ตอนที่ 633. ศึกวุยก๊กครั้งที่แปด
เกียงอุยถือโอกาสขึ้นปีใหม่ไปเซ่นสรวงสักการะที่ฝังศพของขงเบ้งในซอกเขาเตงกุนสันและตรวจราชการช่องแคบอิมเป๋ง ซึ่งเป็นคำสั่งเสียสุดท้ายของขงเบ้งที่ให้แต่งกองทหารไปรักษาช่องแคบนี้ไว้ แต่น่าอนาถนักที่หลังจากนั้นเล่าเสี้ยนกษัตริย์ผู้เหลวไหลได้สั่งถอนทหารออกจากช่องแคบอิมเป๋งตามคำยุยงของขันที ทำให้เกราะเพชรที่คุ้มกันเมืองเสฉวนต้องถูกเพิกถอนออกไปโดยไม่รู้ว่าจะเป็นอันตรายอย่างใหญ่หลวงในวันหน้า
ฝ่ายเกียงอุยเมื่อกลับถึงเมืองฮันต๋งแล้วทราบว่าการซ่อมแซมสะพานลอยข้ามหุบเหวอันเป็นเส้นทางเดินทัพไปตีวุยก๊กเสร็จสิ้นเรียบร้อย และได้ซ่องสุมกำลังพลทั้งเสบียงอาหารพร้อมพรักแล้ว จึงแต่งฎีกาขึ้นไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่เมืองเสฉวนว่า ข้าพระองค์ได้ยกกองทัพไปตีวุยก๊กหลายครั้งหลายหน แม้การยังไม่สำเร็จดังความปรารถนาแต่ได้ข่มขวัญชาววุยก๊กจนระย่อท้อถอย บัดนี้ได้เตรียมกำลังพลและเสบียงอาหารไว้พรักพร้อมแล้ว หากไม่ยกไปตีวุยก๊กทหารก็จะเสียขวัญกำลังใจ ไพร่พลจะเกียจคร้าน จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกกองทัพไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่แปด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นทรงทราบฎีกาของเกียงอุยแล้วก็ทรงลังเล ไม่รู้ที่จะตัดสินพระทัยประการใด จึงทรงประทับนิ่งอยู่บนพระราชบัลลังก์และมิได้ตรัสประการใด
ฝ่ายเจาจิ๋วซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายกรมโหรมาแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเล่าปี่ บัดนี้ชราภาพมากแล้ว เห็นดังนั้นจึงกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพระองค์ได้พิจารณานภากาศในช่วงนี้ปรากฏว่าดาวประจำเมืองวุยก๊กยังสดใสสว่าง แต่ดาวขุนพลของเมืองเรากลับเศร้าหมองไม่แจ่มจ้า บ่งบอกนิมิตหมายว่าถึงมาตรแม้นจะยกกองทัพไปบุกวุยก๊กก็จะไม่ได้รับชัยชนะ ชอบที่จะระงับกองทัพเอาไว้ก่อน
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าผู้กราบบังคมทูลทัดทานโดยอ้างเหตุการณ์บนอากาศในครั้งนี้คือเตียวเจียว ซึ่งน่าจะเป็นการแปลผิดตามสำเนียงของจีนผู้แปลซึ่งเข้าเวรแปลในวันนั้น ๆ เพราะตามฉบับภาษาจีนผู้กราบบังคมทูลทัดทานคือเจาจิ๋วโหรหลวงเจ้าเก่า ซึ่งรับราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ และเคยกราบทูลทัดทานไม่ให้ขงเบ้งยกไปรบกับวุยก๊กครั้งสุดท้ายด้วย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นกษัตริย์ที่บางครั้งมีอุปนิสัยเหมือนแมว คือเมื่อใครว่าอย่างหนึ่งก็จะเห็นไปเสียอีกอย่างหนึ่ง ยกเว้นจะเป็นความเห็นของมหาขันทีฮุยโฮเท่านั้น ดังนั้นแม้จะทรงลังเลพระทัยในฎีกาของเกียงอุย แต่พอได้ยินคำเจาจิ๋วกราบทูลทัดทาน กลับตรัสว่า จะไปห้ามปรามมหาอุปราชเขาอย่างไรได้ เพราะเขาอาสาจะยกกองทัพไปเอง หากเกิดความเสียหายแล้วจึงค่อยเรียกกองทัพกลับจะดีกว่า
เจาจิ๋วได้ยินกระแสพระราชดำรัสดังนั้นก็กราบทูลทัดทานถึงสี่ห้าครั้งว่าลิขิตสวรรค์นั้นฝ่าฝืนมิได้ ก็แลบัดนี้สวรรค์ได้บอกนิมิตชัดเจนแล้วว่าแผ่นดินวุยก๊กยังไม่ถึงคราจะดับสูญ ดาวขุนพลฝ่ายเราไม่ผ่องใส ขืนกรีฑาทัพไปก็จะได้ยากลำบากเปล่า ไม่มีทางได้รับชัยชนะ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ทรงยืนยันตามเดิมว่า จะไปขัดใจมหาอุปราชด้วยเหตุอันใด ผิดชอบชั่วดีมหาอุปราชย่อมรับผิดชอบเอง ท่านจะถือเอาแต่นิมิตลางมาขัดขวางการใหญ่ของแผ่นดินนั้นไม่ควร
