ตอนที่ 637. เชื่อคำผีก็ต้องเป็นผี
สุมาเจียวรู้สภาพเมืองเสฉวนว่าวิปริตแปรปรวนเสื่อมทรุด เปรียบประดุจดังบ้านซึ่งผุทั้งหลัง หรือต้นไม้ใหญ่แต่ไร้รากแก้ว จึงตั้งจงโฮยเป็นแม่ทัพใหญ่ ให้เตงงายเป็นปลัดทัพ ยกไปตีเอาเมืองเสฉวน กำหนดเป้าหมายยึดครองเมืองฮันต๋งเป็นลำดับแรก แต่ก่อนที่เตงงายจะเคลื่อนทัพได้บังเกิดนิมิตฝันประหลาด จึงตกใจตื่น และเรียกเซียวหลวนเข้ามาพบ ถามว่าฝันทั้งนี้ดีร้ายประการใด
เซียวหลวนไต่ถามเตงงายว่าท่านฝันเวลากี่โมงยาม เตงงายบอกว่า ข้าพเจ้าฝันครั้งนี้เป็นเวลายามใกล้จะสาง เซียวหลวนจึงว่าความฝันของคนเรานั้นเกิดแต่เหตุสี่ประการคือ เหตุจากบุพนิมิตตามที่ได้ทำกรรมดีหรือชั่วไว้แต่ก่อน แล้วกรรมนั้นย้อนมาแสดงนิมิตให้ปรากฏสถานหนึ่ง เหตุจากจิตนิวรณ์เพราะมีความรำลึกถึงใคร่ครวญ ตรึกตรองเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่งผูกพันจิตทั้งยามหลับและยามตื่น เรื่องราวที่ผูกพันในจิตนั้นจึงบังเกิดนิวรณ์นิมิตขึ้นสถานหนึ่ง เหตุจากเทพยดาสังหรณ์เกิดแต่ผู้เป็นใหญ่มีบุญญาธิการมีเทพยดาอารักษ์คุ้มครอง หรือตกไปอยู่ในที่อันมีเทพารักษ์รักษา บันดาลนิมิตให้ปรากฏในความฝันถึงเหตุการณ์อันจะบังเกิดในภายหน้าสถานหนึ่ง เหตุจากธาตุโขภะอันเกิดแต่การกินดื่มมากน้อยผิดสำแดง ทำให้ธาตุในกายแปรปรวน บังคับจิตประสาทให้เกิดความฝันอีกสถานหนึ่ง รวมเป็นสี่สถานดังนี้
เซียวหลวนกล่าวสืบไปว่า ความฝันอันเกิดจากบุพนิมิตบังเกิดได้ทุกเวลาในขณะหลับ แต่มักเกิดในยามก่อนจะใกล้รุ่ง จิตนิวรณ์นั้นเป็นความฝันที่บังเกิดในยามแรกหรือยามกลางแห่งราตรี เทพยดาสังหรณ์เป็นความฝันที่บังเกิดยามใกล้จะสาง ส่วนธาตุโขภะมักจะบังเกิดในชั่วสองชั่วยามหลังจากดื่มกินแล้ว เหตุนี้ความฝันท่านจึงเป็น เทพยดาสังหรณ์ บอกนิมิตลางเบื้องหน้าให้ปรากฏ
เตงงายนิ่งฟังด้วยความสนใจและไต่ถามสืบไปว่าซึ่งข้าพเจ้าฝันอันเกิดแต่เทพยดาสังหรณ์ดังนี้จะมีความหมายร้ายแลดีประการใด
เซียวหลวนจึงว่า ซึ่งท่านฝันว่ายืนอยู่บนภูเขา มองลงไปเบื้องล่างเห็นเมืองฮันต๋งนั้นเป็นนิมิตหมายมงคลว่าความสำเร็จอยู่เบื้องทิศอีสาน ท่านยกไปทำการครั้งนี้เห็นจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกได้ถึงเมืองเสฉวนเป็นมั่นคง แต่ซึ่งฝันเห็นน้ำพุปรากฏขึ้นจากแผ่นดินนั้น น้ำมีความหมายถึงทิศทักษิณ เป็นกาลกิณีแก่ทิศหรดีคือเมืองลกเอี๋ยงจึงเป็นอัปมงคล มีความหมายว่าถึงแม้ท่านจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกแล้วเห็นจะไม่ได้กลับคืนเมืองลกเอี๋ยงอีก
เตงงายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด คะเนการณ์เบื้องหน้าว่าอนาคตตัวจะเป็นประการใด แต่จะคิดใคร่ครวญประการใดก็ไม่เห็นเหตุข้างหน้าว่าจะเป็นไปดังที่เซียวหลวนได้ทำนายความฝันนั้น เตงงายนิ่งอึ้งอยู่เป็นครู่ใหญ่
ทันใดนั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่า ท่านแม่ทัพจงโฮยได้ใช้ทหารให้ถือหมายมาแจ้งให้ท่านเร่งยกกองทัพไปบรรจบพร้อมกันที่เมืองฮันต๋ง
เตงงายจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วกล่าวว่าซึ่งจะยกไปตีเมืองฮันต๋งนั้นเกียงอุยยังตั้งกองทัพอยู่ที่แดนเมืองหลงเส รู้ข่าวแล้วก็จะยกกองทัพกลับไปช่วยเมืองฮันต๋งได้ จำจะคิดป้องกันสกัดเกียงอุยไว้ให้ได้ก่อน ดังนั้นจึงให้จูกัดสูคุมทหารหมื่นห้าพันคนยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าระหว่างทางเมืองหลงเสจะกลับไปเมืองฮันต๋ง คอยสกัดกองทัพเกียงอุยไม่ให้ยกไปช่วยเมืองฮันต๋งได้ ให้อองกิ๋นคุมทหารหมื่นห้าพันยกไปรบติดพันเกียงอุยไว้ที่ด้านหน้าค่ายในแดนเมืองหลงเส ให้คันห่องคุมทหารอีกหมื่นห้าพันคนยกไปรบติดพันเกียงอุยไว้ทางด้านหลังค่าย และให้ เอียวหัวคุมทหารหมื่นห้าพันคนเป็นกองหนุนคอยช่วยเหลือจูกัดสูและอองกิ๋น ตัวเตงงายจะคุมทหารสามหมื่นยกไปที่เมืองฮันต๋งโดยตรง
ครั้นแม่ทัพนายกองทั้งปวงรับคำสั่ง คำนับลาออกไปแล้ว เตงงายจึงแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าออกไปที่กองทหาร จัดแจงกำลังพลและศาสตราวุธ ครั้นการทั้งปวงพร้อมแล้วจึงเคลื่อนทัพไปตามแผนการ
ฝ่ายเกียงอุยตั้งกองทัพอยู่ที่แดนเมืองหลงเส ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าวุยก๊กเตรียมจะยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวน เป็นกองทัพใหญ่ จึงรีบทำใบบอกเข้าไปเมืองเสฉวน กราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ และขอให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการตั้งให้เตียวเอ๊กคุมทหารไปรักษาด่านแฮบังก๋วน และให้เลียวฮัวคุมทหารไปรักษาสะพานศิลาข้ามหุบเหวปลายช่องแคบอิมเป๋ง ถ้าหากรักษาจุดยุทธศาสตร์ทั้งสองนี้ไว้ได้ข้าศึกก็ไม่อาจทำอันตรายแก่จ๊กก๊กได้ อนึ่งนั้นขอให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนแต่งราชทูตจำเริญพระราชสาส์นไปยังเมืองกังตั๋ง ขอให้จัดกองทัพยกมาช่วยรบเป็นสองกอง กองหนึ่งให้บุกตีวุยก๊กขึ้นมาจากทิศใต้ อีกกองหนึ่งให้ยกมาช่วยรบที่ด่านแฮบังก๋วน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยสิริราชสมบัติอยู่บนจอกสุรา เคียงข้างด้วยมหาขันที ฮุยโฮทุกวันเวลาด้วยความเบิกบานสำราญพระทัย ไม่คำนึงถึงราชการแผ่นดินและทุกข์สุขของราษฎร ครั้นทรงทราบว่าเกียงอุยแต่งฎีกาขึ้นมาถวาย จึงโปรดให้ขันทีอ่านฎีกาของเกียงอุยให้ฟัง ครั้นทราบความแล้วแทนที่จะทรงเรียกประชุมปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่และแม่ทัพนายกองในเมืองเสฉวน กลับรับสั่งให้หาฮุยโฮขันทีเข้ามาปรึกษาว่าเกียงอุยแต่งฎีกามาถวายครั้งนี้จะจัดการประการใด
ฮุยโฮขอรับเอาฎีกามาอ่าน ทราบความแล้วจึงกราบทูลว่าเกียงอุยมีความน้อยใจว่าพระองค์ไม่โปรดให้ยกกองทัพไปตีวุยก๊ก จึงคิดอ่านพาทหารไปตั้งอยู่ที่แดนเมืองหลงเส แต่ความกระหายศึกยังไม่สร่างสิ้นจึงบังอาจกราบทูลความอันเป็นเท็จ ทำให้พระองค์ทรงหวาดวิตกแล้วโปรดเกล้าให้เกียงอุยเป็นแม่ทัพรบกับ วุยก๊กอีก ซึ่งเกียงอุยมีฎีกาฉบับนี้มาถวายเป็นเพียงกลอุบายหาความชอบให้แก่ตนเองเท่านั้น ข้าพระองค์ทราบว่าชาววุยก๊กเกรงกลัวพระบารมี ไหนเลยจะกล้ายกกองทัพมารุกราน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลของฮุยโฮดังนั้นจึงทรงยกจอกน้ำจัณฑ์ขึ้นมาเสวย แล้วตรัสว่าที่มหาขันทีกล่าวมาทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ทำไฉนจะมั่นใจว่าข้าศึกจะไม่ยกมารุกราน
ฮุยโฮขันทีจึงกราบทูลว่า ในแดนเมืองเอ๊กจิ๋วนี้มีคนทรงเจ้าผู้หนึ่งเป็นผู้หญิงชื่อว่าสูโป๋ว ศักดิ์สิทธิ์แม่นยำนัก กิตติศัพท์เลื่องลือเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง ดังนั้นถ้าหากพระองค์จะทรงทราบความเป็นไปในเบื้องหน้า ข้าพระองค์ก็จะพาคนทรงเจ้ามาทำพิธีเข้าทรงเพื่อพระองค์จะได้ทราบความที่จะเป็นไป
