ตอนที่ 613. บุกวุยก๊กครั้งที่สาม

หลังสุมาสูถึงแก่กรรมแล้ว พระเจ้าโจมอได้ลองเชิงทางการเมืองกับสุมาเจียว มีหมายรับสั่งให้สุมาเจียวพักทหารอยู่ที่เมืองฮูโต๋เพื่อจะฉวยเอาโอกาสนั้น ปรับปรุงอำนาจทางการเมืองการทหารในเมืองลกเอี๋ยง แต่จงโฮยรู้กลของพระเจ้าโจมอจึงเสนอให้สุมาเจียวยกกองทัพกลับ พระเจ้าโจมอจึงจำต้องโปรดเกล้าตั้งให้สุมาเจียวเป็นมหาอุปราชแทนผู้พี่

            สุมาเจียวได้ครองตำแหน่งมหาอุปราชสืบแทนพี่ชายแล้ว ก็ไม่ไว้วางใจพระเจ้าโจมอ จึงซ่องสุมผู้คนไว้เป็นกำลังเป็นอันมาก บรรดาแม่ทัพนายกองซึ่งเป็นสมัครพรรคพวกและไว้วางใจก็เลื่อนตำแหน่งแต่งตั้ง ให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ในเมืองหลวงและหัวเมืองทั้งปวงกุมอำนาจทางทหารไว้อย่าง แน่นหนา ส่วนบรรดาขุนนางฝ่ายพลเรือนก็แต่งตั้งสมัครพรรคพวกซึ่งเป็นที่ไว้วางใจกันมา แต่ก่อนให้ครองอำนาจทั้งใน นอกราชสำนักและหัวเมืองทั้งปวง

            อำนาจ การเมืองการทหารทั้งข้างใน ข้างนอกราชสำนักและทั่วแคว้นวุยจึงอยู่ในกำมือของสุมาเจียวอย่างแน่นแฟ้น ยิ่งกว่าเมื่อครั้งสุมาสู โดยเฉพาะจงโฮยและเตงงายได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ทำให้สองอัจฉริยะสงครามรุ่นใหม่ของวุยก๊กได้ก้าวขึ้นสู่อำนาจทางการเมือง การทหาร กลายเป็นขุนพลคู่บารมีของสุมาเจียวตั้งแต่นั้นมา

            ข่าวคราวการเปลี่ยนอำนาจทางการเมืองการทหารในวุยก๊กล่วงรู้ไปถึงหน่วยสอดแนมของจ๊กก๊ก จึงนำความไปรายงานให้เกียงอุยทราบ

            เกียงอุยทราบความแล้วจึงเดินทางเข้าไปในเมืองเสฉวน ถวายฎีกาต่อพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่าบัดนี้สุมาสูได้ถึงแก่ความตายแล้ว สุมาเจียวผู้น้องได้ครองตำแหน่งอุปราชแทนพี่ชาย เห็นบ้านเมืองวุยก๊กจะสับสนวุ่นวาย หากเรายกกองทัพไปตีวุยก๊ก สุมาสูก็จำใจต้องรักษาเมืองลกเอี๋ยงซึ่งเป็นฐานอำนาจเอาไว้ ไม่อาจยกกองทัพใหญ่มารบพุ่งได้ เห็นจะแต่งนายทหารยกมาขัดตาทัพ เราจึงตีหักเข้าไปถึงเมืองลกเอี๋ยงได้โดยง่าย

            พระ เจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบฎีกาแล้วจึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ เกียงอุยยกกองทัพไปตีวุยก๊กเป็นครั้งที่สาม เกียงอุยถวายบังคมขอบพระทัยแล้วจึงเดินทางกลับไปเมืองฮันต๋งจัดแจงกองทัพ เตรียมจะยกไปตีวุยก๊ก

            ฝ่ายเตียวเอ๊กซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่และออกมารับราชการอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ครั้นได้ทราบว่าเกียงอุยเตรียมกองทัพจะยกไปตีวุยก๊กจึงเข้าไปหาเกียงอุย แล้วกล่าวว่า แผ่นดิน ตงง้วนกว้างใหญ่ไพศาล แลอุดมสมบูรณ์นัก แคว้นเสฉวนเราเป็นแต่เพียงหัวเมืองด้านตะวันตก ผู้คนและเสบียงอาหารน้อยกว่าวุยก๊กเป็นอันมาก ไม่อาจยกกองทัพไปทำศึกทางไกลได้ยาวนาน บัดนี้บ้านเมืองก็เป็นสุข ไม่ชอบที่ท่านจะก่อศึกสงคราม หากควรที่จะตั้งมั่นรักษาด่านชายแดนไว้ทุกตำบล ราษฎรทั้งปวงก็จะมีความสุข

            เกียงอุยจึง ว่าคำท่านนี้ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย แลบัดนี้แผ่นดินยังแตกแยกออกเป็นสามก๊ก เมื่อครั้งที่มหาอุปราชจูกัดเหลียงยังมีชีวิตอยู่ก็ได้สนองคุณพระเจ้าเล่า ปี่ มุ่งฟื้นฟูเชิดชูพระบรมราชวงศ์ฮั่นให้รุ่งเรืองดังแต่ก่อน จึงกรีฑาทัพไปบุกวุยก๊กถึงหกครั้งหวังรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งแต่ไม่ สำเร็จ กลับต้องสิ้นบุญลงกลางศึก ก่อนจะสิ้นบุญมหาอุปราชจูกัดเหลียงได้สั่งเสียแก่ข้าพเจ้าไว้ว่า ขอให้สืบสานพระบรมราชปณิธานของพระเจ้าเล่าปี่ ทำนุบำรุงพระเจ้าเล่าเสี้ยน ฟื้นฟูพระราชวงศ์ฮั่นให้สำเร็จ ข้าพเจ้าก็ได้ให้ความสัตย์ไว้เป็นแข็งขันว่าจะทำการโดยไม่คิดเห็นแก่ชีวิต แลบัดนี้แผ่นดินวุยก๊กกำลังผลัดเปลี่ยนอำนาจเป็นทีแล้ว หากไม่ยกกองทัพไปอีกเมื่อไรเล่าจึงจะมีโอกาสเหมือนครั้งนี้

            แฮหัวป๋าได้ยินดังนั้นจึงหนุนคำเกียงอุยว่า ข้าพเจ้าเห็นดีกับเหตุผลของท่านนัก แลการศึกครั้งนี้จำทำด้วยความรวดเร็ว อย่าให้ข้าศึกทันตั้งตัว รีบรุดตีเอาเมืองลกเอี๋ยงให้ได้โดยเร็วที่สุด ขอให้ท่านกรีฑาทัพม้าเข้าไปทางเปาสิวรุดเข้ายึดเมืองเจ้าเสและเมืองลำอั๋น ซึ่งเป็นหัวเมืองยุทธศาสตร์ให้ได้ก่อน เมื่อได้หัวเมืองทั้งสองนี้แล้วเท่ากับได้กุมจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่จะรุด เข้าตีเมืองลกเอี๋ยงสืบไป

            เตียวเอ๊กเห็นเกียงอุยมีทีท่ายืนยันที่จะยกกองทัพไปให้จงได้ จึงเปลี่ยนท่าทีมากล่าวเสริมแฮหัวป๋าว่า ข้าพเจ้าเห็นด้วยกับแฮหัวป๋าที่จะต้องทำการศึกอย่างรวบรัดรวดเร็วมิให้ทัน ตั้งตัว “ท่านยกไปทำการครั้งก่อนนั้นเดินทัพช้านัก จึงไม่ได้ชัยชนะก็กลับมา ในตำราพิชัยสงครามว่าไว้ว่า แม่ทัพแม่กองผู้ทำการสงครามจะยกไปตีเขาอย่าให้เขารู้ตัว จึงจะมีชัย ถ้าเขารู้ตัวแล้วก็จะตระเตรียมการยุทธ์ไว้พร้อม ผู้ใดไปตีก็จะไม่สมคะเน ขอให้ท่านเร่งรีบยกไปอย่าให้ทันรู้ตัวเลย เห็นจะได้ชัยชนะฝ่ายเดียว”

            เกียงอุยได้ฟังแม่ทัพนายกองทั้งปวงมีความเห็นสอดคล้องกันจึงกำหนดวันฤกษ์ดี และให้ทหารทั้งปวงชุมนุมกองทัพที่หน้าเมืองฮันต๋ง

            พระ พุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบแปดพรรษา เดือนสิบ เกียงอุยได้กรีฑาทัพจ๊กก๊กกำลังพลยี่สิบหมื่นเคลื่อนออกจากเมืองฮันต๋งตรงไป ทางเปาสิว

            สามก๊กฉบับ สมบูรณ์ระบุว่า กองทัพของเกียงอุยยกไปในครั้งนี้มีกำลังพลถึงร้อยหมื่น ในขณะที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่ามีกำลังพลหกสิบหมื่น ความแตกต่างดังนี้เห็นว่าตัวเลขของทั้งสองฉบับน่าจะเป็นตัวเลขทางการข่าว ซึ่งลวงข้าศึกหวังจะข่มขวัญและปรามวุยก๊ก โดยที่กำลังแท้จริงน่าจะไม่เกินยี่สิบหมื่น เพราะเกียงอุยนั้นเคยทำการอยู่กับขงเบ้ง กระบวนท่าเชิงชั้นทางการสงครามได้รับถ่ายทอดมาจากขงเบ้ง ซึ่งถือยุทโธบายในการใช้กำลังทหารน้อยเอาชนะมากเสียเป็นส่วนใหญ่ ไม่เคยปรากฏที่ขงเบ้งจะกรีฑาทัพกำลังพลเกินห้าสิบหมื่นเลย ดังนั้นกองทัพของ  เกียงอุยที่ยกไปในครั้งนี้ที่มีตัวเลขระบุหกสิบหมื่นก็ดี ร้อยหมื่นก็ดี จึงพึงถือว่าเป็นตัวเลขจากการปล่อยข่าวไปข่มขวัญข้าศึกเท่านั้น

            พอกองทัพของเกียงอุยเคลื่อนไปถึงตำบลแม่น้ำเจ้าซุย หน่วยสอดแนมของอองเก๋งเจ้าเมืองยงจิ๋วก็ทราบข่าวศึกจึงรายงานความให้อองเก๋ง ทราบ

            อองเก๋งทราบความแล้วจึงเกณฑ์ทหารเจ็ดหมื่น ให้ต้านท่ายรองเจ้าเมืองเป็นกองทัพหน้า อองเก๋งเป็นกองทัพหลวง ยกไปตั้งขัดตาทัพอยู่ที่ริมฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามกับกองทัพเกียงอุย

            ครั้น เกียงอุยทราบว่าเจ้าเมืองชายแดนของวุยก๊กยกกองทัพมาขัดตาทัพอยู่ที่ริมแม่ น้ำเจ้าซุยดังนั้น จึงเรียกเตียวเอ๊กกับแฮหัวป๋ามากระซิบสั่งแผนการเป็นการลับ แล้วกำชับว่าเมื่อข้าพเจ้าพาทหารกลับเข้ารบกับทหารวุยก๊ก ก็ให้ทหารทุกหน่วยยกเข้าตีกระหนาบพร้อมกัน ผลักดันทหารวุยก๊กให้ตกแม่น้ำให้จงได้

            เตียวเอ๊กและแฮหัวป๋ารับคำสั่งเกียงอุยแล้วจึงคำนับลากลับออกไป ครั้นเวลาค่ำเกียงอุย เตียวเอ๊กและแฮหัวป๋าจึงแบ่งทหารออกเป็นสามกอง ลอบยกข้ามแม่น้ำเจ้าซุยไปตั้งอยู่ฝั่งเดียวกับกองทัพวุยก๊ก

            เฉพาะเกียงอุยนั้นตั้งกองทหารเผชิญหน้าอยู่กับกองทหารของอองเก๋ง พอรุ่งขึ้นอองเก๋งรู้ว่าเกียงอุยยกทหารข้ามแม่น้ำมาตั้งประชิด จึงคุมทหารจะยกไปรบกับเกียงอุย ทั้งสองฝ่ายต่างขี่ม้าอยู่เบื้องหน้าขบวนทหารท่ามกลางธงทิวปลิวไสว พลกลองทั้งสองฝ่ายต่างลั่นกลองศึกดังกึกก้อง

            พอ เสียงกลองสงบลง อองเก๋งจึงร้องถามเกียงอุยว่า แผ่นดินทุกวันนี้เป็นสามก๊ก ต่างคนต่างแข็งเมืองไม่ขึ้นต่อกัน และมิได้รุกรานกัน ราษฎรทั้งปวงจึงได้ความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเหตุไฉนท่านจึงประพฤติผิดประเพณี ทำลายสันติ ก่อสงครามให้เป็นที่เดือดร้อนแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงเล่า

            เกียงอุยได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวย้อนคำอองเก๋งว่า ขุนนางอย่างท่านนี้มาพูดถึงประเพณีนั้นไม่ละอายปากหรือ ก็แลพระเจ้าโจฮองนั้นเป็นพระมหากษัตริย์ ถูกศัตรูราชสมบัติถอดถอนตามอำเภอน้ำใจ ท่านและขุนนางทั้งปวงต่างคล้อยตามผู้มีอำนาจ ไม่ท้วงติงทัดทานให้ผิดการประเพณีไป เราเสียอีกเป็นชาวต่างเมือง เห็นการไม่ต้องด้วยประเพณีก็มีความเจ็บแค้น ด้วยแผ่นดินนี้หากไม่มีประเพณีให้ยึดถือย่อมเกิดเป็นกลียุค เหตุฉะนี้เราจึงยกกองทัพมาเพื่อจะทำโทษคนผิดมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไปใน เบื้องหน้า

            อองเก๋งได้ฟังคำเกียงอุยดังนั้นก็จำนนต่อถ้อยคำ มิรู้ที่จะกล่าวประการใด หันกลับมากล่าวกับแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า กองทัพเกียงอุยยกข้ามแม่น้ำมาอยู่ฟากเดียวกับเราฉะนี้ ชอบที่จะโจมตีให้ตกตายในแม่น้ำจนหมดสิ้น

            กล่าวแล้วอองเก๋งจึงสั่งทหารทั้งปวงให้จู่โจมรุกเข้าตีกองทัพของเกียงอุย เกียงอุยเข้ารบกับนายทหารรองของอองเก๋งสามสี่เพลงก็ทำทีพาทหารล่าถอยไปทาง ด้านหลัง  อองเก๋งไม่รู้กลเห็นทหารจ๊กก๊กล่าถอยก็สำคัญว่าได้ที จึงขับทหารให้รุกโจมตีอย่างฮึกเหิม

            เกียง อุยขี่ม้าพาทหารหนีไปตามริมแม่น้ำ ขึ้นไปทางทิศตะวันตก ครั้นถึงจุดที่เตียวเอ๊กและแฮหัวป๋าซุ่มอยู่ เกียงอุยจึงสั่งทหารให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ แล้วร้องประกาศแก่ทหารทั้งปวงว่ากระต่ายติดแร้ว เสือติดจั่นแล้ว ให้เร่งทำการตามแผนการนั้นเถิด

            สิ้นเสียงของเกียงอุย เตียวเอ๊กและแฮหัวป๋าก็ยกทหารออกจากจุดซุ่ม ตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกันทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เกียงอุยก็คุมทหารย้อนกลับกระหนาบตีเข้ามาทางด้านข้าง ทหารจ๊กก๊กพากันโห่ร้องเสียงดังกึกก้องแล้วรุกไล่โจมตีทหารวุยก๊กอย่างดุ เดือด

            ทหารวุยก๊กกำลังรุกไล่ด้วยความคึกคะนอง แต่พอรู้ว่าต้องกลข้าศึกถูกซุ่มตีกระหนาบเป็นสามทิศทางทั้งหน้าหลังและด้าน ข้าง ก็พากันแตกตื่นคุมกันไม่ติด ถูกทหารจ๊กก๊กฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            ทหารวุยก๊กกำลังเสียขวัญ รบพลางถอยพลาง จะไปข้างหน้าก็มิได้ ถอยไปข้างหลังก็มิได้ ทั้งด้านข้างเกียงอุยก็คุมทหารตีกระหนาบเข้ามา จึงพากันถอยร่นไปทางริมแม่น้ำ ทหารจ๊กก๊กเห็นการณ์เป็นไปตามแผนจึงรุกคืบตีกระหนาบกระชับเข้าไป ทหารวุยก๊กก็ถอยร่นไปจนถึงริมตลิ่ง 

            ทหารของอองเก๋งถูกโจมตีถอยร่นไปถึงริมตลิ่งแล้วก็ไม่กล้าถอยสืบไป เพราะแม่น้ำนั้นลึก กลัวว่าทั้งคนทั้งม้าจะจมน้ำตาย แต่หยุดนิ่งอยู่กับที่ก็ไม่ได้ เพราะพวกที่อยู่ด้านหลังได้ถอยร่นดันลงมาไม่ขาดสาย จะผลักดันกลับขึ้นไปก็ทานกำลังพวกที่แตกร่นลงมาไม่ได้

            ทหารของอองเก๋งจึงถูกเบียดขับลงไปในแม่น้ำ จมน้ำตายทั้งม้าและคนเป็นอันมาก สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง  (หน) ระบุว่า “ทหาร อองเก๋งซึ่งลงไปก่อนกลัวน้ำรั้งรออยู่ ที่หนีลงไปข้างหลังทั้งม้าทั้งคนก็เหยียบย่ำกันตายประมาณสองส่วน ที่หนีลงน้ำก็ตายเป็นอันมาก ทหารเกียงอุยตัดศีรษะเสียได้สักหมื่นเศษ”

            ฝ่ายอองเก๋งคุมทหารรั้งหลัง เห็นทหารที่ลงไปอยู่ในน้ำถูกเบียดขับจมน้ำตายเป็นอันมากก็ตกใจ คิดว่าหากมัวแต่จะถอยร่นก็จะพากันจมน้ำตายสิ้น คิดดังนั้นแล้วจึงตัดสินใจสู้ตาย ชักม้ากลับขึ้นไปบนตลิ่งเข้าสู้กับทหารของเกียงอุย พลางร้องบอกทหารคนสนิทให้ตีฝ่าหนีออกไปให้จงได้

            ทหารคนสนิทของอองเก๋งได้ยินคำสั่งของผู้เป็นนาย จึงกลับม้าตีฝ่าทหารจ๊กก๊กตาม อองเก๋งออกไป พอพ้นจากแนวล้อมอองเก๋งก็รีบพาทหารร้อยคนเศษรีบบึ่งม้าหนีไปทางเมืองเต๊กโต เสีย ครั้นไปถึงจึงเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองและสั่งการเจ้าเมืองให้ปิดประตูเมือง ระมัดระวังรักษากำแพงและเชิงเทินไว้อย่าได้ประมาท

            ฝ่ายเกียงอุยครั้นได้ชัยชนะในการศึกยกแรก จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า กองทัพเราได้ชัยชนะเป็นฤกษ์ชัยของกองทัพแล้ว ควรจะยกตามไปตีเมืองเต๊กโตเสียต่อไป ท่านทั้งปวงจะเห็นประการใด

            เตียว เอ๊กได้ยินดังนั้นจึงว่า กองทัพเรายกมาทำการทั้งนี้ได้ชัยชนะเป็นเกียรติยศ แลข่มขวัญข้าศึกมิให้ฮึกเหิมต่อไปแล้ว จึงควรที่จะเลิกทัพกลับไปเมืองฮันต๋ง จะได้ไม่ต้องเสี่ยงภัย และไม่ต้องเดือดร้อนแก่ไพร่พล

            เกียงอุยได้ยินจึงแย้งว่า ท่านกล่าวฉะนี้ไม่ชอบ เมื่อสองครั้งก่อนข้าพเจ้ายกกองทัพมาทำการไม่ทันไรก็ต้องล่าถอยกลับ ครั้งนี้ได้ทีอยู่แล้ว ทั้งข้าศึกก็เสียขวัญกำลังใจ เห็นจะยึดได้เมืองเต๊กโตเสียโดยง่าย.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร