ตอนที่ 629. มังกรในบ่อ
สงครามครั้งที่หกที่เกียงอุยกรีฑาทัพบุกวุยก๊กได้รับชัยชนะอย่างงดงาม จนเตงงายต้องล่าถอยทัพข้ามแม่น้ำอุยโหและไม่ยอมยกทหารออกไปรบกับเกียงอุยอีก แต่กลับให้ตองกิ๋นนำเงินทองเพชรนิลจินดาไปติดสินบนฮุยโฮขันทีให้ช่วยหา หนทางเรียกกองทัพเกียงอุยกลับเมืองเสฉวน
ฮุยโฮขันทีคนวิปริตคิดละโมบในสมบัติ จึงงับสินบนที่คนของเตงงายนำมาบรรณาการโดยไม่นำพาต่อชะตากรรมของบ้านเมือง แล้วบอกให้ตองกิ๋นวางใจกลับไปคอยฟังข่าว และกำชับว่าถ้าการสำเร็จแล้วจงอย่าลืมคำมั่นสัญญาเสีย
ตองกิ๋นเห็นการสำเร็จก็มีความยินดี ย้ำกับมหาขันทีว่าขอให้การสำเร็จ ข้าพเจ้าจะกลับมาคำนับท่านใหม่แล้วจะไม่ลืมคำสัญญาเป็นอันขาด กล่าวแล้วจึงคำนับลาฮุยโฮกลับออกไป และสืบข่าวคราวความเป็นไปในเมืองเสฉวนอย่างละเอียดเสร็จแล้วจึงเดินทางกลับไปหาเตงงาย
ฮุยโฮได้แต่งคนสนิทให้ปล่อยข่าวลือทั่วทั้งราชสำนักว่าเกียงอุยยกทหารไปทำการหลายครั้งหลายหนก็เสียทีแก่ข้าศึก เกียงอุยยกไปครั้งนี้จึงระย่อท้อถอย จะเข้าสวามิภักดิ์กับวุยก๊ก
หลังจากนั้นอีกสามสี่วันฮุยโฮจึงนำความซึ่งร่ำลือกันเข้าไปกราบทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ และทูลยุยงว่าเกียงอุยนี้เดิมเป็นชาววุยก๊ก เห็นจะสมตามข่าวลือ จึงควรที่พระองค์จะได้มีหมายรับสั่งเรียกกองทัพเกียงอุยกลับมาก่อน จะได้ดูท่วงท่าของเกียงอุยว่าคิดแปรพักตร์หรือไม่ประการใด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนหลงฟังคำฮุยโฮอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลืมบทเรียนเมื่อครั้งที่สุมาอี้แต่งกลมาปล่อยข่าวยุยงให้เรียกกองทัพขงเบ้งกลับจนหมดสิ้น ตรัสสั่งให้มีพระบรมราชโองการเรียกกองทัพเกียงอุยกลับเป็นการด่วน
ฝ่ายเกียงอุยตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเขากิสานเป็นเวลาหลายวัน ไม่เห็นเตงงายยกทหารออกมารบก็สงสัยว่าจะเกิดเหตุการณ์ประการใดประการหนึ่งขึ้น จึงแสร้งให้ทหารไปท้ารบด่าว่าเตงงายเป็นหยาบช้า แต่เตงงายกลับทำหูทวนลม คุมทหารตั้งมั่นนิ่งอยู่แต่ในค่าย พอดีขันทีได้เชิญพระบรมราชโองการของพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปถึง เกียงอุยรับพระบรมราชโองการแล้วไม่ทราบความนัยว่าเหตุใดจึงรับสั่งให้เรียกกองทัพกลับ จึงสอบถามขันทีว่ามีมาแต่เหตุประการใด
ขันทีได้ตอบเกียงอุยว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย ไม่ทราบความ ให้ท่านเร่งปฏิบัติตามพระบรมราชโองการนั้นเถิด
เกียงอุยจึงเรียกเลียวฮัวมาปรึกษาว่าเรายกมาทำศึกครั้งนี้ได้ทียกล่วงมาถึงริม แม่น้ำอุยโหแล้ว จะยกกลับไปก็เสียดายนัก เลียวฮัวจึงว่า “ท่านเป็นมหาอุปราช เมื่อจะยกกองทัพมานั้นก็ได้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าจะทำการให้สำเร็จ ซึ่งมีหนังสือรับสั่งมานี้ให้ท่านยับยั้งตอบโต้ดูก่อน”
เตียวเอ๊กได้ยินดังนั้นจึงแย้งว่าฮ่องเต้เป็นโอรสสวรรค์ เมื่อมีพระบรมราชโองการประการใด ขุนนางแลแม่ทัพนายกองทั้งปวงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จำต้องทำตาม มิฉะนั้นย่อมเป็นการขัดรับสั่ง มีโทษถึงประหารชีวิต อนึ่งเล่าเราได้ยกกองทัพมาทำการหลายครั้งแล้วยังไม่ได้ชัยชนะ บัดนี้ทำการได้ชัยเป็นหลายหน ข้าศึกเกรงกลัวเป็นอันมากแล้ว จึงชอบที่จะเลิกทัพกลับตามรับสั่งแล้วค่อยยกมาทำการสืบไป
