ตอนที่ 627. ค่ายพลหยุหะมังกรแปลงรูป

กองทัพเกียงอุยยกไปตั้งค่ายที่ตำบลเขากิสานโดยมิได้รู้ว่าเตงงายได้เตรียมการขุดอุโมงค์เชื่อมโยงใต้พื้นดินไว้อย่างทั่วถึงแล้ว จึงถูกกองทัพวุยก๊กลอบบุกเข้าตี แต่เนื่องจากทหารจ๊กก๊กได้ผ่านการฝึกฝนเป็นอย่างดี จึงตีโต้ข้าศึกจนแตกพ่าย ศึกยกสองในสงครามครั้งที่หกต่างฝ่ายต่างเตรียมการรบกันด้วยขบวนพยุหะ

            เสียงกลองศึกของทั้งสองฝ่ายโหมประโคมอยู่ครู่หนึ่ง เกียงอุยจึงโบกธงเป็นสัญญาณให้พลกลองตีกลองสัญญาณให้ทหารแปรขบวนตั้งค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศตามตำราของขงเบ้ง และแปรขบวนซับซ้อนยิ่งกว่าเมื่อครั้งที่ขงเบ้งรบกับสุมาอี้ ตามทิศหลักทั้งสี่ทิศจัดขบวนทหารม้าเป็นรูปมังกร เสือ พญานาค และนก ตามทิศมุมทั้งสี่มุมตั้งเป็นขบวนทหารม้า แต่ละมุมให้ทหารถือธงรูปเมฆ รูปเดือนตะวัน รูปสายลม และรูป  ภูเขา เกียงอุยขี่ม้าถือธงประจำตัวแม่ทัพ ยืนอยู่หน้าขบวนค่ายกล

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาค่ายกลครั้งนี้ว่า “เกียงอุยจึงจัดทหารออกเป็นแปดกอง ตั้งแปดทิศ มีประตูเข้าออกถึงกันทั้งแปดด้าน กองหนึ่งให้ทหารยืนเป็นรูปมังกร กองหนึ่งเป็นรูปเสือ กองหนึ่งเป็นรูปพญานาค กองหนึ่งเป็นรูปนก กองหนึ่งให้ทหารม้ายกธงเทียวตั้งกระบวนเป็นรูปเมฆ กองหนึ่งเป็นรูปเดือนตะวัน กองหนึ่งเป็นลม กองหนึ่งเป็นดิน”

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า “เกียงอุยใช้วิธีการของขงเบ้งกำหนดตั้งค่ายกลแปดขบวนขึ้น อาศัยลักษณะสวรรค์ ธรณี นก งู มังกร เสือ แบ่งทิศทางกันเป็นที่แน่นอน”

            ครั้นทหารจ๊กก๊กแปรขบวนเป็นค่ายกลพยุหะเสร็จแล้ว เกียงอุยเห็นเตงงายยืนม้าอยู่หน้าขบวนทหาร จึงร้องถามว่าท่านรู้จักค่ายกลพยุหะนี้หรือไม่

            เตงงายได้ฟังดังนั้นจึงร้องตอบเกียงอุยว่า “ท่านสำคัญว่ากระบวนศึกอันนี้รู้แต่ท่านผู้เดียวหรือ เราก็เข้าใจอยู่ จะทำให้ท่านดู”

            ว่าดังนั้นแล้วเตงงายจึงเรียกเอาธงประจำตัวแม่ทัพมาถือไว้โบกสะบัดไปมา กลองศึกของกองทัพวุยก๊กก็โหมประโคมดังสนั่นหวั่นไหว ขบวนทหารวุยก๊กได้แปรขบวนตั้งเป็นค่ายกลพยุหะ มีลักษณะเป็นอย่างเดียวกับค่ายกลพยุหะของเกียงอุย

            พอตั้งขบวนเสร็จเตงงายได้โบกสะบัดธงไปมาอีกครั้งหนึ่ง ในทันใดนั้นขบวนค่ายกลพยุหะก็พลิกพลิ้วแปรขบวนจากแปดขบวนแยกออกเป็นหกสิบสี่ขบวน มีประตูหกสิบสี่ประตู ดูละลานตา ซับซ้อนและลึกล้ำยิ่งนัก

