การวิเคราะห์เชิงตัวเลข 26
- เงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน (Cash Flows from Operating Activities)
เนื่องจากบริษัทสามารถสร้างเงินสดได้ด้วยหลายวิธี จึงต้องมีการแยกออกให้แน่ชัดว่าได้มาด้วยวิธีการใด งบกระแสเงินสดจึงแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ
1) เงินสดจากการดำเนินงาน
2) เงินสดจากกิจกรรมการลงทุน และ
3) เงินสดจากกิจกรรมทางการเงิน
เงินสดจากการดำเนินงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและจะบอกพวกเรานักลงทุนว่า บริษัทสามารถสร้างเงินสดได้จำนวนมากแค่ไหนจากการดำเนินงานตามปกติ (คือด้วยธุรกิจปกติที่บริษัทมีความชำนาญ - Core Business) ไม่ใช่มาจากการลงทุนอื่นหรือการกู้ยืมเงิน(สด)มา ดังนั้นตัวเลขของส่วนที่เป็นเงินสดจากการดำเนินงานจึงเป็นตัวเลขที่นักลงทุน จะต้องให้ความสำคัญที่สุดเนื่องจากเป็นตัวที่บอกว่าบริษัทสามารถทำเงินได้ แค่ไหน โดยที่ในที่สุดแล้วเงินสดส่วนนี้ก็จะกลับมาตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นหรือนักลง ทุนนั่นเอง ส่วนหลักๆ ของเงินสดจากการดำเนินงานนี้ก็เช่น
- รายได้สุทธิ
ตัวเลขนี้ได้มาโดยการดึงมาตรงๆ จากงบกำไรขาดทุน รายได้สุทธินี้เป็นตัวตั้งต้นที่จะนำมาคิดว่าบริษัทสามารถมีเงินสดได้เท่าไร จากการดำเนินงาน แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีรายการอีกจำนวนมากในงบกำไรขาดทุนที่มีผลต่อรายได้แต่ไม่มีผลกับการไหล ของเงินสด ดังนั้นรายการอื่นๆ (ที่จะพูดถึงตามหลังต่อไป) จะเป็นตัวเลขที่จะเอาเข้ามา "ช่วยปรับ" ตัวเลขรายได้สุทธินี้เพื่อให้ได้ตัวเลขของเงินสดที่บริษัทสามารถสร้างขึ้น ได้จริงๆ
- ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
ตามที่เราได้เคยพูดถึงไปแล้วในงบกำไรขาดทุน ค่าเสื่อมราคาเป็นวิธีทางบัญชีที่ใช้บันทึกการเสื่อมสภาพต่างๆ ของสมบัติต่างๆ, โรงงาน, ตึกอาคาร, เครื่องจักรต่างๆ ของบริษัท แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน แต่ค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้กระทบต่อการไหล(ออก)ของเงินสด ดังนั้นตัวเลขนี้จะถูกบวกกลับเข้าไปในตัวเลขของรายได้สุทธิ
- การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของทุนดำเนินงาน
Working Capital หรือทุนดำเนินงานนี้คำนวณได้จากสินทรัพย์หมุนเวียนลบด้วยหนี้สินหมุนเวียน ที่อยู่ในงบกำไรขาดทุน และตัวเลขนี้ก็บอกนักลงทุนเหมือนที่ชื่อของมันบอกไว้แหละครับว่าคือทุนที่ บริษัทจะต้องมีไว้เพื่อการทำงาน ดังนั้น เงินสดใดๆ ที่ใช้ไป หรือได้มาจากทุนดำเนินงานจะถูกรวมคิดไว้ใน "เงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน" ด้วย
การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในแต่ละรายการของทุนดำเนินงานจากช่วงเวลาหนึ่งไปยังอีกช่วงเวลาหนึ่งจะมีผล ต่อการไหลของเงินสดของบริษัท ตัวอย่างเช่น ตัวเลขของลูกหนี้การค้า (Account receivable อยู่ในงบดุล - บริษัทขายของให้ลูกค้า ส่งใบเก็บเงินไปให้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงิน) ของบริษัท มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในปลายปี 2553 (เทียบกับปีที่แล้ว) นี่ก็แสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการเก็บเงินจากลูกค้าน้อยกว่าที่ได้บันทึก ว่าสามารถขายได้ในทั้งปี 2553 ในงบกำไรขาดทุน ตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี คือเป็นผลเสียในเรื่องของงบกระแสเงินสด และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ "การเปลี่ยนแปลงสุทธิของทรัพย์สินหมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน" ในงบกระแสเงินสดของบริษัทเป็น "ติดลบ" แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าตัวเลขของเจ้าหนี้การค้า (Account Payable อยู่ในงบดุล - บริษัทซื้อสินค้ามา ได้รับใบแจ้งหนี้แล้วแต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน) มีขนาดเพิ่มขึ้น ก็หมายความว่าบริษัทมีความสามารถในการพยายามจ่ายเงินช้าๆ ได้ดีขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อการไหลของเงินสด
