ตอนที่ 600. สุราพาวิบัติ
สุมาสูบุตรสุมาอี้ต้องการสร้างบารมีทางการทหารในแผ่นดินวุยก๊ก จึงอาศัยสถานการณ์ที่ง่อก๊กผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน ตั้งให้สุมาเจียวผู้น้องเป็นแม่ทัพใหญ่ กรีฑาทัพสามสิบหมื่นยกไปตีเมืองกังตั๋งทางด่านเมืองตังหิน ครั้นถึงเมืองหน้าด่านจึงปลงทัพแล้วปรึกษาแผนการเข้าตีเมืองตังหินต่อไป
สุมาเจียวได้กำหนดแผนยุทธการในการเข้าตีเมืองตังหินอย่างแยบยล สั่งให้รวมกำลังพลทั้งสามสิบหมื่นเข้าด้วยกัน แล้วให้อองซองและบู๊ขิวเขียมคุมกองทัพหน้าและกองทัพหนุนกำลังพลกองละสามหมื่นแยกออกเป็นปีกซ้ายขวา ตั้งมั่นคอยทีให้กองทัพหลวงรุกเข้าตีเมืองตังหินก่อน แล้วจึงค่อยยกพลเข้าตีเมืองตังหินพร้อมกัน
ในส่วนกองทัพหลวงนั้น สั่งให้อ้าวจุ๋นคุมทหารห้าหมื่นสร้างสะพานลอยข้ามแม่น้ำ แล้วแยกออกเป็นสองกองรุกหักเข้าตีป้อมปราการทั้งด้านซ้ายและด้านขวา กำลังพลนอกแต่นั้นให้ตั้งคุมเชิงอยู่ในที่เดิม คอยท่าให้กองหน้าเข้าตีป้อมแล้วจึงยกข้ามแม่น้ำรุกเข้าตีเมืองพร้อมกัน
ทหารทั้งปวงเห็นชอบกับแผนการของสุมาเจียว แล้วพากันไปจัดแจงตามแผนการที่กำหนด
ฝ่ายจูกัดเก๊กผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของง่อก๊ก ครั้นได้ทราบข่าวศึกว่าสุมาเจียวยกกองทัพใหญ่มาตั้งประชิดอยู่ที่เมืองตังหิน จึงเรียกแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันแล้วปรึกษาว่า ซึ่งวุยก๊กยกทัพมาครั้งนี้จะคิดอ่านประการใด
เตงฮองขุนพลเฒ่าซึ่งรับราชการมาแต่ครั้งซุนเกี๋ยนอายุแปดสิบปีเศษแล้ว ได้กลิ่นศึกก็รีบอาสา แล้วกล่าวว่า “เมืองตังหินนี้เป็นกำลังเมืองกังตั๋ง ด้วยข้าวปลาอาหารทั้งปวงก็บริบูรณ์ แล้วก็มีป้อมค่ายมั่นคงเป็นที่คับขัน ถ้าเมืองตังหินเสียแล้วเห็นว่าเมือง บู๊เฉียงก็จะเป็นอันตราย ควรเราจะรักษาเมืองตังหินไว้ให้มั่นคง”
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังแผนการของเตงฮองดังนั้นก็พากันเห็นชอบ จูกัดเก๊กเห็นแม่ทัพนายกองทั้งปวงมีความเห็นต้องกันก็มีความยินดี ตั้งให้เตงฮองเป็นแม่ทัพเรือทำหน้าที่เป็นกองหน้า คุมทหารสามพันลงเรือรบสามสิบลำแล่นออกจากเมืองกังตั๋งไปที่เมืองตังหิน และให้ลีกี ต๋องจู เล่าเบา เป็นแม่ทัพบกคุมพลคนละหนึ่งหมื่นแยกยกเป็นสามทางตรงไปที่เมืองตังหิน ส่วนจูกัดเก๊กจะยกกองทัพหลวงหนุนตามไป
แม่ทัพบกและแม่ทัพเรือทั้งสี่นายรับคำสั่งแล้วคำนับลาจูกัดเก๊กออกไปจัดแจงทหาร แล้วยกออกจากเมืองกังตั๋งตรงไปที่เมืองตังหิน
ขณะนั้นเป็นเทศกาลหน้าหนาว อากาศหนาวจัด อ้าวจุ๋นซึ่งคุมกองหน้าของกองทัพวุยได้ทำสะพานลอย ยกทหารข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่งแล้วจึงแบ่งทหารออกเป็นสองกอง ให้ หวนแกคุมทหารเข้าตีป้อมด้านซ้าย ให้ฮั่นจ๋งคุมทหารเข้าตีป้อมทางด้านขวา อ้าวจุ๋นคุมทหารห้าพันเป็นกองหนุน
หวนแกและฮั่นจ๋งได้รับคำสั่งแล้วจึงคุมทหารแยกเข้าตีป้อมปราการทางด้านซ้ายขวาของเมืองตังหินตามคำสั่ง
