การวิเคราะห์เชิงตัวเลข 23

ดูส่วนของหนี้สิน

13. หนี้สินต่างๆ รวมทั้งหนี้สินระยะสั้นที่จะต้องครบกำหนดชำระในหนึ่งปี ประกอบไปด้วยหลายส่วนเช่น เจ้าหนี้การค้าคือหนี้สินที่บริษัทซื้อของเครดิตมาและได้รับใบแจ้งหนี้แล้ว, ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายคือหนี้ที่ต้องจ่ายแต่ยังไม่ได้รับใบแจ้งหนี้, และหนี้สินหมุนเวียนอื่นๆ ซึ่งคือหนี้ระยะสั้นอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่ในสองแบบข้างต้น หนี้พวกนี้เป็นหนี้สินปกติ แต่ให้นักลงทุนระวังหนี้สินระยะสั้นที่เบิกมาเป็นตัวเงินสดให้ดี ดูข้อ 14 ต่อไปครับ
14. เนื่องจากโดยปกติแล้ว ดอกเบี้ยเงินกู้ระยะสั้น จะต่ำกว่าเงินกู้ระยะยาว บางบริษัทรวมทั้งพวกสถาบันการเงิน เลยทำการกู้หนี้ระยะสั้นมาเพื่อใช้งานระยะยาว ปัญหาจึงอาจจะเกิดขึ้นได้เมื่อการลงทุนระยะยาวนั้นยังไม่คืนทุน แต่ถึงกำหนดที่จะต้องใช้หนี้เงินต้นและบริษัทยังหาเงินกู้ก้อนใหม่เพื่อมาชด ใช้หนี้เดิมไม่ได้ทำให้ธุรกิจขาดสภาพคล่อง ซึ่งเป็นสภาพที่อันตรายมาก ดังนั้นนักลงทุนจะต้องพยายามหลีกเลี่ยงบริษัทที่มีหนี้สินระยะสั้นมากๆ แล้วเอาเงินไปลงทุนระยะยาว (ดูยากสักหน่อย แต่ขอให้พยายามดูก็แล้วกัน)
15. บริษัทที่แข็งแกร่ง และมีความสามารถในการแข่งขันสูง ไม่ควรจะมีหนี้สินที่จะครบกำหนดชำระในหนึ่งปีก้อนโต แต่ถ้าหนี้สินนั้นเป็นการกู้มาเพื่อใช้หนี้เพียงชั่วคราว ก็อาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการได้ซื้อหุ้นของบริษัทนั้นในราคาถูก เนื่องจากนักลงทุนทั่วไปจะตกใจที่กำไรของบริษัทลดลงอย่างมากเพราะว่าต้องใช้ หนี้ก้อนใหญ่ แต่ก็เป็นเพียงเหตุการณ์เพียงครั้งเดียว
16. จำนวนรวมของหนี้สินหมุนเวียนต่ำๆ เป็นสิ่งที่ดี (เพราะทำให้ทุนดำเนินกิจการหรือ working capital สูงได้จากสินทรัพย์หมุนเวียนจำนวนเดิม - ดูข้อ 1)
17. บริษัทที่แข็งแกร่งในการแข่งขัน (ไม่ต้องปรับปรุงอะไรมากมายนัก) จะมีหนี้สินระยะยาวต่ำ และสามารถชดใช้ได้ (ถ้าจะทำ) ด้วยผลกำไรภายในเวลา 3-4 ปี
18. จะมีบริษัทบางอย่างที่มีความแข็งแกร่งมากแต่ก็มีหนี้สินระยะยาวมาก ในกรณีแบบนี้เราควรพิจาณาซื้อหุ้นกู้ของบริษัทนั้นจะดีกว่า เพราะว่าบริษัทจะต้องวุ่นวายกับการหาเงินมาใช้หนี้ จะไม่ค่อยมีเวลาจัดการงานให้เติบโตได้มากนัก
19. ยังมีหนี้สินอื่นๆ จิปาถะเช่น ภาษีเงินได้รอตัดบัญชี (ไม่น่าสนใจมาก), ส่วนของผู้ถือหุ้นส่วนน้อย (เอาไว้ดุลกับทรัพย์สินของบริษัทร่วม), หนี้อื่นๆ (ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไรนัก แต่ไม่ควรมีจำนวนมากจนผิดสังเกต)
20. สัดส่วนระหว่างหนี้สินต่อทุน (Debt/Equity ratio) ไม่ควรเกิน 0.8 แต่บางบริษัทอาจจะนำเงินสดทั้งหมดไปใช้ในการซื้อหุ้นคืน หรือเพื่อสร้างมูลค่าอื่นๆ โดยบริษัทไม่สนใจจะถือเงินสดไว้เนื่องจากมีความแข็งแกร่งมาก (เครดิตดี ยืมเงินใครเขาก็ให้ ว่างั้นเหอะ) ทำให้ D/E ดูแย่มากก็มี นักลงทุนจะต้องดูดีๆ ด้วย คือดูงบกำไรขาดทุนประกอบด้วยว่าเป็นบริษัทที่สามารถทำกำไรได้สูงมากหรือไม่

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