กัณฑ์ที่ ๑๒ ธรรมนิยามสูตร ๓๑ มกราคม ๒๔๙๗

กัณฑ์ที่ ๑๒ ธรรมนิยามสูตร ๓๑ มกราคม ๒๔๙๗

นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส
นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺสฯ

เอวมฺเม สุตํ ฯ เอกํ สมยํ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ เชตวเน อนาถปิณฺฑิกสฺส อาราเม ฯ ตตฺร โข ภควา ภิกฺขู อามนฺเตสิ ภิกฺขโวติ ฯ ภทนฺเตติ เต ภิกฺขู ภควโต ปจฺจสฺโสสุฯ ภควา เอตทโวจาติ ฯ

ณ บัดนี้ อาตมาภาพจักได้แสดงธรรมิกถา เป็นธรรมสวนะฉลองประคองศรัทธาประดับสติปัญญาคุณสมบัติ ของท่านผู้พุทธบริษัททั้งคฤหัสถ์ บรรพชิต บรรดามาสโมสรเพื่อสวนะกิจในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า จะชี้แจงแสดงธรรมเทศนาในเวลาวันนี้ คือ ในเรื่อง ธรรมนิยามสูตร ธรรม ที่สมเด็จพระผู้มีพระภาคทรงตรัสเทศนายกย่องธาตุธรรมว่า เป็นของเกิดขึ้นก่อนเก่า หรือเก่าก่อนพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น หรือจะไม่บังเกิดขึ้น ธาตุธรรมน่ะเขามีอยู่แล้ว เขาเกิดอยู่แล้ว ตั้งอยู่แล้วเป็นปกติ พระองค์ทรงแสดงธรรมในข้อนี้ คือจะทรงแสดงชี้แจงแสดงธาตุธรรมให้ปรากฏตามกำหนด ตามความเป็นจริงธาตุธรรมเหล่านั้น บัดนี้จะชี้แจงแสดงตามวาระพระบาลี แห่งพระสูตรนั้น เพื่อเป็นเครื่องปฏิการสนอง ประคองศรัทธาประดับสติปัญญาคุณสมบัติของท่านผู้พุทธบริษัททุกถ้วนหน้า
เริ่มต้นแห่งพระสูตรว่า เอวมฺเม สุตํ พระสูตรนี้พระอานนท์ได้สดับฟัง เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า เอวํ อากาเรน ด้วยอาการอย่างนี้ เอกํ สมยํ ณ สมัยครั้งหนึ่ง สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับที่วิหารเชตวัน อันเป็นอารามของอนาถบิณฑิกคฤหบดีสร้างถวายในกรุงสาวัตถีครั้งนั้นสมเด็จพระ ผู้มีพระภาคทรงรับสั่งหาพระภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายรับพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยอาลปนคาถาว่า ภทนฺเต ความ เจริญจงมีแก่พระองค์ดังนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาค เมื่อพระภิกษุทั้งหลายเป็นอันมากมาสู่ที่ประชุมนั้นแล้ว จึงได้ตรัสพระสูตรนี้ว่า อุปฺปาทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ พระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้น ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี อนุปฺปา วา ตถาคตานํ ความไม่บังเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี ฐิตา ว สา ธาตุ ธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว ธมฺมฏฐิตตา เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นของตั้งมั่นแห่งธรรม ธมฺมนิยามตา เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นเบาะของธรรม คำว่าเป็นเบาะนี้ขบขันอยู่ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา สังขารทั้งปวงไม่เที่ยงดังนี้ ตํ ตถาคโต อภิสมฺพุชณติ พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะอยู่ ไต่สวนธรรมนั้นอยู่หรือไต่สวนธรรมธาตุนั้นอยู่ อภิสมฺพุชฺชฺณิตฺวา อภิสเมตฺวา ครั้งตรัสรู้พร้อมจำเพาะแล้ว ไต่สวนเสร็จแล้ว อาจิกฺขติ เทเสติ ย่อมบอกย่อมแสดง ปญฺญเปติ ปฎฺฐเปติ ย่อมบัญญัติ ย่อมแต่งตั้ง วิรติ วิภชติ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนก อุตฺตานีกโรติ ย่อมทำให้ตื้นขึ้นว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจาติ ฯ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