            พอทหารวุยก๊กตั้งขบวนค่ายกลพยุหะเสร็จ เตงงายจึงขี่ม้าออกมาข้างหน้าทหารแล้วร้องถามเกียงอุยว่า ขบวนพยุหะอัฏฐทิศเราตั้งได้พิสดารกว่าของท่านอีก ท่านรู้จักการแปรขบวนเหมือนที่เราทำนี้หรือไม่

            เกียงอุยได้ยินดังนั้นจึงร้องตอบว่า ซึ่งท่านแปรขบวนเป็นหกสิบสี่ขบวน หกสิบสี่ประตูดังนี้ เราก็แจ้งอยู่ว่าถูกต้องตามตำรา แต่จะมีความหมายอันใดเล่า จะถามท่านว่าเพียงค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศแปดขบวน แปดประตู ที่ข้าพเจ้าตั้งนี้ ท่านจะกล้ายกทหารเข้ามาตีหรือไม่

            เตงงายจึงว่า ซึ่งจะประลองวิชาค่ายกลพยุหะตามคำท่านนั้น จะฆ่าฟันกันจริง ๆ หรือเอาแค่ประลองความรู้ในสติปัญญาวิชาคุณให้เป็นขวัญตาของทหาร เพื่อเป็นเกียรติยศของเราทั้งสองหรืออย่างไร

            เกียงอุยจึงว่า จงเอาแบบอย่างที่ขงเบ้งประลองวิชาความรู้ค่ายกลพยุหะกับสุมาอี้เถิด อย่าให้ทหารต้องเจ็บตายเพราะการประลองของสองเราเลย

            เตงงายได้ยินดังนั้นจึงพยักหน้ารับคำ ต่างคนจึงต่างกล่าวพร้อมกันเป็นสัจจะว่าลูกผู้ชายตกลงกันตามนี้

            กล่าวแล้วเตงงายจึงจัดขบวนทหารม้าจำนวนเท่าเทียมกับจำนวนทหารซึ่งเกียงอุยตั้งเป็นค่ายกลพยุหะ กระซิบกำชับนายทหารทั้งปวงแล้วเตงงายจึงขี่ม้านำหน้าทหารฝ่าเข้าไปในประตูค่ายกลอัฏฐทิศ

            เตงงายนำทหารบุกวกไปวนมาตามตำรามิได้ผิดเพี้ยน ในทันใดนั้นเกียงอุยได้โบกสะบัดธงเป็นสัญญาณ เสียงกลองศึกทหารจ๊กก๊กดังก้องกระหึ่มเป็นทำนองเผด็จศึก ในพลันนั้นขบวนค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศก็เคลื่อนไหวแปรขบวนจากแปดขบวนกลายเป็นขบวนรูปงู กลืนเอาขบวนของเตงงายไว้ในท้องจนหมดสิ้น และบีบรัดกระชับเข้ามาอย่างหนาแน่น

            เตงงายกำลังนำทหารวุยก๊กรุกวกวนไปตามช่องประตู พลันที่ขบวนพยุหะแปรเปลี่ยนก็รู้สึกเสมือนหนึ่งว่าได้ตกเข้าไปอยู่ในถ้ำใหญ่อับทึบ เบื้องบนประหนึ่งมีภูเขากำลังกดทับลงมา เบื้องล่างประหนึ่งยืนอยู่ในห้วงน้ำลึก ทรงตัวไม่ถนัด ร่างกายเบาหวิว เห็นขบวนทหารจ๊กก๊กเลื่อมลายระยิบระยับ แล้วค่อย ๆ รู้สึกว่าตกอยู่ในวังน้ำวนกลางพระสมุทร ทหารของเตงงายได้พลัดหลงกันจนหมดสิ้น เตงงายให้รู้สึกตื่นตระหนกตกใจ เพราะไม่เคยรู้ไม่เคยสัมผัสกับฤทธานุภาพของการแปรขบวนค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศว่าลึกล้ำปานฉะนี้ เพราะการแปรขบวนค่ายกลเป็นหกสิบสี่ขบวน หกสิบสี่ประตูที่ร่ำเรียนรู้มา ก็หาได้ลึกล้ำพิสดารมหัศจรรย์เหมือนการแปรขบวนค่ายกลของเกียงอุยไม่