เจาจิ๋วเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนยืนยันไม่เปลี่ยนแปลงพระทัยดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ ถวายบังคมลากลับไปเรือน และหลังจากวันนั้นแล้วก็อ้างว่าป่วยด้วยความชราภาพ ไม่เข้ามาเฝ้าอีกเลย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสี่พรรษา เดือนสิบสอง เกียงอุยได้รับพระบรมราชโองการให้กรีฑาทัพยกไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่แปด จึงสั่งเกณฑ์พลสามสิบหมื่นรอวันฤกษ์ดีแล้วจะเคลื่อนทัพออกจากเมืองฮันต๋ง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบเจ็ดปี ตรงกับพุทธศักราชเจ็ดร้อยแปดสิบสอง เดือนสิบสอง ซึ่งน่าจะเป็นการคลาดเคลื่อน เพราะในขณะนั้นวุยก๊กยังอยู่ในช่วงต่อการเปลี่ยนแปลงรัชกาลของพระเจ้าโจยอยเป็นพระเจ้าโจฮอง ความผิดพลาดอาจเกิดจากหลังจากเถลิงศักราชแล้วหลายปีพวกขุนนางได้พากันถวายคำแนะนำว่า ชื่อศักราชที่ตั้งเมื่อตอนเสวยราชย์ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง จึงทรงเปลี่ยนศักราชใหม่ในปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบเก้าเป็นศักราชกังอัน ในช่วงที่เกียงอุยจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่แปด ฉบับภาษาจีนระบุว่าอยู่ในช่วงศักราชกังอัน ปีที่ห้า จึงอาจเป็นเหตุให้เข้าใจว่าเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนเพิ่งครองราชย์ได้ห้าปี ทำให้การคิดเป็นปีพุทธศักราชผิดพลาดไป
ในระหว่างรอเวลาฤกษ์ดี เกียงอุยได้ปรึกษากับเลียวฮัวว่าซึ่งจะยกกองทัพไปบุกวุยก๊กครั้งนี้ควรจะบุกไปตามเส้นทางไหน
เลียวฮัวได้ทักท้วงว่า มหาอุปราชได้ยกกองทัพไปบุกวุยก๊กหลายครั้งแล้ว สูญเสียไพร่พลและเสบียงอาหารเป็นอันมาก อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อน และเตงงายแม่ทัพฝ่ายวุยก๊กก็มีสติปัญญาเป็นอันมาก ขณะนี้คุมกำลังตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ถึงแม้ท่านยกไปก็เห็นจะไม่ได้ชัยชนะเหมือนครั้งก่อน ชอบที่จะงดกองทัพไว้ อย่าให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน
เกียงอุยจึงว่า ท่านกล่าวฉะนี้ไม่ชอบ “เมื่อครั้งขงเบ้งเป็นมหาอุปราช ยกไปทำการศึกที่เขากิสานถึงหกครั้งจนตัวตาย ก็เพราะเห็นแก่ราชการ แลตัวเราอุตส่าห์ทำการสงครามมาก็ได้ถึงแปดครั้งแล้ว ก็เพราะคิดว่าเป็นข้าราชการแผ่นดินท่าน หาได้เห็นแก่ลาภสักการ ประโยชน์แก่ตัวไม่ บัดนี้เราจะยกไปตีเอาเมืองเตียวเจี๋ยงให้ได้ ถ้าแลผู้ใดขัดขวางเรา เราจะฆ่าผู้นั้นเสีย”
เกียงอุยเห็นว่าเลียวฮัวไม่เห็นด้วยในการกรีฑาทัพในครั้งนี้ จึงมอบหมายให้เลียวฮัวอยู่รักษาเมืองฮันต๋ง ครั้นถึงวันฤกษ์ดีเกียงอุยจึงให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองฮันต๋งตรงไปที่เมืองเตียวเจี๋ยง
ฝ่ายเตงงายยังคงตั้งค่ายเตรียมรับศึกเมืองเสฉวนอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ครั้นทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าเกียงอุยได้ยกกองทัพออกจากเมืองฮันต๋งจะตรงไปเมืองเตียวเจี๋ยง จึงปรึกษากับสุมาปองว่าซึ่งเกียงอุยเดินทัพไปทางเมืองเตียวเจี๋ยงครั้งนี้มีประสงค์สิ่งใด เหตุไฉนจึงไม่เคลื่อนทัพตรงมาที่เขากิสานเหมือนครั้งก่อน ๆ