อุปฺปาทา ภิกฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทา วา ตถาคตานํ ฐิตา วสา ธาตุ ธมฺมฏฺฐิตตา ธมฺมนิยามตา ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี หรือว่าความไม่เกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดีธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นที่ตั้งมั่นคงของธรรม เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นเบาะของธรรม ว่า สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขาติ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ ตํ ตถาคโต อภิสมฺพุชฌติ อภิสเมติ พระตถาคตเจ้าตรัสรู้พร้อมเฉพาะอยู่ไต่สวนธาตุนั้น อภิสมฺพุชฺฌิตฺวา ครั้นตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้วไต่สวนแล้ว ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแต่งตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทำให้ตื้นขึ้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ดังนี้
อุปฺปทา วา ภิกฺขเว ตถาคตานํ อนุปฺปาทาวา ตถาคตานํ ฐิตา ว สา ธาตุ ธมฺมฏฐิตา ธมฺมนิยามตา ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี หรือว่าความไม่เกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดีธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นที่ตั้งมั่นแห่งธรรม เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นเบาะของธรรม สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว ตํ ตถาคโต อภิสมฺพุชฌติ อภิสเมติ พระตถาคตเจ้าตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ไต่สวนแล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแต่งตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงทำให้ตื้นขึ้นว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวดังนี้
อิทมโวจ ภควา สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี้จบลงแล้ว อตฺตมนา เต ภิกฺขู ภควโต ภาสิตํ อภินนฺทุ ภิกษุ ทั้งหลายมีใจยินดี เพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการดังนี้ นี้เนื้อความของพระบาลีคลี่ความเป็นสยามภาษาเทศนาดังนี้ ตามที่แปลกันในสยามภาษานี้
ต่อแต่นี้จะแปลขยายจากมคธภาษาเป็นสยามล้วน ให้เราท่านทั้งหลายได้ทบทวน ได้สดับตรับฟัง ให้เข้าเนื้อเข้าใจ เป็นธรรมอันลุ่มลึกสุขุมนัก ไม่ใช่เป็นของพอดีพอร้าย ว่าพระสูตรนี้อันพระอานนท์เถรเจ้าได้สดับตรับฟังแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่วิหารเชตวันอันเป็น อารามของอนาถบิณฑิกคฤหบดีสร้างมาสู่ที่เฝ้า ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นรับพุทธพจน์ของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยอาลปน คาถาว่า ภทนฺเต ความเจริญจงมีแด่พระองค์ดังนี้ แล้วสมเด็จพระผู้มีพระภาคได้เริ่มตรัสพระสูตรนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความบังเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี ความไม่บังเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี ธาตุนั้นตั้งอยู่แล้วเพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นที่ตั้งมั่งของธรรม เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นเบาะของธรรม สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง พระ ตถาคตเจ้าตรัสรู้พร้อมเฉพาะอยู่ สอบสวนซึ่งธาตุนั้นอยู่ ครั้งตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว สอบสวนแล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแต่งตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงกระทำให้ตื้นขึ้น ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง
ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความบังเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี ความไม่บังเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี ธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นที่ตั้งมั่นของธรรม เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นเบาะของธรรมว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ พระ ตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะอยู่ สอบสอน อยู่ซึ่งธาตุนั้น ครั้นตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว สอบสวนแล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบัญญัติ ทรงแต่งตั้ง ทรงเปิดเผย ทรงจำแนก ทรงกระทำให้ตื้นขึ้น ว่าสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ดังนี้
ว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความบังเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี ความไม่บังเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าก็ดี ธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นที่ตั้งของธรรม เพราะความที่แห่งธาตุนั้นเป็นเบาะของธรรม ว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว พระ ตถาคตเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะอยู่ สอบสวนธาตุนั้นอยู่ ครั้นตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว สอบสวนแล้ว ทรงบอก ทรงแสดง ทรงแต่งตั้ง ทรงเผย ทรงจำแนก ทรงกระทำให้ตื้นขึ้น ว่า ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว ดังนี้
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสพระสูตรนี้จบแล้ว ภิกษุทั้งหลายมีใจเพลิดเพลินยินดี ภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยประการดังนี้ นี้เป็นสยามภาษาล้วน ไม่เกี่ยวด้วยบาลี แต่ว่าเป็นเนื้อความของภาษาแปลอยู่ไม่ใช่สยามภาษาแท้ เป็นแปลมคธภาษาเป็นสยามอยู่ จะอรรถาธิบายขยายความเป็นลำดับไป เพราะธรรมนึ่ลึกซึ้งนัก เราไม่รู้ไม่ถึง เราอาศัยกายมนุษย์ก็จริง แต่ว่าหารู้จักธาตุธรรมของมนุษย์ไม่ หารู้จักธาตุธรรมของพระพุทธเจ้า พระอรหัตไม่ วันนี้จะชี้แจงแสดงให้เข้าใจเนื้อเข้าใจในธาตุธรรมเหล่านี้
ข้อสำคัญอยู่ก็ ที่ พระตถาคตเจ้าน่ะ เราต้องรู้จักคือใคร รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร แล้วก็คำว่าธาตุน่ะ ว่าธรรมน่ะ เราต้องรู้จักว่าเป็นอย่างไร รูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไรนั่นแน่ะ ต้องรู้ความอันนั้นแน่ะ ที่แสดงแล้วนี้ เป็นอุเทศ นิเทศ ต้องเป็นปฏินิเทศออกไป อุเทศน่ะแสดงเนื้อความอยู่ นิเทศน่ะกว้างออกไป นิเทศน่ะพิศดารออกไป จะแสดงให้พิศดาร กว้างขวางออกไปอีก “ธาตุ”คำว่าธาตุนั้นน่ะ พระตถาคตเจ้าจะเกิดขึ้นก็ดีไม่เกิดขึ้นก็ดี ธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว พระตถาคตเจ้าน่ะ รู้กันน่ะ “ธรรมกาย” เคย เทศน์กันมากแล้ว ธรรมกายมีหลายชั้น ธรรมกายโคตรภูทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายโสดาทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายสกทาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายอนาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียด สิบกาย กายหยาบกายละเอียดทั้งมรรคทั้งผลด้วย รวมทั้งมรรคทั้งผล ๑๐ กาย นี่เรียกว่า ธรรมกาย นี่ตัวพระตถาคตเจ้าทั้งนั้น ธรรมกาย นี้ตัวพระตถาคตเจ้าทั้งนั้น เมื่อเข้าใจว่า พระตถาคตเจ้าดังนี้ละก็ เราจะแสดงว่าธรรมกายจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้น ธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว ที่ได้ไว้น่ะก็ถูกเหมือนกันแบบเดียวกัน พระตถาคตเจ้าก็แบบเดียวกัน ชื่อธรรมกายนั่นแหละ เรียกธรรมกายนั่นแหละ
เมื่อเข้าใจแล้วดังนี้จะแสดงโดยธาตุให้เข้าเนื้อ เข้าใจต่อไป ว่า ฐิตา ว สา ธาตุ ธาตุนั้นเขาตั้งอยู่แล้ว แต่ว่า ความที่ของธาตุนั้นเป็นที่ตั้งมั่นของธรรม นั่นแน่มีธรรมอยู่ข้างหลังนั่นแน่ เพราะความที่ของ ธาตุนั้นเป็นเบาะของธรรม ธาตุเป็นที่ตั้งของธรรม เป็นเบาะของธรรม อย่างนี้จริงน่ะธาตุน่ะรูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไร ธรรมน่ะรูปพรรณสัณฐานเป็นอย่างไรโต เล็กเท่าไหน อยู่ที่ไหน ธาตุนั้นตัวจริงน่ะกลม ๆ ธรรมตัวจริงก็กลม ๆ เป็นดวงกลมๆ เล็กใหญ่ตามส่วน เล็กน่ะ เล็กที่สุดจนกระทั่งเอากล้องส่องไม่เห็น เป็นดวงทั้งนั้นใหญ่ขึ้นไป ก็หมดธาตุหมดธรรม เต็มธาตุเต็มธรรมเต็มไปหมดก็เห็นดวงใหญ่ขึ้นไป ขนาดนั้นนั่น เป็นดวงของธาตุ ดวงของธรรม ธาตุธรรมนี้แยกกันไม่ได้ อาศัยกัน เหมือนกายมนุษย์กับใจทีเดียว แยกกันไม่ได้ ถ้าแยกกันเกิดเรื่อง ต้องเป็นต้องตายทีเดียว เพราะฉะนั้น ธาตุนั้นก็เป็นเบาะของธรรม ธรรมต้องอยู่ในธาตุ อาศัยธาตุอยู่ ถ้าว่าเมื่อธาตุเป็นเบาะของธรรม ถ้าว่าเมื่อธาตุเป็นที่ตั้งมั่นของธรรมละก้อธรรมเป็นที่ตั้งมั่นของธาตุได้ บ้างไหมล่ะ ได้เหมือนกัน แบบเดียวกัน ถ้าธาตุนั้นเป็นเบาะของธรรม ธรรมเป็นเบาะของธาตุบ้างได้ไหมล่ะ ได้เหมือนกัน แบบเดียวกันเป็นอย่างไรกันน่ะ

คำว่าเป็นเบาะนั่นแหละ เป็นภาษาพูด เป็นภาษาไทยเราแท้ๆ แต่ว่าฟังไม่ออก อย่าเข้าใจว่าเบาะที่ปูให้เด็กนอน หรือเมาะปูให้เด็กนอน เข้าใจเสียอย่างนั้น เข้าใจอย่างนั้นหมด ก็ถูกเหมือนกันแหละ แต่ว่ามีวัตถุธาตุมีวัตถุนั้นขึ้น แต่คำว่า ธาตุ เป็นเบาะของธรรม ธรรมเป็นเบาะของธาตุน่ะเป็นเบาะอย่างนี้ มนุษย์มาเกิดในมนุษย์โลกมีอายตนะ ของชั้นกามนี่โลกายตนะ ต้องมีโลกายตนะเป็นเบาะ ไม่มีโลกายตนะเป็นเบาะเกิดไม่ได้ เขาเรียกว่า โลกายตนะ อายตนะ อายตนะของโลก อายตนะมี ๒ อย่าง อายตนะของธรรม “ธรรมายตนะ” ธรรมายตนะน่ะไม่ใช่อื่นทีเดียว นิพพานทีเดียว ที่พระองค์ทรงรับสั่งว่า อตฺถิ ภิกฺขเว ตทายนํ นิพพานเป็นอายตนะอยู่อันหนึ่ง นิพพานเป็นอายตนะอยู่ พระพุทธเจ้าไปนิพพาน เบาะนิพพานก็มีสัตว์มาเกิดในโลก เบาะของโลกเขาก็มี เรียกว่า โลกยตนํ เป็นเบาะที่ตั้งเป็นที่อาศัยอยู่ เรียกว่า เป็นเบาะ เกิดในครรภ์มารดา ครรภ์มารดาเป็นเบาะนั่นก็โลกกายตนะเหมือนกัน แม้เกิดในชั้นทิพย์ ๖ ชั้น ชั้นทิพย์เขาก็เป็นเบาะเกิดในชั้นรูปพรหม อรูปพรหม ชั้นรูปพรหม อรูปพรหมนั่นก็เป็นเบาะเหมือนกัน เรียกว่าโลกายตนะทั้งนั้น รู้จักเบาะอย่างนี้ละก็เข้าใจกัน เมื่อเข้าใจฟังดังนี้
ธาตุที่เขาตั้งอยู่แล้วน่ะ ธาตุน่ะแบ่งออกไปเป็นสอง มีธาตุอย่างหนึ่ง ธาตุแบ่งออกไปเป็นสอง เป็น “สังขตธาตุ” “อสังขตธาตุ” ถ้าธาตุแบ่งออกเป็นสอง ธรรมล่ะ ก็แบ่งออกเป็นสอง เหมือนกัน “สังขตธรรม” “อสังขตธรรม” แบบเดียวกัน เรียกว่า “สังขตธาตุ สังขตธรรม” “อสังขตธาตุ อสังขตธรรม”ไม่ใช่แต่เท่านั้น ยังมี “วิราคธาตุ วิราคธรรม” อีกมีอีก วิราคธาตุ วิราคธรรมที่ท่านยกตำรับตำราไว้ว่า  สงฺขตา วา อสงฺขตา วา วิราโค เตสํ อกฺมกฺขายติ “สังขตธาตุ สังขตธรรม” ก็ดี ไม่ประเสริฐเลิศเท่า “วิราคธาตุ วิราคธรรม” วิราคธาตุ วิราคธรรมประเสริฐเลิศกว่าสังขตธรรม และอสังขตธรรมเหล่านั้น นั่นต้องรู้ชัดลงไปอย่างนี้
สังขตธาตุ สังขตธรรมน่ะ เป็นอย่างไร นี่แหละที่เราอาศัยอยู่นี่แหละตัวสังขตธาตุ สังขตธรรมทั้งนั้น อยู่ กับธรรมในกายมนุษย์ นี่ก็เป็นสังขตธรรมอยู่กับธาตุมนุษย์ นี่ก็เป็นสังขตธาตุ ธาตุธรรมที่ปัจจัยปรุงแต่งได้ บังคับบัญชาได้ เป็นสังขตธาตุ สังขตธรรม
ถ้าอสังขตธาตุ อสังขตธรรมล่ะอยู่ที่ไหน? อสังขตธาตุ อสังขตธรรมตั้งแต่ธรรมกายขึ้นไป ธรรมกาย ที่เป็นโคตรภูทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายที่เป็นโสดาทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายสกทาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายอนาคาทั้งหยาบทั้งละเอียด ถ้ารวบทั้งหมดเช่นนี้ นี่ก็หมดสงสัยทีเดียว ส่วนที่ธรรมกายแล้วเป็น อสังขตธาตุ อสังขตธรรม แต่ไม่ใช่ “วิราคธาตุ วิราคธรรม” ธาตุ ที่เป็นธรรมกาย ไม่ต้องยกธรรมกายโคตรภูออก เป็นธรรมกายในแบบเดียวกัน ที่เป็นธรรมกายทั้งหยาบทั้งละเอียด ธาตุธรรมที่เป็นธรรมกายทั้งหยาบทั้งละเอียด ธรรมกายหยาบธรรมกายละเอียดที่เป็นโคตรภู ธรรมกายหยาบ ธรรมกายละเอียดที่เป็นพระโสดา ธรรมกายหยาบธรรมกายละเอียดที่เป็นพระสกทาคา ธรรมกายหยาบธรรมกายละเอียดที่เป็นพระอนาคา ยกพระอรหัตออกเสีย ทั้ง ๘ กายนี้เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรมทั้งนั้น ธาตุเหล่านี้ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เป็นเหมือนแก้วใสสะอาดทีเดียว นี่เป็นอสังขตธาตุ อสังขตธรรมทีเดียว แต่ว่ายังไม่ใช่ “วิราคธาตุ วิราคธรรม”
ถ้าจะเป็นวิราคธาตุ วิราคธรรมล่ะ ต้องกายพระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียดเป็นวิราคธาตุวิราคธรรม กาย พระอรหัตทั้งหยาบทั้งละเอียดเป็นวิราคธาตุ วิราคธรรมทีเดียว มีธาตุธรรมชนิดเดียวกันไม่ต่างกัน แต่ว่า ละเอียดขึ้นไปเป็นชั้นๆ เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม เออ รู้จักละ
ส่วนสังขตธาตุ สังขตธรรม อสังขตธาตุ อสังขตธรรม วิราคธาตุ วิราคธรรม รู้จักธาตุละ ธาตุเหล่านี้แหละเป็นตัวยืน พระตถาคตเจ้าจะเกิดขึ้นก็ดี หรือว่าพระตถาคตเจ้าจะไม่เกิดขึ้นก็ดี ธาตุธรรมเหล่านี้เขาตั้งอยู่แล้ว เขามีปรากฏอยู่แล้ว เขาไม่งอนง้อผู้หนึ่งผู้ใด มีปรากฏขึ้นเป็นสัตว์เป็นสังขาร เป็นกำเนิด ที่เรียกว่า อัณฑชะ สังเสทชะ โอปปาติกะ ชลาพุชะ กำเนิดทั้ง ๔ นี้ ที่เกิดขึ้นก็เพราะอาศัยธาตุธรรมเหล่านั้นผลิตขึ้น ธาตุ ธรรมเหล่านั้นผลิตขึ้นเหมือนอะไร ผลิตขึ้นเหมือน ติณชาติ พฤกษชาติ ติณชาติ ต้นหญ้า รุกขชาติ ต้นไม้ พฤกษชาติ ต้นไม้เหมือนกันวัลลีชาติก็เถาวัลย์ต่างๆ ที่เป็นเถา ติณชาติ รุกขชาติ วัลลีชาติ พฤษชาติเหล่านี้ไม่มีธาตุธรรมละก็มีไม่ได้ ต้องอาศัย ธาตุธรรมผลิตขึ้น ผลิตขึ้นเป็นสังขาร เป็นสังขารของโลก มนุษย์เล่า ที่ผลิตขึ้นเป็นมนุษย์นี่ เป็นหญิงเป็นชาย ปรากฏนี่ก็อาศัยธาตุธรรมนั่นแหละ ธาตุธรรมนั่นแหละผลิตขึ้นเป็นอะไร? ก็เป็นสังขาร เป็นปุญญภิสังขาร บ้าง อปุญญภิสังขาร บ้าง ที่เป็นปุญญาภิสังขาร สังขารที่งดงามสวยงาม ที่ดีที่ชอบใจเจริญใจที่เป็นอปุญญาภิสังขาร สังขารที่ไม่งดงามที่ไม่ดีที่ไม่ชอบใจทั้งนั้น อเนญชาภิสังขาร สังขารที่ไม่หวั่นไหว ได้แก่สังขารของอรูปพรหม ในเนวสัญญายตนะก็เป็นอเนญชาภิสังขาร หรือได้แก่สัญญีสัตว์ เบื่อนามติดรูป ได้รูปณาน ๔ เบื่อนามติดรูป อยู่ในพรหมชั้นที่ ๑๑ นั้น นั่นเรียกว่าเป็น อเนญชาภิสังขารเหมือนกัน เป็นสังขาร ๓ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร

ที่เป็นสังขารเหล่านี้ขึ้นก็เพราะธาตุธรรมเหล่านั้นผลิตขึ้น ธาตุธรรมเหล่านั้น เป็นตัวยืน ผลิตให้เป็น ติณชาติ รุกขชาติ พฤกษชาติ วัลลีชาติ ผลิตให้เป็นสัตว์ เป็นหญิงเป็นชาย ปรากฏขึ้นอย่างนี้ ที่ผลิตขึ้นเรียกว่าอะไร พระพุทธเจ้าท่านทรงสอบสวนแล้ว ตรัสรู้พร้อมเฉพาะแล้ว สอบสวนแล้ว ว่านั่นแหละ สังขาร เป็นสังขารขึ้น สังขารจะเป็นขึ้นมากน้อยเท่าไร เหมือน ต้นไม้ ภูเขา ตึกร้านบ้านเรือน เหล่านี้แหละ จะเป็น “อุปาทินกสังขาร” ก็ดี “อนุปาทินนกสังขาร”ก็ดี ที่เป็น “อุปาทินนกสังขาร สังขารที่มีใจครอง ที่เป็น อนุปาทินนกสังขาร สังขารที่ไม่มีใจครอง ได้แก่ ติณชาติ รุกขชาติ พฤกษชาติ วัลลีชาติ เหล่านั้น ไม่มีใจครอง อนุปาทินนกสังขาร
สังขารที่เดขึ้น อาศัยกำเนิด ๔ คือ อัณฑชะ สังเสทชะ ชลาพุชะ โอปปาติกะ เหล่านี้ เกิดขึ้นอาศัยกำเนิด ๔ เหล่านี้ เรียกว่า อุปาทินนกสังขาร สังขารที่มีใจครอง
สังขารที่มีใจครองก็ดี ไม่มีใจครองก็ดี นั่นแหละเรียกว่า สพฺเพ สงฺขารา สังขารทั้งหลายเหล่านั้นไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นไม่เที่ยง แปรผันไปหมด ปรากฏอย่างนี้
เมื่อรู้จักอย่างนี้แล้ว สิ่งที่ไม่เที่ยง เราก็ถามซิว่า ในสากลโลก ถามพระ ถามเณร ถามอุบาสกอุบาสิกาก็ได้เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะ มันจะเอาสุขมาจากไหนล่ะ มี สตางค์อยู่ ๑๐๐ บาท ใช้หมดไปเสียแล้ว มันไม่เที่ยงมันหมดไปเสีย ทุกข์หรือสุขล่ะ อ้าวไม่มีใช้ทุกข์แล้ว หรือไม่ฉะนั้น สังขารเหล่านี้ที่แปรไปอย่างหนึ่งอย่างใด เป็นสุขหรือเป็นทุกข์ล่ะ ต้องถามคนแก่ซี สุขหรือทุกข์ ต้องว่าทุกข์ทีเดียว  ถามเด็ก ๆ มันก็ไม่ทุกข์ล่ะซี หนุ่ม ๆ สาว ๆ มันก็ไม่ทุกข์  ถามคนแก่เข้าซี ทุกข์ทันทีทีเดียว อ้อ ทุกข์เช่นนี้หรอกหรือ นี่มันทุกข์อย่างนี้นี้เรียกว่า สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เป็นทุกข์จริงๆ นะไม่ใช่สุขหรอก สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา เป็น ทุกข์แท้ ๆ ไม่ใช่หลอกลวง ทุกข์จริงๆ แต่ว่าทุกข์เหล่านี้ไม่เที่ยง ทุกข์เหล่านี้ก็เป็นละครของโลก ชั่วครั้งชั่วคราวแล้วก็เลิกกันไป ลาโรงกันไป เก็บฉากกันไป หายไปหมด ไม่รู้ไปทางไหน ก็เป็นละครโลกนั่นเอง  ถ้า ว่าใครมีปัญญา ก็ปล่อยความยึดถือสิ่งที่ไม่เที่ยงนั้นเสีย ถ้าเป็นคนโง่ก็ไปยึดถือสิ่งที่เป็นทุกข์ไม่เที่ยง มันก็ต้องร้องไห้เศร้าโศก เสียใจไป เข้าใจว่าเป็นของเรา เป็นเราไป นั่นมันโง่นี่ ไม่รู้จริงตามธาตุธรรมเหล่านี้  ถ้ารู้จริงตามธาตุธรรม เขาปรุงให้เป็นไปต่างหากล่ะ ไม่ใช่ของใครไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเราเขาที่ไหน ไม่มีทั้งนั้น เมื่อ รู้จักความจริงอันนี้แล้วรู้จักความจริงอันนี้แล้ว ไม่ใช่แต่ธาตุอย่างเดียว ไม่ใช่แต่ธาตุอย่างเดียว ไม่ใช่แต่ธาตุที่เป็นทุกข์ ไม่ใช่แต่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์นะ ธรรมทั้งหลายก็ยังไม่ใช่ตัวนะ รู้จักว่าไม่เที่ยงเป็นทุกข์เที่ยวหา “ตัว” กัน ยุ่ง ทีนี้ใครล่ะเป็นผู้ทุกข์ ใครล่ะเป็นผู้รับทุกข์ ใครล่ะเป็นตัวเป็นตัวเป็นตน เป็นสัตว์เป็นบุคคล จะหากันยุ่ง จะเอาธรรมเป็นตัวเป็นตนเป็นสัตว์ เป็นบุคคลเสียอีกละ ท่านก็ยืนยันอีกว่า สพฺเพ ธมฺมา อรตฺตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว แต่ ว่าธรรมทั้งหลายก็ไม่ใช่ตัว ปรุงตัวให้เป็นไปอีกนั่นแหละ ถ้าว่าไม่มีธรรมตัวก็ไม่มี ไม่มีตัวธรรมก็ไม่มี อาศัยกัน นี่ข้อสำคัญธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว ธรรมทั้งหลายน่ะประสงค์อะไร ธรรมที่อยู่กับธาตุนั้นแหละ ธาตุมีเท่าไรธรรมมีเท่านั้น มากมายนับประมาณไม่ได้

ธรรมน่ะที่นี้จะกล่าวถึง “ธรรมะ” ละ “อธรรม” ดวงใสเท่าฟองไข่แดงของไก่ อยู่ในกลางกายมนุษย์ นี่ธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ เป็นดวงใสเท่าฟองไข่แดงของไก่ อยู่ศูนย์กลางกายมนุษย์นี่สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์พอดี ด้ายกลุ่มขึง ๒ เส้นตึง สะดือทะลุหลัง ขวาทะลุซ้าย ๒ เส้นตึง ตรงกลางจรดกัน ตรงกลางก็ถูกกลางดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์พอดี ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ใสบริสุทธิ์เท่าฟองไข่แดงของไก่ นั่นแหละธรรมละ ดวงนั้นแหละเรียกว่า “ธรรม”เมื่อดวงธรรม ที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ดวงขนาดนั้นละ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายมนุษย์ละเอียดล่ะ สองเท่านั้น ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ล่ะชนิดเดียวกันเหมือนกัน ใสหนักขึ้นไป สามเท่านั้น ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายทิพย์ละเอียดล่ะ สี่เท่านั้น ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมห้าเท่านั้น โตขึ้นไป โตขึ้นมา ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายรูปพรหมละเอียดล่ะ หกเท่านั้น ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายอรูปพรหม เจ็ดเท่านั้น ดวงธรรมที่ทำให้เป็นอรูปพรหมละเอียดล่ะ แปดเท่านั้น แปดเท่าฟองไข่แดงของไก่ โตขนาดนั้น นั่นเรียกว่า ธรรมทั้งหลายทั้งนั้น เป็นสังขตธาตุ สังขตธรรม
ดวงธรรมที่ทำให้ เป็นกายธรรมล่ะ นั่นเป็น ๙ เท่า ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายธรรมละเอียดล่ะ ๑๐ เท่า นั่น เท่าหน้าตักวัดผ่าเส้นศูนย์กลางเทาหน้าตักธรรมกายนั้นๆ ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดาล่ะ วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๕ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระโสดาละเอียดล่ะ ๑๐ วา วัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๑๐ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระสกทาคาละเอียดล่ะ ๑๕ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอนาคาล่ะ ๑๕ วา กลมรอบตัว ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอนาคาละเอียดล่ะ ๒๐ วา กลมรอบตัว นี่ธรรมเหล่านี้เป็น “อสังขตธาตุ อสังขตธรรม”แต่ว่าไม่ใช่ “วิราคธาตุ วิราคธรรม” ดวงธรรมเหล่านี้ ดวงธรรมที่เป็น วิราคธาตุ วิราคธรรม ดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายพระอรหัตวัดผ่าเส้นศูนย์กลาง ๒๐ วา พระอรหัตละเอียดกว่า ๒๐วาขึ้นไปนี่ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัตละเอียด ยก ดวงธรรมที่ทำให้เป็นพระอรหัตกับพระอรหัตละเอียดออกเสีย ดวงธรรมต่ำกว่านั้นลงมารวมด้วยกัน ๑๖ ดวงนั่นแหละคำว่า ธรรมทั้งหลายละ ธรรมทั้งหลายไม่ใข่ตัวละ ธรรมทั้งหลายเท่านั้นไม่ใช่ตัว  ตัวไม่ใช่ธรรม ธรรมทั้งหลายเหล่านั้นไม่ใช่ตัว ตัวไม่ใช่ธรรม
ทีนี้จะให้รู้จักตัวละ ใครเป็นตัวละ กายมนุษย์นี่แหละเป็นตัวกายมนุษย์ละเอียดก็เป็นตัว แต่ว่าตัวโดยสมมุตินะ ยกกันขึ้น เชิดกันขึ้น เรียกมันขึ้น ตัวโดยสมมุติ กายทิพย์ กายทิพย์ละเอียดก็เป็นตัว กายรูปพรหมก็เป็นตัว รูปพรหมละเอียดก็เป็นตัว กายอรูปพรหมก็เป็นตัว อรูปพรหมละเอียดก็เป็นตัว ตัวโดยสมมุติทั้งนั้น ไม่ใช่ตัวโดยวิมุตตินะ นี่ตัวโดยสมมติ เหมือนละครโรงใหญ่ในโลก สมมุติว่าเป็นพระเอกนางเอก มันก็ลาโรงกันเสียทีหนึ่ง ก็จะเอาพระเอกนางเอกที่ไหน ลงโรงกันแล้ว ตัวเหล่านี้ตัวโดยสมมุติทั้งนั้น ตัววิมุตติมีไหมล่ะ มีตัววิมุตติ มีอยู่ กายธรรมนั่นแหละ กายธรรมละเอียดนั่นแหละ เป็นตัววิมุตติละ เป็นตัวอีกเหมือนกัน แต่ว่าเป็นตัวโดยวิมุตติ กายธรรม กายธรรมละเอียดก็เป็นตัว กายโสดา โสดาละเอียดก็เป็นตัว ตัวโดยวิมุตติ กายพระสกทาคา พระสกละเอียดก็เป็นตัว ตัวโดยวิมุตติกายธรรมพระอนาคา พระอนาคาละเอียดก็เป็นตัว ตัวโดยวิมุตติกายธรรมพระอนาคา พระอนาคาละเอียดก็เป็นตัว ตัวโดยวิมมุติอีกเหมือนกัน แต่ว่ายังไม่ใช่วิราคธาตุวิราคธรรม เป็นแต่เพียง สังขตา วา อสังขตา วา เท่านั้น ตัวที่ปัจจัยปรุงแต่งได้ ตัวที่ปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ เท่านั้นเองแต่ ไม่ใช่เป็นวิราคธาตุ วิราคธรรม ไม่ใช่วิมุตติหลุดขาดทีเดียว เป็นตทังควิมุตติบ้าง วิกขัมภนวิมุตติบ้าง ไม่ถึงสมุจเฉทวิมุตติ สมุจเฉทวิมุตติก็หลุดเลยเป็น วิราคธาตุ วิราคธรรม ทีเดียว นั่นเป็นสมุจเฉทวิมุตติทีเดียว นี่ รู้จักตัวละนะ ก็รู้เท่านั้น เมื่อรู้จักตัวชนิดนี้ละก็

ดวงธรรมนั่นจริงไม่ใช่ตัว แต่ว่าเป็นที่อาศัยตัว ตัวต้องอาศัยดวงธรรมนั้น ถ้าดวงธรรมนั้นไม่มี ตัวก็ไม่มี สมมุติก็สมมุติด้วยกัน วิมุตติก็วิมุตติด้วยกัน ปัจจัยปรุงแต่งได้ก็ปรุงแต่งได้ด้วยกัน ปรุงแต่งไม่ได้ก็ไม่ได้ด้วยกัน ขาดจากปัจจัยปรุงแต่งก็ขาดด้วยกัน เพราะเป็นตัวอาศัยกันอย่างนี้
เพราะฉะนั้นท่านถึงได้ชี้ว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว เมื่อธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว ตัวก็ไม่ใช่ธรรม ธรรมก็ไม่ใช่ตัว ตัวอยู่ส่วนหนึ่ง ธรรมอยู่ส่วนหนึ่งคน ละชั้น ธรรมอยู่ดวงหนึ่งใส เท่าฟองไข่แดงของไก่อยู่กลางกายมนุษย์ ตัวมนุษย์อีกเรื่องหนึ่ง ไม่ใช่ดวงธรรมนั้น ตัวที่เป็นขึ้นก็เพราะอาศัยดวงธรรมนั้น ดวงธรรมนั้นไม่ใช่ตัว ตัวไม่ใช่ดวงธรรม เพราะฉะนั้นท่านถึงได้ยืนยันว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว มีเท่าไร ก็ไม่ใช่ตัวทั้งนั้น เรียกว่าธรรมทั้งหลาย
เมื่อรู้จักชัดดังนี้ รู้จักชัดว่าธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัว ตัวไม่ใช่ธรรม เมื่อ รู้จักจริงเสียเช่นนี้แล้ว เราก็จักตั้งใจแน่แน่วให้เข้าถึงธรรมกายให้ได้เมื่อเข้าถึงธรรมกายโคตรภู แล้ว ธรรมกายโคตรภูละเอียด เข้าถึงธรรมกายโสดา โสดาละเอียด สกทาคา สกทาคาละเอียด อนาคา อนาคาละเอียด อรหัต อรหัตละเอียด เท่านี้เราก็จะเป็นสุขเกษมสำราญเบิกบานใจ พระพุทธเจ้าไปทางไหน เราก็จะไปทางนั้น นี้เทศนาเช่นนี้สั้น ยืนยันให้เข้าใจชัดเชียว
ถ้าเทศนาให้กว้างออกไปอีก กว้างออกไปอีกนั้นเข้าใจยาก ฝ่ายสราคธาตุ สราคธรรม วิราคธาตุ วิราคธรรม สังขตธาตุ อสังขตธาตุ สังขตธรรม อสังขตธรรม เมื่อแยกออกไปแล้วมีสอง ธาตุธรรมทั้งหมด เรียกว่า วิราคธาตุ วิราคธรรม สราคธาตุ สราคธรรม แยกออกเป็นสอง วิราคธาตุ วิราคธรรม ได้แก่ ธรรมเป็นพระอรหัต พระอรหัตละเอียด นั่นเป็น วิราคธาตุ วิราคธรรมแท้ๆ ถ้า สังขต ธาตุ สังขตธรรม อสังขตธาตุ อสังขตธรรม อยู่ในสราคธาตุ สราคธรรม ทั้งนั้น ย่นลงมาเสียเท่านี้เป็นสองอย่าง สราคธาตุ สราคธรรม กับวิราคธาตุ วิราคธรรม สองอย่างเท่านั้น
เมื่อรู้จักชัดดังนี้แล้ว ธาตุนี่พิการมากมายนัก ที่มนุษย์อาศัยนี้ ธาตุย่อยๆที่เรามองเห็นไม่มีที่สุดเสียแล้ว ตาก็มองไม่มีที่สุด ธาตุ ดิน น้ำ ไฟ ลม วิญญาณ อากาศ นั้น แยกออกไป ดิน น้ำ ไฟ ลม วิญญาณ อากาศ ทั้งนั้นมองไม่มีที่สุดเป็นตึกร้าน บ้านเรือน เรือกสวนไร่นา เรือแพ นาวา เป็นสัตว์เป็นบุคคลเหล่านี้เป็นสราคธาตุ สราคธรรม พวกธาตุธรรมทั้งนั้นไม่มีที่สุดทีเดียว ถ้าให้กว้างขวางออกไปแล้ว เป็นชั้น ๆ ธาตุมีเป็นชั้น ๆ ธาตุอยู่เป็นชั้น  ๆ ไม่ใช่กว้างขวางเท่านั้น เข้าไปในกลางนะ กลางของกลางนะ กลางของกลาง ๆ ๆ ภายนอก นั่นเป็นสราคธาตุ สราคธรรม กลางเข้าไป ๆ ๆ จนกระทั่งถึงพ้นจากสราคธาตุ สราคธรรม เข้าถึงวิราคธาตุ วิราคธรรมเป็นชั้น ๆ เข้าไป ใหญ่โตหนักเข้าไปทุกที ไม่มีที่สุด เต็มธาตุ เต็มธรรมหมด ไม่มีที่ว่างเลย ที่แสดงเท่านี้ก็จบธาตุจบธรรมทั้งหมด
แต่ว่าผู้เทศน์เองก็ได้ค้นคว้าหาเหตุผลเหล่านี้นักหนา แต่ว่ายัง ไปไม่ถึงสุด ไปยังไม่สุดในวิราคธาตุ วิราคธรรม ถ้าไปสุดเวลาไรละก้อ วิชชาวัดปากน้ำ วิชชา ของผุ้เทศน์นี่สำเร็จเวลานั้นภิกษุสามเณรจะต้องเหาะ เหินเดิน อากาศได้ทันทีทีเดียว ไม่ต้องไปสงสัยละ ถ้าไปสุดวิราคธาตุ วิราคธรรมละ เวลานี้กำลังไปอยู่ ทั้งวันทั้งคืน วินาทีเดียวไม่ได้หยุดเลย ตั้งใจจะไปให้วิราคธาตุ วิราคธรรมนี่แหละ ตั้งแต่ต้นจนกระทั่งบัดนี้ นับปีได้ ๑๒ ปี กับ ๖ เดือนเศษ แล้ว ๑๒ ปี ๖ เดือนเศษแล้วเกือบครึ่งละ จะไปให้สุดวิราคธาตุ วิราคธรรมให้ได้ แต่มันยังไม่สุด แต่มันจะอีกกี่ปีไม่รู้แน่นะ ถ้าว่าสุดแล้วก็รู้ดอก ไม่ต้องสงสัยละ รู้กันหมดทั้งสากลโลก ถ้าสุดเข้าแล้วก็รบราฆ่าฟันเลิกกันหมด มนุษย์ในสากลโลกร่มเย็นเป็นสุขหมด ไม่ต้องทำมาหาเลี้ยงชีพ มีผู้เลี้ยงเสร็จ เป็นสุขเหมือนอย่างกับเหมือนอย่างกับเทวดา เหมือนกับพระนิพพาน สุขวิเศษไพศาลอย่างนั้นจะได้พบแน่ละ แต่ว่าขอให้ไปสุดวิราคธาตุ วิราคธรรมเสียก่อน
พวกเราทั้งหลายนี้ไม่ได้ไป กันเลย เฉย ๆ อยู่ มัวชมสวนดอกไม้ในโลกอยู่นี่เอง ชมรูปบ้าง เสียงบ้าง กลิ่นบ้าง รสบ้าง ก็อยู่ที่เดียวนั่นเองไม่ได้ไปไหนกับเขาเลย นี้พวกจะไปก็ภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา จะไปให้สุดวิราคธาตุ วิราคธรรม อ้าวไป ๆ ก็เลี้ยวกลับกันเสียแล้ว ไม่ไปกันจริง ๆ ไปชมสวนดอกไม้อีกแล้ว ไปเพลิดเพลินในบ้านในเรือนกันอีกแล้วอ้าวไป ๆ ก็จะไปอีกแล้ว ไป ๆ ก็กลับเสียอีกแล้ว พวกเรานี้แหละกลับกลอก ๆ อยู่อย่างนี้แหละ จะเอาตัวไม่รอด ชีวิตไม่พอ เหตุ นี้ให้พึงรู้ว่าสิ้งเหล่านี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวของเรา ก็นั่นแหละจึงจะเข้าถึงวิราคธาตุ วิราคธรรมได้ ที่จะเข้าถึงวิราคธาตุ วิราคธรรมน่ะ ต้องปล่อยชีวิตจิตใจนะ ไปรักไปห่วงอะไรไม่ได้ ปล่อยกันหมดสิ้นทีเดียวไปรักหวงใยอยู่ละก็ไปไม่ได้ไปไม่ถึงทีเดียวเด็ดขาดที เดียว ต้องทำใจหยุดนั่นแน่ จึงจะไปถูกวิราคธาตุ วิราคธรรมได้ ต้องทำใจหยุด หยุดในหยุดไม่มีถอยกัน ไม่มีกลับกันละ นั่นแหละจึงจะไปสุดได้ ถ้าใจอ่อนแอไปไม่ได้ดอก ต้องใจแข็งแกร่งทีเดียวจึงไปได้

นี่ที่ชี้แจงแสดงมานี้ ในสราคธาตุ สราคธรรม วิราคธาตุ วิราคธรรม ซึ่งมีมาในธรรมนิยามสูตร แสดงตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษาตามมตยาธิบาย เข้าถึงของจริงในธรรมนิยายสูตร ให้พินิจพิจารณา ผู้ที่สดับตรับฟังแล้ว ให้ตั้งใจแน่วแน่ว่า เราจะต้องเข้าถึงวิราคธาตุ วิราคธรรมให้ได้นี่แหละเป็นทางไปของพระพุทธเจ้าพระอรหัตด้วยประการดังนี้ ที่ได้ชี้แจงแสดงมานี้ ตามวาระพระบาลี คลี่ความเป็นสยามภาษา ตามมตยาธิบาย พอสมควรแก่เวลา เอเตน สจฺจวชฺเชน ด้วยอำนาจความสัจที่ได้อ้างธรรมปฏิบัติตั้งแต่ต้นจนอวสานนี้ สทา โสตถี ภวนฺตุ เต ขอ ความสุขสวัสดีจงบังเกิดมีแด่ท่านทั้งหลาย ที่คฤหัสถ์บรรชิตบรรดามาสโมสรในสถานที่นี้ทุกถ้วนหน้า อาตมาภาพชี้แจงแสดงมาพอสมควรแก่เวลา สมมุติว่ายุติธรรมิกถา โดยอรรถนิยมความเพียงเท่านี้ เอวํก็มีด้วยประการฉะนี้ ฯ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