            เตงงายให้รู้สึกวิงเวียนศีรษะเป็นกำลัง ทหารของเตงงายที่พลัดหลงกันอยู่ภายในค่ายกลต่างรู้สึกเหมือนถูกงูใหญ่กลืนกินเข้าไป หน้ามืดแทบจะเป็นลม ได้ยินเสียงทหารจ๊กก๊กร้องข่มขวัญว่า ให้เตงงายและทหารวางอาวุธ ยอมจำนนเสียโดยดี มิฉะนั้นจะพากันตายสิ้น

            เตงงายพยายามตั้งสติให้สงบ กัดฟันบุกหน้าย้อนหลังเหไปทางซ้ายหันไปทางขวาหลายครั้งหลายหน ยิ่งรู้สึกว่าวังน้ำวนยิ่งหมุนเร็วรี่ขึ้นกว่าเก่า กลิ่นอายอันเหม็นขื่นสะอิดสะเอียนโชยมากระทบจมูก จึงยิ่งตกใจเป็นอันมาก แหงนหน้าขึ้นเบื้องบนทอดถอนใจใหญ่หมดอาลัยตายอยาก รำพึงแต่เดียวดายว่า “ซึ่งเราเสียทีถลำเข้าอยู่ในเงื้อมมือข้าศึกนี้ ก็เพราะดูหมิ่นทะนงแก่สงคราม”

            เตงงายดิ้นรนจะออกไปให้พ้นจากค่ายกลพยุหะสักเท่าใดก็ไม่สำเร็จ จึงหยุดหอบหายใจสิ้นหวัง ในทันใดนั้นได้ยินเสียงทหารกองหนึ่งบุกฝ่าขบวนค่ายกลเข้ามาถึง เห็นเป็นสุมาปองคุมทหารเข้ามาช่วย ค่ายกลพยุหะได้แตกสลายไปในทันที เตงงายเห็นดังนั้นก็ดีใจ รีบออกคำสั่งให้ทหารรีบหนี

            พอพ้นจากวงล้อมของค่ายกลพยุหะ เตงงายได้เร่งห้อม้านำทหารหนีอย่างไม่คิดชีวิต เกียงอุยเห็นได้ทีจึงสั่งทหารให้ไล่ตามตี ฆ่าฟันทหารของเตงงายบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก เตงงายพาทหารเข้าค่ายไม่ได้จึงหนีข้ามแม่น้ำอุยโหไปตั้งค่ายอยู่อีกฟากหนึ่ง

            เกียงอุยจึงยกทหารเข้าไปยึดค่ายของเตงงายทั้งเก้าค่าย แล้วพักทหารอยู่ในค่ายนั้น

            ฝ่ายเตงงายรู้สึกแปลกประหลาดใจว่าไฉนสุมาปองซึ่งไม่เคยปรากฏฝีมือรบพุ่งมาแต่ก่อน กลับสามารถคุมทหารตีฝ่าเข้าไปในค่ายกลและช่วยเหลือชีวิตในยามคับขันได้ จึงถามสุมาปองว่าค่ายกลอัฏฐทิศของเกียงอุยในครั้งนี้มีความลึกล้ำพิสดารนัก ข้าพเจ้าตกอยู่ในที่ล้อมจนสิ้นปัญญาแล้ว เหตุใดท่านจึงสามารถตีฝ่าเข้าไปในค่ายกลพยุหะได้

            สุมาปองจึงว่า ข้าพเจ้ามิได้มีฝีมือรบพุ่งเสมอด้วยท่าน แต่บังเอิญเมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กได้ท่องเที่ยวไปศึกษาหาวิชาความรู้ทั่วแคว้นเกงจิ๋ว พลัดหลงไปถึงเมืองลำเอี๋ยง ได้รู้จักกับเพื่อนของขงเบ้งสามคนคือซุยเป๋ง เบงคงอุย และโจ๊ะก๋งหงวน ทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนสนิทร่วมค้นคิดวิชาค่ายกลกับขงเบ้งมาแต่ก่อน แต่ละวันเมื่อได้ดื่มน้ำชาสนทนากันอย่างสนุกสนานแล้ว ยังประลองวิชาค่ายกลพยุหะด้วยประการต่าง ๆ ราวกับว่าเป็นการเล่นหมากรุก ข้าพเจ้าสนใจไต่ถามจึงได้รับการสอนสั่งมาบ้าง จึงได้เรียนรู้ลักษณะค่ายกลพยุหะของเกียงอุย

            เตงงายฟังคำสุมาปองเล่าความหลังด้วยความสนใจ ในขณะที่พยักหน้าแสดงอาการยอมรับนับถือเป็นระยะ ๆ สุมาปองจึงกล่าวสืบไปว่า ค่ายกลพยุหะอัฏฐทิศนั้นเป็นค่ายกลแม่บทตัวตั้ง สามารถแปรขบวนพลิกพลิ้วได้หลายพยุหะ และขบวนพยุหะที่เป็นไม้ตายมีอานุภาพล้ำลึกพิสดารก็คือการแปรขบวนที่มีชื่อว่าพญามังกรแปลงรูป หากหลงเข้าไปในค่ายกลนี้แล้วจะไม่มีวันออกจากค่ายกลได้

            เตงงายได้ฟังดังนั้นยิ่งตกตะลึง สุมาปองจึงเล่าต่อไปด้วยความภาคภูมิใจว่า ข้าพเจ้าทราบว่าท่านจะรบพุ่งกับเกียงอุย จึงรีบยกทหารมาช่วย ครั้นมาถึงเห็นค่ายกลพยุหะพญามังกรแปลงรูปกำลังสำแดงอานุภาพ เห็นหัวมังกรอยู่ข้างทิศพายัพ ก็รู้ว่าท่านกำลังพลาดท่าตกอยู่ในระหว่างค่ายกล เกรงว่าจะเป็นอันตรายจึงนำทหารตีฝ่าตัดขบวนค่ายกลตรงศีรษะพญามังกร เมื่อตีฝ่าจนศีรษะพญามังกรขาดออกจากกันแล้ว ขบวนพยุหะจึงสลายตัว ข้าพเจ้าจึงได้มาพบท่าน

            เตงงายคำนับขอบคุณสุมาปองที่มาช่วยชีวิตได้ทันท่วงที แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าได้เรียนวิชาค่ายกลพยุหะจากอาจารย์ทั่วทั้งแผ่นดิน แต่ค่ายกลพยุหะพญามังกรแปลงรูปนี้ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้เห็นมาแต่ก่อนเลย แม้ดูภายนอกก็ไม่เข้าใจ เมื่อได้ฟังคำอธิบายของท่านแล้วจึงได้รู้จักค่ายกลพยุหะนี้

            เตงงายกล่าวสืบไปว่า เมื่อค่ายกลพยุหะพญามังกรแปลงรูปเป็นหนึ่งในสุดยอดไม้ตายของวิชาค่ายกลพยุหะ ทั้งยังมีท่านซึ่งชำนาญวิชาค่ายกลพยุหะช่วยคิดอ่านด้วยแล้ว จึงไม่มีสิ่งใดที่จะต้องเกรงกลัวข้าศึกอีก วันพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะนำทหารไปยึดเอาค่ายเก่ากลับคืนให้จงได้

            สุมาปองจึงว่า ข้าพเจ้าได้ร่ำเรียนวิชาค่ายกลพยุหะมากหลายขบวนก็จริงอยู่ แต่เห็นจะสู้เกียงอุยไม่ได้ เพราะบรรดาเพื่อนของขงเบ้งที่ข้าพเจ้าได้รู้จักนั้นต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า วิชาค่ายกลที่คิดค้นนำมาประลองกันนั้นเป็นเศษส่วนน้อยที่ ขงเบ้งร่ำเรียนเท่านั้น เกียงอุยร่ำเรียนวิชามาจากขงเบ้งโดยตรง เห็นจะเกินความรู้ข้าพเจ้ามากนัก ท่านอย่าเพิ่งประมาทแก่เกียงอุย มิฉะนั้นอาจจะเสียทีแก่ข้าศึก

            เตงงายจึงว่า ข้าพเจ้าหาคิดที่จะรบพุ่งกับเกียงอุยด้วยค่ายกลพยุหะประการเดียวไม่ แต่จะให้ท่านยกทหารไปท้าประลองค่ายกลพยุหะกับเกียงอุยแทนข้าพเจ้า ส่วนข้าพเจ้านั้นจะคุมทหารยกอ้อมไปทางด้านหลังเขากิสานซุ่มอยู่ด้านหลังค่ายของเกียงอุย พอเกียงอุยยกทหารออกไปรบกับท่าน ข้าพเจ้าก็จะยกทหารเข้าไปทางด้านหลังค่าย เห็นจะยึดค่ายกลับคืนได้

            สุมาปองได้ฟังแผนการของเตงงายก็หัวเราะ แล้วสรรเสริญเตงงายว่าเมื่อแผนการเป็นดังนี้เห็นจะได้ชัยชนะแก่เกียงอุยเป็นมั่นคง ท่านมีสติปัญญาในการสงครามล้ำลึกนัก เกียงอุยจะต้องแตกพ่ายไปเป็นแน่แท้

            เย็นวันนั้นเตงงายจึงให้สุมาปองทำหนังสือไปท้าเกียงอุยว่า ในวันพรุ่งนี้ให้ยกทหารมาประลองวิชาค่ายกลพยุหะกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง เกียงอุยได้รับหนังสือของสุมาปองแล้วได้เขียนหนังสือสลักท้ายหนังสือของสุมาปองตอบรับคำท้าว่าหากทหารวุยก๊กอยากจะแก้มือให้พ้นอาย ก็ให้ยกมารบกับเราเถิด

            ในคืนวันนั้นเตงงายได้สั่งให้เตงหลุนคุมทหารเป็นกองหน้า เตงงายคุมทหารเป็นกองหลวงลอบยกออกจากค่ายข้ามแม่น้ำอุยโห วกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าด้านหลังค่ายของเกียงอุย คอยท่าจะยึดค่ายของเกียงอุยตามแผนการที่วางไว้

            ฝ่ายเกียงอุยหลังจากตอบรับคำท้าแล้ว วันรุ่งขึ้นเวลาเช้าได้สั่งให้ทหารเตรียมพร้อมที่จะยกไป แล้วเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาปรึกษาวางแผนการศึก เกียงอุยได้ปรารภว่า “เราเคยทำศึกมากับขงเบ้ง ชำนาญในกระบวนศึกเป็นอันมาก เวลาวานนี้เราก็แปลงกระบวนศึกถึงสามร้อยหกสิบห้ากระบวน เตงงายก็เห็นฝีมืออยู่แล้ว ซึ่งในหนังสือมาว่าจะออกตั้งขบวนศึกรบกับเรานั้น เหมือนเอาหญ้ามาสู้ดาบอันคม เห็นเป็นกลอุบายลวงเราดอก ท่านทั้งปวงจะเห็นบ้างหรือไม่”

            แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังคำเกียงอุยเป็นนัยว่า ซึ่งฝ่ายวุยก๊กท้ารบพุ่งในวันนี้หาใช่ต้องการจะประลองวิชาค่ายกลพยุหะกันแต่ประการใดไม่ หากมีความนัยว่าเป็นกลอุบายอันลี้ลับ จึงพากันนิ่งประหนึ่งตั้งคำถามกับเกียงอุยว่าเป็นกลอุบายประการใด

            เลียวฮัวได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าเองก็รู้สึกประหลาดใจว่าข้าศึกเพิ่งพ่ายแพ้ในการประลองค่ายกลพยุหะไปหยก ๆ แล้วเหตุใดจึงมาท้ารบด้วยขบวนพยุหะอีกเล่า พิเคราะห์แล้วเห็นจะเป็นกลอุบายสมดังคำท่านแม่ทัพ

            เลียวฮัวเห็นเกียงอุยพยักหน้าเป็นทียอมรับ จึงกล่าวสืบไปว่าซึ่งทหารวุยก๊กท้ารบในครั้งนี้ เห็นจะเป็นการหลอกลวงให้เรายกทหารออกไปรบพุ่ง แล้วแต่งทหารมายึดเอาค่ายเราเป็นมั่นคง

            เกียงอุยได้ยินดังนั้นจึงปรบมือ หัวเราะแล้วกล่าวว่า เลียวฮัวท่านเล็งการไม่ผิดเลย ซึ่งข้าพเจ้ามิได้แจ้งความแก่พวกท่านแต่วันวานเพราะเกรงว่าความลับจะแพร่งพราย จึงนัดหมายประชุมในเช้าวันนี้เพื่อที่จะซ้อนกลเตงงายให้หลาบจำ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร