ตอนที่ 85. เพลิงสวาทเผาทัพโจโฉ
โจอันบิ๋นหลานคู่ใจฟังคำโจโฉแล้วก็รู้ใจจึงกล่าวว่าที่ตึกรับรองแขกเมืองอีกหลังหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เห็นสตรีรูปโฉมสะคราญต้องตามที่ท่านอาปรารถนา ข้าพเจ้าได้สืบถามมาก่อนแล้วได้ความว่าเป็นภรรยาของเตียวเจ และเป็นอาสะใภ้ของเตียวสิ้ว บัดนี้เตียวเจตายแล้ว นางจึงเป็นหม้ายอยู่
โจโฉได้ฟังว่ามีสตรีงามต้องตามรสนิยมตัว อารมณ์คึกคะนองและฮึกเหิมด้วยแรงสุรา ขาดความคำนึงถึงธรรมเนียมประเพณีว่าเตียวเจเพิ่งตายไม่ทันถึงปี ความปรารถนานั้นอาจกระทบต่อความรู้สึกและสัมพันธ์ระหว่างเมืองของเตียวสิ้ว ผสมเข้ากับความใคร่ที่ค่อย ๆ กำเริบเพราะจากเมืองหลวงมานานวัน กลายเป็นพายุที่ฮือโหมทำให้เพลิงแห่งความพิศวาสคุโชนโชติช่วงบดบังสติปัญญาไปสิ้น โจโฉจึงสั่งให้โจอันบิ๋นนำทหารห้าสิบคนไปเอาตัวภรรยาม่ายของเตียวเจมาที่พักในค่ำวันนั้น
โจอันบิ๋นคุมทหารห้าสิบคนไปถึงเรือนพักรับรองของภรรยาม่ายของเตียวเจแล้ว เชิญตัวภรรยาม่ายของเตียวเจนั้นมายังที่พักของโจโฉ
โจโฉครั้นเห็นสตรีมีเสน่ห์รูปงามต้องตามรสนิยมก็ดีใจยิ่งนัก โซเซลุกขึ้นไปจูงเอาภรรยาม่ายของเตียวเจเข้ามานั่งอยู่ด้วยกันแล้วถามว่าเจ้านี้มีชื่อใด สตรีนั้นจึงตอบว่าข้าพเจ้าชื่อเจ๋าซือเป็นภรรยาม่ายของเตียวเจและเป็นอาสะใภ้ของเตียวสิ้ว
โจโฉรินสุราให้นางเจ๋าซือและถามต่อไปว่าเจ้ารู้จักเราหรือไม่ นางเจ๋าซือจึงตอบว่าชื่อเสียงของท่านก้องกำจรทั่วทั้งแผ่นดิน ข้าพเจ้าได้ยินแต่กิตติศัพท์ท่านมาช้านาน ได้มีโอกาสมาคารวะท่านในวันนี้เป็นบุญของข้าพเจ้ายิ่งนัก ว่าแล้วนางเจ๋าซือก็ส่งจอกสุราคารวะแก่โจโฉ
โจโฉหัวเราะดังสนั่น รับสุราจากนางเจ๋าซือมาดื่มแล้วว่าเตียวสิ้วคิดจะยกกองทัพไปทำอันตรายเราที่เมืองฮูโต๋ เราจึงยกกองทัพมาจะกำจัดเตียวสิ้วเสียและจะประหารเสียให้สิ้นทั้งโคตรวงศ์พงศ์สา แต่เราเห็นแก่หน้าเจ้าจึงยอมรับการสวามิภักดิ์ คนทั้งปวงจึงได้รอดตายเพราะตัวเจ้านี่แล้ว
คำพูดของคนเมามักจะเป็นเช่นนี้ ความจริงในขณะรับสวามิภักดิ์ โจโฉยังไม่เคยพบเห็นรู้จักนางเจ๋าซือ จึงเป็นการรับสวามิภักดิ์เพราะเห็นแก่หน้านาง เจ๋าซือกระไรได้ โจโฉพล่ามกล่าวความทั้งนี้เพื่อจะยกย่องเอาใจนางเจ๋าซือด้วยฤทธิ์แรงแห่งความเสน่หา ต้องการให้นางเจ๋าซือยินยอมพร้อมใจด้วยเท่านั้น
นางเจ๋าซือเป็นคนเคยการจึงว่า ท่านยกโทษให้แก่เตียวสิ้วและญาติพี่น้องทั้งสิ้นนั้นเป็นพระคุณหาที่สุดมิได้ ว่าแล้วก็รินสุราส่งให้แก่โจโฉเป็นการแสดงคารวะอีกจอกหนึ่ง โจโฉก็หัวเราะแล้วรับสุรามาดื่มแล้วว่าตัวเจ้านี้มีเสน่ห์งดงามต้องใจเรายิ่งนัก ผิวกายเจ้ายามต้องประทีปแห่งราตรีนี้ยากแล้วจะหาสตรีใดในแผ่นดินมาเทียมเท่า หากเราจะรับเจ้าเป็นภรรยาแล้วพาไปอยู่เมืองฮูโต๋ให้เสพสุขมิสิ้น เจ้าจะมีความเห็นเป็นประการใด
นางเจ๋าซือลุกขึ้นคำนับโจโฉแล้วว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีมีบุญวาสนาบารมีแผ่ปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดิน เมืองอ้วนเซียนี้เป็นสิทธิอยู่แก่ท่าน ตัวข้าพเจ้าเป็นแต่ราษฎรของเมืองอ้วนเซียจึงย่อมเป็นสิทธิอยู่แก่ท่านด้วย ข้าพเจ้าหามีสิทธิที่จะตัดสินใจประการใดไม่ การทั้งปวงสุดแท้แต่ใจของท่านจะเมตตาเถิด
โจโฉได้ยินคำนางเจ๋าซือ มีลักษณะยินยอมโอนอ่อนผ่อนตามใจจึงไล่ทหารและคนรับใช้ให้ออกไปอยู่นอกเรือนรับรอง แล้วประคองนางเจ๋าซือพาเข้าไปที่ห้องอันรโหฐานแต่ค่ำนั้น
โจโฉครองอำนาจใหญ่ในแผ่นดิน ไม่ว่าไปแห่งหนตำบลใด บรรดาขุนนางข้าราชการที่รู้ใจนายก็จะแสวงหาสตรีอันแรกรุ่นมาปรนเปรอทำความชอบไว้แก่ตัว ดรุณีแรกรุ่นเหล่านั้นแม้เป็นหญ้าอ่อน แต่ความไม่เคยการและความอับอายที่มีประจำตัวแต่อิสตรีจึงมักบิดพลิ้วผลักไสด้วยความไม่คุ้นเคยและเจ็บกลัว จึงทำให้หญ้าอ่อนเกิดเสี้ยนทำลายแรงปรารถนาให้บรรเทาลง ผิดกับนางเจ๋าซือซึ่งมีวัยถึงสี่สิบ แต่กระนั้นความมีโฉมสะคราญ รู้จักการทะนุถนอมกล่อมบำรุงร่างกายให้วิไล ทั้งเป็นคนเคยการและผ่านวันเวลาที่เป็นม่าย จึงคล้ายดั่งดินหน้าแล้ง แตกระแหงรอฝนโปรยมาให้เกิดความชุ่มฉ่ำ
ความปรารถนาของทั้งสองต้องกันดั่งนี้ การก็เป็นไปคล้ายกับเมื่อครั้งที่หนุมานได้ตัวนางสุวรรณกันยุมา ซึ่งรามเกียรติ์ว่าไว้ว่า
“เกี่ยวกระหวัดรัดรึงตรึงตรา วิญญาณ์ด่าวดิ้นแดยัน
พระสมุทรตีฟองนองระลอก กระทบฝั่งกระฉอกสะเทือนลั่น
วาฬใหญ่พ่นน้ำอยู่เป็นควัน ฝนสวรรค์ตกทั่วสาคร
สองร่วมภิรมย์สมพาส แสนสวาทในรสสโมสร
แสนสุข แสนเกษม สถาวร เหนือที่จะบรรจถรณ์ในราตรี”
โจโฉเคยแต่เสพหญ้าอ่อนและถูกเสี้ยนตำปากเป็นเนืองนิจ ครั้นพบกับจริตแห่งนางเจ๋าซือ กระดังงาดอกงามแห่งเมืองอ้วนเซียก็เปรมใจ สัมผัสถึงซึ่งความแตกต่างระหว่างดรุณีแรกรุ่นกับกระดังงาลนไฟดอกนี้ว่าเป็นดังเมื่อครั้งขุนแผนเปรมรสสวาทนางสายทองว่าล้ำเลิศเหนือกว่านางพิมพิลาไลยกุหลาบแรกเริ่มแย้มว่า
“สมพาสพิมดุจริมแม่น้ำตื้น ไม่มีคลื่นแต่ระลอกกระฉอกฉาว
ปะสายทองดุจต้องพายุว่าว พอออกอ่าวก็ล่มจมลงไป”
โจโฉได้รับการปรนเปรอจากนางเจ๋าซือจนอิ่มหนำสำราญ ถึงเวลาใกล้สางก็พากันหลับไหล ตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็พ้นเพลาเที่ยง นางเจ๋าซือตื่นก่อนเกิดความรู้สึกนึกละอายเกรงว่าเตียวสิ้วผู้เป็นหลานจะทราบความ จึงนั่งซึมเศร้ารออยู่ที่หน้าเตียง พอ โจโฉตื่นขึ้นนางเจ๋าซือจึงว่า ข้าพเจ้าตกเป็นภรรยาท่านทั้ง ๆ ที่เตียวเจผู้สามีเพิ่งตายได้ไม่ทันนาน ความครหานินทาว่าล่วงประเพณีจะมีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ไม่อาจสู้หน้าผู้คนทั้งปวงในเมืองนี้ได้อีกต่อไป ขอท่านได้เมตตาพาข้าพเจ้าไปอยู่ที่อื่นเถิด อนึ่งเตียวสิ้วนั้นเป็นคนเคร่งครัดประเพณี หากรู้ความเข้าแล้วก็จะน้อยใจในตัวท่านว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่คิดถึงน้ำใจของผู้น้อย
โจโฉจึงว่าความที่เจ้าว่ามาทั้งนี้ชอบด้วยเหตุและผลต้องด้วยความคิดเรา บ่ายวันนี้เราจะพาเจ้าไปอยู่ที่ค่ายนอกเมือง แล้วโจโฉจึงสั่งให้ทหารลอบพานางเจ๋าซือไปพักที่ค่ายบัญชาการนอกเมือง และใกล้พลบค่ำตัวโจโฉก็ขึ้นม้าพาทหารออกจากเมืองอ้วนเซียไปอยู่ที่ค่ายนอกแล้วสั่งให้เตียนอุยทหารองครักษ์พิทักษ์รักษาหน้าค่ายห้ามผู้คนเข้าออก ยกเว้นแต่กรณีที่โจโฉจะเรียกหาเท่านั้น
โจโฉ “ทุกค่ำเช้าเฝ้าสีซอล่อกามา” อยู่แต่ในค่ายกับนางเจ๋าซือ มิได้ออกตรวจตรากองทหารหรือว่าราชการตามปกติ นางเจ๋าซือก็ปรนเปรอความสุขด้วยกลกามจนโจโฉลุ่มหลงไม่คิดที่จะยกกลับไปเมืองฮูโต๋
ฝ่ายเตียวสิ้วครั้นเห็นโจโฉไม่ได้ออกว่าราชการเป็นเวลาหลายวัน และได้ยกกลับออกไปอยู่ ณ ค่ายนอกเมืองก็สงสัย ประกอบทั้งคนรับใช้ได้เข้ามารายงานว่าทหารของโจโฉได้มารับตัวนางเจ๋าซือไปที่เรือนรับรองจนบัดนี้ยังไม่กลับ เตียวสิ้วได้สืบทราบจนได้ความชัดว่า โจโฉได้นางเจ๋าซืออาสะใภ้ไว้เป็นภรรยาแล้วพาออกไปอยู่นอกเมืองก็น้อยใจนัก ยิ่งคิดถึงขนบธรรมเนียมประเพณีก็โกรธโจโฉหาว่าหยามเหยียดเกียรติแห่งตระกูล “เตียว”
เตียวสิ้วยิ่งคิดก็ยิ่งอาย ยิ่งอายก็ยิ่งแค้น จึงให้หากาเซี่ยงมาปรึกษาเล่าความทั้งปวงให้กาเซี่ยงฟังแล้วว่า โจโฉทำการทั้งนี้ดูหมิ่นข้าพเจ้าและตระกูล “เตียว” ยิ่งนัก หากข้าพเจ้าไม่แก้แค้นครั้งนี้ ไม่มีหน้าที่จะพาดวงวิญญาณไปพบบรรพบุรุษในปรโลก แม้ยามมีชีวิตอยู่ก็ไม่กล้าแบกหน้าพบผู้คนได้อีกต่อไป ขอท่านได้เมตตาช่วยข้าพเจ้าคิดอ่านแก้แค้นโจโฉแทนข้าพเจ้าด้วยเถิด
กาเซี่ยงจึงว่า โจโฉยกมาทั้งนี้มีทหารมาด้วยจำนวนมาก ท่านอย่าเพิ่งวู่วามร้อนใจไป ข้าพเจ้าจะคิดอุบายให้ท่านยกทหารไปตั้งประชิดตัวโจโฉไว้ ครั้นได้ทีแล้วก็จะจับตัวโจโฉมาสังหารเสีย แล้วเสนอว่าให้ท่านแจ้งแก่โจโฉว่าทหารที่เกณฑ์มาใหม่นั้นไม่เกรงกลัวท่าน พากันหลบหนีไปเป็นอันมาก ดังนั้นจึงขอเอาทหารใหม่ยกไปอยู่ใกล้กับค่าย โจโฉ จะได้เกรงบุญบารมีไม่หลบหนีต่อไป ถ้าโจโฉอนุญาตแล้วก็จะจับตัวโจโฉได้โดยสะดวก
เตียวสิ้วเห็นพ้องกับความคิดของกาเซี่ยง รุ่งขึ้นจึงออกไปหาโจโฉ ณ ค่ายนอกเมือง เตียนอุยจึงเข้าไปรายงานให้โจโฉทราบ โจโฉก็อนุญาตให้เตียวสิ้วเข้าไปพบ ครั้นเตียวสิ้วได้กระทำคารวะอย่างธรรมเนียมแล้ว จึงว่ากับโจโฉตามคำของกาเซี่ยงทุกประการ โจโฉทำความผิดรู้ความผิดอยู่แต่ในใจก็อนุญาตตามที่ต้องการ เป็นการเอาใจ เตียวสิ้วกลบความผิดของตัว
เตียวสิ้วกลับมาจากค่ายโจโฉแล้วจึงพาทหารยกเข้าไปอยู่ในกองทัพโจโฉ ตั้งค่ายไว้ตามมุมค่ายของโจโฉทั้งสี่ด้าน แต่กระนั้นยังไม่เห็นช่องทำการ เพราะเตียนอุยองครักษ์ของโจโฉมีสง่าน่าเกรงขาม ทั้งรักษาค่ายด้วยความระมัดระวัง เตียวสิ้วจึงหาเฮาเฉียนายทหารคนสนิทมาปรึกษาว่าจะทำประการใดจึงจะฝ่าเตียนอุยเข้าไปถึงตัวโจโฉได้
เฮาเฉียจึงว่า ข้าพเจ้าสามารถแบกเหล็กได้ถึงห้าร้อยชั่ง แข็งแรงมิได้เป็นรองเตียนอุย และยังสามารถเดินทางได้ถึงวันละเจ็ดพันเส้น เกรงอยู่ก็แต่ทวนคู่ของเตียนอุยเท่านั้น จึงขอให้ท่านเชิญเตียนอุยมาเลี้ยงโต๊ะมอมสุรา ข้าพเจ้าจะฉวยโอกาสปลอมเข้าไปลักเอาทวนคู่นั้นเสีย เตียนอุยก็จะกลายเป็นเสือไร้เขี้ยวเล็บ ดังนี้ก็จะจับตัวโจโฉได้โดยง่าย
เตียวสิ้วเห็นด้วยกับแผนการของเฮาเฉีย จึงให้กาเซี่ยงไปเชิญเตียนอุยมากินโต๊ะ ครั้นทราบว่าเตียนอุยรับคำเชิญแล้ว จึงสั่งทหารทั้งสี่ค่ายให้เตรียมตัวพร้อมอาวุธ หากได้ยินเสียงประทัดสัญญาณก็ให้ยกเข้าไปจับตัวโจโฉพร้อมกัน
ครั้นถึงเวลานัด เตียนอุยก็มา ณ ค่ายของเตียวสิ้ว กินโต๊ะและเสพสุราโดยมิได้สงสัยจนเมามาย จนใกล้พลบค่ำเสร็จงานเลี้ยงเตียวสิ้วจึงให้ทหารช่วยพยุงเตียนอุยกลับไปค่าย เตียนอุยเมาสุราไม่ได้สติกลับถึงค่ายแล้วก็หลับไหลอยู่ริมประตูค่าย จากนั้นเฮาเฉียจึงปลอมตัวเข้าไปลักเอาทวนคู่ประจำกายของเตียนอุยแล้วเอาไปทิ้งไว้ด้านหลังค่าย
เตียวสิ้วเห็นการสมความคิดจึงเรียกนายทหารมาสั่งการ กำหนดวิธีการตอบโต้ในตอนเคลื่อนย้ายกำลังเป็นที่เข้าใจดีแล้วจึงสั่งให้ยกทหารไปที่ค่ายโจโฉพร้อมกัน
ขณะนั้นโจโฉยังคงเสพสุราเคล้าคลออยู่กับนางเจ๋าซือ ได้ยินเสียงทหารอึกทึกจึงให้ทหารออกไปดู ทหารกลับมารายงานว่าเป็นทหารของเตียวสิ้วกำลังสับเปลี่ยนเวรยาม โจโฉก็มิได้สงสัย
อีกครู่หนึ่งทหารเฝ้าค่ายก็เข้ามารายงานอีกว่า เกวียนบรรทุกหญ้าม้าหลังค่ายติดไฟอยู่ โจโฉกำลังเพลินอารมณ์อยู่กับนางเจ๋าซือ นึกรำคาญทหารที่เพียงแค่เห็นไฟไหม้หญ้าม้าก็แส่เข้ามารายงานในยามหน้าเหล้าหน้านางเช่นนี้ จึงตวาดใส่ทหารนั้นแล้วว่า ทหารหุงข้าว ไฟไหม้หญ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักใช้ความคิดแก้ไขดับไฟ
ทหารนั้นยินน้ำเสียงไม่พอใจของโจโฉก็ตกใจกลัวรีบคารวะแล้วถอยกลับออกไปนอกค่าย แต่พอออกมานอกค่ายได้ยินเสียงประทัดดังขึ้น แล้วเพลิงก็ลุกขึ้นรอบค่ายทั้งสี่ด้าน
โจโฉได้ยินเสียงประทัดและได้ยินเสียงทหารวิ่งอยู่นอกค่ายเป็นจำนวนมากก็ตกใจ รีบร้องเรียกเตียนอุยแต่ไม่มีเสียงขานรับ โจโฉรีบออกมาดูที่ประตูค่ายเห็นเตียนอุยเพิ่งตื่นงัวเงียอยู่ และเห็นเพลิงไหม้ค่ายโชติช่วงขึ้นทั้งสี่ด้านและทหารของเตียวสิ้วก็พากันบุกเข้ามาที่หน้าค่ายก็ยิ่งตกใจ รีบวิ่งกลับเข้าไปในค่าย เอากระบี่ฟันผนังค่ายแล้วขึ้นม้าพาโจอันบิ๋นผู้หลานหนีออกไปทางด้านหลังค่ายนั้น
ขณะนั้นเตียนอุยตื่นขึ้นแล้ว เห็นไฟไหม้ค่ายและทหารเตียวสิ้วพากันกรูเข้ามาก็ตกใจมิทันใส่เกราะ คว้าหาทวนสำหรับมือก็ไม่พบ ทหารเตียวสิ้วก็เข้ามาใกล้ถึงตัว เตียนอุยจึงแย่งเอาดาบของทหารเลวเข้าต่อสู้สกัดทหารของเตียวสิ้วมิให้เข้าไปในค่าย เตียนอุยฆ่าทหารเตียวสิ้วประมาณยี่สิบห้าคน ทหารของเตียวสิ้วก็พากันถอยมาคุมเชิงอยู่
ทหารของเตียวสิ้วอีกสองกองได้บุกเข้ามาทางด้านหลังค่าย หักเข้าไปล้อมเตียนอุยไว้ ใช้ทวนแทงและใช้ดาบฟันเตียนอุยจนบาดเจ็บ แต่เตียนอุยก็มิได้ท้อถอยใช้ดาบต่อสู้ด้วยทหารของเตียวสิ้วจนดาบบิ่นและหักสะบั้นลง เตียนอุยจึงฉวยเอาศพทหารเตียวสิ้วข้างละคนเข้าต่อสู้ป้องกันตัว และเอาศพฟาดถูกทหารเตียวสิ้วล้มตายอีกร่วมสิบคน ทหารเตียวสิ้วสู้ไม่ได้ก็พากันถอยออกไปแล้วใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงจนลูกเกาทัณฑ์เสียบเต็มทั่วร่าง เตียนอุยก็ยังยืนปักหลักมั่นอยู่ ทหารเตียวสิ้วคนหนึ่งเข้ามาทางด้านหลังเอาทวนแทงทะลุอกด้านซ้ายเตียนอุยขาดใจตาย ขณะที่สิ้นใจนั้นศพเตียนอุยยืนพิงประตูค่ายอยู่ ทหารเตียวสิ้วไม่รู้ว่าเตียนอุยตาย ต่างคนต่างกลัวฝีมือไม่กล้าบุกเข้าไปในค่าย
เพลิงที่ไหม้ค่ายโจโฉในครั้งนี้ ต้นเหตุสมุทฐานที่แท้จริงเกิดจากเพลิงสวาทที่เผาผลาญในใจของโจโฉก่อน จึงลุกลามกลายเป็นเพลิงที่ผลาญทัพโจโฉจนหมดสิ้น.
โจโฉได้ฟังว่ามีสตรีงามต้องตามรสนิยมตัว อารมณ์คึกคะนองและฮึกเหิมด้วยแรงสุรา ขาดความคำนึงถึงธรรมเนียมประเพณีว่าเตียวเจเพิ่งตายไม่ทันถึงปี ความปรารถนานั้นอาจกระทบต่อความรู้สึกและสัมพันธ์ระหว่างเมืองของเตียวสิ้ว ผสมเข้ากับความใคร่ที่ค่อย ๆ กำเริบเพราะจากเมืองหลวงมานานวัน กลายเป็นพายุที่ฮือโหมทำให้เพลิงแห่งความพิศวาสคุโชนโชติช่วงบดบังสติปัญญาไปสิ้น โจโฉจึงสั่งให้โจอันบิ๋นนำทหารห้าสิบคนไปเอาตัวภรรยาม่ายของเตียวเจมาที่พักในค่ำวันนั้น
โจอันบิ๋นคุมทหารห้าสิบคนไปถึงเรือนพักรับรองของภรรยาม่ายของเตียวเจแล้ว เชิญตัวภรรยาม่ายของเตียวเจนั้นมายังที่พักของโจโฉ
โจโฉครั้นเห็นสตรีมีเสน่ห์รูปงามต้องตามรสนิยมก็ดีใจยิ่งนัก โซเซลุกขึ้นไปจูงเอาภรรยาม่ายของเตียวเจเข้ามานั่งอยู่ด้วยกันแล้วถามว่าเจ้านี้มีชื่อใด สตรีนั้นจึงตอบว่าข้าพเจ้าชื่อเจ๋าซือเป็นภรรยาม่ายของเตียวเจและเป็นอาสะใภ้ของเตียวสิ้ว
โจโฉรินสุราให้นางเจ๋าซือและถามต่อไปว่าเจ้ารู้จักเราหรือไม่ นางเจ๋าซือจึงตอบว่าชื่อเสียงของท่านก้องกำจรทั่วทั้งแผ่นดิน ข้าพเจ้าได้ยินแต่กิตติศัพท์ท่านมาช้านาน ได้มีโอกาสมาคารวะท่านในวันนี้เป็นบุญของข้าพเจ้ายิ่งนัก ว่าแล้วนางเจ๋าซือก็ส่งจอกสุราคารวะแก่โจโฉ
โจโฉหัวเราะดังสนั่น รับสุราจากนางเจ๋าซือมาดื่มแล้วว่าเตียวสิ้วคิดจะยกกองทัพไปทำอันตรายเราที่เมืองฮูโต๋ เราจึงยกกองทัพมาจะกำจัดเตียวสิ้วเสียและจะประหารเสียให้สิ้นทั้งโคตรวงศ์พงศ์สา แต่เราเห็นแก่หน้าเจ้าจึงยอมรับการสวามิภักดิ์ คนทั้งปวงจึงได้รอดตายเพราะตัวเจ้านี่แล้ว
คำพูดของคนเมามักจะเป็นเช่นนี้ ความจริงในขณะรับสวามิภักดิ์ โจโฉยังไม่เคยพบเห็นรู้จักนางเจ๋าซือ จึงเป็นการรับสวามิภักดิ์เพราะเห็นแก่หน้านาง เจ๋าซือกระไรได้ โจโฉพล่ามกล่าวความทั้งนี้เพื่อจะยกย่องเอาใจนางเจ๋าซือด้วยฤทธิ์แรงแห่งความเสน่หา ต้องการให้นางเจ๋าซือยินยอมพร้อมใจด้วยเท่านั้น
นางเจ๋าซือเป็นคนเคยการจึงว่า ท่านยกโทษให้แก่เตียวสิ้วและญาติพี่น้องทั้งสิ้นนั้นเป็นพระคุณหาที่สุดมิได้ ว่าแล้วก็รินสุราส่งให้แก่โจโฉเป็นการแสดงคารวะอีกจอกหนึ่ง โจโฉก็หัวเราะแล้วรับสุรามาดื่มแล้วว่าตัวเจ้านี้มีเสน่ห์งดงามต้องใจเรายิ่งนัก ผิวกายเจ้ายามต้องประทีปแห่งราตรีนี้ยากแล้วจะหาสตรีใดในแผ่นดินมาเทียมเท่า หากเราจะรับเจ้าเป็นภรรยาแล้วพาไปอยู่เมืองฮูโต๋ให้เสพสุขมิสิ้น เจ้าจะมีความเห็นเป็นประการใด
นางเจ๋าซือลุกขึ้นคำนับโจโฉแล้วว่า ท่านอัครมหาเสนาบดีมีบุญวาสนาบารมีแผ่ปกคลุมทั่วทั้งแผ่นดิน เมืองอ้วนเซียนี้เป็นสิทธิอยู่แก่ท่าน ตัวข้าพเจ้าเป็นแต่ราษฎรของเมืองอ้วนเซียจึงย่อมเป็นสิทธิอยู่แก่ท่านด้วย ข้าพเจ้าหามีสิทธิที่จะตัดสินใจประการใดไม่ การทั้งปวงสุดแท้แต่ใจของท่านจะเมตตาเถิด
โจโฉได้ยินคำนางเจ๋าซือ มีลักษณะยินยอมโอนอ่อนผ่อนตามใจจึงไล่ทหารและคนรับใช้ให้ออกไปอยู่นอกเรือนรับรอง แล้วประคองนางเจ๋าซือพาเข้าไปที่ห้องอันรโหฐานแต่ค่ำนั้น
โจโฉครองอำนาจใหญ่ในแผ่นดิน ไม่ว่าไปแห่งหนตำบลใด บรรดาขุนนางข้าราชการที่รู้ใจนายก็จะแสวงหาสตรีอันแรกรุ่นมาปรนเปรอทำความชอบไว้แก่ตัว ดรุณีแรกรุ่นเหล่านั้นแม้เป็นหญ้าอ่อน แต่ความไม่เคยการและความอับอายที่มีประจำตัวแต่อิสตรีจึงมักบิดพลิ้วผลักไสด้วยความไม่คุ้นเคยและเจ็บกลัว จึงทำให้หญ้าอ่อนเกิดเสี้ยนทำลายแรงปรารถนาให้บรรเทาลง ผิดกับนางเจ๋าซือซึ่งมีวัยถึงสี่สิบ แต่กระนั้นความมีโฉมสะคราญ รู้จักการทะนุถนอมกล่อมบำรุงร่างกายให้วิไล ทั้งเป็นคนเคยการและผ่านวันเวลาที่เป็นม่าย จึงคล้ายดั่งดินหน้าแล้ง แตกระแหงรอฝนโปรยมาให้เกิดความชุ่มฉ่ำ
ความปรารถนาของทั้งสองต้องกันดั่งนี้ การก็เป็นไปคล้ายกับเมื่อครั้งที่หนุมานได้ตัวนางสุวรรณกันยุมา ซึ่งรามเกียรติ์ว่าไว้ว่า
“เกี่ยวกระหวัดรัดรึงตรึงตรา วิญญาณ์ด่าวดิ้นแดยัน
พระสมุทรตีฟองนองระลอก กระทบฝั่งกระฉอกสะเทือนลั่น
วาฬใหญ่พ่นน้ำอยู่เป็นควัน ฝนสวรรค์ตกทั่วสาคร
สองร่วมภิรมย์สมพาส แสนสวาทในรสสโมสร
แสนสุข แสนเกษม สถาวร เหนือที่จะบรรจถรณ์ในราตรี”
โจโฉเคยแต่เสพหญ้าอ่อนและถูกเสี้ยนตำปากเป็นเนืองนิจ ครั้นพบกับจริตแห่งนางเจ๋าซือ กระดังงาดอกงามแห่งเมืองอ้วนเซียก็เปรมใจ สัมผัสถึงซึ่งความแตกต่างระหว่างดรุณีแรกรุ่นกับกระดังงาลนไฟดอกนี้ว่าเป็นดังเมื่อครั้งขุนแผนเปรมรสสวาทนางสายทองว่าล้ำเลิศเหนือกว่านางพิมพิลาไลยกุหลาบแรกเริ่มแย้มว่า
“สมพาสพิมดุจริมแม่น้ำตื้น ไม่มีคลื่นแต่ระลอกกระฉอกฉาว
ปะสายทองดุจต้องพายุว่าว พอออกอ่าวก็ล่มจมลงไป”
โจโฉได้รับการปรนเปรอจากนางเจ๋าซือจนอิ่มหนำสำราญ ถึงเวลาใกล้สางก็พากันหลับไหล ตื่นขึ้นอีกครั้งหนึ่งก็พ้นเพลาเที่ยง นางเจ๋าซือตื่นก่อนเกิดความรู้สึกนึกละอายเกรงว่าเตียวสิ้วผู้เป็นหลานจะทราบความ จึงนั่งซึมเศร้ารออยู่ที่หน้าเตียง พอ โจโฉตื่นขึ้นนางเจ๋าซือจึงว่า ข้าพเจ้าตกเป็นภรรยาท่านทั้ง ๆ ที่เตียวเจผู้สามีเพิ่งตายได้ไม่ทันนาน ความครหานินทาว่าล่วงประเพณีจะมีแก่ข้าพเจ้าเป็นอันมาก ไม่อาจสู้หน้าผู้คนทั้งปวงในเมืองนี้ได้อีกต่อไป ขอท่านได้เมตตาพาข้าพเจ้าไปอยู่ที่อื่นเถิด อนึ่งเตียวสิ้วนั้นเป็นคนเคร่งครัดประเพณี หากรู้ความเข้าแล้วก็จะน้อยใจในตัวท่านว่าเป็นผู้ใหญ่ไม่คิดถึงน้ำใจของผู้น้อย
โจโฉจึงว่าความที่เจ้าว่ามาทั้งนี้ชอบด้วยเหตุและผลต้องด้วยความคิดเรา บ่ายวันนี้เราจะพาเจ้าไปอยู่ที่ค่ายนอกเมือง แล้วโจโฉจึงสั่งให้ทหารลอบพานางเจ๋าซือไปพักที่ค่ายบัญชาการนอกเมือง และใกล้พลบค่ำตัวโจโฉก็ขึ้นม้าพาทหารออกจากเมืองอ้วนเซียไปอยู่ที่ค่ายนอกแล้วสั่งให้เตียนอุยทหารองครักษ์พิทักษ์รักษาหน้าค่ายห้ามผู้คนเข้าออก ยกเว้นแต่กรณีที่โจโฉจะเรียกหาเท่านั้น
โจโฉ “ทุกค่ำเช้าเฝ้าสีซอล่อกามา” อยู่แต่ในค่ายกับนางเจ๋าซือ มิได้ออกตรวจตรากองทหารหรือว่าราชการตามปกติ นางเจ๋าซือก็ปรนเปรอความสุขด้วยกลกามจนโจโฉลุ่มหลงไม่คิดที่จะยกกลับไปเมืองฮูโต๋
ฝ่ายเตียวสิ้วครั้นเห็นโจโฉไม่ได้ออกว่าราชการเป็นเวลาหลายวัน และได้ยกกลับออกไปอยู่ ณ ค่ายนอกเมืองก็สงสัย ประกอบทั้งคนรับใช้ได้เข้ามารายงานว่าทหารของโจโฉได้มารับตัวนางเจ๋าซือไปที่เรือนรับรองจนบัดนี้ยังไม่กลับ เตียวสิ้วได้สืบทราบจนได้ความชัดว่า โจโฉได้นางเจ๋าซืออาสะใภ้ไว้เป็นภรรยาแล้วพาออกไปอยู่นอกเมืองก็น้อยใจนัก ยิ่งคิดถึงขนบธรรมเนียมประเพณีก็โกรธโจโฉหาว่าหยามเหยียดเกียรติแห่งตระกูล “เตียว”
เตียวสิ้วยิ่งคิดก็ยิ่งอาย ยิ่งอายก็ยิ่งแค้น จึงให้หากาเซี่ยงมาปรึกษาเล่าความทั้งปวงให้กาเซี่ยงฟังแล้วว่า โจโฉทำการทั้งนี้ดูหมิ่นข้าพเจ้าและตระกูล “เตียว” ยิ่งนัก หากข้าพเจ้าไม่แก้แค้นครั้งนี้ ไม่มีหน้าที่จะพาดวงวิญญาณไปพบบรรพบุรุษในปรโลก แม้ยามมีชีวิตอยู่ก็ไม่กล้าแบกหน้าพบผู้คนได้อีกต่อไป ขอท่านได้เมตตาช่วยข้าพเจ้าคิดอ่านแก้แค้นโจโฉแทนข้าพเจ้าด้วยเถิด
กาเซี่ยงจึงว่า โจโฉยกมาทั้งนี้มีทหารมาด้วยจำนวนมาก ท่านอย่าเพิ่งวู่วามร้อนใจไป ข้าพเจ้าจะคิดอุบายให้ท่านยกทหารไปตั้งประชิดตัวโจโฉไว้ ครั้นได้ทีแล้วก็จะจับตัวโจโฉมาสังหารเสีย แล้วเสนอว่าให้ท่านแจ้งแก่โจโฉว่าทหารที่เกณฑ์มาใหม่นั้นไม่เกรงกลัวท่าน พากันหลบหนีไปเป็นอันมาก ดังนั้นจึงขอเอาทหารใหม่ยกไปอยู่ใกล้กับค่าย โจโฉ จะได้เกรงบุญบารมีไม่หลบหนีต่อไป ถ้าโจโฉอนุญาตแล้วก็จะจับตัวโจโฉได้โดยสะดวก
เตียวสิ้วเห็นพ้องกับความคิดของกาเซี่ยง รุ่งขึ้นจึงออกไปหาโจโฉ ณ ค่ายนอกเมือง เตียนอุยจึงเข้าไปรายงานให้โจโฉทราบ โจโฉก็อนุญาตให้เตียวสิ้วเข้าไปพบ ครั้นเตียวสิ้วได้กระทำคารวะอย่างธรรมเนียมแล้ว จึงว่ากับโจโฉตามคำของกาเซี่ยงทุกประการ โจโฉทำความผิดรู้ความผิดอยู่แต่ในใจก็อนุญาตตามที่ต้องการ เป็นการเอาใจ เตียวสิ้วกลบความผิดของตัว
เตียวสิ้วกลับมาจากค่ายโจโฉแล้วจึงพาทหารยกเข้าไปอยู่ในกองทัพโจโฉ ตั้งค่ายไว้ตามมุมค่ายของโจโฉทั้งสี่ด้าน แต่กระนั้นยังไม่เห็นช่องทำการ เพราะเตียนอุยองครักษ์ของโจโฉมีสง่าน่าเกรงขาม ทั้งรักษาค่ายด้วยความระมัดระวัง เตียวสิ้วจึงหาเฮาเฉียนายทหารคนสนิทมาปรึกษาว่าจะทำประการใดจึงจะฝ่าเตียนอุยเข้าไปถึงตัวโจโฉได้
เฮาเฉียจึงว่า ข้าพเจ้าสามารถแบกเหล็กได้ถึงห้าร้อยชั่ง แข็งแรงมิได้เป็นรองเตียนอุย และยังสามารถเดินทางได้ถึงวันละเจ็ดพันเส้น เกรงอยู่ก็แต่ทวนคู่ของเตียนอุยเท่านั้น จึงขอให้ท่านเชิญเตียนอุยมาเลี้ยงโต๊ะมอมสุรา ข้าพเจ้าจะฉวยโอกาสปลอมเข้าไปลักเอาทวนคู่นั้นเสีย เตียนอุยก็จะกลายเป็นเสือไร้เขี้ยวเล็บ ดังนี้ก็จะจับตัวโจโฉได้โดยง่าย
เตียวสิ้วเห็นด้วยกับแผนการของเฮาเฉีย จึงให้กาเซี่ยงไปเชิญเตียนอุยมากินโต๊ะ ครั้นทราบว่าเตียนอุยรับคำเชิญแล้ว จึงสั่งทหารทั้งสี่ค่ายให้เตรียมตัวพร้อมอาวุธ หากได้ยินเสียงประทัดสัญญาณก็ให้ยกเข้าไปจับตัวโจโฉพร้อมกัน
ครั้นถึงเวลานัด เตียนอุยก็มา ณ ค่ายของเตียวสิ้ว กินโต๊ะและเสพสุราโดยมิได้สงสัยจนเมามาย จนใกล้พลบค่ำเสร็จงานเลี้ยงเตียวสิ้วจึงให้ทหารช่วยพยุงเตียนอุยกลับไปค่าย เตียนอุยเมาสุราไม่ได้สติกลับถึงค่ายแล้วก็หลับไหลอยู่ริมประตูค่าย จากนั้นเฮาเฉียจึงปลอมตัวเข้าไปลักเอาทวนคู่ประจำกายของเตียนอุยแล้วเอาไปทิ้งไว้ด้านหลังค่าย
เตียวสิ้วเห็นการสมความคิดจึงเรียกนายทหารมาสั่งการ กำหนดวิธีการตอบโต้ในตอนเคลื่อนย้ายกำลังเป็นที่เข้าใจดีแล้วจึงสั่งให้ยกทหารไปที่ค่ายโจโฉพร้อมกัน
ขณะนั้นโจโฉยังคงเสพสุราเคล้าคลออยู่กับนางเจ๋าซือ ได้ยินเสียงทหารอึกทึกจึงให้ทหารออกไปดู ทหารกลับมารายงานว่าเป็นทหารของเตียวสิ้วกำลังสับเปลี่ยนเวรยาม โจโฉก็มิได้สงสัย
อีกครู่หนึ่งทหารเฝ้าค่ายก็เข้ามารายงานอีกว่า เกวียนบรรทุกหญ้าม้าหลังค่ายติดไฟอยู่ โจโฉกำลังเพลินอารมณ์อยู่กับนางเจ๋าซือ นึกรำคาญทหารที่เพียงแค่เห็นไฟไหม้หญ้าม้าก็แส่เข้ามารายงานในยามหน้าเหล้าหน้านางเช่นนี้ จึงตวาดใส่ทหารนั้นแล้วว่า ทหารหุงข้าว ไฟไหม้หญ้าเป็นเรื่องเล็กน้อย ไฉนเจ้าจึงไม่รู้จักใช้ความคิดแก้ไขดับไฟ
ทหารนั้นยินน้ำเสียงไม่พอใจของโจโฉก็ตกใจกลัวรีบคารวะแล้วถอยกลับออกไปนอกค่าย แต่พอออกมานอกค่ายได้ยินเสียงประทัดดังขึ้น แล้วเพลิงก็ลุกขึ้นรอบค่ายทั้งสี่ด้าน
โจโฉได้ยินเสียงประทัดและได้ยินเสียงทหารวิ่งอยู่นอกค่ายเป็นจำนวนมากก็ตกใจ รีบร้องเรียกเตียนอุยแต่ไม่มีเสียงขานรับ โจโฉรีบออกมาดูที่ประตูค่ายเห็นเตียนอุยเพิ่งตื่นงัวเงียอยู่ และเห็นเพลิงไหม้ค่ายโชติช่วงขึ้นทั้งสี่ด้านและทหารของเตียวสิ้วก็พากันบุกเข้ามาที่หน้าค่ายก็ยิ่งตกใจ รีบวิ่งกลับเข้าไปในค่าย เอากระบี่ฟันผนังค่ายแล้วขึ้นม้าพาโจอันบิ๋นผู้หลานหนีออกไปทางด้านหลังค่ายนั้น
ขณะนั้นเตียนอุยตื่นขึ้นแล้ว เห็นไฟไหม้ค่ายและทหารเตียวสิ้วพากันกรูเข้ามาก็ตกใจมิทันใส่เกราะ คว้าหาทวนสำหรับมือก็ไม่พบ ทหารเตียวสิ้วก็เข้ามาใกล้ถึงตัว เตียนอุยจึงแย่งเอาดาบของทหารเลวเข้าต่อสู้สกัดทหารของเตียวสิ้วมิให้เข้าไปในค่าย เตียนอุยฆ่าทหารเตียวสิ้วประมาณยี่สิบห้าคน ทหารของเตียวสิ้วก็พากันถอยมาคุมเชิงอยู่
ทหารของเตียวสิ้วอีกสองกองได้บุกเข้ามาทางด้านหลังค่าย หักเข้าไปล้อมเตียนอุยไว้ ใช้ทวนแทงและใช้ดาบฟันเตียนอุยจนบาดเจ็บ แต่เตียนอุยก็มิได้ท้อถอยใช้ดาบต่อสู้ด้วยทหารของเตียวสิ้วจนดาบบิ่นและหักสะบั้นลง เตียนอุยจึงฉวยเอาศพทหารเตียวสิ้วข้างละคนเข้าต่อสู้ป้องกันตัว และเอาศพฟาดถูกทหารเตียวสิ้วล้มตายอีกร่วมสิบคน ทหารเตียวสิ้วสู้ไม่ได้ก็พากันถอยออกไปแล้วใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงจนลูกเกาทัณฑ์เสียบเต็มทั่วร่าง เตียนอุยก็ยังยืนปักหลักมั่นอยู่ ทหารเตียวสิ้วคนหนึ่งเข้ามาทางด้านหลังเอาทวนแทงทะลุอกด้านซ้ายเตียนอุยขาดใจตาย ขณะที่สิ้นใจนั้นศพเตียนอุยยืนพิงประตูค่ายอยู่ ทหารเตียวสิ้วไม่รู้ว่าเตียนอุยตาย ต่างคนต่างกลัวฝีมือไม่กล้าบุกเข้าไปในค่าย
เพลิงที่ไหม้ค่ายโจโฉในครั้งนี้ ต้นเหตุสมุทฐานที่แท้จริงเกิดจากเพลิงสวาทที่เผาผลาญในใจของโจโฉก่อน จึงลุกลามกลายเป็นเพลิงที่ผลาญทัพโจโฉจนหมดสิ้น.