ตอนที่ 608. กงกรรม กงเกวียน
กองทัพวุยก๊กตีโต้กองทัพจ๊กก๊กจนต้องถอยกลับเข้าแดนฮันต๋ง ทำให้บารมีทางการเมืองการทหารของสองพี่น้องแซ่สุมายิ่งเบ่งบาน บดบังพระราชอำนาจของพระเจ้าโจฮองจนหมดสิ้น เมฆดำทะมึนแห่งความขัดแย้งจึงครอบงำราชบัลลังก์วุย ทำให้พระเจ้าโจฮองมีพระราชดำริที่จะกำจัดสองพี่น้องสุมาเสีย แต่พอแฮเฮาเหียนและพวกขันอาสาก็ทรงกริ่งว่าจะทำการไม่สำเร็จ
พระเจ้าโจฮองท้อแท้พระทัยจึงทรงกันแสง แฮเฮาเหียน ลิฮอง และเตียวอิบเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้ตาม แล้วกล่าวคำปฏิญาณว่าจะคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติให้จงได้ จะปกปิดการทั้งปวงเป็นความลับเสมอด้วยดวงใจ มิให้มีผู้ใดได้ล่วงรู้เป็นอันขาด
พระเจ้าโจฮองทรงคลายพระทัยที่เห็นขุนนางทั้งสามถวายความจงรักภักดีไม่เห็นแก่ชีวิต จึงตรัสเรียกสามขุนนางตามเสด็จเข้าไปยังที่ประทับด้านใน ทรงเปลื้องซับในฉลองพระองค์ลายหงส์มังกร แล้วทรงกัดนิ้วชี้เอาพระโลหิตเขียนเป็นหมายรับสั่งลงบนซับในฉลองพระองค์ เสร็จแล้วจึงพระราชทานแก่เตียวอิบผู้เป็นบิดาพระมเหสี แล้วทรงกำชับว่า “เมื่อครั้งพระเจ้าโจโฉปู่ชวดของเราฆ่าพวกตังสินเสียนั้นเพราะทำการไม่มิด ท่านทั้งสามจะทำการครั้งนี้ถ้าแพร่งพรายสิมิเป็นการ”
ลิฮองได้ยินรับสั่งดังนั้นก็ตกใจหน้าซีดเผือด กราบทูลว่าการเพียงเพิ่งจะเริ่มต้นฉะนี้ ไฉนพระองค์จึงรับสั่งให้เป็นลางร้าย เปรียบเทียบกับครั้งตังสินนั้นเล่า ข้าพระองค์ขอกราบทูลว่ามิได้โง่เง่าเหมือนกับพวกตังสินนั้นเลย แลสุมาสูก็มิใช่ว่าจะฉลาดหลักแหลมเสมอด้วยพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ พระองค์อย่าทรงพระวิตกจนเกินการเลย
สามขุนนางกราบทูลดังนั้นแล้วจึงถวายบังคมลากลับออกไป
ในขณะที่พระเจ้าโจฮองทรงรับสั่งกับสามขุนนางและตรัสชวนให้เข้าไปที่ข้างใน ได้อยู่ภายในสายตาของสายลับของสุมาสู ดังนั้นพวกจึงรีบแจ้งข่าวให้สุมาสูทราบ
สุมาสูทราบความแล้วก็โกรธ รีบถือกระบี่พาทหารห้าร้อยกว่านายมาดักรอสามขุนนางอยู่ที่หน้าประตูพระบรมมหาราชวัง
สามขุนนางเดินทางกลับออกมาถึงประตูหน้าพระราชวัง เห็นสุมาสูยืนถือกระบี่ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงก็กริ่งใจ แต่มิได้สงสัยว่าสุมาสูจะล่วงรู้ความลับ สำคัญว่าสุมาสูจะเข้าไปในพระราชวังด้วยเรื่องราชการ จึงหลีกอยู่ข้างทางใกล้กับประตูพระบรมมหาราชวัง
สุมาสูเห็นดังนั้นจึงร้องเรียกสามขุนนางให้เข้าไปหาแล้วว่า การประชุมขุนนางในวันนี้เสร็จแล้วคนทั้งปวงก็ได้ออกจากที่เฝ้าพร้อมกัน ไฉนพวกท่านทั้งสามคนจึงเพิ่งออกมาดังนี้เล่า
สามขุนนางแข็งใจตอบสุมาสูว่า เหตุที่พวกข้าพเจ้าทั้งสามคนล่าช้าอยู่เนื่องจากฮ่องเต้มีพระราชประสงค์จะฟังเรื่องพงศาวดาร จึงรั้งตัวให้เล่าความถวาย
สุมาสูถามต่อไปว่า ฮ่องเต้โปรดให้เล่าพงศาวดารเรื่องใดหรือ
