก็ไปอยู่ตรงนั้น
นั่นแหละเป็นที่ดับ  ที่หลับ  ที่ตื่น กลางแท้ๆ เทียว กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์  ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่  กลางนั่นแหละตรงกลางนั่นแหละ
ไปหยุดอยู่ที่ศูนย์กลางนั่นแหละ ได้ชื่อว่ามัชฌิมา มัชฌิมานะ พอหยุดก็หมดดี หมดชั่ว ไม่ดีไม่ชั่วกัน หยุดทีเดียว
พอหยุดจัดเป็นบุญก็ไม่ได้
พอหยุดจัดเป็นบาปก็ไม่ได้
จัดเป็นดีก็ไม่ได้ ชั่วก็ไม่ได้
ต้องจัดเป็นกลางตรงนั้นแหละกลาง  ใจหยุดก็เป็นกลางทีเดียว
นี้ที่พระองค์ให้นัยไว้กับองคุลิมาลว่า  สมณะหยุด สมณะหยุด
พระองค์ทรงเหลียวพระพักตร์มา สมณะหยุดแล้ว ท่านก็หยุด
นี้ต้องเอาใจไปหยุดตรงนี้  หยุดตรงนั้นถูกมัชฌิมาปฏิปทาทีเดียว พอหยุดแล้วก็ตั้งใจอันนั้นที่หยุดนั้น  อย่าให้กลับมาไม่หยุดอีกนะ ให้หยุดไปท่าเดียว นั่นแหละ
พอหยุดแล้วก็ถามซิว่า  หยุดลงไปแล้วยังตามอัตตกิลมถานุโยคมีไหม
ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ตัวรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ยินดีไหม ไม่มี  นั่นกามสุขัลลิกานุโยคไม่มี ลำบากยากไร้ประโยชน์ (อัตตกิลมถานุโยค) ไม่มี หยุดตามปกติ ของเขาไม่มี ทางเขาไม่มีแล้ว

เมื่อไม่มีทางดังกล่าวแล้ว  นี่ตรงนี้แหละที่พระองค์ทรงรับสั่งว่า
ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา พระตถาคตเจ้ารู้แล้วด้วยปัญญายิ่ง ตรงนี้แห่งเดียวเท่านั้น  ตั้งต้นนี้แหละจนกระทั่งถึงพระอรหัตตผล
ทีนี้จะแสดงวิธีตรัสรู้เป็นอันดับไป ถ้าไม่แสดงตรงไม่รู้ ฟังปฐมเทศนาไม่ออกทีเดียว  อะไรล่ะ  พอหยุดกึกเข้าคืออะไร
หยุดกึกเข้านั่นละ เขาเรียกใจเป็นปกติล่ะ หยุดนิ่งอย่าขยับไป

หยุดนิ่งพอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ กลางของนิ่งนั้นแหละ จะไปเห็นดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ บริสุทธิ์สนิทดังกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า อยู่ในกลางหยุดกลางนิ่งนั่นแหละ กลางนั่นแหละ

พอเข้าถึงกลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็หยุดนิ่งอยู่กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานอีกแบบเดียวกัน พอถูกส่วนเข้าจะเข้าถึงดวงศีลเท่าดวงจันทร์ดวงอาทิตย์เหมือนกัน

หยุดอยู่กลางดวงศีลอีก ถูกส่วนเข้ากลางดวงศีลนั่นเองจะเข้าถึงดวงสมาธิ
หยุดอยู่กลางดวงสมาธินั่นแหละ ดวงเท่ากัน พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นจะเข้าถึงดวงปัญญา ดวงเท่ากัน
หยุดอยู่กลางดวงปัญญานั่นแหละ พอถูกส่วนเข้าเท่านั้นแหละ เข้าถึงดวงวิมุตติ
หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ   พอถูกส่วนเข้า   ก็เข้าถึงดวงวิมุตติญาณ-ทัสสนะ
หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะนั่นแหละ  พอถูกส่วนเข้าเห็นกายมนุษย์ละเอียด เห็นแจ่มแปลกจริง กายนี้เราเคยฝันออกไป เวลาฝันมันออกไป  เมื่อไม่ฝันมันอยู่ตรงนี้เองหรือ  ให้เห็นแจ่มอยู่ในกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ กลางตัวของตัวนั่น เห็นชัดเชียว อีกชั้นหนึ่งละนะ เข้ามาถึงนี้ละ