ฝ่ายเล่าเลียกและจวนเต๊กนายทหารผู้รักษาป้อมซ้ายขวาของง่อก๊ก ครั้นเห็นทหารวุยก๊กยกเข้าตีป้อมปราการดังนั้นจึงคุมทหารรบพุ่งป้องกันป้อมปราการไว้เป็นสามารถ อาศัยชัยภูมิที่สูงใหญ่มั่นคงได้เปรียบระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่ทหารวุยก๊กดุจห่าฝน ทหารวุยก๊กบุกขึ้นมาบนป้อมปราการไม่ได้และถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมากจึงพากันล่าถอย อ้าวจุ๋นเห็นดังนั้นจึงให้ทหารถอยออกมาตั้งค่ายอยู่ที่ริมแม่น้ำ
เล่าเลียกและจวนเต๊กแม้เห็นว่าได้ที แต่เห็นว่าทหารวุยก๊กซึ่งยกมาตั้งค่ายอยู่นั้นมีจำนวนมากกว่าทหารในป้อมจึงไม่กล้ายกทหารออกจากป้อมไปโจมตี และให้ทหารตั้งมั่นอยู่ในป้อมปราการ กวดขันระมัดระวังเวรยามมิได้ประมาท
อ้าวจุ๋นและทหารวุยก๊กตั้งค่ายลงที่ริมแม่น้ำแล้วก็ทนความหนาวไม่ได้ จึงชวนกันเสพสุราอยู่ในค่าย ทั้งไพร่และนายดื่มสุราแก้หนาวอย่างเพลิดเพลินจนลืมตัว พากันเมามายไปทั้งค่าย
พอเวลาพลบหน่วยสอดแนมก็มารายงานอ้าวจุ๋นว่า เห็นขบวนเรือรบเมืองกังตั๋งยกมาตามลำแม่น้ำ อ้าวจุ๋นจึงออกจากค่ายไปที่ริมฝั่งน้ำ เห็นเรือรบเมืองกังตั๋งราวสามสิบลำแล่นมาแต่ไกล จึงกล่าวว่าทหารเมืองกังตั๋งยกมาเท่านี้จะวิตกไปไย ขบวนเรือมีมาเพียงสามสิบลำ แต่ละลำบรรทุกทหารอย่างมากได้แค่หนึ่งร้อยคน สามสิบลำคำนวณเป็นกำลังพลได้ไม่เกินสามพันคน ทหารเรามีร่วมห้าหมื่นคน เห็นทหารเมืองกังตั๋งจะไม่กล้ายกเข้าตี
กล่าวดังนั้นแล้วอ้าวจุ๋นจึงพาทหารกลับเข้าค่าย แล้วชวนกันเสพสุราเป็นที่ครื้นเครงต่อไป พอค่ำลงอ้าวจุ๋นและทหารก็พากันเมามายแทบไม่ได้สติ
ฝ่ายเตงฮองแม่ทัพเรือ ครั้นยกกองทัพมาใกล้หน้าเมืองตังหินเป็นเวลาใกล้ค่ำ จึงสั่งให้เอาเรือเทียบเข้าริมตลิ่งห่างจากค่ายของอ้าวจุ๋นประมาณร้อยเส้น ได้ยินเสียงทหารวุยก๊กหัวร่อต่อกระซิกลอยมาตามลมบอกอาการเมาสุรา ก็รู้ว่าทหารวุยก๊กตั้งอยู่ในความประมาท เห็นว่าทหารง่อก๊กยกมาแต่น้อยตัวไม่กล้าเข้าตี วิสัยขุนพลเฒ่าผู้ชาญการสงครามก็รู้ว่าเป็นโอกาสอันดี จึงป่าวประกาศแก่บรรดาทหารทั้งปวงว่า “เราเป็นชาติทหาร ตั้งใจแต่จะหาความชอบใส่ตัว เราเร่งทำความชอบให้ได้ในวันนี้”
เตงฮองปลุกระดมขวัญกำลังใจทหารเมืองกังตั๋งแล้ว จึงกำชับว่าบัดนี้โอกาสดียิ่งนัก ข้าศึกนึกประมาทฝ่ายเรา จึงพากันดื่มสุราจนเมามาย ให้ทุกคนตั้งหน้าทำราชการอย่าได้เกรงกลัวแก่ความยากลำบากและความตาย แม้ได้ชัยชนะแล้วก็จะได้ความชอบเป็นอันมาก
ทหารเมืองกังตั๋งล้วนเชื่อมั่นในเตงฮองว่ามีประสบการณ์สงครามเป็นอันมาก ได้ยินคำปลุกใจของเตงฮองจึงรับคำพร้อมกันว่าพวกเราจะทำการตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ เอาชัยชนะข้าศึกให้จงได้
เตงฮองเห็นดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวว่าความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐของทหาร การรบวันนี้จะต้องได้ชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อเกียรติภูมิของทหารกังตั๋งว่าไม่กลัวตาย จึงให้ทุกคนถอดหมวกและเสื้อเกราะออกให้หมด ให้กำหนดการรบแบบประชิดตัว ดังนั้นจึงให้ทหารทุกคนเอาแต่กระบี่และดาบติดตัวไป ไม่ให้เอาทวนหรือง้าวไปด้วย