ลิฮองจึงว่า ทรงโปรดให้เล่าพงศาวดารเรื่องอิอิ๋นซึ่งเป็นเรื่องราวในยุคไคเพ็กนั้น ข้าพเจ้าได้เล่าถวายว่าครั้งนั้นอิอิ๋นและจิวกงได้เป็นมหาอุปราช ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี เหมือนกับที่มหาอุปราชได้ทำนุบำรุงพระเจ้าโจฮองทุกประการ
สุมาสูได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าท่านเอาตัวข้าพเจ้าไปเปรียบเสมอด้วยอิอิ๋นและจิวกงเจียวหรือ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านคงจะเปรียบเทียบข้าพเจ้าว่าเป็นอองมังหรือไม่ก็ตั๋งโต๊ะมากกว่า
สามขุนนางได้ยินคำสุมาสูประหนึ่งรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระตำหนักในก็ตกใจ แต่ยังคงข่มใจกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าทั้งสามคนได้รับการชุบเลี้ยงจากท่านเป็นอย่างดี ไหนเลยจะกล้าบังอาจเปรียบเทียบท่านเป็นอองมังหรือตั๋งโต๊ะได้
สุมาสูได้ยินคำสามขุนนางดังนั้นก็โกรธ ตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าความจริงเป็นประการใด พวกมึงทั้งสามคนก็กระจ่างอยู่แก่ใจ ไฉนจะมาตีสำนวนโวหารเอาความเท็จปิดความจริงเสีย กูรู้ดีอยู่ว่าพวกมึงทั้งสามคนและฮ่องเต้ปรึกษาหารือกันแล้วร้องห่มร้องไห้ ย่อมต้องเป็นเรื่องร้ายอย่างแน่นอน จงรับสารภาพมาแต่โดยดี
ขุนนางทั้งสามได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบปฏิเสธในทันทีว่าไม่มีเหตุการณ์ร้องไห้ดังคำท่าน คนพาลผู้ใดหนอนำเรื่องเท็จไปแจ้งแก่ท่าน
สุมาสูตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วกล่าวว่า ปากพวกมึงทั้งสามคนโกหกกูได้ แต่ตามึงกลับรับสารภาพความจริงอยู่แล้ว ยังจะมาเถียงอีกว่าไม่มีการร้องไห้ ก็ดวงตาพวกมึงทั้งสามคนยังแดงกล่ำอยู่ ยังจะยืนกระต่ายขาเดียวอยู่อีกหรือ
แฮเฮาเหียนได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าความลับแตกไปถึงหูของสุมาสูแล้ว ถึงจะเถียงอย่างไรคงจะไม่รอดตัว จึงกล่าวตอบไปด้วยเสียงอันดังเช่นเดียวกันว่า ที่พวกกูร้องไห้ก็เพราะความเสียใจที่คนทรยศต่อข้าวแดงแกงร้อนของฮ่องเต้อย่างมึงคิดอ่านแย่งชิงเอาราชสมบัติ
สุมาสูได้ยินคำต้องใจดำก็ยิ่งโกรธ สั่งทหารให้คุมตัวสามขุนนาง แฮเฮาเหียนได้ยินคำสั่งก็ออกไปยืนกั้นขวางอยู่หน้าเพื่อนขุนนางอีกสองคน ปั้นท่ามวยจะชกต่อยกับพวกทหาร แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นทหารของสุมาสูก็จับตัวสามขุนนางไว้ได้โดยละม่อม สุมาสูจึงสั่งให้ตรวจค้นตัวสามขุนนาง พบซับในฉลองพระองค์ลายหงส์มังกรในตัวของ เตียวอิบ จึงเอาไปมอบให้สุมาสู
สุมาสูรับเอาซับในฉลองพระองค์มาคลี่ดู เห็นหมายรับสั่งโลหิตเป็นเนื้อความว่า “สุมาสูและพวกสุมาสูคิดอ่านจะชิงเอาราชสมบัติ ถ้าขุนนางทั้งปวงมีใจสามิภักดิ์ต่อเรา ให้เร่งคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียได้แล้ว เราจะให้เลื่อนที่ มีบำเหน็จรางวัลจงหนัก”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุความในหมายรับสั่งโลหิตนี้ว่า “สุมาสูพี่น้องได้ร่วมกันยึดอำนาจใหญ่ จวนจะวางแผนเป็นขบถช่วงชิงราชบัลลังก์ พระบรมราชโองการที่ปฏิบัติการตราขึ้นต่างๆ ล้วนมิได้เป็นประสงค์ของข้า บรรดาขุนนางทั้งทหารทั้งกองกรมควรที่จะต้องยึดถือความซื่อสัตย์จงรักภักดี ปราบปรามขุนนางโจรให้สูญสิ้น ช่วยเหลือชาติบ้านเมืองให้พ้นภัย วันที่ผลงานสำเร็จมีความดีความชอบ จะพระราชทานรางวัลเพิ่มยศถาบรรดาศักดิ์”