นี่พระพุทธเจ้าเดินอย่างนี้ พักอย่างนี้ทีเดียว เอาเราเดินเข้ามาชั้นหนึ่งแล้ว เข้ามาถึงอีกชั้นหนึ่งแล้ว
ต่อไปนี้ไม่ใช่หน้าที่ของกายมนุษย์หยาบละ เป็นหน้าที่ของกายมนุษย์ละเอียดทำไป

ใจกายมนุษย์ละเอียด ก็หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่เป็นกายมนุษย์ละเอียด  แบบเดียวกันทีเดียว  พอถูกส่วนก็เห็นดวงธรรมานุปัสสนา-สติปัฏฐาน
หยุดอยู่กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าเข้าถึงดวงศีล
หยุดอยู่กลางดวงศีล  ถูกส่วนเข้า เข้าถึง ดวงสมาธิ
หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ  ถูกส่วนเข้าเข้าถึงดวงปัญญา
หยุดกลางดวงปัญญาแบบเดียวกัน  เข้าถึงดวงวิมุตติ
หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ  ถูกส่วนเข้า เข้าถึงดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เข้าถึงกายทิพย์
ที่นี่หมดหน้าที่ของกายมนุษย์ละเอียดไปแล้ว

ใจกายทิพย์ หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางกายทิพย์อีก ถูกส่วนเข้าเห็นดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หยุดอยู่กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล
หยุดอยู่กลางดวงศีล ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ
หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา
หยุดอยู่กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เห็นกายทิพย์ละเอียด

ใจกายทิพย์ละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางกายทิพย์ละเอียดอีก ถูกส่วนเข้าเห็น ดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน แบบเดียวกัน
หยุดอยู่กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานพอถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล ดวงเท่ากัน
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ
หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ
หยุดอยู่กลางดวงวิมุตติ  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าเห็นกายรูปพรหม

ใจกายรูปพรหม หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหม  ถูกส่วนเข้าเห็น ดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หยุดศูนย์กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล
หยุดอยู่กลางดวงศีล  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ
หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ   ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าเห็นกายรูปพรหมละเอียด

ใจกายรูปพรหมละเอียด หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียด    นี้เป็นกายที่ ๖  แล้ว   พอถูกส่วนเข้าเห็นดวงธรรมา-นุปัสสนาสติปัฏฐาน
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐานพอถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล   พอถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ
หยุดอยู่กลางดวงสมาธิ   ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดกลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ส่วนเข้าเห็นกายอรูปพรหม

กายอรูปพรหม หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม   ถูกส่วนเข้าเห็นดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หยุดนิ่งอยู่กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าเห็นกายอรูปพรหมละเอียด

หยุดนิ่งอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหมละเอียด ถูกส่วนเข้าเห็นดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าเห็นดวงศีล
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงศีล   ถูกส่วนเข้าเห็นดวงสมาธิ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงสมาธิ  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงปัญญา
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงปัญญา  ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าเห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดอยู่ศูนย์กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าเห็นกายธรรมรูปเหมือนพระพุทธปฏิมากร  เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องเงาหน้า ห น้าตักโตเล็กตามส่วน ไม่ถึง ๕ วา หย่อนกว่า ๕ วา นี่เรียกว่า กายธรรม

กายธรรมนี่เรียกว่า พุทธรัตนะ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ได้อย่างนี้ นี่ปฐมยามได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้ทีเดียว เป็นตัวพระพุทธรัตนะอย่างนี้ นี่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ขึ้นอย่างนี้ เป็นตัวพระพุทธเจ้าทีเดียว รูปเหมือนพระปฏิมากร เกตุดอกบัวตูม ใสเป็นกระจกคันฉ่องส่องหน้าที่ทำรูปไว้นี่แหละ นี่แหละตัวพระพุทธเจ้าทีเดียว  แต่ว่ากายเป็นที่ ๙