ทหารเมืองกังตั๋งได้ฟังคำแม่ทัพฮึกห้าวเหิมหาญดังนั้นก็พากันคึกคะนอง ต่างคนต่างรีบปฏิบัติตามคำสั่งของเตงฮอง
เตงฮองเห็นทหารทั้งปวงถอดหมวกและเสื้อเกราะ ถือกระบี่และดาบพร้อมแล้วจึงคุมทหารบุกไปที่ค่ายของอ้าวจุ๋น พอไปถึงใกล้ค่ายได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาด้วยอาการเมาสุราดังชัดขึ้นทุกที เตงฮองก็มีความยินดี เร่งทหารให้รุกเข้าประชิดค่าย
พอถึงหน้าค่ายของอ้าวจุ๋น เตงฮองจึงให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ แล้ว เตงฮองจึงถือดาบสองมือวิ่งนำหน้าทหารรุกตรงเข้าไปในค่ายของอ้าวจุ๋น ทหารในค่ายของอ้าวจุ๋นไม่ทันระวังตัว เตงฮองจึงพาทหารบุกเข้าไปในค่ายได้โดยสะดวก
ทหารเมืองกังตั๋งโห่ร้องดึงกึกก้องฝ่าความมืดในยามค่ำ รุกเข้าฆ่าฟันทหารวุยก๊กซึ่งกำลังเมาสุราอย่างมันมือ ฮั่นจ๋งเห็นข้าศึกจู่โจมเข้าตีก็ตกใจ ฉวยได้ทวนคู่มือจึงวิ่งเข้าหาเตงฮอง แล้วเอาทวนแทงเตงฮอง
เตงฮองมีประสบการณ์ในการรบจึงหลบทวนของฮั่นจ๋ง แล้วกลับตัวเอาดาบฟันฮั่นจ๋งถูกฮั่นจ๋งล้มลง เตงฮองเห็นได้ทีจึงบุกเข้าประชิดตัว ฉวยโอกาสที่ฮั่นจ๋งเสียหลักเอาดาบตัดหัวของฮั่นจ๋งถึงแก่ความตาย
ฝ่ายหวนแกเห็นฮั่นจ๋งเสียทีแก่เตงฮองก็โกรธ คว้าได้ง้าวคู่มือจึงวิ่งเข้าฟันเตงฮอง เตงฮองหลบง้าวของหวนแกแล้วเอารักแร้หนีบง้าวของหวนแกไว้ พลางเงื้อดาบจะฟัน หวนแกเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบปล่อยมือแล้ววิ่งหนี
เตงฮองเห็นดังนั้นจึงขว้างดาบตามหลังไปถูกแขนซ้ายของหวนแกล้มลง เตงฮองรีบสะอึกเข้าถึงตัวแล้วเอาง้าวที่แย่งมาจากหวนแก ฟันหวนแกถึงแก่ความตาย
ทหารเมืองกังตั๋งเห็นตัวนายได้ชัยชนะแก่ข้าศึกก็ฮึกห้าวเหิมหาญ พากันโห่ร้องกึกก้องแล้วรุกรุดหน้าฆ่าฟันทหารวุยก๊กที่กำลังแตกตื่นวิ่งหนีบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ฝ่ายอ้าวจุ๋นแม่ทัพหน้าของวุยก๊ก เห็นทหารแตกตื่นตกใจไม่เป็นอันสู้รบ และคุมกันไม่ติด ทั้งกำลังเมาสุราสายตาพร่ามัว จึงรีบพาทหารหนีไปทางริมแม่น้ำจะข้ามสะพานลอยไปยังกองทัพหลวง เตงฮองเห็นดังนั้นจึงคุมทหารไล่ตามไป
ทหารวุยก๊กชิงกันหนีขึ้นสะพานลอย คั่งอยู่บนสะพานและเชิงสะพานเป็นอันมากจึงเบียดเสียดแย่งกันจะให้พ้นไปจากสะพาน สะพานลอยทานน้ำหนักไม่ได้จึงขาดร่วงหล่นลงแม่น้ำ ทหารวุยก๊กพลัดตกน้ำตายเป็นอันมาก พวกที่เหลืออยู่ที่เชิงสะพานก็ถูกทหารเตงฮองไล่ฆ่าฟันอย่างมันมือ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าทหารของอ้าวจุ๋นที่ยกข้ามสะพานมาประชิดเมืองตังหินล้มตายถึงสองส่วน เหลืออยู่เพียงหนึ่งส่วนหนีข้ามสะพานรอดไปได้