สุมาสูอ่านหมายรับสั่งโลหิตจบก็โกรธจนตัวสั่น พลันรู้สึกเจ็บปวดที่เนื้องอกใต้ตาข้างซ้าย จึงเอามือคลำที่เนื้องอกนั้น ขนสีดำที่เนื้องอกสี่ห้าเส้นได้หลุดร่วงออกมา สุมาสูข่มความเจ็บตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ที่แท้พวกมึงคบคิดกับฮ่องเต้จะทำร้ายกูสองพี่น้อง พวกมึงสามคนอย่ามีชีวิตอยู่ต่อไปเลย
กล่าวแล้วสุมาสูจึงสั่งให้ทหารคุมตัวสามขุนนางไปตัดศีรษะที่กลางตลาด และให้จับตัวบุตรภรรยาพรรคพวกพี่น้องสามชั่วโคตรเอาไปประหารชีวิตพร้อมกัน สามขุนนางได้ยินคำสั่งก็โกรธ ร้องด่าสุมาสูด้วยถ้อยคำหยาบช้า ทหารที่คุมตัวได้ยินก็โกรธตามนาย ช่วยกันตบปากสามขุนนางจนฟันหลุดออกจากปาก สามขุนนางก็ยังด่าไม่ขาดคำจนกระทั่งทหารคุมตัวลับออกไป
สุมาสูยืนโกรธอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จนทหารควบคุมตัวสามขุนนางพ้นไปแล้ว จึงถือกระบี่พาทหารไปที่พระตำหนักอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าโจฮอง
ในขณะนั้นพระเจ้าโจฮองกำลังปรารภความกับพระมเหสีถึงเหตุการณ์ที่สามขุนนางขันอาสาจะไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยกกองทัพมากำจัดสองพี่น้องแซ่สุมา พระมเหสีเตียวฮองเฮาได้ยินรับสั่งของพระเจ้าโจฮองดังนั้นก็ตกพระทัย กราบทูลว่า “ในวังนี้ ผู้คนมากมายนัก ถ้าเนื้อความแพร่งพรายไปข้าพเจ้าก็จะพลอยตาย”
พระมเหสีกล่าวสิ้นคำลงก็เห็นสุมาสูถือกระบี่พาทหารเข้ามา จึงยั้งพระราชเสาวนีย์ไว้มิได้ตรัสประการใดต่อไป พระเจ้าโจฮองเห็นพระอาการของพระมเหสีดังนั้นจึงเหลียวพระพักตร์ไปดูก็ตกพระทัย พอดีสุมาสูเดินมาถึงก็กล่าวความโดยมิได้ถวายบังคมตามประเพณีว่า บิดาของข้าพระองค์ได้ทำนุบำรุงพระองค์จนได้ราชสมบัติ บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุข ถึงจิวกงซึ่งเคยเป็นมหาอุปราชในยุคประวัติศาสตร์ก็มิได้มีพระคุณต่อฮ่องเต้เสมอด้วยบิดาของข้าพระองค์ไม่ แม้กระทั่งอิอิ๋นซึ่งเคยเป็นมหาอุปราชในอดีตก็มิได้อุ้มชูสนับสนุนพระมหากษัตริย์เสมอด้วยข้าพระองค์ ตระกูลสุมาได้ทำคุณต่อพระองค์ถึงเพียงนี้แล้ว พระองค์มิได้รำลึกถึง หลงฟังคำคนยุยงคบคิดกันจะทำร้ายข้าพระองค์สองพี่น้องอีก
พระเจ้าโจฮองได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าความลับได้แพร่งพรายออกไปแล้ว แต่ทรงคิดว่ามิได้มีหลักฐานอื่นใดนอกจากคำบอกกล่าวของพวกสายลับเท่านั้น จึงข่มพระทัยแล้วตรัสว่า ไฉนท่านจึงเอาความมากล่าวฉะนี้ ตัวเรามิเคยคิดร้ายหมายอาฆาตประการใดต่อท่านเลย
สุมาสูได้ยินพระราชดำรัสดังนั้น จึงล้วงเอาซับในฉลองพระองค์ขว้างทิ้งลงกับพื้น พลางชี้มือไปที่ซับในฉลองพระองค์แล้วทูลว่า แล้วนี่คือหลักฐานอะไรเล่า พระเจ้าโจฮองทอดพระเนตรเห็นหลักฐานวางกองอยู่เบื้องพระพักตร์ก็ตกพระทัยจนตัวสั่น แต่สู้แข็งพระทัยตรัสว่า เหตุทั้งนี้มิใช่ตัวเราคิดอ่านเอง แต่เพราะถูกสามขุนนางบังคับให้จำทำ