สุมาปองจึงว่า การที่กองทัพเมืองเสฉวนจะยกกองทัพเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงก็จะต้องยกมาทางตำบลเขากิสานก่อนจึงจะยกเข้าตีเมืองเตียงอันได้ และเมื่อได้เมืองเตียงอันแล้วจึงจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงได้ อันเมืองเตียวเจี๋ยงนั้นไม่ใช่เส้นทางยุทธศาสตร์ ดังนั้นการที่เกียงอุยกรีฑาทัพไปทางเมืองเตียวเจี๋ยงเห็นจะไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง น่าจะเป็นกลอุบายลวงให้เรายกไปป้องกันเมืองเตียวเจี๋ยงแล้ววกอ้อมเข้าชิงเอาชัยภูมิยุทธศาสตร์ที่ตำบลเขากิสาน
เตงงายจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย “เรารู้อยู่ว่าเกียงอุยจะมาตีเมืองเตียวเจี๋ยง อันเกียงอุยนี้เคยมารบกับเราหลายครั้งอยู่ ย่อมรู้ว่าเราตั้งมั่นอยู่ที่นี่ เสบียงอาหารก็มาก ทแกล้วทหารก็พรักพร้อม เห็นไม่อาจมาตี อันเมืองเตียวเจี๋ยงนั้นเสบียงก็น้อย ทแกล้วทหารก็ร่วงโรย เห็นจะยกไปตีก่อน แล้วก็หมายใจว่าจะได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเกียงเสียด้วย”
สุมาปองได้ฟังคำของเตงงายดังนั้นจึงนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า ชะรอยจะเป็นจริงดังที่ท่านคาดคะเน เพราะถ้าหากเกียงอุยได้เมืองเตียวเจี๋ยงตั้ง เกลี้ยกล่อมหัวเมืองข้างเคียงให้เข้าสวามิภักดิ์แล้ว กำลังไพร่พลและเสบียงอาหารของกองทัพเมืองเสฉวนก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก เห็นจะยกมาทำการได้นานปี เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะคิดอ่านประการใด
เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าจะคิดอุบายตีกองทัพของเกียงอุยให้แตกพ่ายกลับไปเมืองฮันต๋งให้จงได้ ให้ท่านยกทหารไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางที่จะไปยังเมืองเตียวเจี๋ยงกองหนึ่ง แล้วซุ่มทหารไว้ภายในกำแพงชั้นในอีกกองหนึ่ง บนกำแพงเมืองนั้นให้ลดธงทิวเสียทั้งสิ้น ม้าล่อฆ้องกลองทั้งปวงก็อย่าได้ตีให้วุ่นวายไป และให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน ให้ต้อนชาวเมืองเด็กและคนชราไปอยู่ที่ด้านนอกเมือง ถ้าข้าศึกยกมาให้พากันวิ่งหนีกระจัดกระจายไป เมื่อข้าศึกยกเข้าไปในเมืองก็ให้ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้
เตงงายได้กล่าวสืบไปว่า ตัวข้าพเจ้าจะคุมกองทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองเฮาโหซึ่งเป็นหัวเมืองข้างเคียงใกล้กับเมืองเตียวเจี๋ยง เป็นเสมือนหนึ่งคอหอยกับลูกกระเดือก จะได้หนุนช่วยกันทำการไม่ให้เกียงอุยตั้งเกลี้ยกล่อมเอาเสบียงอาหารและไพร่พลได้
สุมาปองได้ฟังแผนการของเตงงายก็สรรเสริญว่าลึกซึ้งแหลมคม เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง เมื่อเห็นชอบพร้อมกันดังนั้นแล้วเตงงายจึงให้สูเป๋าคุมทหารอยู่ป้องกันรักษาค่ายที่ตำบลเขากิสาน แล้วยกทหารไปที่เมืองเตียวเจี๋ยงและเมืองเฮาโหตามแผนการที่วางไว้
ฝ่ายแฮหัวป๋าซึ่งคุมกองทัพหน้าของกองทัพเมืองเสฉวน ครั้นยกไปใกล้เมืองเตียวเจี๋ยงได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่า ข้างในเมืองเงียบเชียบประดุจดั่งเมืองร้าง ก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เห็นว่าเป็นหัวเมืองเล็ก จึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพหน้าเข้าไปใกล้ เห็นประตูเมืองเปิดอยู่เหมือนไม่มีผู้คน บนกำแพงเมืองไม่มีธงทิวและทหารรักษาหน้า ด้านนอกประตูเมืองมีแต่เด็กและคนชรา จึงหันมาปรึกษากับนายทหารรองว่าจะทำการประการใด
นายทหารรองของกองทัพหน้าจึงว่า เรายกมาถึงเพียงนี้ หากข้าศึกอยู่ในเมืองเห็นจะไม่เย็นใจอยู่ได้ ชะรอยข้าศึกเกรงกองทัพเมืองเสฉวนจึงพากันหนีออกจากเมือง เหลือแต่เด็กและคนชรายังหนีตามไปไม่ทัน ชอบที่จะยกเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองแล้วค่อยคิดอ่านสืบไป
แฮหัวป๋าได้ฟังนายทหารรองก็เห็นด้วย จึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพหน้าเข้าไปในเมือง เด็กและคนชราที่อยู่บริเวณด้านหน้าประตูเมืองต่างพากันวิ่งหนีเข้าป่า แฮหัวป๋าก็ยิ่งสำคัญว่าชาวเมืองเตียวเจี๋ยงเกรงกลัวทหารเมืองเสฉวน จึงขี่ม้านำหน้าทหารเข้าไปในเมืองจนกระทั่งถึงกำแพงเมืองชั้นใน
พลันเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวจากแนวกำแพงชั้นใน และได้ยินเสียงทหารโห่ร้องดังกึกก้องแฮหัวป๋าก็ตกใจ รู้ว่าหลงกลข้าศึกจึงสั่งทหารให้ถอยออกนอกกำแพงเมือง ในทันใดนั้นสุมาปองและทหารวุยก๊กซึ่งซุ่มอยู่ด้านในกำแพงและที่ซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางนอกกำแพงเมือง ได้ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน
ทหารวุยก๊กที่อยู่ด้านนอกได้ปิดล้อมอยู่นอกประตูกำแพงเมือง ในขณะที่สุมาปองก็คุมทหารตีออกมาจากกำแพงเมืองชั้นใน ล้อมทหารของแฮหัวป๋าไว้ตรงกลางระหว่างกำแพงเมืองชั้นนอกกับกำแพงเมืองชั้นใน ใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงเข้าไปที่ทหารเมืองเสฉวนราวห่าฝน ทหารวุยก๊กซึ่งซุ่มอยู่บนกำแพงเมืองก็ช่วยกันทุ่มก้อนศิลาและหอกซัดใส่ทหารของแฮหัวป๋า
แฮหัวป๋าและทหารในกองทัพหน้าห้าร้อยคนที่ติดอยู่ในวงล้อมถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์และหอกซัดถึงแก่ความตายจนหมดสิ้น
ฝ่ายเกียงอุยคุมกองทัพหลวงยกหนุนตามกองทัพหน้ามา พอรู้ว่าแฮหัวป๋ายกทหารเข้าไปในเมืองและตกอยู่ในวงล้อมกระหนาบก็ตกใจ เร่งให้ทหารหนุนตามไปช่วย
สุมาปองทราบข่าวว่าเกียงอุยยกกองทัพหนุนตามมาจึงคุมทหารยกออกไปสกัด ทั้งสองฝ่ายประจัญบานกันได้เพียงครู่เดียว สุมาปองสู้ไม่ได้จึงพาทหารถอยกลับมาตั้งหลักอยู่ในเมือง สั่งให้ปิดประตูเมืองและให้ทหารขึ้นรักษากำแพงเมืองไว้มิได้ประมาท
เกียงอุยยกทหารไล่ตามมา เห็นประตูเมืองปิดและทหารวุยก๊กได้ขึ้นรักษากำแพงเมืองไว้มั่นคงแล้ว จึงสั่งให้ตั้งค่ายประชิดล้อมเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน
ฝ่ายเตงงายยกกองทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองเฮาโห ครั้นทราบว่าเกียงอุยยกกองทัพมาประชิดเมืองเตียวเจี๋ยง พอตกเวลากลางคืนยามเศษจึงยกทหารออกจากเมืองเฮาโหลอบเข้าปล้นค่ายของเกียงอุย และให้ทหารยิงธนูเพลิงเข้าไปในค่ายของเกียงอุยเป็นอันมาก
สุมาปองตั้งมั่นอยู่ในเมือง ครั้นได้ยินเสียงสู้รบด้านหลังค่ายของเกียงอุยก็รู้ว่าเตงงายยกทหารมาช่วย จึงคุมทหารออกจากเมืองตีกระหนาบเข้าปล้นค่ายเมืองเสฉวน
ทหารเมืองเสฉวนถูกปล้นค่ายในเวลากลางคืนไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ว่ากำลังข้าศึกมากแลน้อย ได้ยินแต่เสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องกึกก้องฝ่าความมืดและข้างในค่ายก็มีเพลิงลุกไหม้เป็นอันมาก จึงพากันแตกตื่นตกใจ ต่างคนต่างคิดจะหนีเอาตัวรอด.
ฝ่ายเกียงอุยเมื่อกลับถึงเมืองฮันต๋งแล้วทราบว่าการซ่อมแซมสะพานลอยข้ามหุบเหวอันเป็นเส้นทางเดินทัพไปตีวุยก๊กเสร็จสิ้นเรียบร้อย และได้ซ่องสุมกำลังพลทั้งเสบียงอาหารพร้อมพรักแล้ว จึงแต่งฎีกาขึ้นไปถวายพระเจ้าเล่าเสี้ยนที่เมืองเสฉวนว่า ข้าพระองค์ได้ยกกองทัพไปตีวุยก๊กหลายครั้งหลายหน แม้การยังไม่สำเร็จดังความปรารถนาแต่ได้ข่มขวัญชาววุยก๊กจนระย่อท้อถอย บัดนี้ได้เตรียมกำลังพลและเสบียงอาหารไว้พรักพร้อมแล้ว หากไม่ยกไปตีวุยก๊กทหารก็จะเสียขวัญกำลังใจ ไพร่พลจะเกียจคร้าน จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตยกกองทัพไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่แปด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นทรงทราบฎีกาของเกียงอุยแล้วก็ทรงลังเล ไม่รู้ที่จะตัดสินพระทัยประการใด จึงทรงประทับนิ่งอยู่บนพระราชบัลลังก์และมิได้ตรัสประการใด
ฝ่ายเจาจิ๋วซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายกรมโหรมาแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าเล่าปี่ บัดนี้ชราภาพมากแล้ว เห็นดังนั้นจึงกราบทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ข้าพระองค์ได้พิจารณานภากาศในช่วงนี้ปรากฏว่าดาวประจำเมืองวุยก๊กยังสดใสสว่าง แต่ดาวขุนพลของเมืองเรากลับเศร้าหมองไม่แจ่มจ้า บ่งบอกนิมิตหมายว่าถึงมาตรแม้นจะยกกองทัพไปบุกวุยก๊กก็จะไม่ได้รับชัยชนะ ชอบที่จะระงับกองทัพเอาไว้ก่อน
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าผู้กราบบังคมทูลทัดทานโดยอ้างเหตุการณ์บนอากาศในครั้งนี้คือเตียวเจียว ซึ่งน่าจะเป็นการแปลผิดตามสำเนียงของจีนผู้แปลซึ่งเข้าเวรแปลในวันนั้น ๆ เพราะตามฉบับภาษาจีนผู้กราบบังคมทูลทัดทานคือเจาจิ๋วโหรหลวงเจ้าเก่า ซึ่งรับราชการมาแต่ครั้งพระเจ้าเล่าปี่ และเคยกราบทูลทัดทานไม่ให้ขงเบ้งยกไปรบกับวุยก๊กครั้งสุดท้ายด้วย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนเป็นกษัตริย์ที่บางครั้งมีอุปนิสัยเหมือนแมว คือเมื่อใครว่าอย่างหนึ่งก็จะเห็นไปเสียอีกอย่างหนึ่ง ยกเว้นจะเป็นความเห็นของมหาขันทีฮุยโฮเท่านั้น ดังนั้นแม้จะทรงลังเลพระทัยในฎีกาของเกียงอุย แต่พอได้ยินคำเจาจิ๋วกราบทูลทัดทาน กลับตรัสว่า จะไปห้ามปรามมหาอุปราชเขาอย่างไรได้ เพราะเขาอาสาจะยกกองทัพไปเอง หากเกิดความเสียหายแล้วจึงค่อยเรียกกองทัพกลับจะดีกว่า
เจาจิ๋วได้ยินกระแสพระราชดำรัสดังนั้นก็กราบทูลทัดทานถึงสี่ห้าครั้งว่าลิขิตสวรรค์นั้นฝ่าฝืนมิได้ ก็แลบัดนี้สวรรค์ได้บอกนิมิตชัดเจนแล้วว่าแผ่นดินวุยก๊กยังไม่ถึงคราจะดับสูญ ดาวขุนพลฝ่ายเราไม่ผ่องใส ขืนกรีฑาทัพไปก็จะได้ยากลำบากเปล่า ไม่มีทางได้รับชัยชนะ
พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็ทรงยืนยันตามเดิมว่า จะไปขัดใจมหาอุปราชด้วยเหตุอันใด ผิดชอบชั่วดีมหาอุปราชย่อมรับผิดชอบเอง ท่านจะถือเอาแต่นิมิตลางมาขัดขวางการใหญ่ของแผ่นดินนั้นไม่ควร
