ตอนที่ 611. ไม่มาตามนัด
สุมาสูพอทราบข่าวว่าบู๊ขิวเขียมก่อตั้งกองทัพพันธมิตรจะยกมาตีเมืองลกเอี๋ยงก็เห็นว่าเป็นการใหญ่ หากเนิ่นช้าไปหัวเมืองทั้งปวงยกกองทัพมาพร้อมกันแล้วเมืองลกเอี๋ยงจะเป็นอันตราย จึงข่มความเจ็บหลังผ่าตัดใหม่ ๆ ยกกองทัพไปสกัดกองทัพบู๊ขิวเขียมที่แดนเมืองซงหยง
ฝ่ายหน่วยสอดแนมของวุยก๊กครั้นทราบว่ากองทัพบู๊ขิวเขียมได้ล่าถอยกลับไปตั้งอยู่ที่เมืองฮางเสีย จึงนำความไปรายงานให้สุมาสูทราบ สุมาสูจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่าการทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใด
เปาต้านซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายข่าวกรองได้เสนอว่า ซึ่งบู๊ขิวเขียมถอยทัพครั้งนี้เนื่องจากเกรงว่ากองทัพเมืองกังตั๋งจะยกมาตีเอาเมืองชิวฉุน การที่บู๊ขิวเขียมถอยทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองฮางเสียนั้นด้านหน้าคิดจะรบพุ่งป้องกันกองทัพของมหาอุปราช ด้านหลังเห็นจะแบ่งทหารยกไปป้องกันเมืองชิวฉุน กำลังทหารของบู๊ขิวเขียมก็จะลดน้อยถอยลง
เปาต้านได้เสนอต่อไปว่า ซึ่งกองทัพบู๊ขิวเขียมถอยทัพครั้งนี้ต้องด้วยลักษณะปราชัย เพราะใจพะว้าพะวังด้วยศึกกระหนาบหน้าหลัง ด้านหน้าเกรงว่าท่านจะเข้าตี ด้านหลังก็เกรงว่าซุนจุ่นจะตีชิงเอาเมืองชิวฉุน สถานการณ์ดังนี้ขอให้ท่านแต่งกองทัพเป็นสามกอง ยกไปตีเมืองงักแกเสียซึ่งเป็นเส้นทางถอยทัพของบู๊ขิวเขียมกองหนึ่ง ยกไปตีเมืองฮางเสียซึ่งบู๊ขิวเขียมตั้งค่ายอยู่กองหนึ่ง และยกไปตีเมืองชิวฉุนอีกกองหนึ่ง เห็นบู๊ขิวเขียมจะต้องแตกพ่ายเป็นมั่นคง แลเมืองงักแกเสียนั้นอยู่ใกล้กับเมืองกุนจิ๋ว บัดนี้เตงงายซึ่งเป็นนาย ทหารรุ่นใหม่ มีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมากได้ครองตำแหน่งเป็นเจ้าเมือง ข้าพเจ้าขอเสนอให้ท่านบัญชาให้เตงงายยกกองทัพไปตีเมือง งักแกเสีย เมื่อตีได้แล้วให้ยกหนุนไปตีเมืองฮางเสียต่อไป
สุมาสูได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงสั่งให้จัดทหารสามกองตามแผนการของเปาต้าน ตัวสุมาสูคุมกองทัพหลวงยกหนุนไปตีเมืองงักแกเสีย
ฝ่ายบู๊ขิวเขียมหลังจากถอยทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองฮางเสียแล้ว ได้ปรึกษากับบุนขิมว่าซึ่งเราจะตั้งรับข้าศึกอยู่ดังนี้เห็นเป็นศึกกระหนาบทั้งวุยก๊กและง่อก๊ก ท่านจะคิดอ่านประการใด
บุนขิมจึงว่า ยุทธภูมิที่สำคัญในขณะนี้คือตำบลงักแกเสีย ถ้าหากรักษาตำบลงักแกเสียเอาไว้ได้ข้าศึกก็จะทำอันตรายมิได้ ข้าพเจ้าขออาสาเอาทหารห้าพันไปกับ บุนเอ๋งผู้บุตรจะไปรักษาตำบลงักแกเสียเอาไว้ให้จงได้
บู๊ขิวเขียมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จัดทหารห้าพันให้บุนขิมและบุนเอ๋งสองพ่อลูกยกไปรักษาตำบลงักแกเสีย และกำชับทหารทั้งปวงในเมืองฮางเสียให้กวดขันระมัดระวังรักษาเวรยามมิได้ประมาท
ฝ่ายบุนขิมครั้นยกกองทัพไปใกล้ตำบลงักแกเสียก็ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่ามีกองทัพวุยก๊กประมาณหมื่นเศษยกมาตั้งอยู่ข้างตะวันตก มีธงเหลืองและธงทิวเป็นอันมาก เห็นจะเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพยกมาเอง บุนขิมจึงถามว่าชื่อนายทัพที่ยกมานี้เป็นผู้ใด ก็ได้รับรายงานว่าชื่อซึ่งจารึกในผืนธงประจำตัวนายทัพชื่อว่าสุมาสู ขณะนี้กองทัพที่ยกมากำลังปักค่ายอยู่