กายที่ ๙ เป็นกายนอกภพ  ไม่ใช่กายในภพ
ทำไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า ก็ทำรูปไว้ทุกวัดทุกวาจะไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าอย่างไร  ทำตำราไว้อย่างนี้  ก่อนเราเกิดมาเป็นไหนๆ ก็ทำไว้อย่างนี้ ปรากฏอย่างนี้แหละตัวพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทีเดียว ตัวพุทธรัตนะทีเดียว

อ้อ นี่เข้าถึงพุทธรัตนะเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
ที่ท่านรับรองว่า
ตถาคเตน อภิสมฺพุทฺธา  ตถาคเตน  แปลว่า ตถาคตธรรมกายน่ะ แต่ว่าธรรมกายนั้นท่านทรงรับสั่งว่า
ธมฺมกาโย อหํ อิติปิ  เราพระตถาคตผู้เป็นธรรมกาย
ตถาคตสฺส วาเสฏฐ เอตํ ธมฺมกาโยติ วจนํ คำว่าธรรมกายน่ะ ตถาคตแท้ๆ ทรงรับสั่งอย่างนี้ เข้าถึงธรรมกายแล้วนี่ ตถาคตทีเดียว รู้ขึ้นแล้ว เป็นขึ้นแล้ว ปรากฏขึ้นแล้ว
ต่อไปนี้เรามาเป็นธรรมกายดังนี้ รู้จักทางแล้ว ใจธรรมกายก็หยุดนิ่งที่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย
ดวงธรรมของธรรมกายวัดผ่าเส้นศูนย์กลางเท่าหน้าตักธรรมกาย กลมรอบตัว  ใสเกินกว่าใส  ใจธรรมกาย  ก็หยุดนิ่งอยู่ที่ศูนย์กลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกาย หยุดนิ่ง พอถูกส่วนถึง ดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน เท่า ดวงธรรมนั้น
หยุดอยู่กลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงศีล
หยุดอยู่กลางดวงศีล พอถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงสมาธิ
หยุดนิ่งอยู่กลางดวงสมาธิ  เห็นดวงปัญญา
หยุดนิ่งอยู่กลางดวงปัญญา  ก็เห็นดวงวิมุตติ
หยุดนิ่งอยู่กลางดวงวิมุตติ ถูกส่วนเข้าก็เห็นดวงวิมุตติญาณทัสสนะ
หยุดนิ่งอยู่กลางดวงวิมุตติญาณทัสสนะ ถูกส่วนเข้าก็เห็น ธรรมกายละเอียด หน้าตัก ๕ วา สูง ๕ วา เกตุดอกบัวตูม ใสหนักขึ้นไป

ธรรมกายหยาบเป็นพุทธรัตนะ
ดวงธรรมที่ทำให้เป็นธรรมกายวัดผ่าเส้นศูนย์กลางเท่าหน้าตักธรรมกายเป็นธรรมรัตนะ
ธรรมกายละเอียดอยู่ในกลางดวงธรรมรัตนะ นั่นแหละเป็นสังฆรัตนะ
ดังนี้ อยู่ในตัว ที่อื่นไม่มี ทุกคนมีอยู่ในตัวของตัว
ผู้หญิงก็มี ผู้ชายก็มี เช่นเดียวกันทุกคน
นี่แหละพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ
เมื่อรู้จักดังนี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้าขึ้น  เช่นนี้แล้ว  นี้เป็นโคตรภูแล้ว  ท่านก็สำเร็จขึ้นไปอีก ๘ ขั้น ท่านก็เป็นพระอรหันต์ไปอยู่กับพระพุทธเจ้าทีเดียว

พอเป็นสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็ท่านเอาเรื่องนี้มาแสดงกับพระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ให้พระปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ฟัง ท่านแสดงเรื่องของท่านว่า อันเราตถาคตเจ้าตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง

ท่านทำความเห็นเป็นปกติ เห็นอะไร ตาอะไร? ตาพระพุทธเจ้า ตาธรรมกาย มีตา ตาดีนัก เห็นด้วยตาธรรมกายนั่นแหละ

จกฺขุกรณี ทำให้เห็นเป็นปกติ เห็นความจริงหมด
ญาณกรณี กระทำความรู้ให้เป็นปกติ ญาณของท่าน
เมื่อท่านเป็นมนุษย์ ส่วนดวงวิญญาณของท่านก็เล็กเท่าดวงตาดำข้างในของท่าน  เมื่อท่านขึ้นไปเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ตาของท่านก็มีเหมือนเราเช่นนี้  ตาธรรมกาย มีญาณของธรรมกาย  มีดวงวิญญาณนั่นแหละกลับเป็นดวงญาณใหญ่โตมโหฬารใหญ่โตขึ้น ดวงใสเท่าดวงตาดำข้างในแหละที่มีความรู้อยู่ในใจนี้แหละเขาเรียกว่าดวง วิญญาณ
พอไปเป็นธรรมกายเข้าแล้วกลับเป็นดวงญาณทีเดียว วัดผ่าเส้นศูนย์กลางเท่าหน้าตักธรรมกาย ดวงญาณเท่าหน้าตักธรรมกาย นั้นแหละเรียกว่า จกฺขุกรณี  เห็นเป็นปกติ  เห็นด้วยตาธรรมกาย เห็นอะไร เห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ ในมนุษย์โลกนี้

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของมนุษย์ของมนุษย์ละเอียด
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายทิพย์ ของกายทิพย์ละเอียด
เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ของกายรูปพรหม รูปพรหมละเอียด อรูปพรหม อรูปพรหมละเอียด
เห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ ของ ๘ กาย นี้
เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นจริง เห็นด้วยตาธรรมกาย เห็นไม่เที่ยงจริงๆ เห็นจริงอย่างนี้  ตามนุษย์เห็นไม่ได้
ตา ๘ กายในภพนี้เห็นไม่ได้
กายมนุษย์ก็ไม่เห็น
กายรูปพรหมก็ไม่เห็น
กายรูปพรหมละเอียดก็ไม่เห็น
อรูปพรหมก็ไม่เห็น
อรูปพรหมละเอียดก็ไม่เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เห็นไม่ได้ ตามันไม่ดี  ตามันไม่ถึงขึ้นที่จะได้เห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทำไมไม่ถึงขนาดเล่า  ก็มันขั้นสมถะนี่
กายมนุษย์ กายมนุษย์ละเอียด กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียด กายรูปพรหม กายรูปพรหมละเอียด กายอรูปพรหม  กายอรูปพรหมละเอียด  นี่มันขั้นสมถะ
แต่รูปฌานเท่านั้นเลยไปไม่ได้  พอถึงกายธรรมมันขั้นวิปัสสนา ตาพระพุทธเจ้าท่านก็เห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แท้ๆ เห็นจริงๆ จังๆ อย่างนั้นละ
เห็นแท้ทีเดียว  เห็นชัดๆ  ไม่ได้เห็นด้วยตากายในภพ เห็นด้วยตาธรรมกาย
รู้ด้วยญาณธรรมกาย
เห็นด้วยตาพระพุทธเจ้า
รู้ด้วยญาณพระพุทธเจ้า
เห็นอย่างนี้แหละ เห็นด้วยตาของพระตถาคตเจ้า รู้ด้วยญาณของพระตถาคตเจ้า ธรรมกายนั่นเป็นตัวของพระตถาคตเจ้าทีเดียว ไม่ใช่อื่น  เห็นชัดอย่างนี้
นี่แหละเห็นอย่างนี้แหละ เขาเรียกว่าวิปัสสนา  เห็นเบญจขันธ์ทั้ง ๕ เป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

เห็นเป็นอนิจจังน่ะเห็นอย่างไร?
เห็นตั้งแต่กายมนุษย์เกิด กายมนุษย์เกิดไม่อยู่ที่  เกิดเรื่อยๆ  เกิดริบๆ
เหมือนไฟจุดอยู่ มีไส้ มีน้ำมัน มีตะเกียงจุดมันก็ลุกโพลง เราเข้าใจว่าไฟดวงนั้นเป็นอย่างนั้นแหละ
ไอ้กายมนุษย์มันก็เป็นอย่างนั้นแหละ แต่ตาธรรมกายไม่เห็นอย่างนั้น เห็นไฟเก่าหมดไป  ไฟใหม่เดินเรื่อยขึ้นมา ไฟเก่าหมดไป ไฟใหม่เดินเรื่อยขึ้นมา  แล้วก็เอามือคลำดูข้างบนก็รู้ ร้อนวูบๆๆๆ ไป อ้อ ไฟใหม่เกิดเรื่อย
กายมนุษย์นี้ก็เช่นเดียวกัน ไอ้เก่าตายไป ไอ้ใหม่เกิดเรื่อย หนุนไม่ได้หยุดเหมือนไฟ  เหมือนดวงไฟอย่างนั้นแหละ ไม่ขาดสาย  มันเกิดหนุนอย่างนั้น นั่นเห็นขนาดนั้น  เห็นเกิดเห็นตายเรื่อย  เกิดแล้วก็ตายไป เกิดแล้วก็ตายไป  ไม่มีหยุดละ
เหมือนกันหมดทั้งสากลโลก  เห็นทีเดียวว่ามีแต่เกิด กับดับ
ยงฺกิญฺจิ  สมุทยธมฺมํ  สพฺพนฺตํ  นิโรธธมฺมํ
สิ่งทั้งปวงมีความเกิดเป็นธรรมดา ย่อมมีความเกิดเสมอ
สิ่งทั้งปวงมีเกิดเสมอ  มีความดับเสมอ
มีเกิดกับดับ ๒ อย่างเท่านั้น หมดทั้งสากลโลก เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกายจริงๆ  อย่างนี้
นี้ทำวิปัสสนาเห็นจริง เห็นจังอย่างนี้
ขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ก็แบบเดียวกัน
โส สมุปาทยธมฺมํ เห็นตลอดขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ ธาตุ ๑๘ อินทรีย์ ๒๒ อริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาทธรรม ๘ ดวงนี้เห็นตลอดหมด
เห็นจริงเห็นจังทีเดียว  เห็นด้วยตาธรรมกาย รู้ด้วยญาณธรรมกาย รู้ชัดอย่างนี้  นี้เรียกว่า
สํวตฺตติ   ย่อมเป็นด้วยพร้อม
อุปสมาย                เพื่อความสงบ
เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ไม่มี สงบหมด หายไปหมด เงียบฉี่เชียว  ที่ยินดีถอนไม่ออก เงียบฉี่เชียว
อภิญฺญาย             รู้ยิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
สมฺโพธาย              รู้พร้อมรู้จริงทุกสิ่งทุกอย่าง
นิพฺพานาย           ดับหมด ราคะ โทสะ โมหะ  ดับหมด ปรากฏอย่างนี้ ดังความจริงอย่างนี้
นี่ที่ไปถึงพระตถาคตเจ้าอย่างนี้ ไปถึงธรรมกายเช่นนี้ ไม่ได้ไปทางอื่นเลย ไปทางปฐมมรรค ไปกลางดวงธรรมานุปัสสนาสติปัฏฐาน ดวงศีล ดวงสมาธิ ดวงปัญญา ดวงวิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ

ดวงศีลคืออะไร
ดวงศีลนะคือ สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว อริยมรรค ๓ องค์นั้นเรียกว่าดวงศีล
ดวงสมาธิ สัมมาวายาโม สัมมาสติ สัมมาสมาธิ อริยมรรคอีก ๓ องค์
ดวงปัญญา สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป เป็น ๘ องค์ในอริยมรรคนั้นทั้งสิ้น อยู่ในนั้น จึงได้เข้าถึงธรรมกายนี้ได้ ถึงพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ แท้ๆ
นี้แหละให้แน่วแน่ลงไว้ เราก็เกิดมาประสบพบพระพุทธศาสนา พุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ไม่ได้ ถึงตัวจริงของศาสนาไม่ได้ มีตัวจริงศาสนา

นี่แก่นศาสนา อยู่ในตัวของเราเป็นลำดับของกายเข้าไป อย่าไปทางอื่นนะ  ไม่ได้  ต้องไปทางหยุดทางเดียว จะยุ่งยากอย่างหนึ่งอย่างใดเข้าให้ถึง หยุดให้ถูกส่วน หยุดให้เข้ากลาง หยุดให้ถูกเป้าหมายใจดำของพระพุทธศาสนา ทำตามที่พระองค์รับสั่งไว้ในปฐมเทศนา ให้แน่นอนอย่างนี้ จะได้เข้าถึงตัวจริงเช่นนี้

ถ้าเข้าถึงตัวจริงเช่นนี้แล้ว ก็พึงรู้ อ้อ ที่แสดงมานี้ เว้นเสียจากที่สุดทั้ง ๒ สิ่ง ไม่เสพที่สุดทั้ง ๒ นั้น เดินตามมัชฌิมาปฏิปทาไป ทางศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติ วิมุตติญาณทัสสนะ ไปเป็นลำดับนั้นจึงเข้าถึง ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นตถาคตเจ้าแท้ๆ ดังที่ได้แสดงมานี้ตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ ผู้มีปรีชาญาณมนสิการกำหนดไว้ในใจทุกคนทุกถ้วนหน้า

วันนี้เป็นวันปีใหม่ ได้แสดงปฐมเทศนา พระองค์ทรงตรัสเทศนาเป็นเบื้องต้น เป็นทีแรกเรียกว่า ปฐมเทศนา พอเป็นเครื่องประคับประคองฉลองศรัทธา ประดับสติปัญญา คุณสมบัติของท่านพุทธบริษัท คฤหัสถ์ บรรพชิตบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า ว่าเราท่านทั้งหลายผู้เป็นเมธีมีปัญญาต้องการสิ่งที่เป็นมงคล ต้องการความเจริญแล้ว ตั้งใจให้แน่แน่วให้ถึงพระรัตนตรัย

วันนี้เป็นวันใหม่ ชั่วร้ายด้วยกาย วาจา ใจ ตัดขาด  อย่ากระทำ

ทำใจให้หยุดให้ถูกเป้าหมายใจดำทางพระพุทธศาสนา ที่ได้ชี้แจงแสดงมา  มนุษย์แท้ๆ ถึงจะไม่เข้าใจอย่างดี มนุษย์ธรรมดาเห็นจะดีกว่าค้างคาวแน่ ฟังเทศน์เอาบุญกัน ไม่ฟังเทศน์เอาเรื่องเอาราวกัน คนแก่คนเฒ่าเป็นอย่างนั้น

คนที่สนใจฟังธรรมจริงๆ เรียนธรรมจริงๆ รู้ธรรมจริงๆ เป็นอีกพวกหนึ่ง ต้องเรียนเอาเรื่องเอาราวกันจริงๆ จึงจะปฏิบัติธรรมกันในพระพุทธศาสนาได้ ดังนี้

ที่ชี้แจงแสดงมานี้ เป็นตำรับตำราแน่นอนในทางพระพุทธศาสนา ตามวาระพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบายพอสมควรแก่เวลา

นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ             สิ่งอื่นไม่ใช่ที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย
สรณํ เม รตนตฺตยํ พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของเราท่านทั้งหลาย
เอเตน  สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัตย์ที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติมาตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้
สทาโสตฺถี ภวนฺ ตุเต  ขอความสุขสวัสดีจงบังเกิดแก่ท่านทั้งหลายบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า

อาตมภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา ขอสมมุติยุติธรรมิกถาโดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้

เอวํ  ก็มีด้วยประการฉะนี้

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