ครั้นอ้าวจุ๋นพาทหารหนีข้ามสะพานลอยได้แล้ว จึงเข้าไปรายงานความให้สุมาเจียวทราบทุกประการ สุมาเจียวทราบความดังนั้นก็ตรองการศึกว่ากองทัพเราเพิ่งยกมาถึงหน้าด่านก็ปราชัยแก่ข้าศึก ทหารทั้งปวงเสียขวัญกำลังใจ ขณะนี้กองทัพหน้าเมืองกังตั๋งเพิ่งยกมาถึง หากเนิ่นช้าต่อไปกองทัพหลวงหนุนตามมาแล้ว การจะถอยทัพจักเป็นอันตราย คิดดังนั้นแล้วสุมาเจียวจึงสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายจูกัดเก๊กครั้นยกกองทัพหลวงหนุนตามมาถึงเมืองตังหิน ก็ได้ทราบรายงานว่าเตงฮองทำการมีชัยชนะแก่ข้าศึกก็มีความยินดีเป็นอันมาก สั่งให้ปูนบำเหน็จแก่เตงฮองและทหารซึ่งมีความชอบ แล้วปลงทัพตั้งค่ายอยู่นอกเมืองตังหิน ตัวจูกัดเก๊กพาทหารองครักษ์เข้าไปในเมือง แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง
จูกัดเก๊กได้ปรารภว่า สุมาเจียวยกกองทัพวุยก๊กจะมาตีเมืองเราครั้งนี้ เมื่อเสียทีแล้วเห็นจะเสียขวัญกำลังใจ จึงเป็นทีที่เราจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กตอบแทนบ้าง ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด
แม่ทัพนายกองทั้งปวงกำลังฮึกเหิม ได้ยินคำปรึกษาดังนั้นจึงเห็นชอบพร้อมกันว่า ควรที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก
จูกัดเก๊กเห็นดังนั้นจึงว่า ง่อก๊กเราเป็นพันธมิตรกับจ๊กก๊ก ชอบที่จะร่วมมือกันเข้าตี เห็นจะได้ชัยชนะ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย
จูกัดเก๊กจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้กับเกียงอุยที่เมืองฮันต๋ง ขอให้ยกกองทัพจ๊กก๊กบุกเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง ส่วนจูกัดเก๊กจะยกกองทัพรุกเข้าตีทางด้านใต้ หากทำการสำเร็จแล้วก็จะแบ่งแผ่นดินตงง้วนกันฝ่ายละครึ่ง ครั้นทำหนังสือถึงเกียงอุยเสร็จแล้วจูกัดเก๊กจึงออกหมายเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองกังตั๋งเป็นกำลังพลยี่สิบหมื่นเตรียมจะยกไปตีวุยก๊ก
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบหกพรรษา เดือนสิบเอ็ด จูกัดเก๊กจัดเตรียมกองทัพพร้อมแล้วจึงเคลื่อนทัพจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง
พอกองทัพของจูกัดเก๊กเริ่มเคลื่อนพล ก็บังเกิดควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากพื้นดินข้างหน้ากองทัพแผ่ปกคลุมเป็นปริมณฑลกว้าง ครอบคลุมทั้งกองทัพไว้จนมืดมิด แม้ห่างกันเพียงน้อยนิดก็แทบมองกันไม่เห็นตัว อีกครู่หนึ่งก็เกิดพายุหมุนพัดพาเอาม่านควันนั้นผ่านพ้นไป
ทหารในกองทัพง่อก๊กเห็นนิมิตดังนั้นก็พากันตกใจ กองทัพทั้งปวงหยุดกึกอยู่กับที่ เจียวเอี๋ยนซึ่งเป็นเสนาธิการ เห็นนิมิตนั้นเป็นลางร้ายจึงขี่ม้าเข้าไปหาจูกัดเก๊กแล้วกล่าวว่า ซึ่งบังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเป็นควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากแผ่นดิน ดังนี้เป็นลางร้าย ตามตำราว่าจะปราชัยแก่ข้าศึก ฉะนั้นจึงขอให้ท่านแม่ทัพได้เลิกทัพยกกลับเมืองกังตั๋งจึงจะควร หากแม้นจะยกกองทัพรุดไปตีวุยก๊กเห็นจะปราชัยเสีย แม่ทัพคนสำคัญเป็นมั่นคง.