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รับสั่งให้ฮุยโฮรีบไปตามสูโป๋วคนทรงเจ้าเข้าผีเข้ามาเฝ้าเป็นการด่วน แล้วตั้งการพิธีที่ห้องโถงของพระตำหนักที่ประทับ พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงจุดธูปเทียนบวงสรวงบูชาเทพยดา ในขณะที่ยายหมอผีถอดรองเท้า สยายผม ถือกระบี่ชูขึ้นฟ้า ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าแท่นพิธี พอพระเจ้า เล่าเสี้ยนจุดธูปเทียนปักเสร็จแล้วจึงเสด็จไปประทับนั่งบนพระราชอาสน์
ครู่หนึ่งยายแม่มดหมอผีมีอาการตัวสั่นเทิ้ม กระโดดโลดเต้นร่ายรำรอบแท่นบูชา กวัดแกว่งกระบี่ไปมาด้วยท่าทางแปลกประหลาด ส่งเสียงครางพึมพำฮือ ๆ ฮา ๆ เหมือนกับคนถูกผีเข้า
ฮุยโฮเห็นดังนั้นจึงกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ขณะนี้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สิงสถิตประทับทรงแล้ว เนื่องจากการแผ่นดินซึ่งจะปรึกษานั้นเป็นความลับ ขอได้โปรดขับขันทีนางกำนัลออกไปจากห้องโถงเสียก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็รับสั่งตามคำทูลของฮุยโฮ
ครั้นคนทั้งปวงออกไปจากห้องโถงแล้ว ฮุยโฮจึงกราบทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนถวายสักการะต่อวิญญาณซึ่งเข้าทรง แล้วฮุยโฮจึงถามว่าท่านเป็นผู้ใด
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุความตอนนี้ว่า “อาจารย์หญิงเฒ่าตะโกนร้องว่าข้าคือเทพารักษ์แห่งเมืองเสฉวน พระองค์ทรงมีแผ่นดินสันติสุขอันสำราญพระทัย ไฉนจะต้องมาขอถามเรื่องอื่น ภายหลังไม่กี่ปีดินแดนวุยก๊กก็จะตกเป็นของพระองค์อยู่แล้ว พระองค์จงอย่าทรงพระกังวล”
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่า “พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นยายท้าวเข้ามาถึงแล้ว เสด็จออกจุดธูปเทียนคำนับ ยายท้าวรับเครื่องสังเวยแล้วสยายผม รำเพลงกระบี่ต่าง ๆ ตามวิสัยเคยทำมาแต่ก่อน ครั้นอารักษ์ลงแล้วจึงบอกแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าเราเป็นพระเสื้อเมืองท่าน ท่านให้เชิญเรามานี้มีธุระประการใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า บัดนี้มีหนังสือมาบอกว่าข้าศึกยกมาจะตีเมืองเรานั้นจะจริงหรือมิจริงประการใด ยายท้าวจึงบอกว่าซึ่งข้าศึกยกมานี้หามาจริงไม่ ท่านอย่าคิดวิตกเลย อันบ้านเมืองของเรานี้จะอยู่เย็นเป็นสุขอยู่ หาเป็นอันตรายไม่ นานไปเมืองวุยก๊กจะมานบนอบแก่ท่าน ว่าดังนั้นแล้วก็ล้มลง อารักษ์ก็ออกจากตัว”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นได้ฟังคำแม่มดหมอผีต้องด้วยพระทัยก็ทรงมีพระทัยยินดี ตรัสสั่งให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่ยายท้าวหมอผีเป็นอันมาก แล้วรับสั่งกับฮุยโฮขันทีว่า เสียแรงที่ท่านพ่อมหาอุปราชไว้วางใจเกียงอุย สิกลับมิซื่อคิดหลอกลวงเราเล่า หลังจากนั้นแล้วพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มิได้เชื่อฟังเกียงอุยอีกเลย แต่ละวันทรงพระเกษมสำราญพระทัยด้วยน้ำจัณฑ์และขันทีอยู่แต่ในที่พระตำหนัก มิได้เสด็จออกว่าราชการ
ฝ่ายเกียงอุยเมื่อได้ส่งฎีกาขึ้นไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว ไม่เห็นมีหมายรับสั่งป้องกันเมืองเสฉวนประการใด ในขณะที่หน่วยสอดแนมก็รายงานความเข้ามาเป็นระยะว่า กองทัพวุยก๊กได้เคลื่อนออกจากที่ตั้ง จะยกมาโจมตีเมืองฮันต๋งแล้ว จึงแต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลอีกหลายครั้ง
ฎีกาของเกียงอุยทุกฉบับตกไปอยู่ในมือของมหาขันทีฮุยโฮ จึงถูกฮุยโฮกักเก็บไว้จนหมดสิ้น มิได้นำความกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ แต่ละวันตั้งหน้าปรนเปรอปรนนิบัติเอาพระทัยพระเจ้าเล่าเสี้ยนจนถึงขนาด