บุนเอ๋งซึ่งเป็นบุตรบุนขิมได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า ข้าศึกเพิ่งยกมาถึง ไม่พร้อมรบ หากเรายกเข้าตีกระหนาบพร้อมกันเห็นจะได้ชัยชนะ
บุนขิมได้ฟังคำบุตรต้องด้วยคัมภีร์พิชัยสงครามที่ให้เข้าตีข้าศึกซึ่งยังไม่พร้อมรบก็เห็นด้วย จึงถามว่าจะยกเข้าตีเวลาใด บุนเอ๋งจึงว่าเวลาค่ำวันนี้เห็นจะเป็นเวลาที่เหมาะสม ขอให้แบ่งทหารเป็นสองกอง ท่านพ่อคุมกองหนึ่ง ข้าพเจ้าคุมกองหนึ่ง กำหนดเวลาเที่ยงคืนตรงยกเข้าโจมตีทหารวุยก๊กพร้อมกัน
บุนขิมได้ฟังคำบุตรก็เห็นด้วย จัดแจงทหารตามแผนการของบุนเอ๋ง บุนเอ๋งเห็นบิดาวางใจทำตามแผนการความคิดก็มีความยินดี คำนับลาผู้บิดาออกไปเตรียมการ บุนขิมมองตามหลังบุนเอ๋งผู้บุตรซึ่งขณะนี้อายุได้สิบแปดปี “สูงได้ห้าศอก ใส่เกราะ เหน็บกระบองเหล็ก ขี่ม้ายนต์” ก็มีความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าม้าซึ่งบุนเอ๋งขี่เป็นม้ายนต์ ความจริงเป็นการแปลผิด เนื่องจากม้าซึ่งบุนเอ๋งขี่ก็เป็นม้าธรรมดา เป็นแต่ว่าเป็นม้าสูงใหญ่ แข็งแรง พ่วงพี เสมอด้วยม้าศึกของกองทัพม้าภาคเหนือของวุยก๊ก
ฝ่ายสุมาสูยกทหารไปถึงตำบลงักแกเสียแล้วรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากกองทัพของเตงงายจากเมืองกุนจิ๋วซึ่งอยู่ใกล้กว่ากลับยังยกมาไม่ถึง จึงจำต้องรอกองทัพของเตงงายพร้อมแล้วจะยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองงักแกเสีย แต่พอตั้งค่ายเสร็จสุมาสูก็รู้สึกปวดที่บาดแผลผ่าตัด อาการกำเริบหนักขึ้นโดยลำดับจนยืนหรือนั่งไม่ได้ สุมาสูต้องนอนซมอยู่บนเตียงในค่ายพัก และให้ทหารองครักษ์สามร้อยห้อมล้อมค่ายพักเพื่อป้องกันอันตราย
ครั้นเวลาเที่ยงคืนสุมาสูยังคงปวดบาดแผลเป็นทุกข์เวทนาแรงกล้าขึ้นโดยลำดับ พลันได้ยินเสียงอึกทึกวุ่นวายด้านนอกค่าย ทั้งเสียงม้าและเสียงคนสับสนอลหม่าน จึงให้ทหารคนสนิทออกไปถามด้านนอกค่ายว่าเกิดเหตุการณ์สิ่งไรขึ้น
ครู่หนึ่งทหารคนสนิทก็วิ่งเข้ามารายงานว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว ข้าศึกยกทหารเข้าจู่โจม แลตัวนายนั้นมีพละกำลังเป็นอันมาก ไม่อาจมีผู้ใดต่อต้านได้ รุกไปถึงไหนทหารเราก็แตกพ่ายไปถึงนั่น ขณะนี้กำลังขี่ม้าตรงเข้ามาจากทางด้านทิศเหนือ
สุมาสูกำลังปวดเจ็บเป็นกำลัง พอทราบความก็ยิ่งโกรธและยิ่งตกใจระคนกัน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าสุมาสูพอทราบความ “ให้ร้อนในอกเหมือนหนึ่งเพลิงเผาก็โกรธขึ้นมา โรคในจักษุนั้นกำเริบขึ้น ลูกตาก็ปะทุออกมา กลัวว่าทหารจะเสียน้ำใจก็เอาผ้าผวยห่มนอนเข้ากัดเคี้ยวไปจนผ้าขาด”
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า ในพลันที่สุมาสูถูกเพลิงโทสะโหมกำเริบขึ้น บาดแผลผ่าตัดก็พลอยกำเริบตาม เลือดและหนองซึ่งคั่งอยู่ด้านในและถูกยาปิดทับไว้ได้ปะทุออกมา ทั้งเลือดทั้งหนองและลูกนัยน์ตาข้างซ้ายของสุมาสูก็ทะลักออกมาจากเบ้าตา แต่สุมาสูมีจิตใจเด็ดเดี่ยว เกรงว่าการป่วยเจ็บจะทำให้ทหารเสียขวัญและกำลังใจ จึงสู้ข่มความเจ็บไว้ และกำชับทหารในค่ายหลวงให้เตรียมพลเกาทัณฑ์ตีโต้ข้าศึก
ฝ่ายบุนเอ๋งได้ยกทหารรุกเข้าตีค่ายทหารวุยก๊กจากด้านเหนือตามแผนการ บุนเอ๋งโจมตีค่ายนอกด้านเหนือของสุมาสูแตก ฆ่าฟันทหารของสุมาสูบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
บุนเอ๋งนั้นมีกำลังฝีมือกล้าหาญ รุกตีไปถึงไหนก็ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ ข้าศึกแตกหนีเป็นทาง บุนเอ๋งจึงตีฝ่าจากทิศเหนือเข้ามาจนใกล้จะถึงค่ายหลวงของสุมาสู แต่ไม่เห็นหรือได้ยินสัญญาณการตีกระหนาบเข้ามาจากทางด้านใต้ ก็ประหลาดใจว่าบุนขิมผู้พ่อพลัดหลงไปอยู่ที่แห่งหนตำบลใด
บุนเอ๋งพยายามบุกเข้าตีค่ายหลวงของสุมาสูตั้งแต่เที่ยงคืนจนสว่างก็หักเข้าไปไม่ได้ เพราะทหารของสุมาสูได้ยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้อย่างแน่นหนาดุจกำแพงเหล็ก
ครั้นฟ้าสางบุนเอ๋งได้ยินเสียงแตรเขาควายและเสียงโห่ร้องดังลั่นมาจากด้านหลัง และทหารกองหลังแตกฮือไม่เป็นขบวน ก็แปลกใจว่าบุนขิมบิดาเราทำหน้าที่เข้าตีมาจากด้านทิศใต้ แล้วไฉนจึงยกกลับมาทางด้านหลังกองทหารของเราเล่า
บุนเอ๋งยิ่งแปลกใจมากขึ้นเนื่องจากสัญญาณแตรและคำสั่งบัญชาทหารล้วนไม่ใช่สัญญาณที่ตกลงกับบุนขิมผู้พ่อ จึงขี่ม้าย้อนกลับมาทางด้านหลัง เห็นทหารวุยก๊กกองหนึ่งมีธงประจำตัวนายทัพชื่อเตงงายกำลังนำทหารตีกระทบหลังขึ้นมา
ในขณะที่บุนเอ๋งกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เตงงายได้ถือง้าวขี่ม้านำหน้าทหารตรงเข้ามาหาบุนเอ๋ง แล้วร้องว่า “อ้ายขบถแผ่นดิน มึงอย่าหนีกู เร่งมาสู้กัน”
บุนเอ๋งเห็นสถานการณ์พลิกผันดังนั้นก็โกรธ ขี่ม้าเข้ารบกับเตงงาย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ห้าสิบเพลงยังไม่ทันแพ้แลชนะ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้องทางด้านหลัง บุนเอ๋งเหลียวกลับไปดูเห็นทหารกองทัพหลวงของสุมาสูตีกระหนาบกระทบลงมา ทหารของบุนเอ๋งพากันแตกหนีกระจัดกระจายไป
เตงงายเห็นดังนั้นจึงเร่งรุกรบจะเข้าประชิดตัวบุนเอ๋ง บุนเอ๋งได้ยินเสียงโห่ร้องกระชับใกล้เข้ามาและทหารของตัวแตกหนีจนหมดสิ้น เห็นว่าจะต่อสู้มิได้ จึงชักม้าออกจากวงรบตีฝ่าทหารวุยก๊กออกไปทางด้านทิศใต้ประตูเมืองงักแกเสีย ทหารวุยก๊กกว่าร้อยคนเห็นได้ทีจึงขี่ม้าไล่ตามไป
แต่พอทหารวุยก๊กตามเข้าไปใกล้ บุนเอ๋งก็กลับม้าเข้ามารบ แล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดัง ทหารวุยก๊กตกใจถอยหนี บุนเอ๋งจึงขับม้าหนีต่อไป แต่พอบุนเอ๋งขับม้าหนี ทหารวุยก๊กก็รุกไล่ตามไปอีก บุนเอ๋งได้กลับม้าเข้ามารบกับทหารวุยก๊กต่อไป ผลัดรุกผลัดหนีอยู่ดังนี้ถึงสี่ห้าหน บุนเอ๋งได้ฆ่าฟันทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายเป็นหลายคน ทหารวุยก๊กที่เหลือเห็นน้อยตัวจึงไม่กล้าติดตาม พากันยกกลับไปหาสุมาสู
ฝ่ายบุนขิมผู้พ่อบุนเอ๋งพอค่ำลงก็ยกทหารออกจากค่าย แต่ด้วยความไม่ชำนาญภูมิประเทศจึงหลงทางเข้าไปในซอกเขา วนเวียนอยู่จนสว่างก็ยังออกจากหุบเขาไม่ได้ ครั้นรุ่งขึ้นพอได้ทราบข่าวว่าบุนเอ๋งเสียทีแก่กองทัพสุมาสูแล้ว จึงพาทหารหนีไปทางเมืองชิวฉุน
ฝ่ายอินต้ายบกซึ่งเดิมเป็นเพื่อนกินและคนสนิทของโจซอง ครั้นต่อมาสุมาอี้ก่อการรัฐประหารจึงแปรพักตร์ไปเข้ากับสุมาอี้ หลังจากสุมาอี้สังหารโจซองแล้วได้ให้อินต้ายบกไปสังกัดอยู่กับสุมาสู อินต้ายบกรู้ดีว่าทั้งสุมาอี้และสุมาสูไม่ไว้วางใจเพราะเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของโจซอง ดังนั้นจึงผูกพยาบาทจ้องคอยหาโอกาสที่จะสังหารสุมาสู ด้านหนึ่งเพื่อล้มล้างอำนาจของตระกูลสุมา อีกด้านหนึ่งเพื่อหวังจะแทนคุณของโจซอง แลอินต้ายบกนี้มีความสนิทสนมมักคุ้นรักใคร่กับบุนขิมเป็นอันมาก ครั้นสุมาสูป่วยด้วยโรคมะเร็งเรื้อรังที่บริเวณนัยน์ตาข้างซ้าย อินต้ายบกจึงคิดแผนการจะออกหากจากสุมาสูไปเข้ากับบุนขิม
ดังนั้นอินต้ายบกจึงเข้าไปหาสุมาสูแล้วเสนอว่า เดิมทีบุนขิมเป็นคนสัตย์ซื่อ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำการกบฏในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะความคิดของบุนขิม แต่เป็นเพราะบู๊ขิวเขียมหลอกลวงว่าเป็นพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา หากทราบความจริงแล้วเห็นบุนขิมจะยอมรับผิดแต่โดยดี ข้าพเจ้าจะขออาสาไปว่ากล่าวกับบุนขิมเอง
สุมาสูกำลังเจ็บป่วยและยังไม่เห็นหนทางที่จะเผด็จศึก ได้ยินคำอาสาก็ดีใจ อนุญาตให้อินต้ายบกออกไปเกลี้ยกล่อมบุนขิม อินต้ายบกเห็นได้โอกาสจึงคำนับลาสุมาสู แล้วใส่เกราะขี่ม้าตามบุนขิมไป ครั้นพบกับบุนขิมกำลังพาทหารจะหนีไปเมืองชิวฉุน อินต้ายบกจึงขี่ม้าเข้าไปใกล้แล้วร้องตะโกนเรียก
บุนขิมได้ยินเสียงอินต้ายบกก็จำได้ แต่โกรธอินต้ายบกว่าเป็นข้าคดต่อเจ้าไปเข้าด้วยศัตรูราชสมบัติจึงหยุดม้าอยู่ อินต้ายบกเกรงว่าบุนขิมจะจำไม่ได้จึงถอดหมวกซึ่งปิดครึ่งหน้านั้นออก พลางเอาแส้ม้าชี้บุนขิมแล้วกล่าวว่าท่านจะรีบหนีไปไหน
บุนขิมได้ยินคำอินต้ายบกดังนั้นก็สำคัญว่าอินต้ายบกยกทหารมาตามตี จึงยกเกาทัณฑ์ขึ้นจะยิง อินต้ายบกสำคัญผิดคิดว่าบุนขิมตัดญาติขาดเพื่อนก็น้อยใจร้องไห้ คิดการประการใดไม่ออก และเกรงว่าขืนนิ่งอยู่ก็อาจถูกบุนขิมยิงด้วยเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตาย จึงชักม้ากลับมาค่าย บุนขิมจึงขี่ม้าพาทหารหนีกลับไปเมืองชิวฉุน
พอบุนขิมพาทหารไปใกล้เมืองชิวฉุน ก็ได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่า จูกัดเอี๋ยนซึ่งเป็นนายทหารของสุมาสูยกทหารมาตีเอาเมืองชิวฉุนได้แล้ว และกำลังจะยกไปตีเอาเมืองฮางเสียอีก บุนขิมจึงพาทหารจะไปช่วยเมืองฮางเสีย
แต่พอยกไปใกล้กำแพงเมืองเห็นกองทัพของอ้าวจุ๋น อองกี๋ และเตงงาย ตั้งค่ายล้อมเมืองอยู่ บุนขิมก็โกรธ พาทหารจะหักเข้าตีค่ายของทหารวุยก๊ก แต่ทหารวุยก๊กได้รบพุ่งป้องกันไว้เป็นสามารถ
บุนขิมหักเข้าตีค่ายไม่ได้ก็เสียน้ำใจ พาทหารล่าถอยออกมาสามร้อยเส้น บุนขิมไม่เห็นเมืองอื่นที่จะหลบหนีไปได้ และเกรงว่ากองทัพวุยก๊กจะยกมาทำร้าย จึงพาทหารเข้าแดนเมืองกังตั๋ง ขอเข้าสวามิภักดิ์กับซุนจุ๋น
ฝ่ายบู๊ขิวเขียมคุมทหารตั้งอยู่ในเมืองฮางเสีย ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าเมืองชิวฉุนเสียแก่ข้าศึก และกองทัพของบุนขิมก็ยกไปสวามิภักดิ์กับเมืองกังตั๋งแล้วก็เสียน้ำใจ ครั้นเห็นกองทัพของอ้าวจุ๋น อองกี๋ และเตงงายยกมาตั้งค่ายรายล้อมเมืองฮางเสียก็คิดสู้ตาย
วันรุ่งขึ้นบู๊ขิวเขียมจึงคุมทหารออกไปรบกับทหารวุยก๊ก เตงงายเห็นดังนั้นก็ยกทหารออกไปรบกับบู๊ขิวเขียม.
ฝ่ายหน่วยสอดแนมของวุยก๊กครั้นทราบว่ากองทัพบู๊ขิวเขียมได้ล่าถอยกลับไปตั้งอยู่ที่เมืองฮางเสีย จึงนำความไปรายงานให้สุมาสูทราบ สุมาสูจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาปรึกษาว่าการทั้งนี้เป็นเพราะเหตุใด
เปาต้านซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายข่าวกรองได้เสนอว่า ซึ่งบู๊ขิวเขียมถอยทัพครั้งนี้เนื่องจากเกรงว่ากองทัพเมืองกังตั๋งจะยกมาตีเอาเมืองชิวฉุน การที่บู๊ขิวเขียมถอยทัพไปตั้งอยู่ที่เมืองฮางเสียนั้นด้านหน้าคิดจะรบพุ่งป้องกันกองทัพของมหาอุปราช ด้านหลังเห็นจะแบ่งทหารยกไปป้องกันเมืองชิวฉุน กำลังทหารของบู๊ขิวเขียมก็จะลดน้อยถอยลง
เปาต้านได้เสนอต่อไปว่า ซึ่งกองทัพบู๊ขิวเขียมถอยทัพครั้งนี้ต้องด้วยลักษณะปราชัย เพราะใจพะว้าพะวังด้วยศึกกระหนาบหน้าหลัง ด้านหน้าเกรงว่าท่านจะเข้าตี ด้านหลังก็เกรงว่าซุนจุ่นจะตีชิงเอาเมืองชิวฉุน สถานการณ์ดังนี้ขอให้ท่านแต่งกองทัพเป็นสามกอง ยกไปตีเมืองงักแกเสียซึ่งเป็นเส้นทางถอยทัพของบู๊ขิวเขียมกองหนึ่ง ยกไปตีเมืองฮางเสียซึ่งบู๊ขิวเขียมตั้งค่ายอยู่กองหนึ่ง และยกไปตีเมืองชิวฉุนอีกกองหนึ่ง เห็นบู๊ขิวเขียมจะต้องแตกพ่ายเป็นมั่นคง แลเมืองงักแกเสียนั้นอยู่ใกล้กับเมืองกุนจิ๋ว บัดนี้เตงงายซึ่งเป็นนาย ทหารรุ่นใหม่ มีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมากได้ครองตำแหน่งเป็นเจ้าเมือง ข้าพเจ้าขอเสนอให้ท่านบัญชาให้เตงงายยกกองทัพไปตีเมือง งักแกเสีย เมื่อตีได้แล้วให้ยกหนุนไปตีเมืองฮางเสียต่อไป
สุมาสูได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงสั่งให้จัดทหารสามกองตามแผนการของเปาต้าน ตัวสุมาสูคุมกองทัพหลวงยกหนุนไปตีเมืองงักแกเสีย
ฝ่ายบู๊ขิวเขียมหลังจากถอยทัพมาตั้งอยู่ที่เมืองฮางเสียแล้ว ได้ปรึกษากับบุนขิมว่าซึ่งเราจะตั้งรับข้าศึกอยู่ดังนี้เห็นเป็นศึกกระหนาบทั้งวุยก๊กและง่อก๊ก ท่านจะคิดอ่านประการใด
บุนขิมจึงว่า ยุทธภูมิที่สำคัญในขณะนี้คือตำบลงักแกเสีย ถ้าหากรักษาตำบลงักแกเสียเอาไว้ได้ข้าศึกก็จะทำอันตรายมิได้ ข้าพเจ้าขออาสาเอาทหารห้าพันไปกับ บุนเอ๋งผู้บุตรจะไปรักษาตำบลงักแกเสียเอาไว้ให้จงได้
บู๊ขิวเขียมได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จัดทหารห้าพันให้บุนขิมและบุนเอ๋งสองพ่อลูกยกไปรักษาตำบลงักแกเสีย และกำชับทหารทั้งปวงในเมืองฮางเสียให้กวดขันระมัดระวังรักษาเวรยามมิได้ประมาท
ฝ่ายบุนขิมครั้นยกกองทัพไปใกล้ตำบลงักแกเสียก็ได้รับรายงานจากหน่วยสอดแนมว่ามีกองทัพวุยก๊กประมาณหมื่นเศษยกมาตั้งอยู่ข้างตะวันตก มีธงเหลืองและธงทิวเป็นอันมาก เห็นจะเป็นแม่ทัพใหญ่คุมกองทัพยกมาเอง บุนขิมจึงถามว่าชื่อนายทัพที่ยกมานี้เป็นผู้ใด ก็ได้รับรายงานว่าชื่อซึ่งจารึกในผืนธงประจำตัวนายทัพชื่อว่าสุมาสู ขณะนี้กองทัพที่ยกมากำลังปักค่ายอยู่
บุนเอ๋งซึ่งเป็นบุตรบุนขิมได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวว่า ข้าศึกเพิ่งยกมาถึง ไม่พร้อมรบ หากเรายกเข้าตีกระหนาบพร้อมกันเห็นจะได้ชัยชนะ
บุนขิมได้ฟังคำบุตรต้องด้วยคัมภีร์พิชัยสงครามที่ให้เข้าตีข้าศึกซึ่งยังไม่พร้อมรบก็เห็นด้วย จึงถามว่าจะยกเข้าตีเวลาใด บุนเอ๋งจึงว่าเวลาค่ำวันนี้เห็นจะเป็นเวลาที่เหมาะสม ขอให้แบ่งทหารเป็นสองกอง ท่านพ่อคุมกองหนึ่ง ข้าพเจ้าคุมกองหนึ่ง กำหนดเวลาเที่ยงคืนตรงยกเข้าโจมตีทหารวุยก๊กพร้อมกัน
บุนขิมได้ฟังคำบุตรก็เห็นด้วย จัดแจงทหารตามแผนการของบุนเอ๋ง บุนเอ๋งเห็นบิดาวางใจทำตามแผนการความคิดก็มีความยินดี คำนับลาผู้บิดาออกไปเตรียมการ บุนขิมมองตามหลังบุนเอ๋งผู้บุตรซึ่งขณะนี้อายุได้สิบแปดปี “สูงได้ห้าศอก ใส่เกราะ เหน็บกระบองเหล็ก ขี่ม้ายนต์” ก็มีความชื่นชมยินดีเป็นอันมาก
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าม้าซึ่งบุนเอ๋งขี่เป็นม้ายนต์ ความจริงเป็นการแปลผิด เนื่องจากม้าซึ่งบุนเอ๋งขี่ก็เป็นม้าธรรมดา เป็นแต่ว่าเป็นม้าสูงใหญ่ แข็งแรง พ่วงพี เสมอด้วยม้าศึกของกองทัพม้าภาคเหนือของวุยก๊ก
ฝ่ายสุมาสูยกทหารไปถึงตำบลงักแกเสียแล้วรู้สึกประหลาดใจ เนื่องจากกองทัพของเตงงายจากเมืองกุนจิ๋วซึ่งอยู่ใกล้กว่ากลับยังยกมาไม่ถึง จึงจำต้องรอกองทัพของเตงงายพร้อมแล้วจะยกกองทัพเข้าตีเอาเมืองงักแกเสีย แต่พอตั้งค่ายเสร็จสุมาสูก็รู้สึกปวดที่บาดแผลผ่าตัด อาการกำเริบหนักขึ้นโดยลำดับจนยืนหรือนั่งไม่ได้ สุมาสูต้องนอนซมอยู่บนเตียงในค่ายพัก และให้ทหารองครักษ์สามร้อยห้อมล้อมค่ายพักเพื่อป้องกันอันตราย
ครั้นเวลาเที่ยงคืนสุมาสูยังคงปวดบาดแผลเป็นทุกข์เวทนาแรงกล้าขึ้นโดยลำดับ พลันได้ยินเสียงอึกทึกวุ่นวายด้านนอกค่าย ทั้งเสียงม้าและเสียงคนสับสนอลหม่าน จึงให้ทหารคนสนิทออกไปถามด้านนอกค่ายว่าเกิดเหตุการณ์สิ่งไรขึ้น
ครู่หนึ่งทหารคนสนิทก็วิ่งเข้ามารายงานว่าเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้ว ข้าศึกยกทหารเข้าจู่โจม แลตัวนายนั้นมีพละกำลังเป็นอันมาก ไม่อาจมีผู้ใดต่อต้านได้ รุกไปถึงไหนทหารเราก็แตกพ่ายไปถึงนั่น ขณะนี้กำลังขี่ม้าตรงเข้ามาจากทางด้านทิศเหนือ
สุมาสูกำลังปวดเจ็บเป็นกำลัง พอทราบความก็ยิ่งโกรธและยิ่งตกใจระคนกัน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าสุมาสูพอทราบความ “ให้ร้อนในอกเหมือนหนึ่งเพลิงเผาก็โกรธขึ้นมา โรคในจักษุนั้นกำเริบขึ้น ลูกตาก็ปะทุออกมา กลัวว่าทหารจะเสียน้ำใจก็เอาผ้าผวยห่มนอนเข้ากัดเคี้ยวไปจนผ้าขาด”
สามก๊กฉบับภาษาจีนระบุว่า ในพลันที่สุมาสูถูกเพลิงโทสะโหมกำเริบขึ้น บาดแผลผ่าตัดก็พลอยกำเริบตาม เลือดและหนองซึ่งคั่งอยู่ด้านในและถูกยาปิดทับไว้ได้ปะทุออกมา ทั้งเลือดทั้งหนองและลูกนัยน์ตาข้างซ้ายของสุมาสูก็ทะลักออกมาจากเบ้าตา แต่สุมาสูมีจิตใจเด็ดเดี่ยว เกรงว่าการป่วยเจ็บจะทำให้ทหารเสียขวัญและกำลังใจ จึงสู้ข่มความเจ็บไว้ และกำชับทหารในค่ายหลวงให้เตรียมพลเกาทัณฑ์ตีโต้ข้าศึก
ฝ่ายบุนเอ๋งได้ยกทหารรุกเข้าตีค่ายทหารวุยก๊กจากด้านเหนือตามแผนการ บุนเอ๋งโจมตีค่ายนอกด้านเหนือของสุมาสูแตก ฆ่าฟันทหารของสุมาสูบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
บุนเอ๋งนั้นมีกำลังฝีมือกล้าหาญ รุกตีไปถึงไหนก็ไม่มีผู้ใดต้านทานได้ ข้าศึกแตกหนีเป็นทาง บุนเอ๋งจึงตีฝ่าจากทิศเหนือเข้ามาจนใกล้จะถึงค่ายหลวงของสุมาสู แต่ไม่เห็นหรือได้ยินสัญญาณการตีกระหนาบเข้ามาจากทางด้านใต้ ก็ประหลาดใจว่าบุนขิมผู้พ่อพลัดหลงไปอยู่ที่แห่งหนตำบลใด
บุนเอ๋งพยายามบุกเข้าตีค่ายหลวงของสุมาสูตั้งแต่เที่ยงคืนจนสว่างก็หักเข้าไปไม่ได้ เพราะทหารของสุมาสูได้ยิงเกาทัณฑ์สกัดไว้อย่างแน่นหนาดุจกำแพงเหล็ก
ครั้นฟ้าสางบุนเอ๋งได้ยินเสียงแตรเขาควายและเสียงโห่ร้องดังลั่นมาจากด้านหลัง และทหารกองหลังแตกฮือไม่เป็นขบวน ก็แปลกใจว่าบุนขิมบิดาเราทำหน้าที่เข้าตีมาจากด้านทิศใต้ แล้วไฉนจึงยกกลับมาทางด้านหลังกองทหารของเราเล่า
บุนเอ๋งยิ่งแปลกใจมากขึ้นเนื่องจากสัญญาณแตรและคำสั่งบัญชาทหารล้วนไม่ใช่สัญญาณที่ตกลงกับบุนขิมผู้พ่อ จึงขี่ม้าย้อนกลับมาทางด้านหลัง เห็นทหารวุยก๊กกองหนึ่งมีธงประจำตัวนายทัพชื่อเตงงายกำลังนำทหารตีกระทบหลังขึ้นมา
ในขณะที่บุนเอ๋งกำลังตกตะลึงอยู่นั้น เตงงายได้ถือง้าวขี่ม้านำหน้าทหารตรงเข้ามาหาบุนเอ๋ง แล้วร้องว่า “อ้ายขบถแผ่นดิน มึงอย่าหนีกู เร่งมาสู้กัน”
บุนเอ๋งเห็นสถานการณ์พลิกผันดังนั้นก็โกรธ ขี่ม้าเข้ารบกับเตงงาย ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ห้าสิบเพลงยังไม่ทันแพ้แลชนะ ก็ได้ยินเสียงโห่ร้องกึกก้องทางด้านหลัง บุนเอ๋งเหลียวกลับไปดูเห็นทหารกองทัพหลวงของสุมาสูตีกระหนาบกระทบลงมา ทหารของบุนเอ๋งพากันแตกหนีกระจัดกระจายไป
เตงงายเห็นดังนั้นจึงเร่งรุกรบจะเข้าประชิดตัวบุนเอ๋ง บุนเอ๋งได้ยินเสียงโห่ร้องกระชับใกล้เข้ามาและทหารของตัวแตกหนีจนหมดสิ้น เห็นว่าจะต่อสู้มิได้ จึงชักม้าออกจากวงรบตีฝ่าทหารวุยก๊กออกไปทางด้านทิศใต้ประตูเมืองงักแกเสีย ทหารวุยก๊กกว่าร้อยคนเห็นได้ทีจึงขี่ม้าไล่ตามไป
แต่พอทหารวุยก๊กตามเข้าไปใกล้ บุนเอ๋งก็กลับม้าเข้ามารบ แล้วตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดัง ทหารวุยก๊กตกใจถอยหนี บุนเอ๋งจึงขับม้าหนีต่อไป แต่พอบุนเอ๋งขับม้าหนี ทหารวุยก๊กก็รุกไล่ตามไปอีก บุนเอ๋งได้กลับม้าเข้ามารบกับทหารวุยก๊กต่อไป ผลัดรุกผลัดหนีอยู่ดังนี้ถึงสี่ห้าหน บุนเอ๋งได้ฆ่าฟันทหารวุยก๊กบาดเจ็บล้มตายเป็นหลายคน ทหารวุยก๊กที่เหลือเห็นน้อยตัวจึงไม่กล้าติดตาม พากันยกกลับไปหาสุมาสู
ฝ่ายบุนขิมผู้พ่อบุนเอ๋งพอค่ำลงก็ยกทหารออกจากค่าย แต่ด้วยความไม่ชำนาญภูมิประเทศจึงหลงทางเข้าไปในซอกเขา วนเวียนอยู่จนสว่างก็ยังออกจากหุบเขาไม่ได้ ครั้นรุ่งขึ้นพอได้ทราบข่าวว่าบุนเอ๋งเสียทีแก่กองทัพสุมาสูแล้ว จึงพาทหารหนีไปทางเมืองชิวฉุน
ฝ่ายอินต้ายบกซึ่งเดิมเป็นเพื่อนกินและคนสนิทของโจซอง ครั้นต่อมาสุมาอี้ก่อการรัฐประหารจึงแปรพักตร์ไปเข้ากับสุมาอี้ หลังจากสุมาอี้สังหารโจซองแล้วได้ให้อินต้ายบกไปสังกัดอยู่กับสุมาสู อินต้ายบกรู้ดีว่าทั้งสุมาอี้และสุมาสูไม่ไว้วางใจเพราะเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยงของโจซอง ดังนั้นจึงผูกพยาบาทจ้องคอยหาโอกาสที่จะสังหารสุมาสู ด้านหนึ่งเพื่อล้มล้างอำนาจของตระกูลสุมา อีกด้านหนึ่งเพื่อหวังจะแทนคุณของโจซอง แลอินต้ายบกนี้มีความสนิทสนมมักคุ้นรักใคร่กับบุนขิมเป็นอันมาก ครั้นสุมาสูป่วยด้วยโรคมะเร็งเรื้อรังที่บริเวณนัยน์ตาข้างซ้าย อินต้ายบกจึงคิดแผนการจะออกหากจากสุมาสูไปเข้ากับบุนขิม
ดังนั้นอินต้ายบกจึงเข้าไปหาสุมาสูแล้วเสนอว่า เดิมทีบุนขิมเป็นคนสัตย์ซื่อ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ ซึ่งทำการกบฏในครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพราะความคิดของบุนขิม แต่เป็นเพราะบู๊ขิวเขียมหลอกลวงว่าเป็นพระราชเสาวนีย์ของไทเฮา หากทราบความจริงแล้วเห็นบุนขิมจะยอมรับผิดแต่โดยดี ข้าพเจ้าจะขออาสาไปว่ากล่าวกับบุนขิมเอง
สุมาสูกำลังเจ็บป่วยและยังไม่เห็นหนทางที่จะเผด็จศึก ได้ยินคำอาสาก็ดีใจ อนุญาตให้อินต้ายบกออกไปเกลี้ยกล่อมบุนขิม อินต้ายบกเห็นได้โอกาสจึงคำนับลาสุมาสู แล้วใส่เกราะขี่ม้าตามบุนขิมไป ครั้นพบกับบุนขิมกำลังพาทหารจะหนีไปเมืองชิวฉุน อินต้ายบกจึงขี่ม้าเข้าไปใกล้แล้วร้องตะโกนเรียก
บุนขิมได้ยินเสียงอินต้ายบกก็จำได้ แต่โกรธอินต้ายบกว่าเป็นข้าคดต่อเจ้าไปเข้าด้วยศัตรูราชสมบัติจึงหยุดม้าอยู่ อินต้ายบกเกรงว่าบุนขิมจะจำไม่ได้จึงถอดหมวกซึ่งปิดครึ่งหน้านั้นออก พลางเอาแส้ม้าชี้บุนขิมแล้วกล่าวว่าท่านจะรีบหนีไปไหน
บุนขิมได้ยินคำอินต้ายบกดังนั้นก็สำคัญว่าอินต้ายบกยกทหารมาตามตี จึงยกเกาทัณฑ์ขึ้นจะยิง อินต้ายบกสำคัญผิดคิดว่าบุนขิมตัดญาติขาดเพื่อนก็น้อยใจร้องไห้ คิดการประการใดไม่ออก และเกรงว่าขืนนิ่งอยู่ก็อาจถูกบุนขิมยิงด้วยเกาทัณฑ์ถึงแก่ความตาย จึงชักม้ากลับมาค่าย บุนขิมจึงขี่ม้าพาทหารหนีกลับไปเมืองชิวฉุน
พอบุนขิมพาทหารไปใกล้เมืองชิวฉุน ก็ได้รับรายงานจากหน่วยลาดตระเวนว่า จูกัดเอี๋ยนซึ่งเป็นนายทหารของสุมาสูยกทหารมาตีเอาเมืองชิวฉุนได้แล้ว และกำลังจะยกไปตีเอาเมืองฮางเสียอีก บุนขิมจึงพาทหารจะไปช่วยเมืองฮางเสีย
แต่พอยกไปใกล้กำแพงเมืองเห็นกองทัพของอ้าวจุ๋น อองกี๋ และเตงงาย ตั้งค่ายล้อมเมืองอยู่ บุนขิมก็โกรธ พาทหารจะหักเข้าตีค่ายของทหารวุยก๊ก แต่ทหารวุยก๊กได้รบพุ่งป้องกันไว้เป็นสามารถ
บุนขิมหักเข้าตีค่ายไม่ได้ก็เสียน้ำใจ พาทหารล่าถอยออกมาสามร้อยเส้น บุนขิมไม่เห็นเมืองอื่นที่จะหลบหนีไปได้ และเกรงว่ากองทัพวุยก๊กจะยกมาทำร้าย จึงพาทหารเข้าแดนเมืองกังตั๋ง ขอเข้าสวามิภักดิ์กับซุนจุ๋น
ฝ่ายบู๊ขิวเขียมคุมทหารตั้งอยู่ในเมืองฮางเสีย ครั้นได้ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าเมืองชิวฉุนเสียแก่ข้าศึก และกองทัพของบุนขิมก็ยกไปสวามิภักดิ์กับเมืองกังตั๋งแล้วก็เสียน้ำใจ ครั้นเห็นกองทัพของอ้าวจุ๋น อองกี๋ และเตงงายยกมาตั้งค่ายรายล้อมเมืองฮางเสียก็คิดสู้ตาย
วันรุ่งขึ้นบู๊ขิวเขียมจึงคุมทหารออกไปรบกับทหารวุยก๊ก เตงงายเห็นดังนั้นก็ยกทหารออกไปรบกับบู๊ขิวเขียม.