สุมาสูได้ยินดังนั้นก็ตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วกล่าวว่า พระองค์ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ยังจะป้ายผิดใส่ผู้อื่นให้เป็นเวรกรรมสืบไปอีกเล่า
พระเจ้าโจฮองได้ยินดังนั้นก็ย่อพระองค์คุกเข่าลงต่อหน้าสุมาสู แล้วตรัสว่าเราผิดไปแล้ว ท่านจงงดโทษให้สักครั้งหนึ่งเถิด สืบไปเมื่อหน้าจะไม่ทำการฉะนี้อีกเลย
สุมาสูจึงทูลว่า “พระองค์เป็นหลักแผ่นดิน ข้าพเจ้าหาทำอันตรายแก่พระองค์ไม่ เชิญพระองค์นั่งในที่เถิด” สุมาสูกล่าวแล้วจึงชี้มือไปที่พระเก้าอี้ พระเจ้าโจฮองเห็นดังนั้นก็ทรงทำตามโดยมิได้อิดเอื้อน
สุมาสูเอากระบี่ชี้ไปที่พระมเหสีเตียวฮองเฮาแล้วกล่าวว่า มึงเป็นลูกสาวของเตียวอิบซึ่งเป็นผู้คบคิดร้ายต่อกู จำจะฆ่าเสียให้ตายตามบิดา กล่าวแล้วจึงสั่งทหารให้เข้าคุมตัวพระมเหสี
พระเจ้าโจฮองได้ฟังดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงกันแสงแล้วรีบลุกจากพระเก้าอี้มาที่สุมาสู แล้วตรัสขอให้งดโทษไว้ชีวิตแก่พระมเหสีสักครั้งหนึ่งแต่สุมาสูไม่ฟังคำ ออกคำสั่งให้ทหารคุมตัวพระมเหสีออกไป
พระเจ้าโจฮองพยายามยื้อยุดพระมเหสีไว้ แต่ก็ไม่อาจทานกำลังของทหารที่เข้าคร่าตัวพระมเหสีได้ จึงทรุดพระองค์ลงนั่งกันแสง สุมาสูเห็นดังนั้นจึงพาทหารเดินกลับออกไป
ครั้นผู้คุมคุมตัวพระมเหสีไปถึงประตูพระบรมมหาราชวังด้านตะวันออกเป็นที่ลับตา จึงสั่งให้พระมเหสีเอาผ้าแพรรัดพระองค์พันเข้าที่พระศอ พระมเหสีจำต้องปฏิบัติตาม ทหารได้ฉุดชายผ้าแพรข้างละสองคนจนมเหสีสิ้นพระชนม์ในที่นั้น
วันรุ่งขึ้นเวลาเช้าสุมาสูให้เชิญข้าราชการขุนนางทั้งปวงไปพร้อมกันที่ท้องพระโรง แล้วกล่าวว่า “พระเจ้าโจฮองไม่เอาพระทัยใส่ราชการบ้านเมือง มีแต่จะเล่นสนุกแล้วหาสติปัญญาไม่ มักเชื่อฟังคำยุยงจะให้บ้านเมืองเป็นกุลี บัดนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะยกพระองค์ออกเสียจากราชสมบัติ จะหาผู้ที่มีสติปัญญาควรจะว่าราชการแผ่นดินได้มาเป็นเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด”
ขุนนางทั้งปวงได้ข่าวระแคะระคายมาก่อนแล้วถึงเหตุการณ์ประหารชีวิตพระมเหสีและสามขุนนาง จึงพากันกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าบัดนี้ตัวท่านเป็นมหาอุปราช ปกครองดูแลแผ่นดินจนร่มเย็นเป็นสุข เมื่อท่านตรึกตรองเห็นดีแล้วข้าพเจ้าทั้งปวงก็เห็นด้วยพร้อมกัน แต่ด้วยเป็นการใหญ่เพื่อมิให้เป็นที่ครหาจึงชอบที่ท่านจะปรึกษาหารือพระนางก๊วยไทเฮาตามประเพณีสักครั้งหนึ่งก่อน
สุมาสูได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงพาขุนนางทั้งปวงไปที่พระตำหนักของพระนางก๊วยไทเฮาแล้วขอเฝ้า กราบทูลให้ทรงทราบสถานการณ์ทั้งปวง แล้วปรารภความซึ่งจะถอดพระเจ้าโจฮองออกจากราชสมบัติ และดำริที่จะยกโจกี๋พระบรมวงศานุวงศ์ที่แพเสียอ๋องขึ้นเสวยราชย์แทน.