เกียงอุยใคร่ครวญแล้วเห็นชอบกับความเห็นของเตียวเอ๊ก จึงสั่งให้เลิกทัพและให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กทำหน้าที่เป็นกองหลัง คอยคุ้มกันและซุ่มโจมตีข้าศึกมิให้กองทัพเป็นอันตราย
ฝ่ายหน่วยสอดแนมของเตงงายพอรู้ว่ากองทัพเมืองเสฉวนรื้อถอนค่ายเลิกทัพจะกลับเมืองเสฉวน จึงนำความไปรายงานให้เตงงายทราบ
เตงงายได้ทราบรายงานก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารจะยกตามตีกองทัพของเกียงอุย
เตงงายเป็นผู้บัญชาการที่สุขุมรอบคอบ ครั้นได้ทราบจากหน่วยสอดแนมว่าใกล้จะทันกับกองทัพของเกียงอุย อยู่ห่างกันเพียงสามร้อยเส้น เตงงายจึงสั่งให้หยุดทัพและพาทหารคนสนิทขึ้นไปบนยอดเขา สังเกตการถอยทัพของทหารเมืองเสฉวน
เตงงายเห็นกองทัพเกียงอุยถอยทัพไปอย่างเป็นระเบียบ ธงทิวเป็นขบวน ต้องตามพิชัยยุทธ์ กองหลังนั้นตั้งขบวนคุ้มกันมั่นคงเข้มแข็ง สลับหยุดสลับถอยมิได้เรรวนแต่ประการใด เตงงายจึงคิดว่าถึงจะไล่ตามตีก็จะไม่ได้ทีแก่ข้าศึก เพราะจะต้องเผชิญกับการตั้งรับของกองหลังอย่างแน่นหนา และกองหน้าก็อาจหวนกลับเข้ามาจู่โจมได้ในฉับพลัน
เตงงายกล่าวรำพึงกับสุมาปองว่า เกียงอุยนี้ได้เรียนรู้กระบวนรบของขงเบ้งไว้เป็นอันมาก สามารถจัดกระบวนการถอยทัพเป็นระเบียบรัดกุมแน่นหนา ไม่อาจยกเข้าตีได้ กล่าวแล้วเตงงายจึงสั่งทหารให้ถอยกลับไปที่ค่ายเดิม
ฝ่ายเกียงอุยพากองทัพกลับไปถึงเมืองฮันต๋งแล้ว ให้พักกองทัพไว้ในเมืองฮันต๋ง แล้วพาทหารองครักษ์เดินทางเข้าไปเมืองเสฉวน เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบทูลว่าข้าพระองค์นำกองทัพบุกวุยก๊กครั้งนี้ ทำการได้ทีมีชัยชนะแก่ข้าศึกเป็นหลายครั้ง จนรุดหน้าไปตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโห เตรียมจะบุกข้ามแม่น้ำยึดเอาเมือง เตียงอันและเมืองลกเอี๋ยงได้อยู่แล้ว เหตุใดพระองค์จึงมีหมายรับสั่งให้เลิกกองทัพกลับเสียเล่า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงลืมไปแล้วว่ามีหมายรับสั่งให้เรียกกองทัพกลับ พอได้ยินคำทูลจึงตรัสว่า เรามีหมายรับสั่งเรียกท่านกลับมาหรือ
เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็งุนงงสงสัย นำหมายรับสั่งส่งให้ทอดพระเนตร พระเจ้าเล่าเสี้ยนพยักพระเศียรเป็นทีว่าทรงจำได้ จึงตรัสว่าท่านยกกองทัพไปบุกแดนวุยก๊กนานแล้ว เรามีความคิดถึงท่าน ใคร่ได้เห็นหน้าสนทนาด้วย ทั้งเกรงว่าไพร่ทหารจากบ้านไปนานจะมีความคิดถึงบ้าน จึงให้หากลับมา
เกียงอุยจึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีเป็นอันมาก หมายว่าจะได้ความชอบอยู่แล้ว ซึ่งต้องถอยทัพมานี้เห็นจะเป็นกลอุบายของเตงงายคิดอ่านทำ”
เกียงอุยกราบทูลแล้วทอดถอนใจใหญ่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นดังนั้นก็มิได้ตรัสประการใด เกียงอุยสำคัญว่าซึ่งกราบบังคมทูลนั้นต้องพระทัยลึก จึงกราบทูลสืบไปว่า “ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งใจจะทำการสนองพระคุณให้สิ้นศัตรูจงได้ ควรหรือพระองค์มาเชื่อฟังอ้ายคนเล็กน้อยปากตลาดคิดสงสัยข้าพเจ้าเปล่า ๆ”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนกษัตริย์ที่เหลวไหลเลอะเทอะไม่มีหลักไม่มีฐานประดุจดั่งต้นอ้อที่พลิ้วตามทิศทางลม ครั้นได้ฟังคำเกียงอุยหนักแน่นมั่นคงจึงตรัสว่า ตัวเรานี้หามีข้อใดสงสัยท่านไม่ หากท่านเห็นว่าจะทำการได้ชัยชนะแก่ข้าศึกแล้วจงกลับไปเมืองฮันต๋งก่อน เมื่อโอกาสสมควรก็ให้ยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีกครั้งหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร
เกียงอุยได้ยินคำตรัสเหมือนยินคำคนบ้า ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีก็รู้สึกเสียใจ ทอดถอนใจใหญ่เกือบจะร้องไห้ ถวายบังคมลากลับออกมาแล้วกลับไปเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายตองกิ๋นครั้นเดินทางกลับไปถึงค่ายที่ริมแม่น้ำอุยโห จึงเข้าไปรายงานความซึ่งฮุยโฮขันทีตกลงรับสินบนและเล่าสภาพการณ์ที่เป็นไปในเมืองเสฉวนให้เตงงายทราบทุกประการ
เตงงายได้ทราบความก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าเมื่อเจ้าไม่ไว้วางใจข้าทหาร แลราษฎรไม่ศรัทธาเลื่อมใสในพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เมืองเสฉวนย่อมแปรปรวนวิปริต อีกไม่นานคงจะรบราฆ่าฟันกันเอง สภาพดังนี้เรายกไปตีเมื่อใดก็เห็นจะได้เมื่อนั้น
เตงงายกล่าวแล้วสั่งให้ตองกิ๋นรีบเดินทางเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง ให้รายงานสภาพความเป็นไปในเมืองเสฉวนให้สุมาเจียวทราบ
สุมาเจียวทราบความแล้วเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะยกไปตีเมืองเสฉวนจึงมีความยินดีเป็นอันมาก กล่าวปรารภขึ้นอย่างลืมตัวว่าเมืองเสฉวนยกมารุกรานบ้านเมืองเราหลายครั้งหลายหน แต่ยังไม่เห็นโอกาสที่จะยกไปทำการแก้แค้นตอบแทน บัดนี้โอกาสเป็นทีแล้วจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนให้จงได้
สุมาเจียวได้เรียกประชุมขุนนางแม่ทัพนายกองคนสนิท ปรารภความจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนให้บรรดาขุนนางฟังทุกประการ
ฝ่ายแกฉงได้ยินปรารภของสุมาเจียวดังนั้นจึงท้วงว่า เมืองเสฉวนแปรปรวนวิปริตถึงคราวิบัติก็จริงอยู่ แต่การในเมืองลกเอี๋ยงเล่าก็หามั่นคงไม่ ด้วยพระเจ้าโจมอหวาดระแวงแคลงใจในมหาอุปราช หากท่านคุมกองทัพออกไปจากเมืองลกเอี๋ยงแล้วก็เหมือนพญาพยัคฆ์ละทิ้งถ้ำ หมาจิ้งจอกจะเข้ามาแย่งชิงเอาไปครอง หากขุนนางยุยงให้พระเจ้าโจมอคิดกำจัดท่านแล้วเห็นจะเป็นอันตราย เมื่อครั้งที่สุมาอี้บิดาท่านขุ่นเคืองใจที่อริราชศัตรูยกมารุกรานแต่ไม่อาจหาญยกไปแก้แค้น เพราะมีเหตุเป็นอย่างเดียวกัน ในครั้งนั้นมหาอุปราชสุมาอี้จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนแก้ไขปัญหาภายในก่อน จึงชอบที่ท่านจะทำตามแบบอย่างของมหาอุปราชสุมาอี้นั้น จัดการภายในให้เป็นปกติแล้วจึงค่อยยกไปทำการ
แกฉงกล่าวสืบไปว่า เมื่อปีก่อนได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด มีมังกรเหลืองปรากฏตัวบนฟากฟ้าแล้วตกลงไปในบ่อน้ำที่ตำบลเลงเหลงถึงสองครั้งสองหน เป็นนิมิตหมายว่านับแต่นี้ไปเพียงชั่วสองรัชกาลก็จะสิ้นราชวงศ์ของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉแล้ว ในครั้งนั้นพระเจ้าโจมอได้ทราบความ ทรงคิดว่าสวรรค์บ่งบอกนิมิตตักเตือนพระองค์ว่าเหมือนกับมังกรที่ร่วงหล่นลงจากฟ้าตกไปอยู่ในบ่อ สำแดงอานุภาพอันใดไม่ได้ จึงทรงแต่งบทกวีขึ้นบทหนึ่งเป็นเนื้อความว่า
พญามังกรไม่สามารถอยู่บนฟ้า กลับตกลงมาในสระน้อย
หมู่ปลาซิวและปลาสร้อย คอยข่มเหงไม่เว้นวัน
บทกวีบทนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความระแวงในน้ำพระทัยพระเจ้าโจมอว่าทรงปราศจากซึ่งพระราชอำนาจใด ๆ เหมือนกับพญามังกรที่ตกอยู่ในบ่อ จึงถูกท่านซึ่งเปรียบเหมือนปลาซิวปลาสร้อยคอยข่มเหงรังแก
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความครั้งที่มังกรปรากฏว่า “อนึ่งเมื่อปีล่วงไปนั้น มังกรลงอยู่ในสระเลงเหลงสองตัว ขุนนางทั้งปวงทูลพระเจ้าโจมอว่าจะเป็นมงคลแก่บ้านเมือง พระเจ้าโจมอจึงตรัสว่าอันธรรมดามังกรนั้นมีแต่สำแดงฤทธิ์เดชอยู่ในกลางอากาศแลในพระมหาสมุทร บัดนี้มาตกลงขังอยู่ในสระ ท่านทั้งปวงจะว่าเป็นมงคลนั้นไม่ได้ ไม่เห็นด้วย พระเจ้าโจมอจึงแต่งโคลงสี่บทเปรียบไว้เป็นใจความว่า มังกรอันมีฤทธิ์เดช ก็อัศจรรย์ตกลงขังอยู่ในสระ ให้ปลาเล็กน้อยล่วงดูถูก ก็อุปมาเหมือนตัวเรานี้ มีแต่ผู้เบียดเบียนให้ได้ความเดือดร้อน”
สุมาเจียวได้ยินความอันแสดงถึงความระแวงในพระทัยของพระเจ้าโจมอก็โกรธ กล่าวว่า โจมอนี้เราสู้ทำนุบำรุงตั้งขึ้นเป็นเจ้า กลับไม่คิดถึงคุณเรา ยังระแวงอีกเล่า หากนานไปเห็นจะทรยศคิดอ่านกำจัดเราเป็นแม่นมั่น จำจะชิงกำจัดโจมอเสียก่อนจึงจะควร
แกฉงเห็นเป็นโอกาสจะสร้างความชอบจึงยุยงสุมาเจียวว่า วิสัยชายชาติอาชาไนยซึ่งจะเพิกเฉยให้ศัตรูคิดอ่านทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวนั้นหาควรไม่ ความเห็นของท่านฉะนี้ชอบแล้ว พึงเร่งทำการเถิด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสามพรรษา เดือนเจ็ด พระเจ้าโจมอเสวยราชย์ได้ห้าปี วันหนึ่งเสด็จออกท้องพระโรงท่ามกลางมหาสมาคมเพื่อทรงว่าราชการตามปกติ ในวันนั้นสุมาเจียวพาทหารองครักษ์สามร้อยนายถือกระบี่เข้าไปในท้องพระโรงด้วยสีหน้าท่าทางขึงขัง เมื่อเข้าไปอยู่หน้าพระที่นั่งแล้ว สุมาเจียวมิได้ถวายบังคมตามประเพณี กลับยืนเฉยอยู่
บรรดาขุนนางที่เป็นพวกของสุมาเจียวซึ่งตระเตรียมการกันไว้ก่อนแล้วได้ กราบทูลพระเจ้าโจมอว่า มหาอุปราชสุมาเจียวนี้มีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ควรที่จะสถาปนาอิสริยยศขึ้นเป็นที่สมเด็จเจ้าพระยาให้เป็นเกียรติยศสืบไป
พระเจ้าโจมอได้ยินคำขุนนางดังนั้นก็มิได้ตรัสประการใด กลับทรงไต่ถามถึงการทำไร่ไถนาของราษฎร
สุมาเจียวเห็นดังนั้นก็โกรธ กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าพวกเราสกุลสุมาได้ทำนุบำรุงแผ่นดินมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นพี่จนถึงตัวข้าพเจ้า บัดนี้ได้ทำความชอบไว้แก่แผ่นดินเป็นอันมาก ดังนี้แล้วจะไม่ควรคู่แก่ตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยาเจียวหรือ
พระเจ้าโจมอได้ยินดังนั้นจึงทรงตรัสประชดด้วยน้ำพระสุรเสียงอันขุ่นมัวว่า พวกตระกูลสุมาท่านได้ตั้งแผ่นดินนี้มา สำมะหาอะไรกับอิสริยยศเพียงแค่สมเด็จเจ้าพระยาเล่า จะเป็นยิ่งกว่านี้ก็ได้สุดแต่ใจท่านเถิด.
ฮุยโฮขันทีคนวิปริตคิดละโมบในสมบัติ จึงงับสินบนที่คนของเตงงายนำมาบรรณาการโดยไม่นำพาต่อชะตากรรมของบ้านเมือง แล้วบอกให้ตองกิ๋นวางใจกลับไปคอยฟังข่าว และกำชับว่าถ้าการสำเร็จแล้วจงอย่าลืมคำมั่นสัญญาเสีย
ตองกิ๋นเห็นการสำเร็จก็มีความยินดี ย้ำกับมหาขันทีว่าขอให้การสำเร็จ ข้าพเจ้าจะกลับมาคำนับท่านใหม่แล้วจะไม่ลืมคำสัญญาเป็นอันขาด กล่าวแล้วจึงคำนับลาฮุยโฮกลับออกไป และสืบข่าวคราวความเป็นไปในเมืองเสฉวนอย่างละเอียดเสร็จแล้วจึงเดินทางกลับไปหาเตงงาย
ฮุยโฮได้แต่งคนสนิทให้ปล่อยข่าวลือทั่วทั้งราชสำนักว่าเกียงอุยยกทหารไปทำการหลายครั้งหลายหนก็เสียทีแก่ข้าศึก เกียงอุยยกไปครั้งนี้จึงระย่อท้อถอย จะเข้าสวามิภักดิ์กับวุยก๊ก
หลังจากนั้นอีกสามสี่วันฮุยโฮจึงนำความซึ่งร่ำลือกันเข้าไปกราบทูลให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ และทูลยุยงว่าเกียงอุยนี้เดิมเป็นชาววุยก๊ก เห็นจะสมตามข่าวลือ จึงควรที่พระองค์จะได้มีหมายรับสั่งเรียกกองทัพเกียงอุยกลับมาก่อน จะได้ดูท่วงท่าของเกียงอุยว่าคิดแปรพักตร์หรือไม่ประการใด
พระเจ้าเล่าเสี้ยนหลงฟังคำฮุยโฮอย่างไม่ลืมหูลืมตา ลืมบทเรียนเมื่อครั้งที่สุมาอี้แต่งกลมาปล่อยข่าวยุยงให้เรียกกองทัพขงเบ้งกลับจนหมดสิ้น ตรัสสั่งให้มีพระบรมราชโองการเรียกกองทัพเกียงอุยกลับเป็นการด่วน
ฝ่ายเกียงอุยตั้งค่ายอยู่ที่ตำบลเขากิสานเป็นเวลาหลายวัน ไม่เห็นเตงงายยกทหารออกมารบก็สงสัยว่าจะเกิดเหตุการณ์ประการใดประการหนึ่งขึ้น จึงแสร้งให้ทหารไปท้ารบด่าว่าเตงงายเป็นหยาบช้า แต่เตงงายกลับทำหูทวนลม คุมทหารตั้งมั่นนิ่งอยู่แต่ในค่าย พอดีขันทีได้เชิญพระบรมราชโองการของพระเจ้าเล่าเสี้ยนไปถึง เกียงอุยรับพระบรมราชโองการแล้วไม่ทราบความนัยว่าเหตุใดจึงรับสั่งให้เรียกกองทัพกลับ จึงสอบถามขันทีว่ามีมาแต่เหตุประการใด
ขันทีได้ตอบเกียงอุยว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้น้อย ไม่ทราบความ ให้ท่านเร่งปฏิบัติตามพระบรมราชโองการนั้นเถิด
เกียงอุยจึงเรียกเลียวฮัวมาปรึกษาว่าเรายกมาทำศึกครั้งนี้ได้ทียกล่วงมาถึงริม แม่น้ำอุยโหแล้ว จะยกกลับไปก็เสียดายนัก เลียวฮัวจึงว่า “ท่านเป็นมหาอุปราช เมื่อจะยกกองทัพมานั้นก็ได้ทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าจะทำการให้สำเร็จ ซึ่งมีหนังสือรับสั่งมานี้ให้ท่านยับยั้งตอบโต้ดูก่อน”
เตียวเอ๊กได้ยินดังนั้นจึงแย้งว่าฮ่องเต้เป็นโอรสสวรรค์ เมื่อมีพระบรมราชโองการประการใด ขุนนางแลแม่ทัพนายกองทั้งปวงไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ จำต้องทำตาม มิฉะนั้นย่อมเป็นการขัดรับสั่ง มีโทษถึงประหารชีวิต อนึ่งเล่าเราได้ยกกองทัพมาทำการหลายครั้งแล้วยังไม่ได้ชัยชนะ บัดนี้ทำการได้ชัยเป็นหลายหน ข้าศึกเกรงกลัวเป็นอันมากแล้ว จึงชอบที่จะเลิกทัพกลับตามรับสั่งแล้วค่อยยกมาทำการสืบไป
เกียงอุยใคร่ครวญแล้วเห็นชอบกับความเห็นของเตียวเอ๊ก จึงสั่งให้เลิกทัพและให้เลียวฮัวกับเตียวเอ๊กทำหน้าที่เป็นกองหลัง คอยคุ้มกันและซุ่มโจมตีข้าศึกมิให้กองทัพเป็นอันตราย
ฝ่ายหน่วยสอดแนมของเตงงายพอรู้ว่ากองทัพเมืองเสฉวนรื้อถอนค่ายเลิกทัพจะกลับเมืองเสฉวน จึงนำความไปรายงานให้เตงงายทราบ
เตงงายได้ทราบรายงานก็มีความยินดี จึงจัดแจงทหารจะยกตามตีกองทัพของเกียงอุย
เตงงายเป็นผู้บัญชาการที่สุขุมรอบคอบ ครั้นได้ทราบจากหน่วยสอดแนมว่าใกล้จะทันกับกองทัพของเกียงอุย อยู่ห่างกันเพียงสามร้อยเส้น เตงงายจึงสั่งให้หยุดทัพและพาทหารคนสนิทขึ้นไปบนยอดเขา สังเกตการถอยทัพของทหารเมืองเสฉวน
เตงงายเห็นกองทัพเกียงอุยถอยทัพไปอย่างเป็นระเบียบ ธงทิวเป็นขบวน ต้องตามพิชัยยุทธ์ กองหลังนั้นตั้งขบวนคุ้มกันมั่นคงเข้มแข็ง สลับหยุดสลับถอยมิได้เรรวนแต่ประการใด เตงงายจึงคิดว่าถึงจะไล่ตามตีก็จะไม่ได้ทีแก่ข้าศึก เพราะจะต้องเผชิญกับการตั้งรับของกองหลังอย่างแน่นหนา และกองหน้าก็อาจหวนกลับเข้ามาจู่โจมได้ในฉับพลัน
เตงงายกล่าวรำพึงกับสุมาปองว่า เกียงอุยนี้ได้เรียนรู้กระบวนรบของขงเบ้งไว้เป็นอันมาก สามารถจัดกระบวนการถอยทัพเป็นระเบียบรัดกุมแน่นหนา ไม่อาจยกเข้าตีได้ กล่าวแล้วเตงงายจึงสั่งทหารให้ถอยกลับไปที่ค่ายเดิม
ฝ่ายเกียงอุยพากองทัพกลับไปถึงเมืองฮันต๋งแล้ว ให้พักกองทัพไว้ในเมืองฮันต๋ง แล้วพาทหารองครักษ์เดินทางเข้าไปเมืองเสฉวน เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยนแล้วกราบทูลว่าข้าพระองค์นำกองทัพบุกวุยก๊กครั้งนี้ ทำการได้ทีมีชัยชนะแก่ข้าศึกเป็นหลายครั้ง จนรุดหน้าไปตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำอุยโห เตรียมจะบุกข้ามแม่น้ำยึดเอาเมือง เตียงอันและเมืองลกเอี๋ยงได้อยู่แล้ว เหตุใดพระองค์จึงมีหมายรับสั่งให้เลิกกองทัพกลับเสียเล่า
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงลืมไปแล้วว่ามีหมายรับสั่งให้เรียกกองทัพกลับ พอได้ยินคำทูลจึงตรัสว่า เรามีหมายรับสั่งเรียกท่านกลับมาหรือ
เกียงอุยได้ยินดังนั้นก็งุนงงสงสัย นำหมายรับสั่งส่งให้ทอดพระเนตร พระเจ้าเล่าเสี้ยนพยักพระเศียรเป็นทีว่าทรงจำได้ จึงตรัสว่าท่านยกกองทัพไปบุกแดนวุยก๊กนานแล้ว เรามีความคิดถึงท่าน ใคร่ได้เห็นหน้าสนทนาด้วย ทั้งเกรงว่าไพร่ทหารจากบ้านไปนานจะมีความคิดถึงบ้าน จึงให้หากลับมา
เกียงอุยจึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าไปทำการครั้งนี้ก็ได้ท่วงทีเป็นอันมาก หมายว่าจะได้ความชอบอยู่แล้ว ซึ่งต้องถอยทัพมานี้เห็นจะเป็นกลอุบายของเตงงายคิดอ่านทำ”
เกียงอุยกราบทูลแล้วทอดถอนใจใหญ่ พระเจ้าเล่าเสี้ยนเห็นดังนั้นก็มิได้ตรัสประการใด เกียงอุยสำคัญว่าซึ่งกราบบังคมทูลนั้นต้องพระทัยลึก จึงกราบทูลสืบไปว่า “ตัวข้าพเจ้านี้ตั้งใจจะทำการสนองพระคุณให้สิ้นศัตรูจงได้ ควรหรือพระองค์มาเชื่อฟังอ้ายคนเล็กน้อยปากตลาดคิดสงสัยข้าพเจ้าเปล่า ๆ”
พระเจ้าเล่าเสี้ยนกษัตริย์ที่เหลวไหลเลอะเทอะไม่มีหลักไม่มีฐานประดุจดั่งต้นอ้อที่พลิ้วตามทิศทางลม ครั้นได้ฟังคำเกียงอุยหนักแน่นมั่นคงจึงตรัสว่า ตัวเรานี้หามีข้อใดสงสัยท่านไม่ หากท่านเห็นว่าจะทำการได้ชัยชนะแก่ข้าศึกแล้วจงกลับไปเมืองฮันต๋งก่อน เมื่อโอกาสสมควรก็ให้ยกกองทัพไปตีวุยก๊กอีกครั้งหนึ่งก็ไม่เห็นเป็นไร
เกียงอุยได้ยินคำตรัสเหมือนยินคำคนบ้า ไม่รู้ผิดชอบชั่วดีก็รู้สึกเสียใจ ทอดถอนใจใหญ่เกือบจะร้องไห้ ถวายบังคมลากลับออกมาแล้วกลับไปเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายตองกิ๋นครั้นเดินทางกลับไปถึงค่ายที่ริมแม่น้ำอุยโห จึงเข้าไปรายงานความซึ่งฮุยโฮขันทีตกลงรับสินบนและเล่าสภาพการณ์ที่เป็นไปในเมืองเสฉวนให้เตงงายทราบทุกประการ
เตงงายได้ทราบความก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าเมื่อเจ้าไม่ไว้วางใจข้าทหาร แลราษฎรไม่ศรัทธาเลื่อมใสในพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เมืองเสฉวนย่อมแปรปรวนวิปริต อีกไม่นานคงจะรบราฆ่าฟันกันเอง สภาพดังนี้เรายกไปตีเมื่อใดก็เห็นจะได้เมื่อนั้น
เตงงายกล่าวแล้วสั่งให้ตองกิ๋นรีบเดินทางเข้าไปเมืองลกเอี๋ยง ให้รายงานสภาพความเป็นไปในเมืองเสฉวนให้สุมาเจียวทราบ
สุมาเจียวทราบความแล้วเห็นเป็นโอกาสอันดีที่จะยกไปตีเมืองเสฉวนจึงมีความยินดีเป็นอันมาก กล่าวปรารภขึ้นอย่างลืมตัวว่าเมืองเสฉวนยกมารุกรานบ้านเมืองเราหลายครั้งหลายหน แต่ยังไม่เห็นโอกาสที่จะยกไปทำการแก้แค้นตอบแทน บัดนี้โอกาสเป็นทีแล้วจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนให้จงได้
สุมาเจียวได้เรียกประชุมขุนนางแม่ทัพนายกองคนสนิท ปรารภความจะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวนให้บรรดาขุนนางฟังทุกประการ
ฝ่ายแกฉงได้ยินปรารภของสุมาเจียวดังนั้นจึงท้วงว่า เมืองเสฉวนแปรปรวนวิปริตถึงคราวิบัติก็จริงอยู่ แต่การในเมืองลกเอี๋ยงเล่าก็หามั่นคงไม่ ด้วยพระเจ้าโจมอหวาดระแวงแคลงใจในมหาอุปราช หากท่านคุมกองทัพออกไปจากเมืองลกเอี๋ยงแล้วก็เหมือนพญาพยัคฆ์ละทิ้งถ้ำ หมาจิ้งจอกจะเข้ามาแย่งชิงเอาไปครอง หากขุนนางยุยงให้พระเจ้าโจมอคิดกำจัดท่านแล้วเห็นจะเป็นอันตราย เมื่อครั้งที่สุมาอี้บิดาท่านขุ่นเคืองใจที่อริราชศัตรูยกมารุกรานแต่ไม่อาจหาญยกไปแก้แค้น เพราะมีเหตุเป็นอย่างเดียวกัน ในครั้งนั้นมหาอุปราชสุมาอี้จำต้องกล้ำกลืนฝืนทนแก้ไขปัญหาภายในก่อน จึงชอบที่ท่านจะทำตามแบบอย่างของมหาอุปราชสุมาอี้นั้น จัดการภายในให้เป็นปกติแล้วจึงค่อยยกไปทำการ
แกฉงกล่าวสืบไปว่า เมื่อปีก่อนได้เกิดปรากฏการณ์ประหลาด มีมังกรเหลืองปรากฏตัวบนฟากฟ้าแล้วตกลงไปในบ่อน้ำที่ตำบลเลงเหลงถึงสองครั้งสองหน เป็นนิมิตหมายว่านับแต่นี้ไปเพียงชั่วสองรัชกาลก็จะสิ้นราชวงศ์ของพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉแล้ว ในครั้งนั้นพระเจ้าโจมอได้ทราบความ ทรงคิดว่าสวรรค์บ่งบอกนิมิตตักเตือนพระองค์ว่าเหมือนกับมังกรที่ร่วงหล่นลงจากฟ้าตกไปอยู่ในบ่อ สำแดงอานุภาพอันใดไม่ได้ จึงทรงแต่งบทกวีขึ้นบทหนึ่งเป็นเนื้อความว่า
พญามังกรไม่สามารถอยู่บนฟ้า กลับตกลงมาในสระน้อย
หมู่ปลาซิวและปลาสร้อย คอยข่มเหงไม่เว้นวัน
บทกวีบทนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความระแวงในน้ำพระทัยพระเจ้าโจมอว่าทรงปราศจากซึ่งพระราชอำนาจใด ๆ เหมือนกับพญามังกรที่ตกอยู่ในบ่อ จึงถูกท่านซึ่งเปรียบเหมือนปลาซิวปลาสร้อยคอยข่มเหงรังแก
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความครั้งที่มังกรปรากฏว่า “อนึ่งเมื่อปีล่วงไปนั้น มังกรลงอยู่ในสระเลงเหลงสองตัว ขุนนางทั้งปวงทูลพระเจ้าโจมอว่าจะเป็นมงคลแก่บ้านเมือง พระเจ้าโจมอจึงตรัสว่าอันธรรมดามังกรนั้นมีแต่สำแดงฤทธิ์เดชอยู่ในกลางอากาศแลในพระมหาสมุทร บัดนี้มาตกลงขังอยู่ในสระ ท่านทั้งปวงจะว่าเป็นมงคลนั้นไม่ได้ ไม่เห็นด้วย พระเจ้าโจมอจึงแต่งโคลงสี่บทเปรียบไว้เป็นใจความว่า มังกรอันมีฤทธิ์เดช ก็อัศจรรย์ตกลงขังอยู่ในสระ ให้ปลาเล็กน้อยล่วงดูถูก ก็อุปมาเหมือนตัวเรานี้ มีแต่ผู้เบียดเบียนให้ได้ความเดือดร้อน”
สุมาเจียวได้ยินความอันแสดงถึงความระแวงในพระทัยของพระเจ้าโจมอก็โกรธ กล่าวว่า โจมอนี้เราสู้ทำนุบำรุงตั้งขึ้นเป็นเจ้า กลับไม่คิดถึงคุณเรา ยังระแวงอีกเล่า หากนานไปเห็นจะทรยศคิดอ่านกำจัดเราเป็นแม่นมั่น จำจะชิงกำจัดโจมอเสียก่อนจึงจะควร
แกฉงเห็นเป็นโอกาสจะสร้างความชอบจึงยุยงสุมาเจียวว่า วิสัยชายชาติอาชาไนยซึ่งจะเพิกเฉยให้ศัตรูคิดอ่านทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวนั้นหาควรไม่ ความเห็นของท่านฉะนี้ชอบแล้ว พึงเร่งทำการเถิด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้แปดร้อยสามพรรษา เดือนเจ็ด พระเจ้าโจมอเสวยราชย์ได้ห้าปี วันหนึ่งเสด็จออกท้องพระโรงท่ามกลางมหาสมาคมเพื่อทรงว่าราชการตามปกติ ในวันนั้นสุมาเจียวพาทหารองครักษ์สามร้อยนายถือกระบี่เข้าไปในท้องพระโรงด้วยสีหน้าท่าทางขึงขัง เมื่อเข้าไปอยู่หน้าพระที่นั่งแล้ว สุมาเจียวมิได้ถวายบังคมตามประเพณี กลับยืนเฉยอยู่
บรรดาขุนนางที่เป็นพวกของสุมาเจียวซึ่งตระเตรียมการกันไว้ก่อนแล้วได้ กราบทูลพระเจ้าโจมอว่า มหาอุปราชสุมาเจียวนี้มีความชอบต่อแผ่นดินเป็นอันมาก ควรที่จะสถาปนาอิสริยยศขึ้นเป็นที่สมเด็จเจ้าพระยาให้เป็นเกียรติยศสืบไป
พระเจ้าโจมอได้ยินคำขุนนางดังนั้นก็มิได้ตรัสประการใด กลับทรงไต่ถามถึงการทำไร่ไถนาของราษฎร
สุมาเจียวเห็นดังนั้นก็โกรธ กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าพวกเราสกุลสุมาได้ทำนุบำรุงแผ่นดินมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นพี่จนถึงตัวข้าพเจ้า บัดนี้ได้ทำความชอบไว้แก่แผ่นดินเป็นอันมาก ดังนี้แล้วจะไม่ควรคู่แก่ตำแหน่งสมเด็จเจ้าพระยาเจียวหรือ
พระเจ้าโจมอได้ยินดังนั้นจึงทรงตรัสประชดด้วยน้ำพระสุรเสียงอันขุ่นมัวว่า พวกตระกูลสุมาท่านได้ตั้งแผ่นดินนี้มา สำมะหาอะไรกับอิสริยยศเพียงแค่สมเด็จเจ้าพระยาเล่า จะเป็นยิ่งกว่านี้ก็ได้สุดแต่ใจท่านเถิด.