เนื่องจากบริษัทสามารถสร้างเงินสดได้ด้วยหลายวิธี จึงต้องมีการแยกออกให้แน่ชัดว่าได้มาด้วยวิธีการใด งบกระแสเงินสดจึงแบ่งออกเป็นสามส่วนคือ
1) เงินสดจากการดำเนินงาน
2) เงินสดจากกิจกรรมการลงทุน และ
3) เงินสดจากกิจกรรมทางการเงิน
เงินสดจากการดำเนินงานเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดและจะบอกพวกเรานักลงทุนว่า บริษัทสามารถสร้างเงินสดได้จำนวนมากแค่ไหนจากการดำเนินงานตามปกติ (คือด้วยธุรกิจปกติที่บริษัทมีความชำนาญ - Core Business) ไม่ใช่มาจากการลงทุนอื่นหรือการกู้ยืมเงิน(สด)มา ดังนั้นตัวเลขของส่วนที่เป็นเงินสดจากการดำเนินงานจึงเป็นตัวเลขที่นักลงทุน จะต้องให้ความสำคัญที่สุดเนื่องจากเป็นตัวที่บอกว่าบริษัทสามารถทำเงินได้ แค่ไหน โดยที่ในที่สุดแล้วเงินสดส่วนนี้ก็จะกลับมาตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นหรือนักลง ทุนนั่นเอง ส่วนหลักๆ ของเงินสดจากการดำเนินงานนี้ก็เช่น
- รายได้สุทธิ
ตัวเลขนี้ได้มาโดยการดึงมาตรงๆ จากงบกำไรขาดทุน รายได้สุทธินี้เป็นตัวตั้งต้นที่จะนำมาคิดว่าบริษัทสามารถมีเงินสดได้เท่าไร จากการดำเนินงาน แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีรายการอีกจำนวนมากในงบกำไรขาดทุนที่มีผลต่อรายได้แต่ไม่มีผลกับการไหล ของเงินสด ดังนั้นรายการอื่นๆ (ที่จะพูดถึงตามหลังต่อไป) จะเป็นตัวเลขที่จะเอาเข้ามา "ช่วยปรับ" ตัวเลขรายได้สุทธินี้เพื่อให้ได้ตัวเลขของเงินสดที่บริษัทสามารถสร้างขึ้น ได้จริงๆ
- ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย
ตามที่เราได้เคยพูดถึงไปแล้วในงบกำไรขาดทุน ค่าเสื่อมราคาเป็นวิธีทางบัญชีที่ใช้บันทึกการเสื่อมสภาพต่างๆ ของสมบัติต่างๆ, โรงงาน, ตึกอาคาร, เครื่องจักรต่างๆ ของบริษัท แม้ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน แต่ค่าเสื่อมราคาที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้กระทบต่อการไหล(ออก)ของเงินสด ดังนั้นตัวเลขนี้จะถูกบวกกลับเข้าไปในตัวเลขของรายได้สุทธิ
- การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของทุนดำเนินงาน
Working Capital หรือทุนดำเนินงานนี้คำนวณได้จากสินทรัพย์หมุนเวียนลบด้วยหนี้สินหมุนเวียน ที่อยู่ในงบกำไรขาดทุน และตัวเลขนี้ก็บอกนักลงทุนเหมือนที่ชื่อของมันบอกไว้แหละครับว่าคือทุนที่ บริษัทจะต้องมีไว้เพื่อการทำงาน ดังนั้น เงินสดใดๆ ที่ใช้ไป หรือได้มาจากทุนดำเนินงานจะถูกรวมคิดไว้ใน "เงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน" ด้วย
การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในแต่ละรายการของทุนดำเนินงานจากช่วงเวลาหนึ่งไปยังอีกช่วงเวลาหนึ่งจะมีผล ต่อการไหลของเงินสดของบริษัท ตัวอย่างเช่น ตัวเลขของลูกหนี้การค้า (Account receivable อยู่ในงบดุล - บริษัทขายของให้ลูกค้า ส่งใบเก็บเงินไปให้แล้ว แต่ยังไม่ได้รับเงิน) ของบริษัท มีตัวเลขที่เพิ่มขึ้นในปลายปี 2553 (เทียบกับปีที่แล้ว) นี่ก็แสดงว่าบริษัทมีความสามารถในการเก็บเงินจากลูกค้าน้อยกว่าที่ได้บันทึก ว่าสามารถขายได้ในทั้งปี 2553 ในงบกำไรขาดทุน ตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี คือเป็นผลเสียในเรื่องของงบกระแสเงินสด และเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ "การเปลี่ยนแปลงสุทธิของทรัพย์สินหมุนเวียนและหนี้สินหมุนเวียน" ในงบกระแสเงินสดของบริษัทเป็น "ติดลบ" แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าตัวเลขของเจ้าหนี้การค้า (Account Payable อยู่ในงบดุล - บริษัทซื้อสินค้ามา ได้รับใบแจ้งหนี้แล้วแต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน) มีขนาดเพิ่มขึ้น ก็หมายความว่าบริษัทมีความสามารถในการพยายามจ่ายเงินช้าๆ ได้ดีขึ้น ก็จะเป็นผลดีต่อการไหลของเงินสด