สุมาเจียวได้กำหนดแผนยุทธการในการเข้าตีเมืองตังหินอย่างแยบยล สั่งให้รวมกำลังพลทั้งสามสิบหมื่นเข้าด้วยกัน แล้วให้อองซองและบู๊ขิวเขียมคุมกองทัพหน้าและกองทัพหนุนกำลังพลกองละสามหมื่นแยกออกเป็นปีกซ้ายขวา ตั้งมั่นคอยทีให้กองทัพหลวงรุกเข้าตีเมืองตังหินก่อน แล้วจึงค่อยยกพลเข้าตีเมืองตังหินพร้อมกัน
ในส่วนกองทัพหลวงนั้น สั่งให้อ้าวจุ๋นคุมทหารห้าหมื่นสร้างสะพานลอยข้ามแม่น้ำ แล้วแยกออกเป็นสองกองรุกหักเข้าตีป้อมปราการทั้งด้านซ้ายและด้านขวา กำลังพลนอกแต่นั้นให้ตั้งคุมเชิงอยู่ในที่เดิม คอยท่าให้กองหน้าเข้าตีป้อมแล้วจึงยกข้ามแม่น้ำรุกเข้าตีเมืองพร้อมกัน
ทหารทั้งปวงเห็นชอบกับแผนการของสุมาเจียว แล้วพากันไปจัดแจงตามแผนการที่กำหนด
ฝ่ายจูกัดเก๊กผู้สำเร็จราชการแผ่นดินของง่อก๊ก ครั้นได้ทราบข่าวศึกว่าสุมาเจียวยกกองทัพใหญ่มาตั้งประชิดอยู่ที่เมืองตังหิน จึงเรียกแม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงเข้ามาพร้อมกันแล้วปรึกษาว่า ซึ่งวุยก๊กยกทัพมาครั้งนี้จะคิดอ่านประการใด
เตงฮองขุนพลเฒ่าซึ่งรับราชการมาแต่ครั้งซุนเกี๋ยนอายุแปดสิบปีเศษแล้ว ได้กลิ่นศึกก็รีบอาสา แล้วกล่าวว่า “เมืองตังหินนี้เป็นกำลังเมืองกังตั๋ง ด้วยข้าวปลาอาหารทั้งปวงก็บริบูรณ์ แล้วก็มีป้อมค่ายมั่นคงเป็นที่คับขัน ถ้าเมืองตังหินเสียแล้วเห็นว่าเมือง บู๊เฉียงก็จะเป็นอันตราย ควรเราจะรักษาเมืองตังหินไว้ให้มั่นคง”
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังแผนการของเตงฮองดังนั้นก็พากันเห็นชอบ จูกัดเก๊กเห็นแม่ทัพนายกองทั้งปวงมีความเห็นต้องกันก็มีความยินดี ตั้งให้เตงฮองเป็นแม่ทัพเรือทำหน้าที่เป็นกองหน้า คุมทหารสามพันลงเรือรบสามสิบลำแล่นออกจากเมืองกังตั๋งไปที่เมืองตังหิน และให้ลีกี ต๋องจู เล่าเบา เป็นแม่ทัพบกคุมพลคนละหนึ่งหมื่นแยกยกเป็นสามทางตรงไปที่เมืองตังหิน ส่วนจูกัดเก๊กจะยกกองทัพหลวงหนุนตามไป
แม่ทัพบกและแม่ทัพเรือทั้งสี่นายรับคำสั่งแล้วคำนับลาจูกัดเก๊กออกไปจัดแจงทหาร แล้วยกออกจากเมืองกังตั๋งตรงไปที่เมืองตังหิน
ขณะนั้นเป็นเทศกาลหน้าหนาว อากาศหนาวจัด อ้าวจุ๋นซึ่งคุมกองหน้าของกองทัพวุยได้ทำสะพานลอย ยกทหารข้ามแม่น้ำไปถึงฝั่งแล้วจึงแบ่งทหารออกเป็นสองกอง ให้ หวนแกคุมทหารเข้าตีป้อมด้านซ้าย ให้ฮั่นจ๋งคุมทหารเข้าตีป้อมทางด้านขวา อ้าวจุ๋นคุมทหารห้าพันเป็นกองหนุน
หวนแกและฮั่นจ๋งได้รับคำสั่งแล้วจึงคุมทหารแยกเข้าตีป้อมปราการทางด้านซ้ายขวาของเมืองตังหินตามคำสั่ง
ฝ่ายเล่าเลียกและจวนเต๊กนายทหารผู้รักษาป้อมซ้ายขวาของง่อก๊ก ครั้นเห็นทหารวุยก๊กยกเข้าตีป้อมปราการดังนั้นจึงคุมทหารรบพุ่งป้องกันป้อมปราการไว้เป็นสามารถ อาศัยชัยภูมิที่สูงใหญ่มั่นคงได้เปรียบระดมยิงเกาทัณฑ์ใส่ทหารวุยก๊กดุจห่าฝน ทหารวุยก๊กบุกขึ้นมาบนป้อมปราการไม่ได้และถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมากจึงพากันล่าถอย อ้าวจุ๋นเห็นดังนั้นจึงให้ทหารถอยออกมาตั้งค่ายอยู่ที่ริมแม่น้ำ
เล่าเลียกและจวนเต๊กแม้เห็นว่าได้ที แต่เห็นว่าทหารวุยก๊กซึ่งยกมาตั้งค่ายอยู่นั้นมีจำนวนมากกว่าทหารในป้อมจึงไม่กล้ายกทหารออกจากป้อมไปโจมตี และให้ทหารตั้งมั่นอยู่ในป้อมปราการ กวดขันระมัดระวังเวรยามมิได้ประมาท
อ้าวจุ๋นและทหารวุยก๊กตั้งค่ายลงที่ริมแม่น้ำแล้วก็ทนความหนาวไม่ได้ จึงชวนกันเสพสุราอยู่ในค่าย ทั้งไพร่และนายดื่มสุราแก้หนาวอย่างเพลิดเพลินจนลืมตัว พากันเมามายไปทั้งค่าย
พอเวลาพลบหน่วยสอดแนมก็มารายงานอ้าวจุ๋นว่า เห็นขบวนเรือรบเมืองกังตั๋งยกมาตามลำแม่น้ำ อ้าวจุ๋นจึงออกจากค่ายไปที่ริมฝั่งน้ำ เห็นเรือรบเมืองกังตั๋งราวสามสิบลำแล่นมาแต่ไกล จึงกล่าวว่าทหารเมืองกังตั๋งยกมาเท่านี้จะวิตกไปไย ขบวนเรือมีมาเพียงสามสิบลำ แต่ละลำบรรทุกทหารอย่างมากได้แค่หนึ่งร้อยคน สามสิบลำคำนวณเป็นกำลังพลได้ไม่เกินสามพันคน ทหารเรามีร่วมห้าหมื่นคน เห็นทหารเมืองกังตั๋งจะไม่กล้ายกเข้าตี
กล่าวดังนั้นแล้วอ้าวจุ๋นจึงพาทหารกลับเข้าค่าย แล้วชวนกันเสพสุราเป็นที่ครื้นเครงต่อไป พอค่ำลงอ้าวจุ๋นและทหารก็พากันเมามายแทบไม่ได้สติ
ฝ่ายเตงฮองแม่ทัพเรือ ครั้นยกกองทัพมาใกล้หน้าเมืองตังหินเป็นเวลาใกล้ค่ำ จึงสั่งให้เอาเรือเทียบเข้าริมตลิ่งห่างจากค่ายของอ้าวจุ๋นประมาณร้อยเส้น ได้ยินเสียงทหารวุยก๊กหัวร่อต่อกระซิกลอยมาตามลมบอกอาการเมาสุรา ก็รู้ว่าทหารวุยก๊กตั้งอยู่ในความประมาท เห็นว่าทหารง่อก๊กยกมาแต่น้อยตัวไม่กล้าเข้าตี วิสัยขุนพลเฒ่าผู้ชาญการสงครามก็รู้ว่าเป็นโอกาสอันดี จึงป่าวประกาศแก่บรรดาทหารทั้งปวงว่า “เราเป็นชาติทหาร ตั้งใจแต่จะหาความชอบใส่ตัว เราเร่งทำความชอบให้ได้ในวันนี้”
เตงฮองปลุกระดมขวัญกำลังใจทหารเมืองกังตั๋งแล้ว จึงกำชับว่าบัดนี้โอกาสดียิ่งนัก ข้าศึกนึกประมาทฝ่ายเรา จึงพากันดื่มสุราจนเมามาย ให้ทุกคนตั้งหน้าทำราชการอย่าได้เกรงกลัวแก่ความยากลำบากและความตาย แม้ได้ชัยชนะแล้วก็จะได้ความชอบเป็นอันมาก
ทหารเมืองกังตั๋งล้วนเชื่อมั่นในเตงฮองว่ามีประสบการณ์สงครามเป็นอันมาก ได้ยินคำปลุกใจของเตงฮองจึงรับคำพร้อมกันว่าพวกเราจะทำการตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ เอาชัยชนะข้าศึกให้จงได้
เตงฮองเห็นดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวว่าความกล้าหาญเป็นคุณสมบัติอันประเสริฐของทหาร การรบวันนี้จะต้องได้ชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้น เพื่อเกียรติภูมิของทหารกังตั๋งว่าไม่กลัวตาย จึงให้ทุกคนถอดหมวกและเสื้อเกราะออกให้หมด ให้กำหนดการรบแบบประชิดตัว ดังนั้นจึงให้ทหารทุกคนเอาแต่กระบี่และดาบติดตัวไป ไม่ให้เอาทวนหรือง้าวไปด้วย
ทหารเมืองกังตั๋งได้ฟังคำแม่ทัพฮึกห้าวเหิมหาญดังนั้นก็พากันคึกคะนอง ต่างคนต่างรีบปฏิบัติตามคำสั่งของเตงฮอง
เตงฮองเห็นทหารทั้งปวงถอดหมวกและเสื้อเกราะ ถือกระบี่และดาบพร้อมแล้วจึงคุมทหารบุกไปที่ค่ายของอ้าวจุ๋น พอไปถึงใกล้ค่ายได้ยินเสียงหัวเราะเฮฮาด้วยอาการเมาสุราดังชัดขึ้นทุกที เตงฮองก็มีความยินดี เร่งทหารให้รุกเข้าประชิดค่าย
พอถึงหน้าค่ายของอ้าวจุ๋น เตงฮองจึงให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ แล้ว เตงฮองจึงถือดาบสองมือวิ่งนำหน้าทหารรุกตรงเข้าไปในค่ายของอ้าวจุ๋น ทหารในค่ายของอ้าวจุ๋นไม่ทันระวังตัว เตงฮองจึงพาทหารบุกเข้าไปในค่ายได้โดยสะดวก
ทหารเมืองกังตั๋งโห่ร้องดึงกึกก้องฝ่าความมืดในยามค่ำ รุกเข้าฆ่าฟันทหารวุยก๊กซึ่งกำลังเมาสุราอย่างมันมือ ฮั่นจ๋งเห็นข้าศึกจู่โจมเข้าตีก็ตกใจ ฉวยได้ทวนคู่มือจึงวิ่งเข้าหาเตงฮอง แล้วเอาทวนแทงเตงฮอง
เตงฮองมีประสบการณ์ในการรบจึงหลบทวนของฮั่นจ๋ง แล้วกลับตัวเอาดาบฟันฮั่นจ๋งถูกฮั่นจ๋งล้มลง เตงฮองเห็นได้ทีจึงบุกเข้าประชิดตัว ฉวยโอกาสที่ฮั่นจ๋งเสียหลักเอาดาบตัดหัวของฮั่นจ๋งถึงแก่ความตาย
ฝ่ายหวนแกเห็นฮั่นจ๋งเสียทีแก่เตงฮองก็โกรธ คว้าได้ง้าวคู่มือจึงวิ่งเข้าฟันเตงฮอง เตงฮองหลบง้าวของหวนแกแล้วเอารักแร้หนีบง้าวของหวนแกไว้ พลางเงื้อดาบจะฟัน หวนแกเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบปล่อยมือแล้ววิ่งหนี
เตงฮองเห็นดังนั้นจึงขว้างดาบตามหลังไปถูกแขนซ้ายของหวนแกล้มลง เตงฮองรีบสะอึกเข้าถึงตัวแล้วเอาง้าวที่แย่งมาจากหวนแก ฟันหวนแกถึงแก่ความตาย
ทหารเมืองกังตั๋งเห็นตัวนายได้ชัยชนะแก่ข้าศึกก็ฮึกห้าวเหิมหาญ พากันโห่ร้องกึกก้องแล้วรุกรุดหน้าฆ่าฟันทหารวุยก๊กที่กำลังแตกตื่นวิ่งหนีบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ฝ่ายอ้าวจุ๋นแม่ทัพหน้าของวุยก๊ก เห็นทหารแตกตื่นตกใจไม่เป็นอันสู้รบ และคุมกันไม่ติด ทั้งกำลังเมาสุราสายตาพร่ามัว จึงรีบพาทหารหนีไปทางริมแม่น้ำจะข้ามสะพานลอยไปยังกองทัพหลวง เตงฮองเห็นดังนั้นจึงคุมทหารไล่ตามไป
ทหารวุยก๊กชิงกันหนีขึ้นสะพานลอย คั่งอยู่บนสะพานและเชิงสะพานเป็นอันมากจึงเบียดเสียดแย่งกันจะให้พ้นไปจากสะพาน สะพานลอยทานน้ำหนักไม่ได้จึงขาดร่วงหล่นลงแม่น้ำ ทหารวุยก๊กพลัดตกน้ำตายเป็นอันมาก พวกที่เหลืออยู่ที่เชิงสะพานก็ถูกทหารเตงฮองไล่ฆ่าฟันอย่างมันมือ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าทหารของอ้าวจุ๋นที่ยกข้ามสะพานมาประชิดเมืองตังหินล้มตายถึงสองส่วน เหลืออยู่เพียงหนึ่งส่วนหนีข้ามสะพานรอดไปได้
ครั้นอ้าวจุ๋นพาทหารหนีข้ามสะพานลอยได้แล้ว จึงเข้าไปรายงานความให้สุมาเจียวทราบทุกประการ สุมาเจียวทราบความดังนั้นก็ตรองการศึกว่ากองทัพเราเพิ่งยกมาถึงหน้าด่านก็ปราชัยแก่ข้าศึก ทหารทั้งปวงเสียขวัญกำลังใจ ขณะนี้กองทัพหน้าเมืองกังตั๋งเพิ่งยกมาถึง หากเนิ่นช้าต่อไปกองทัพหลวงหนุนตามมาแล้ว การจะถอยทัพจักเป็นอันตราย คิดดังนั้นแล้วสุมาเจียวจึงสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายจูกัดเก๊กครั้นยกกองทัพหลวงหนุนตามมาถึงเมืองตังหิน ก็ได้ทราบรายงานว่าเตงฮองทำการมีชัยชนะแก่ข้าศึกก็มีความยินดีเป็นอันมาก สั่งให้ปูนบำเหน็จแก่เตงฮองและทหารซึ่งมีความชอบ แล้วปลงทัพตั้งค่ายอยู่นอกเมืองตังหิน ตัวจูกัดเก๊กพาทหารองครักษ์เข้าไปในเมือง แล้วเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง
จูกัดเก๊กได้ปรารภว่า สุมาเจียวยกกองทัพวุยก๊กจะมาตีเมืองเราครั้งนี้ เมื่อเสียทีแล้วเห็นจะเสียขวัญกำลังใจ จึงเป็นทีที่เราจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กตอบแทนบ้าง ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด
แม่ทัพนายกองทั้งปวงกำลังฮึกเหิม ได้ยินคำปรึกษาดังนั้นจึงเห็นชอบพร้อมกันว่า ควรที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก
จูกัดเก๊กเห็นดังนั้นจึงว่า ง่อก๊กเราเป็นพันธมิตรกับจ๊กก๊ก ชอบที่จะร่วมมือกันเข้าตี เห็นจะได้ชัยชนะ ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย
จูกัดเก๊กจึงแต่งหนังสือให้ทหารถือไปให้กับเกียงอุยที่เมืองฮันต๋ง ขอให้ยกกองทัพจ๊กก๊กบุกเข้าตีเมืองลกเอี๋ยง ส่วนจูกัดเก๊กจะยกกองทัพรุกเข้าตีทางด้านใต้ หากทำการสำเร็จแล้วก็จะแบ่งแผ่นดินตงง้วนกันฝ่ายละครึ่ง ครั้นทำหนังสือถึงเกียงอุยเสร็จแล้วจูกัดเก๊กจึงออกหมายเกณฑ์ทหารจากหัวเมืองซึ่งขึ้นกับเมืองกังตั๋งเป็นกำลังพลยี่สิบหมื่นเตรียมจะยกไปตีวุยก๊ก
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบหกพรรษา เดือนสิบเอ็ด จูกัดเก๊กจัดเตรียมกองทัพพร้อมแล้วจึงเคลื่อนทัพจะยกไปตีเมืองลกเอี๋ยง
พอกองทัพของจูกัดเก๊กเริ่มเคลื่อนพล ก็บังเกิดควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากพื้นดินข้างหน้ากองทัพแผ่ปกคลุมเป็นปริมณฑลกว้าง ครอบคลุมทั้งกองทัพไว้จนมืดมิด แม้ห่างกันเพียงน้อยนิดก็แทบมองกันไม่เห็นตัว อีกครู่หนึ่งก็เกิดพายุหมุนพัดพาเอาม่านควันนั้นผ่านพ้นไป
ทหารในกองทัพง่อก๊กเห็นนิมิตดังนั้นก็พากันตกใจ กองทัพทั้งปวงหยุดกึกอยู่กับที่ เจียวเอี๋ยนซึ่งเป็นเสนาธิการ เห็นนิมิตนั้นเป็นลางร้ายจึงขี่ม้าเข้าไปหาจูกัดเก๊กแล้วกล่าวว่า ซึ่งบังเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเป็นควันสีขาวพวยพุ่งขึ้นจากแผ่นดิน ดังนี้เป็นลางร้าย ตามตำราว่าจะปราชัยแก่ข้าศึก ฉะนั้นจึงขอให้ท่านแม่ทัพได้เลิกทัพยกกลับเมืองกังตั๋งจึงจะควร หากแม้นจะยกกองทัพรุดไปตีวุยก๊กเห็นจะปราชัยเสีย แม่ทัพคนสำคัญเป็นมั่นคง.