พระเจ้าโจฮองท้อแท้พระทัยจึงทรงกันแสง แฮเฮาเหียน ลิฮอง และเตียวอิบเห็นดังนั้นก็พากันร้องไห้ตาม แล้วกล่าวคำปฏิญาณว่าจะคิดอ่านกำจัดศัตรูราชสมบัติให้จงได้ จะปกปิดการทั้งปวงเป็นความลับเสมอด้วยดวงใจ มิให้มีผู้ใดได้ล่วงรู้เป็นอันขาด
พระเจ้าโจฮองทรงคลายพระทัยที่เห็นขุนนางทั้งสามถวายความจงรักภักดีไม่เห็นแก่ชีวิต จึงตรัสเรียกสามขุนนางตามเสด็จเข้าไปยังที่ประทับด้านใน ทรงเปลื้องซับในฉลองพระองค์ลายหงส์มังกร แล้วทรงกัดนิ้วชี้เอาพระโลหิตเขียนเป็นหมายรับสั่งลงบนซับในฉลองพระองค์ เสร็จแล้วจึงพระราชทานแก่เตียวอิบผู้เป็นบิดาพระมเหสี แล้วทรงกำชับว่า “เมื่อครั้งพระเจ้าโจโฉปู่ชวดของเราฆ่าพวกตังสินเสียนั้นเพราะทำการไม่มิด ท่านทั้งสามจะทำการครั้งนี้ถ้าแพร่งพรายสิมิเป็นการ”
ลิฮองได้ยินรับสั่งดังนั้นก็ตกใจหน้าซีดเผือด กราบทูลว่าการเพียงเพิ่งจะเริ่มต้นฉะนี้ ไฉนพระองค์จึงรับสั่งให้เป็นลางร้าย เปรียบเทียบกับครั้งตังสินนั้นเล่า ข้าพระองค์ขอกราบทูลว่ามิได้โง่เง่าเหมือนกับพวกตังสินนั้นเลย แลสุมาสูก็มิใช่ว่าจะฉลาดหลักแหลมเสมอด้วยพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉ พระองค์อย่าทรงพระวิตกจนเกินการเลย
สามขุนนางกราบทูลดังนั้นแล้วจึงถวายบังคมลากลับออกไป
ในขณะที่พระเจ้าโจฮองทรงรับสั่งกับสามขุนนางและตรัสชวนให้เข้าไปที่ข้างใน ได้อยู่ภายในสายตาของสายลับของสุมาสู ดังนั้นพวกจึงรีบแจ้งข่าวให้สุมาสูทราบ
สุมาสูทราบความแล้วก็โกรธ รีบถือกระบี่พาทหารห้าร้อยกว่านายมาดักรอสามขุนนางอยู่ที่หน้าประตูพระบรมมหาราชวัง
สามขุนนางเดินทางกลับออกมาถึงประตูหน้าพระราชวัง เห็นสุมาสูยืนถือกระบี่ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึงก็กริ่งใจ แต่มิได้สงสัยว่าสุมาสูจะล่วงรู้ความลับ สำคัญว่าสุมาสูจะเข้าไปในพระราชวังด้วยเรื่องราชการ จึงหลีกอยู่ข้างทางใกล้กับประตูพระบรมมหาราชวัง
สุมาสูเห็นดังนั้นจึงร้องเรียกสามขุนนางให้เข้าไปหาแล้วว่า การประชุมขุนนางในวันนี้เสร็จแล้วคนทั้งปวงก็ได้ออกจากที่เฝ้าพร้อมกัน ไฉนพวกท่านทั้งสามคนจึงเพิ่งออกมาดังนี้เล่า
สามขุนนางแข็งใจตอบสุมาสูว่า เหตุที่พวกข้าพเจ้าทั้งสามคนล่าช้าอยู่เนื่องจากฮ่องเต้มีพระราชประสงค์จะฟังเรื่องพงศาวดาร จึงรั้งตัวให้เล่าความถวาย
สุมาสูถามต่อไปว่า ฮ่องเต้โปรดให้เล่าพงศาวดารเรื่องใดหรือ
ลิฮองจึงว่า ทรงโปรดให้เล่าพงศาวดารเรื่องอิอิ๋นซึ่งเป็นเรื่องราวในยุคไคเพ็กนั้น ข้าพเจ้าได้เล่าถวายว่าครั้งนั้นอิอิ๋นและจิวกงได้เป็นมหาอุปราช ได้ทำนุบำรุงแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์จงรักภักดี เหมือนกับที่มหาอุปราชได้ทำนุบำรุงพระเจ้าโจฮองทุกประการ
สุมาสูได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าท่านเอาตัวข้าพเจ้าไปเปรียบเสมอด้วยอิอิ๋นและจิวกงเจียวหรือ แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าพวกท่านคงจะเปรียบเทียบข้าพเจ้าว่าเป็นอองมังหรือไม่ก็ตั๋งโต๊ะมากกว่า
สามขุนนางได้ยินคำสุมาสูประหนึ่งรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระตำหนักในก็ตกใจ แต่ยังคงข่มใจกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าทั้งสามคนได้รับการชุบเลี้ยงจากท่านเป็นอย่างดี ไหนเลยจะกล้าบังอาจเปรียบเทียบท่านเป็นอองมังหรือตั๋งโต๊ะได้
สุมาสูได้ยินคำสามขุนนางดังนั้นก็โกรธ ตวาดขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าความจริงเป็นประการใด พวกมึงทั้งสามคนก็กระจ่างอยู่แก่ใจ ไฉนจะมาตีสำนวนโวหารเอาความเท็จปิดความจริงเสีย กูรู้ดีอยู่ว่าพวกมึงทั้งสามคนและฮ่องเต้ปรึกษาหารือกันแล้วร้องห่มร้องไห้ ย่อมต้องเป็นเรื่องร้ายอย่างแน่นอน จงรับสารภาพมาแต่โดยดี
ขุนนางทั้งสามได้ยินดังนั้นก็ตกใจ รีบปฏิเสธในทันทีว่าไม่มีเหตุการณ์ร้องไห้ดังคำท่าน คนพาลผู้ใดหนอนำเรื่องเท็จไปแจ้งแก่ท่าน
สุมาสูตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วกล่าวว่า ปากพวกมึงทั้งสามคนโกหกกูได้ แต่ตามึงกลับรับสารภาพความจริงอยู่แล้ว ยังจะมาเถียงอีกว่าไม่มีการร้องไห้ ก็ดวงตาพวกมึงทั้งสามคนยังแดงกล่ำอยู่ ยังจะยืนกระต่ายขาเดียวอยู่อีกหรือ
แฮเฮาเหียนได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าความลับแตกไปถึงหูของสุมาสูแล้ว ถึงจะเถียงอย่างไรคงจะไม่รอดตัว จึงกล่าวตอบไปด้วยเสียงอันดังเช่นเดียวกันว่า ที่พวกกูร้องไห้ก็เพราะความเสียใจที่คนทรยศต่อข้าวแดงแกงร้อนของฮ่องเต้อย่างมึงคิดอ่านแย่งชิงเอาราชสมบัติ
สุมาสูได้ยินคำต้องใจดำก็ยิ่งโกรธ สั่งทหารให้คุมตัวสามขุนนาง แฮเฮาเหียนได้ยินคำสั่งก็ออกไปยืนกั้นขวางอยู่หน้าเพื่อนขุนนางอีกสองคน ปั้นท่ามวยจะชกต่อยกับพวกทหาร แต่เพียงพริบตาเดียวเท่านั้นทหารของสุมาสูก็จับตัวสามขุนนางไว้ได้โดยละม่อม สุมาสูจึงสั่งให้ตรวจค้นตัวสามขุนนาง พบซับในฉลองพระองค์ลายหงส์มังกรในตัวของ เตียวอิบ จึงเอาไปมอบให้สุมาสู
สุมาสูรับเอาซับในฉลองพระองค์มาคลี่ดู เห็นหมายรับสั่งโลหิตเป็นเนื้อความว่า “สุมาสูและพวกสุมาสูคิดอ่านจะชิงเอาราชสมบัติ ถ้าขุนนางทั้งปวงมีใจสามิภักดิ์ต่อเรา ให้เร่งคิดอ่านกำจัดศัตรูแผ่นดินเสียได้แล้ว เราจะให้เลื่อนที่ มีบำเหน็จรางวัลจงหนัก”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุความในหมายรับสั่งโลหิตนี้ว่า “สุมาสูพี่น้องได้ร่วมกันยึดอำนาจใหญ่ จวนจะวางแผนเป็นขบถช่วงชิงราชบัลลังก์ พระบรมราชโองการที่ปฏิบัติการตราขึ้นต่างๆ ล้วนมิได้เป็นประสงค์ของข้า บรรดาขุนนางทั้งทหารทั้งกองกรมควรที่จะต้องยึดถือความซื่อสัตย์จงรักภักดี ปราบปรามขุนนางโจรให้สูญสิ้น ช่วยเหลือชาติบ้านเมืองให้พ้นภัย วันที่ผลงานสำเร็จมีความดีความชอบ จะพระราชทานรางวัลเพิ่มยศถาบรรดาศักดิ์”
สุมาสูอ่านหมายรับสั่งโลหิตจบก็โกรธจนตัวสั่น พลันรู้สึกเจ็บปวดที่เนื้องอกใต้ตาข้างซ้าย จึงเอามือคลำที่เนื้องอกนั้น ขนสีดำที่เนื้องอกสี่ห้าเส้นได้หลุดร่วงออกมา สุมาสูข่มความเจ็บตวาดด้วยเสียงอันดังว่า ที่แท้พวกมึงคบคิดกับฮ่องเต้จะทำร้ายกูสองพี่น้อง พวกมึงสามคนอย่ามีชีวิตอยู่ต่อไปเลย
กล่าวแล้วสุมาสูจึงสั่งให้ทหารคุมตัวสามขุนนางไปตัดศีรษะที่กลางตลาด และให้จับตัวบุตรภรรยาพรรคพวกพี่น้องสามชั่วโคตรเอาไปประหารชีวิตพร้อมกัน สามขุนนางได้ยินคำสั่งก็โกรธ ร้องด่าสุมาสูด้วยถ้อยคำหยาบช้า ทหารที่คุมตัวได้ยินก็โกรธตามนาย ช่วยกันตบปากสามขุนนางจนฟันหลุดออกจากปาก สามขุนนางก็ยังด่าไม่ขาดคำจนกระทั่งทหารคุมตัวลับออกไป
สุมาสูยืนโกรธอยู่ชั่วครู่หนึ่ง จนทหารควบคุมตัวสามขุนนางพ้นไปแล้ว จึงถือกระบี่พาทหารไปที่พระตำหนักอันเป็นที่ประทับของพระเจ้าโจฮอง
ในขณะนั้นพระเจ้าโจฮองกำลังปรารภความกับพระมเหสีถึงเหตุการณ์ที่สามขุนนางขันอาสาจะไปเกลี้ยกล่อมหัวเมืองต่าง ๆ ให้ยกกองทัพมากำจัดสองพี่น้องแซ่สุมา พระมเหสีเตียวฮองเฮาได้ยินรับสั่งของพระเจ้าโจฮองดังนั้นก็ตกพระทัย กราบทูลว่า “ในวังนี้ ผู้คนมากมายนัก ถ้าเนื้อความแพร่งพรายไปข้าพเจ้าก็จะพลอยตาย”
พระมเหสีกล่าวสิ้นคำลงก็เห็นสุมาสูถือกระบี่พาทหารเข้ามา จึงยั้งพระราชเสาวนีย์ไว้มิได้ตรัสประการใดต่อไป พระเจ้าโจฮองเห็นพระอาการของพระมเหสีดังนั้นจึงเหลียวพระพักตร์ไปดูก็ตกพระทัย พอดีสุมาสูเดินมาถึงก็กล่าวความโดยมิได้ถวายบังคมตามประเพณีว่า บิดาของข้าพระองค์ได้ทำนุบำรุงพระองค์จนได้ราชสมบัติ บ้านเมืองก็ร่มเย็นเป็นสุข ถึงจิวกงซึ่งเคยเป็นมหาอุปราชในยุคประวัติศาสตร์ก็มิได้มีพระคุณต่อฮ่องเต้เสมอด้วยบิดาของข้าพระองค์ไม่ แม้กระทั่งอิอิ๋นซึ่งเคยเป็นมหาอุปราชในอดีตก็มิได้อุ้มชูสนับสนุนพระมหากษัตริย์เสมอด้วยข้าพระองค์ ตระกูลสุมาได้ทำคุณต่อพระองค์ถึงเพียงนี้แล้ว พระองค์มิได้รำลึกถึง หลงฟังคำคนยุยงคบคิดกันจะทำร้ายข้าพระองค์สองพี่น้องอีก
พระเจ้าโจฮองได้ฟังดังนั้นก็รู้ว่าความลับได้แพร่งพรายออกไปแล้ว แต่ทรงคิดว่ามิได้มีหลักฐานอื่นใดนอกจากคำบอกกล่าวของพวกสายลับเท่านั้น จึงข่มพระทัยแล้วตรัสว่า ไฉนท่านจึงเอาความมากล่าวฉะนี้ ตัวเรามิเคยคิดร้ายหมายอาฆาตประการใดต่อท่านเลย
สุมาสูได้ยินพระราชดำรัสดังนั้น จึงล้วงเอาซับในฉลองพระองค์ขว้างทิ้งลงกับพื้น พลางชี้มือไปที่ซับในฉลองพระองค์แล้วทูลว่า แล้วนี่คือหลักฐานอะไรเล่า พระเจ้าโจฮองทอดพระเนตรเห็นหลักฐานวางกองอยู่เบื้องพระพักตร์ก็ตกพระทัยจนตัวสั่น แต่สู้แข็งพระทัยตรัสว่า เหตุทั้งนี้มิใช่ตัวเราคิดอ่านเอง แต่เพราะถูกสามขุนนางบังคับให้จำทำ