ฝ่ายจงโฮยเคลื่อนทัพมาตามเส้นทางลัดตามแผนที่ภูมิประเทศซึ่งได้สำรวจตรวจตราไว้เป็นอย่างดี จะตรงไปตีเอาเมืองฮันต๋ง กองทัพของจงโฮยยกไปตามทางซึ่งเคาหงีบุตรเคาทูได้คุมทหารช่างเป็นกองหน้าบุกเบิกเส้นทางไว้อย่างราบรื่น จนกระทั่งเคาหงีคุมทหารช่างกองหน้ายกล่วงเข้าถึงหน้าด่านแดนเมืองลำเต๋ง
เคาหงีคุมกองหน้าอย่างราบรื่นมาโดยตลอดจึงฮึกเหิมว่าทหารเมืองเสฉวนไม่กล้าต่อสู้ จึงคิดจะตีเอาด่านเป็นความชอบ ครั้นคิดดังนั้นแล้วจึงปรึกษากับบรรดานายทหารว่าเรายกมาทำการทั้งนี้ยังไม่เคยปะทะกับข้าศึกแม้แต่หนเดียว ด่านหน้าเมืองลำเต๋งนี้เป็นด่านน้อย เห็นจะยึดได้โดยง่าย ความชอบจะมีแก่พวกเราเป็นอันมาก ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็พากันเห็นด้วย เคาหงีจึงยกกำลังจะหักเข้าตีเอาด่าน
ฝ่ายล่อซุนซึ่งเป็นนายด่านหน้าแดนเมืองลำเต๋ง ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพหน้าของวุยก๊กกำลังยกตรงมาที่ด่าน จึงสั่งเกณฑ์พลเกาทัณฑ์กลยกไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางซึ่งจะยกมาที่ด่าน คอยทีข้าศึกอยู่ พอเห็นกองหน้าของทหารวุยก๊กยกล่วงเข้ามาถึงจุดซุ่ม ล่อซุนจึงจุดประทัดสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ ทหารจ๊กก๊กซึ่งตั้งอยู่ในที่ซุ่มจึงระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์กลเป็นห่าฝน ถูกทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ทหารวุยก๊กถูกโจมตีด้วยห่าเกาทัณฑ์กลซึ่งยิงได้ครั้งละสิบดอกตามตำราของขงเบ้งบาดเจ็บล้มตายลงดุจใบไม้ร่วง เคาหงีเห็นดังนั้นก็ตกใจ ไม่อาจรุกฝ่าคืบหน้าไปได้ และเห็นทหารที่เหลือแตกตื่นหนีตายเอาตัวรอด จึงพาทหารที่เหลือถอยร่นไปถึงกองทัพหลวงของจงโฮย เคาหงีจึงเข้าไปรายงานความให้จงโฮยทราบทุกประการ
จงโฮยได้ทราบรายงานว่าทหารจ๊กก๊กยิงเกาทัณฑ์ได้ครั้งละสิบลูกพุ่งมาราวห่าฝนก็รู้สึกแปลกประหลาดใจ ไม่เชื่อคำเคาหงีคิดว่าเป็นการแก้ตัวเพื่อให้พ้นผิด จึงพาทหารม้าองครักษ์สวมเกราะเหล็กร้อยนายรุดหน้าไปดู และเร่งให้กองทัพรีบยกตามไป
จงโฮยพากองทหารม้าไปถึงจุดซุ่มก็ถูกระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์กลสมดังคำของเคาหงี แต่เพราะเหตุที่มีเกราะเหล็กคุ้มกำบังตัวจึงไม่เป็นอันตราย พลานุภาพของเกาทัณฑ์กลแม้ไม่อาจทะลุทะลวงเกราะเหล็กได้ แต่เมื่อถูกหน้าและม้า ทหารองครักษ์ของจงโฮยก็พากันแตกตื่นตกใจและได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน
จงโฮยเห็นจะบุกรุดหน้าไปไม่ได้จึงพาทหารถอยกลับ แต่พอขึ้นไปบนสะพานข้ามหนองน้ำแห่งหนึ่งสะพานพลันหักทลายลง จงโฮยและม้ากับทหารซึ่งติดตามพลัดตกลงไปในหนองน้ำ เห็นล่อซุนคุมทหารออกจากจุดซุ่ม ระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์และพาทหารดาหน้าเข้ามา
จงโฮยเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบตะเกียกตะกายขึ้นจากหนองน้ำ ล่อซุนเห็นได้ทีจึงขี่ม้าตรงเข้าไปหาจงโฮยแล้วเงื้อทวนจะแทง ในพลันนั้นล่อซุนก็ร้องขึ้นสุดเสียงเพราะถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกหน้าผากพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
จงโฮยหวิดหวุดจะถูกสังหาร ครั้นเห็นเหตุการณ์พลิกผันและได้ยินเสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องยกหนุนมาช่วยก็มีความยินดี พอปีนขึ้นมาจากหนองน้ำได้เห็น ซุนไคนายทหารรองกำลังเก็บคันเกาทัณฑ์และคุมทหารรุดมาถึง ก็รู้ว่าผู้ที่ช่วยชีวิตยามคับขันคือซุนไคผู้นี้.
เซียวหลวนไต่ถามเตงงายว่าท่านฝันเวลากี่โมงยาม เตงงายบอกว่า ข้าพเจ้าฝันครั้งนี้เป็นเวลายามใกล้จะสาง เซียวหลวนจึงว่าความฝันของคนเรานั้นเกิดแต่เหตุสี่ประการคือ เหตุจากบุพนิมิตตามที่ได้ทำกรรมดีหรือชั่วไว้แต่ก่อน แล้วกรรมนั้นย้อนมาแสดงนิมิตให้ปรากฏสถานหนึ่ง เหตุจากจิตนิวรณ์เพราะมีความรำลึกถึงใคร่ครวญ ตรึกตรองเรื่องราวอย่างใดอย่างหนึ่งผูกพันจิตทั้งยามหลับและยามตื่น เรื่องราวที่ผูกพันในจิตนั้นจึงบังเกิดนิวรณ์นิมิตขึ้นสถานหนึ่ง เหตุจากเทพยดาสังหรณ์เกิดแต่ผู้เป็นใหญ่มีบุญญาธิการมีเทพยดาอารักษ์คุ้มครอง หรือตกไปอยู่ในที่อันมีเทพารักษ์รักษา บันดาลนิมิตให้ปรากฏในความฝันถึงเหตุการณ์อันจะบังเกิดในภายหน้าสถานหนึ่ง เหตุจากธาตุโขภะอันเกิดแต่การกินดื่มมากน้อยผิดสำแดง ทำให้ธาตุในกายแปรปรวน บังคับจิตประสาทให้เกิดความฝันอีกสถานหนึ่ง รวมเป็นสี่สถานดังนี้
เซียวหลวนกล่าวสืบไปว่า ความฝันอันเกิดจากบุพนิมิตบังเกิดได้ทุกเวลาในขณะหลับ แต่มักเกิดในยามก่อนจะใกล้รุ่ง จิตนิวรณ์นั้นเป็นความฝันที่บังเกิดในยามแรกหรือยามกลางแห่งราตรี เทพยดาสังหรณ์เป็นความฝันที่บังเกิดยามใกล้จะสาง ส่วนธาตุโขภะมักจะบังเกิดในชั่วสองชั่วยามหลังจากดื่มกินแล้ว เหตุนี้ความฝันท่านจึงเป็น เทพยดาสังหรณ์ บอกนิมิตลางเบื้องหน้าให้ปรากฏ
เตงงายนิ่งฟังด้วยความสนใจและไต่ถามสืบไปว่าซึ่งข้าพเจ้าฝันอันเกิดแต่เทพยดาสังหรณ์ดังนี้จะมีความหมายร้ายแลดีประการใด
เซียวหลวนจึงว่า ซึ่งท่านฝันว่ายืนอยู่บนภูเขา มองลงไปเบื้องล่างเห็นเมืองฮันต๋งนั้นเป็นนิมิตหมายมงคลว่าความสำเร็จอยู่เบื้องทิศอีสาน ท่านยกไปทำการครั้งนี้เห็นจะมีชัยชนะแก่ข้าศึกได้ถึงเมืองเสฉวนเป็นมั่นคง แต่ซึ่งฝันเห็นน้ำพุปรากฏขึ้นจากแผ่นดินนั้น น้ำมีความหมายถึงทิศทักษิณ เป็นกาลกิณีแก่ทิศหรดีคือเมืองลกเอี๋ยงจึงเป็นอัปมงคล มีความหมายว่าถึงแม้ท่านจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกแล้วเห็นจะไม่ได้กลับคืนเมืองลกเอี๋ยงอีก
เตงงายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด คะเนการณ์เบื้องหน้าว่าอนาคตตัวจะเป็นประการใด แต่จะคิดใคร่ครวญประการใดก็ไม่เห็นเหตุข้างหน้าว่าจะเป็นไปดังที่เซียวหลวนได้ทำนายความฝันนั้น เตงงายนิ่งอึ้งอยู่เป็นครู่ใหญ่
ทันใดนั้นทหารรักษาการณ์ได้เข้ามารายงานว่า ท่านแม่ทัพจงโฮยได้ใช้ทหารให้ถือหมายมาแจ้งให้ท่านเร่งยกกองทัพไปบรรจบพร้อมกันที่เมืองฮันต๋ง
เตงงายจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง แล้วกล่าวว่าซึ่งจะยกไปตีเมืองฮันต๋งนั้นเกียงอุยยังตั้งกองทัพอยู่ที่แดนเมืองหลงเส รู้ข่าวแล้วก็จะยกกองทัพกลับไปช่วยเมืองฮันต๋งได้ จำจะคิดป้องกันสกัดเกียงอุยไว้ให้ได้ก่อน ดังนั้นจึงให้จูกัดสูคุมทหารหมื่นห้าพันคนยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าระหว่างทางเมืองหลงเสจะกลับไปเมืองฮันต๋ง คอยสกัดกองทัพเกียงอุยไม่ให้ยกไปช่วยเมืองฮันต๋งได้ ให้อองกิ๋นคุมทหารหมื่นห้าพันยกไปรบติดพันเกียงอุยไว้ที่ด้านหน้าค่ายในแดนเมืองหลงเส ให้คันห่องคุมทหารอีกหมื่นห้าพันคนยกไปรบติดพันเกียงอุยไว้ทางด้านหลังค่าย และให้ เอียวหัวคุมทหารหมื่นห้าพันคนเป็นกองหนุนคอยช่วยเหลือจูกัดสูและอองกิ๋น ตัวเตงงายจะคุมทหารสามหมื่นยกไปที่เมืองฮันต๋งโดยตรง
ครั้นแม่ทัพนายกองทั้งปวงรับคำสั่ง คำนับลาออกไปแล้ว เตงงายจึงแต่งตัวใส่เกราะขึ้นม้าออกไปที่กองทหาร จัดแจงกำลังพลและศาสตราวุธ ครั้นการทั้งปวงพร้อมแล้วจึงเคลื่อนทัพไปตามแผนการ
ฝ่ายเกียงอุยตั้งกองทัพอยู่ที่แดนเมืองหลงเส ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าวุยก๊กเตรียมจะยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวน เป็นกองทัพใหญ่ จึงรีบทำใบบอกเข้าไปเมืองเสฉวน กราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ และขอให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนมีพระบรมราชโองการตั้งให้เตียวเอ๊กคุมทหารไปรักษาด่านแฮบังก๋วน และให้เลียวฮัวคุมทหารไปรักษาสะพานศิลาข้ามหุบเหวปลายช่องแคบอิมเป๋ง ถ้าหากรักษาจุดยุทธศาสตร์ทั้งสองนี้ไว้ได้ข้าศึกก็ไม่อาจทำอันตรายแก่จ๊กก๊กได้ อนึ่งนั้นขอให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนแต่งราชทูตจำเริญพระราชสาส์นไปยังเมืองกังตั๋ง ขอให้จัดกองทัพยกมาช่วยรบเป็นสองกอง กองหนึ่งให้บุกตีวุยก๊กขึ้นมาจากทิศใต้ อีกกองหนึ่งให้ยกมาช่วยรบที่ด่านแฮบังก๋วน
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยสิริราชสมบัติอยู่บนจอกสุรา เคียงข้างด้วยมหาขันที ฮุยโฮทุกวันเวลาด้วยความเบิกบานสำราญพระทัย ไม่คำนึงถึงราชการแผ่นดินและทุกข์สุขของราษฎร ครั้นทรงทราบว่าเกียงอุยแต่งฎีกาขึ้นมาถวาย จึงโปรดให้ขันทีอ่านฎีกาของเกียงอุยให้ฟัง ครั้นทราบความแล้วแทนที่จะทรงเรียกประชุมปรึกษาขุนนางผู้ใหญ่และแม่ทัพนายกองในเมืองเสฉวน กลับรับสั่งให้หาฮุยโฮขันทีเข้ามาปรึกษาว่าเกียงอุยแต่งฎีกามาถวายครั้งนี้จะจัดการประการใด
ฮุยโฮขอรับเอาฎีกามาอ่าน ทราบความแล้วจึงกราบทูลว่าเกียงอุยมีความน้อยใจว่าพระองค์ไม่โปรดให้ยกกองทัพไปตีวุยก๊ก จึงคิดอ่านพาทหารไปตั้งอยู่ที่แดนเมืองหลงเส แต่ความกระหายศึกยังไม่สร่างสิ้นจึงบังอาจกราบทูลความอันเป็นเท็จ ทำให้พระองค์ทรงหวาดวิตกแล้วโปรดเกล้าให้เกียงอุยเป็นแม่ทัพรบกับ วุยก๊กอีก ซึ่งเกียงอุยมีฎีกาฉบับนี้มาถวายเป็นเพียงกลอุบายหาความชอบให้แก่ตนเองเท่านั้น ข้าพระองค์ทราบว่าชาววุยก๊กเกรงกลัวพระบารมี ไหนเลยจะกล้ายกกองทัพมารุกราน
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำทูลของฮุยโฮดังนั้นจึงทรงยกจอกน้ำจัณฑ์ขึ้นมาเสวย แล้วตรัสว่าที่มหาขันทีกล่าวมาทั้งนี้ก็ชอบอยู่ แต่ทำไฉนจะมั่นใจว่าข้าศึกจะไม่ยกมารุกราน
ฮุยโฮขันทีจึงกราบทูลว่า ในแดนเมืองเอ๊กจิ๋วนี้มีคนทรงเจ้าผู้หนึ่งเป็นผู้หญิงชื่อว่าสูโป๋ว ศักดิ์สิทธิ์แม่นยำนัก กิตติศัพท์เลื่องลือเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง ดังนั้นถ้าหากพระองค์จะทรงทราบความเป็นไปในเบื้องหน้า ข้าพระองค์ก็จะพาคนทรงเจ้ามาทำพิธีเข้าทรงเพื่อพระองค์จะได้ทราบความที่จะเป็นไป
พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รับสั่งให้ฮุยโฮรีบไปตามสูโป๋วคนทรงเจ้าเข้าผีเข้ามาเฝ้าเป็นการด่วน แล้วตั้งการพิธีที่ห้องโถงของพระตำหนักที่ประทับ พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงจุดธูปเทียนบวงสรวงบูชาเทพยดา ในขณะที่ยายหมอผีถอดรองเท้า สยายผม ถือกระบี่ชูขึ้นฟ้า ยืนสงบนิ่งอยู่หน้าแท่นพิธี พอพระเจ้า เล่าเสี้ยนจุดธูปเทียนปักเสร็จแล้วจึงเสด็จไปประทับนั่งบนพระราชอาสน์
ครู่หนึ่งยายแม่มดหมอผีมีอาการตัวสั่นเทิ้ม กระโดดโลดเต้นร่ายรำรอบแท่นบูชา กวัดแกว่งกระบี่ไปมาด้วยท่าทางแปลกประหลาด ส่งเสียงครางพึมพำฮือ ๆ ฮา ๆ เหมือนกับคนถูกผีเข้า
ฮุยโฮเห็นดังนั้นจึงกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ขณะนี้วิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สิงสถิตประทับทรงแล้ว เนื่องจากการแผ่นดินซึ่งจะปรึกษานั้นเป็นความลับ ขอได้โปรดขับขันทีนางกำนัลออกไปจากห้องโถงเสียก่อน พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็รับสั่งตามคำทูลของฮุยโฮ
ครั้นคนทั้งปวงออกไปจากห้องโถงแล้ว ฮุยโฮจึงกราบทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนถวายสักการะต่อวิญญาณซึ่งเข้าทรง แล้วฮุยโฮจึงถามว่าท่านเป็นผู้ใด
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุความตอนนี้ว่า “อาจารย์หญิงเฒ่าตะโกนร้องว่าข้าคือเทพารักษ์แห่งเมืองเสฉวน พระองค์ทรงมีแผ่นดินสันติสุขอันสำราญพระทัย ไฉนจะต้องมาขอถามเรื่องอื่น ภายหลังไม่กี่ปีดินแดนวุยก๊กก็จะตกเป็นของพระองค์อยู่แล้ว พระองค์จงอย่าทรงพระกังวล”
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่า “พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นยายท้าวเข้ามาถึงแล้ว เสด็จออกจุดธูปเทียนคำนับ ยายท้าวรับเครื่องสังเวยแล้วสยายผม รำเพลงกระบี่ต่าง ๆ ตามวิสัยเคยทำมาแต่ก่อน ครั้นอารักษ์ลงแล้วจึงบอกแก่พระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าเราเป็นพระเสื้อเมืองท่าน ท่านให้เชิญเรามานี้มีธุระประการใด พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงว่า บัดนี้มีหนังสือมาบอกว่าข้าศึกยกมาจะตีเมืองเรานั้นจะจริงหรือมิจริงประการใด ยายท้าวจึงบอกว่าซึ่งข้าศึกยกมานี้หามาจริงไม่ ท่านอย่าคิดวิตกเลย อันบ้านเมืองของเรานี้จะอยู่เย็นเป็นสุขอยู่ หาเป็นอันตรายไม่ นานไปเมืองวุยก๊กจะมานบนอบแก่ท่าน ว่าดังนั้นแล้วก็ล้มลง อารักษ์ก็ออกจากตัว”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นได้ฟังคำแม่มดหมอผีต้องด้วยพระทัยก็ทรงมีพระทัยยินดี ตรัสสั่งให้ปูนบำเหน็จความชอบแก่ยายท้าวหมอผีเป็นอันมาก แล้วรับสั่งกับฮุยโฮขันทีว่า เสียแรงที่ท่านพ่อมหาอุปราชไว้วางใจเกียงอุย สิกลับมิซื่อคิดหลอกลวงเราเล่า หลังจากนั้นแล้วพระเจ้าเล่าเสี้ยนก็มิได้เชื่อฟังเกียงอุยอีกเลย แต่ละวันทรงพระเกษมสำราญพระทัยด้วยน้ำจัณฑ์และขันทีอยู่แต่ในที่พระตำหนัก มิได้เสด็จออกว่าราชการ
ฝ่ายเกียงอุยเมื่อได้ส่งฎีกาขึ้นไปกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้ว ไม่เห็นมีหมายรับสั่งป้องกันเมืองเสฉวนประการใด ในขณะที่หน่วยสอดแนมก็รายงานความเข้ามาเป็นระยะว่า กองทัพวุยก๊กได้เคลื่อนออกจากที่ตั้ง จะยกมาโจมตีเมืองฮันต๋งแล้ว จึงแต่งฎีกาเข้าไปกราบบังคมทูลอีกหลายครั้ง
ฎีกาของเกียงอุยทุกฉบับตกไปอยู่ในมือของมหาขันทีฮุยโฮ จึงถูกฮุยโฮกักเก็บไว้จนหมดสิ้น มิได้นำความกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ แต่ละวันตั้งหน้าปรนเปรอปรนนิบัติเอาพระทัยพระเจ้าเล่าเสี้ยนจนถึงขนาด
ฝ่ายจงโฮยเคลื่อนทัพมาตามเส้นทางลัดตามแผนที่ภูมิประเทศซึ่งได้สำรวจตรวจตราไว้เป็นอย่างดี จะตรงไปตีเอาเมืองฮันต๋ง กองทัพของจงโฮยยกไปตามทางซึ่งเคาหงีบุตรเคาทูได้คุมทหารช่างเป็นกองหน้าบุกเบิกเส้นทางไว้อย่างราบรื่น จนกระทั่งเคาหงีคุมทหารช่างกองหน้ายกล่วงเข้าถึงหน้าด่านแดนเมืองลำเต๋ง
เคาหงีคุมกองหน้าอย่างราบรื่นมาโดยตลอดจึงฮึกเหิมว่าทหารเมืองเสฉวนไม่กล้าต่อสู้ จึงคิดจะตีเอาด่านเป็นความชอบ ครั้นคิดดังนั้นแล้วจึงปรึกษากับบรรดานายทหารว่าเรายกมาทำการทั้งนี้ยังไม่เคยปะทะกับข้าศึกแม้แต่หนเดียว ด่านหน้าเมืองลำเต๋งนี้เป็นด่านน้อย เห็นจะยึดได้โดยง่าย ความชอบจะมีแก่พวกเราเป็นอันมาก ทหารทั้งปวงได้ยินดังนั้นก็พากันเห็นด้วย เคาหงีจึงยกกำลังจะหักเข้าตีเอาด่าน
ฝ่ายล่อซุนซึ่งเป็นนายด่านหน้าแดนเมืองลำเต๋ง ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพหน้าของวุยก๊กกำลังยกตรงมาที่ด่าน จึงสั่งเกณฑ์พลเกาทัณฑ์กลยกไปซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางซึ่งจะยกมาที่ด่าน คอยทีข้าศึกอยู่ พอเห็นกองหน้าของทหารวุยก๊กยกล่วงเข้ามาถึงจุดซุ่ม ล่อซุนจึงจุดประทัดสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ ทหารจ๊กก๊กซึ่งตั้งอยู่ในที่ซุ่มจึงระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์กลเป็นห่าฝน ถูกทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ทหารวุยก๊กถูกโจมตีด้วยห่าเกาทัณฑ์กลซึ่งยิงได้ครั้งละสิบดอกตามตำราของขงเบ้งบาดเจ็บล้มตายลงดุจใบไม้ร่วง เคาหงีเห็นดังนั้นก็ตกใจ ไม่อาจรุกฝ่าคืบหน้าไปได้ และเห็นทหารที่เหลือแตกตื่นหนีตายเอาตัวรอด จึงพาทหารที่เหลือถอยร่นไปถึงกองทัพหลวงของจงโฮย เคาหงีจึงเข้าไปรายงานความให้จงโฮยทราบทุกประการ
จงโฮยได้ทราบรายงานว่าทหารจ๊กก๊กยิงเกาทัณฑ์ได้ครั้งละสิบลูกพุ่งมาราวห่าฝนก็รู้สึกแปลกประหลาดใจ ไม่เชื่อคำเคาหงีคิดว่าเป็นการแก้ตัวเพื่อให้พ้นผิด จึงพาทหารม้าองครักษ์สวมเกราะเหล็กร้อยนายรุดหน้าไปดู และเร่งให้กองทัพรีบยกตามไป
จงโฮยพากองทหารม้าไปถึงจุดซุ่มก็ถูกระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์กลสมดังคำของเคาหงี แต่เพราะเหตุที่มีเกราะเหล็กคุ้มกำบังตัวจึงไม่เป็นอันตราย พลานุภาพของเกาทัณฑ์กลแม้ไม่อาจทะลุทะลวงเกราะเหล็กได้ แต่เมื่อถูกหน้าและม้า ทหารองครักษ์ของจงโฮยก็พากันแตกตื่นตกใจและได้รับบาดเจ็บหลายสิบคน
จงโฮยเห็นจะบุกรุดหน้าไปไม่ได้จึงพาทหารถอยกลับ แต่พอขึ้นไปบนสะพานข้ามหนองน้ำแห่งหนึ่งสะพานพลันหักทลายลง จงโฮยและม้ากับทหารซึ่งติดตามพลัดตกลงไปในหนองน้ำ เห็นล่อซุนคุมทหารออกจากจุดซุ่ม ระดมยิงด้วยเกาทัณฑ์และพาทหารดาหน้าเข้ามา
จงโฮยเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบตะเกียกตะกายขึ้นจากหนองน้ำ ล่อซุนเห็นได้ทีจึงขี่ม้าตรงเข้าไปหาจงโฮยแล้วเงื้อทวนจะแทง ในพลันนั้นล่อซุนก็ร้องขึ้นสุดเสียงเพราะถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์ถูกหน้าผากพลัดตกลงจากหลังม้าถึงแก่ความตาย
จงโฮยหวิดหวุดจะถูกสังหาร ครั้นเห็นเหตุการณ์พลิกผันและได้ยินเสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องยกหนุนมาช่วยก็มีความยินดี พอปีนขึ้นมาจากหนองน้ำได้เห็น ซุนไคนายทหารรองกำลังเก็บคันเกาทัณฑ์และคุมทหารรุดมาถึง ก็รู้ว่าผู้ที่ช่วยชีวิตยามคับขันคือซุนไคผู้นี้.