เจาจิ๋วเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนยืนยันไม่เปลี่ยนแปลงพระทัยดังนั้นก็ทอดถอนใจใหญ่ ถวายบังคมลากลับไปเรือน และหลังจากวันนั้นแล้วก็อ้างว่าป่วยด้วยความชราภาพ ไม่เข้ามาเฝ้าอีกเลย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสี่พรรษา เดือนสิบสอง เกียงอุยได้รับพระบรมราชโองการให้กรีฑาทัพยกไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่แปด จึงสั่งเกณฑ์พลสามสิบหมื่นรอวันฤกษ์ดีแล้วจะเคลื่อนทัพออกจากเมืองฮันต๋ง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สิบเจ็ดปี ตรงกับพุทธศักราชเจ็ดร้อยแปดสิบสอง เดือนสิบสอง ซึ่งน่าจะเป็นการคลาดเคลื่อน เพราะในขณะนั้นวุยก๊กยังอยู่ในช่วงต่อการเปลี่ยนแปลงรัชกาลของพระเจ้าโจยอยเป็นพระเจ้าโจฮอง ความผิดพลาดอาจเกิดจากหลังจากเถลิงศักราชแล้วหลายปีพวกขุนนางได้พากันถวายคำแนะนำว่า ชื่อศักราชที่ตั้งเมื่อตอนเสวยราชย์ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง จึงทรงเปลี่ยนศักราชใหม่ในปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบเก้าเป็นศักราชกังอัน ในช่วงที่เกียงอุยจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กครั้งที่แปด ฉบับภาษาจีนระบุว่าอยู่ในช่วงศักราชกังอัน ปีที่ห้า จึงอาจเป็นเหตุให้เข้าใจว่าเป็นช่วงเวลาที่พระเจ้าเล่าเสี้ยนเพิ่งครองราชย์ได้ห้าปี ทำให้การคิดเป็นปีพุทธศักราชผิดพลาดไป
ในระหว่างรอเวลาฤกษ์ดี เกียงอุยได้ปรึกษากับเลียวฮัวว่าซึ่งจะยกกองทัพไปบุกวุยก๊กครั้งนี้ควรจะบุกไปตามเส้นทางไหน
เลียวฮัวได้ทักท้วงว่า มหาอุปราชได้ยกกองทัพไปบุกวุยก๊กหลายครั้งแล้ว สูญเสียไพร่พลและเสบียงอาหารเป็นอันมาก อาณาประชาราษฎรได้รับความเดือดร้อน และเตงงายแม่ทัพฝ่ายวุยก๊กก็มีสติปัญญาเป็นอันมาก ขณะนี้คุมกำลังตั้งมั่นอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ถึงแม้ท่านยกไปก็เห็นจะไม่ได้ชัยชนะเหมือนครั้งก่อน ชอบที่จะงดกองทัพไว้ อย่าให้ราษฎรได้รับความเดือดร้อน
เกียงอุยจึงว่า ท่านกล่าวฉะนี้ไม่ชอบ “เมื่อครั้งขงเบ้งเป็นมหาอุปราช ยกไปทำการศึกที่เขากิสานถึงหกครั้งจนตัวตาย ก็เพราะเห็นแก่ราชการ แลตัวเราอุตส่าห์ทำการสงครามมาก็ได้ถึงแปดครั้งแล้ว ก็เพราะคิดว่าเป็นข้าราชการแผ่นดินท่าน หาได้เห็นแก่ลาภสักการ ประโยชน์แก่ตัวไม่ บัดนี้เราจะยกไปตีเอาเมืองเตียวเจี๋ยงให้ได้ ถ้าแลผู้ใดขัดขวางเรา เราจะฆ่าผู้นั้นเสีย”
เกียงอุยเห็นว่าเลียวฮัวไม่เห็นด้วยในการกรีฑาทัพในครั้งนี้ จึงมอบหมายให้เลียวฮัวอยู่รักษาเมืองฮันต๋ง ครั้นถึงวันฤกษ์ดีเกียงอุยจึงให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองฮันต๋งตรงไปที่เมืองเตียวเจี๋ยง
ฝ่ายเตงงายยังคงตั้งค่ายเตรียมรับศึกเมืองเสฉวนอยู่ที่ตำบลเขากิสาน ครั้นทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าเกียงอุยได้ยกกองทัพออกจากเมืองฮันต๋งจะตรงไปเมืองเตียวเจี๋ยง จึงปรึกษากับสุมาปองว่าซึ่งเกียงอุยเดินทัพไปทางเมืองเตียวเจี๋ยงครั้งนี้มีประสงค์สิ่งใด เหตุไฉนจึงไม่เคลื่อนทัพตรงมาที่เขากิสานเหมือนครั้งก่อน ๆ
สุมาปองจึงว่า การที่กองทัพเมืองเสฉวนจะยกกองทัพเข้าตีเมืองลกเอี๋ยงก็จะต้องยกมาทางตำบลเขากิสานก่อนจึงจะยกเข้าตีเมืองเตียงอันได้ และเมื่อได้เมืองเตียงอันแล้วจึงจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยงได้ อันเมืองเตียวเจี๋ยงนั้นไม่ใช่เส้นทางยุทธศาสตร์ ดังนั้นการที่เกียงอุยกรีฑาทัพไปทางเมืองเตียวเจี๋ยงเห็นจะไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริง น่าจะเป็นกลอุบายลวงให้เรายกไปป้องกันเมืองเตียวเจี๋ยงแล้ววกอ้อมเข้าชิงเอาชัยภูมิยุทธศาสตร์ที่ตำบลเขากิสาน
เตงงายจึงว่า ซึ่งท่านว่านี้ก็ชอบอยู่ แต่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย “เรารู้อยู่ว่าเกียงอุยจะมาตีเมืองเตียวเจี๋ยง อันเกียงอุยนี้เคยมารบกับเราหลายครั้งอยู่ ย่อมรู้ว่าเราตั้งมั่นอยู่ที่นี่ เสบียงอาหารก็มาก ทแกล้วทหารก็พรักพร้อม เห็นไม่อาจมาตี อันเมืองเตียวเจี๋ยงนั้นเสบียงก็น้อย ทแกล้วทหารก็ร่วงโรย เห็นจะยกไปตีก่อน แล้วก็หมายใจว่าจะได้เกลี้ยกล่อมชาวเมืองเกียงเสียด้วย”
สุมาปองได้ฟังคำของเตงงายดังนั้นจึงนิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า ชะรอยจะเป็นจริงดังที่ท่านคาดคะเน เพราะถ้าหากเกียงอุยได้เมืองเตียวเจี๋ยงตั้ง เกลี้ยกล่อมหัวเมืองข้างเคียงให้เข้าสวามิภักดิ์แล้ว กำลังไพร่พลและเสบียงอาหารของกองทัพเมืองเสฉวนก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นอันมาก เห็นจะยกมาทำการได้นานปี เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านจะคิดอ่านประการใด
เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าจะคิดอุบายตีกองทัพของเกียงอุยให้แตกพ่ายกลับไปเมืองฮันต๋งให้จงได้ ให้ท่านยกทหารไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางที่จะไปยังเมืองเตียวเจี๋ยงกองหนึ่ง แล้วซุ่มทหารไว้ภายในกำแพงชั้นในอีกกองหนึ่ง บนกำแพงเมืองนั้นให้ลดธงทิวเสียทั้งสิ้น ม้าล่อฆ้องกลองทั้งปวงก็อย่าได้ตีให้วุ่นวายไป และให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน ให้ต้อนชาวเมืองเด็กและคนชราไปอยู่ที่ด้านนอกเมือง ถ้าข้าศึกยกมาให้พากันวิ่งหนีกระจัดกระจายไป เมื่อข้าศึกยกเข้าไปในเมืองก็ให้ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะเป็นแน่แท้
เตงงายได้กล่าวสืบไปว่า ตัวข้าพเจ้าจะคุมกองทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองเฮาโหซึ่งเป็นหัวเมืองข้างเคียงใกล้กับเมืองเตียวเจี๋ยง เป็นเสมือนหนึ่งคอหอยกับลูกกระเดือก จะได้หนุนช่วยกันทำการไม่ให้เกียงอุยตั้งเกลี้ยกล่อมเอาเสบียงอาหารและไพร่พลได้
สุมาปองได้ฟังแผนการของเตงงายก็สรรเสริญว่าลึกซึ้งแหลมคม เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง เมื่อเห็นชอบพร้อมกันดังนั้นแล้วเตงงายจึงให้สูเป๋าคุมทหารอยู่ป้องกันรักษาค่ายที่ตำบลเขากิสาน แล้วยกทหารไปที่เมืองเตียวเจี๋ยงและเมืองเฮาโหตามแผนการที่วางไว้
ฝ่ายแฮหัวป๋าซึ่งคุมกองทัพหน้าของกองทัพเมืองเสฉวน ครั้นยกไปใกล้เมืองเตียวเจี๋ยงได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่า ข้างในเมืองเงียบเชียบประดุจดั่งเมืองร้าง ก็รู้สึกประหลาดใจ แต่เห็นว่าเป็นหัวเมืองเล็ก จึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพหน้าเข้าไปใกล้ เห็นประตูเมืองเปิดอยู่เหมือนไม่มีผู้คน บนกำแพงเมืองไม่มีธงทิวและทหารรักษาหน้า ด้านนอกประตูเมืองมีแต่เด็กและคนชรา จึงหันมาปรึกษากับนายทหารรองว่าจะทำการประการใด
นายทหารรองของกองทัพหน้าจึงว่า เรายกมาถึงเพียงนี้ หากข้าศึกอยู่ในเมืองเห็นจะไม่เย็นใจอยู่ได้ ชะรอยข้าศึกเกรงกองทัพเมืองเสฉวนจึงพากันหนีออกจากเมือง เหลือแต่เด็กและคนชรายังหนีตามไปไม่ทัน ชอบที่จะยกเข้าไปตั้งมั่นอยู่ในเมืองแล้วค่อยคิดอ่านสืบไป
แฮหัวป๋าได้ฟังนายทหารรองก็เห็นด้วย จึงสั่งให้เคลื่อนกองทัพหน้าเข้าไปในเมือง เด็กและคนชราที่อยู่บริเวณด้านหน้าประตูเมืองต่างพากันวิ่งหนีเข้าป่า แฮหัวป๋าก็ยิ่งสำคัญว่าชาวเมืองเตียวเจี๋ยงเกรงกลัวทหารเมืองเสฉวน จึงขี่ม้านำหน้าทหารเข้าไปในเมืองจนกระทั่งถึงกำแพงเมืองชั้นใน
พลันเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวจากแนวกำแพงชั้นใน และได้ยินเสียงทหารโห่ร้องดังกึกก้องแฮหัวป๋าก็ตกใจ รู้ว่าหลงกลข้าศึกจึงสั่งทหารให้ถอยออกนอกกำแพงเมือง ในทันใดนั้นสุมาปองและทหารวุยก๊กซึ่งซุ่มอยู่ด้านในกำแพงและที่ซุ่มอยู่ในป่าสองข้างทางนอกกำแพงเมือง ได้ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน
ทหารวุยก๊กที่อยู่ด้านนอกได้ปิดล้อมอยู่นอกประตูกำแพงเมือง ในขณะที่สุมาปองก็คุมทหารตีออกมาจากกำแพงเมืองชั้นใน ล้อมทหารของแฮหัวป๋าไว้ตรงกลางระหว่างกำแพงเมืองชั้นนอกกับกำแพงเมืองชั้นใน ใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงเข้าไปที่ทหารเมืองเสฉวนราวห่าฝน ทหารวุยก๊กซึ่งซุ่มอยู่บนกำแพงเมืองก็ช่วยกันทุ่มก้อนศิลาและหอกซัดใส่ทหารของแฮหัวป๋า
แฮหัวป๋าและทหารในกองทัพหน้าห้าร้อยคนที่ติดอยู่ในวงล้อมถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์และหอกซัดถึงแก่ความตายจนหมดสิ้น
ฝ่ายเกียงอุยคุมกองทัพหลวงยกหนุนตามกองทัพหน้ามา พอรู้ว่าแฮหัวป๋ายกทหารเข้าไปในเมืองและตกอยู่ในวงล้อมกระหนาบก็ตกใจ เร่งให้ทหารหนุนตามไปช่วย
สุมาปองทราบข่าวว่าเกียงอุยยกกองทัพหนุนตามมาจึงคุมทหารยกออกไปสกัด ทั้งสองฝ่ายประจัญบานกันได้เพียงครู่เดียว สุมาปองสู้ไม่ได้จึงพาทหารถอยกลับมาตั้งหลักอยู่ในเมือง สั่งให้ปิดประตูเมืองและให้ทหารขึ้นรักษากำแพงเมืองไว้มิได้ประมาท
เกียงอุยยกทหารไล่ตามมา เห็นประตูเมืองปิดและทหารวุยก๊กได้ขึ้นรักษากำแพงเมืองไว้มั่นคงแล้ว จึงสั่งให้ตั้งค่ายประชิดล้อมเมืองไว้ทั้งสี่ด้าน
ฝ่ายเตงงายยกกองทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองเฮาโห ครั้นทราบว่าเกียงอุยยกกองทัพมาประชิดเมืองเตียวเจี๋ยง พอตกเวลากลางคืนยามเศษจึงยกทหารออกจากเมืองเฮาโหลอบเข้าปล้นค่ายของเกียงอุย และให้ทหารยิงธนูเพลิงเข้าไปในค่ายของเกียงอุยเป็นอันมาก
สุมาปองตั้งมั่นอยู่ในเมือง ครั้นได้ยินเสียงสู้รบด้านหลังค่ายของเกียงอุยก็รู้ว่าเตงงายยกทหารมาช่วย จึงคุมทหารออกจากเมืองตีกระหนาบเข้าปล้นค่ายเมืองเสฉวน
ทหารเมืองเสฉวนถูกปล้นค่ายในเวลากลางคืนไม่ทันรู้เนื้อรู้ตัว ไม่รู้ว่ากำลังข้าศึกมากแลน้อย ได้ยินแต่เสียงทหารวุยก๊กโห่ร้องกึกก้องฝ่าความมืดและข้างในค่ายก็มีเพลิงลุกไหม้เป็นอันมาก จึงพากันแตกตื่นตกใจ ต่างคนต่างคิดจะหนีเอาตัวรอด.