สุมาสูได้ยินดังนั้นก็ตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วกล่าวว่า พระองค์ทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด ยังจะป้ายผิดใส่ผู้อื่นให้เป็นเวรกรรมสืบไปอีกเล่า
พระเจ้าโจฮองได้ยินดังนั้นก็ย่อพระองค์คุกเข่าลงต่อหน้าสุมาสู แล้วตรัสว่าเราผิดไปแล้ว ท่านจงงดโทษให้สักครั้งหนึ่งเถิด สืบไปเมื่อหน้าจะไม่ทำการฉะนี้อีกเลย
สุมาสูจึงทูลว่า “พระองค์เป็นหลักแผ่นดิน ข้าพเจ้าหาทำอันตรายแก่พระองค์ไม่ เชิญพระองค์นั่งในที่เถิด” สุมาสูกล่าวแล้วจึงชี้มือไปที่พระเก้าอี้ พระเจ้าโจฮองเห็นดังนั้นก็ทรงทำตามโดยมิได้อิดเอื้อน
สุมาสูเอากระบี่ชี้ไปที่พระมเหสีเตียวฮองเฮาแล้วกล่าวว่า มึงเป็นลูกสาวของเตียวอิบซึ่งเป็นผู้คบคิดร้ายต่อกู จำจะฆ่าเสียให้ตายตามบิดา กล่าวแล้วจึงสั่งทหารให้เข้าคุมตัวพระมเหสี
พระเจ้าโจฮองได้ฟังดังนั้นก็ตกพระทัย ทรงกันแสงแล้วรีบลุกจากพระเก้าอี้มาที่สุมาสู แล้วตรัสขอให้งดโทษไว้ชีวิตแก่พระมเหสีสักครั้งหนึ่งแต่สุมาสูไม่ฟังคำ ออกคำสั่งให้ทหารคุมตัวพระมเหสีออกไป
พระเจ้าโจฮองพยายามยื้อยุดพระมเหสีไว้ แต่ก็ไม่อาจทานกำลังของทหารที่เข้าคร่าตัวพระมเหสีได้ จึงทรุดพระองค์ลงนั่งกันแสง สุมาสูเห็นดังนั้นจึงพาทหารเดินกลับออกไป
ครั้นผู้คุมคุมตัวพระมเหสีไปถึงประตูพระบรมมหาราชวังด้านตะวันออกเป็นที่ลับตา จึงสั่งให้พระมเหสีเอาผ้าแพรรัดพระองค์พันเข้าที่พระศอ พระมเหสีจำต้องปฏิบัติตาม ทหารได้ฉุดชายผ้าแพรข้างละสองคนจนมเหสีสิ้นพระชนม์ในที่นั้น
วันรุ่งขึ้นเวลาเช้าสุมาสูให้เชิญข้าราชการขุนนางทั้งปวงไปพร้อมกันที่ท้องพระโรง แล้วกล่าวว่า “พระเจ้าโจฮองไม่เอาพระทัยใส่ราชการบ้านเมือง มีแต่จะเล่นสนุกแล้วหาสติปัญญาไม่ มักเชื่อฟังคำยุยงจะให้บ้านเมืองเป็นกุลี บัดนี้ข้าพเจ้าคิดว่าจะยกพระองค์ออกเสียจากราชสมบัติ จะหาผู้ที่มีสติปัญญาควรจะว่าราชการแผ่นดินได้มาเป็นเจ้า ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด”
ขุนนางทั้งปวงได้ข่าวระแคะระคายมาก่อนแล้วถึงเหตุการณ์ประหารชีวิตพระมเหสีและสามขุนนาง จึงพากันกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่าบัดนี้ตัวท่านเป็นมหาอุปราช ปกครองดูแลแผ่นดินจนร่มเย็นเป็นสุข เมื่อท่านตรึกตรองเห็นดีแล้วข้าพเจ้าทั้งปวงก็เห็นด้วยพร้อมกัน แต่ด้วยเป็นการใหญ่เพื่อมิให้เป็นที่ครหาจึงชอบที่ท่านจะปรึกษาหารือพระนางก๊วยไทเฮาตามประเพณีสักครั้งหนึ่งก่อน
สุมาสูได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงพาขุนนางทั้งปวงไปที่พระตำหนักของพระนางก๊วยไทเฮาแล้วขอเฝ้า กราบทูลให้ทรงทราบสถานการณ์ทั้งปวง แล้วปรารภความซึ่งจะถอดพระเจ้าโจฮองออกจากราชสมบัติ และดำริที่จะยกโจกี๋พระบรมวงศานุวงศ์ที่แพเสียอ๋องขึ้นเสวยราชย์แทน.