ตอนที่ 599. พระเจ้าซุนกวนสิ้นบุญ

สุมาอี้ป่วยหนักรู้ตัวว่าจะตาย จึงคิดอักษรปริศนาสอนสั่งสุมาสูและสุมาเจียวซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นหลักการปกครองบ้านเมือง การครองใจอาณาประชาราษฎร และการรักษาตัววางตนให้สมกับความเป็นหลักชัยของบ้านเมือง ครั้นสั่งเสียบุตรทั้งสองแล้ว อาการสุมาอี้ก็ทรุดหนักลงและถึงแก่ความตาย สิริอายุรวมเจ็ดสิบสองปี

            สุมาสูและสุมาเจียวพอคลายโศกแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าโจฮอง กราบทูลให้ทรงทราบว่าสุมาอี้ถึงแก่อนิจกรรมแล้ว พระเจ้าโจฮองทราบความดังนั้นจึงตรัสสั่งให้ตั้งการพิธีศพของสุมาอี้ตามประเพณีขุนนางผู้ใหญ่ และให้นำศพไปฝังไว้ยังสุสานหลวง

            เสร็จการศพของสุมาอี้แล้วพระเจ้าโจฮองจึงโปรดเกล้าตั้งให้สุมาสูดำรงตำแหน่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ตำแหน่งราชเลขาธิการฝ่ายควบคุมราชการลับทั้งภายในและภายนอกราชสำนัก ส่วนสุมาเจียวนั้นโปรดเกล้าตั้งให้เป็นขุนนางผู้ใหญ่ฝ่ายทหาร ตำแหน่งรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด และผู้อำนวยการกองกำลังรักษาพระนคร

            เพราะเหตุที่สุมาสูและสุมาเจียวเป็นผู้ช่วยของสุมาอี้มาแต่ก่อน ดังนั้นแม้สุมาอี้จะถึงแก่กรรมแล้ว อำนาจบริหารราชการแผ่นดินทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนจึงยังคงอยู่ในเงื้อมมือของสองพี่น้องสุมาทั้งสิ้น

            ทางฝ่ายง่อก๊ก วันเวลาก็มิได้ปรานีให้แก่ผู้ใด กาลเวลาได้พัดพาเอาสรรพชีวิตให้ล่วงลับดับสูญไปตามกาล เตียวเจียวและขุนนางผู้ใหญ่ต่างอำลาโลกไปตามวัย ในปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยแปดสิบสี่จูกัดกิ๋นได้สิ้นบุญลง พระเจ้าซุนกวนทรงโศกเศร้าอาลัยถึงจูกัดกิ๋นเป็นอันมาก ด้วยมีความรักผูกพันสนิทแน่นแฟ้นมาตั้งแต่ครั้งเริ่มตั้งตัว ถึงขนาดเคยนอนร่วมเตียงแล้วเอาขาก่ายกัน จูกัดกิ๋นสิ้นบุญแล้วจึงโปรดเกล้าตั้งให้จูกัดเก๊กผู้บุตรของจูกัดกิ๋นซึ่งทรงโปรดและไว้วางใจมาแต่ก่อนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ และโปรดเกล้าตั้งให้ลกซุนเป็นมหาอุปราช

            ลกซุนครองตำแหน่งมหาอุปราชได้เพียงปีเดียวก็สิ้นบุญลงอีก ในขณะที่มีอายุได้เพียงหกสิบเอ็ดปี พระเจ้าซุนกวนทรงโศกเศร้าอาลัยถึงลกซุนเป็นอันมาก ด้วยทรงโปรดไว้วางพระราชหฤทัยลกซุน และทรงอาลัยถึงลกซุนที่มีความชอบแก่เมืองกังตั๋งเป็นอันมาก เพราะแม้ว่าจะเป็นบัณฑิตฝ่ายบุ๋น แต่สามารถบัญชาการรบเอาชัยชนะศึกน้อยใหญ่ที่ยกมารุกรานเมืองกังตั๋งได้ทุกครั้งไป

            หลังเสร็จการศพของลกซุนแล้วจึงโปรดเกล้าเลื่อนตำแหน่งจูกัดเก๊กขึ้นเป็นที่มหาอุปราชแทนลกซุน

            จูกัดเก๊กครองอำนาจเป็นใหญ่ในเมืองกังตั๋ง ในขณะที่พระเจ้าซุนกวนทรงพระชราภาพ ดังนั้นอำนาจการบริหารและการปกครองทั้งปวงจึงอยู่ในมือของจูกัดเก๊กว่ากล่าวทั้งสิ้น

            อนึ่งพระเจ้าซุนกวนมีพระราชโอรสสามองค์ พระองค์แรกทรงพระนามว่าซุนเต๋งเป็นโอรสอันเกิดแต่นางชีฮูหยิน พระเจ้าซุนกวนโปรดเกล้าตั้งให้เป็นมกุฎราชกุมารตามประเพณี แต่ซุนเต๋งนั้นบุญน้อยจึงถึงแก่ความตายในขณะที่อายุยังเยาว์ พระเจ้าซุนกวนจึงโปรดเกล้าสถาปนาซุนโฮพระราชบุตรอันเกิดแต่พระสนมฮองฮูหยินขึ้นเป็นที่มกุฎราชกุมารแทน

            ซุนโฮเป็นมกุฎราชกุมารไม่ทันนานก็วิวาทบาดหมางกับพระราชธิดากิมกงจู๊ซึ่งเป็นพี่สาวร่วมมารดา แลพระเจ้าซุนกวนนั้นทรงโปรดปรานพระราชธิดา จะว่ากล่าวสิ่งใดก็ทรงเชื่อฟังตามประสาคนแก่หลงลูกสาว ดังนั้นเมื่อเกิดวิวาทบาดหมางขึ้นแล้วพระราชธิดากิมกงจู๊จึงเพ็ดทูลพระเจ้าซุนกวนว่าซุนโฮคิดชิงเอาราชสมบัติ ลอบวางยาพิษเพื่อปลงพระชนม์

            พระเจ้าซุนกวนทราบความจากพระราชธิดาก็ทรงกริ้วมกุฎราชกุมาร ทรงคิดว่าบุตรซึ่งมีพฤติกรรมปิตุฆาตดังนี้ หากให้มีอำนาจวาสนาสืบไปก็จะล้างผลาญทำลายตระกูลซุนจนสูญสิ้น จึงโปรดเกล้าถอดซุนโฮออกจากตำแหน่งมกุฎราชกุมาร

            ซุนโฮถูกใส่ร้ายป้ายสีจนสูญเสียตำแหน่งและสิทธิในราชบัลลังก์ก็น้อยใจ แต่ละวันเอาแต่เสพสุราจนป่วยลง แล้วตรอมใจถึงแก่ความตาย

            พระเจ้าซุนกวนหะแรกนั้นทรงกริ้วซุนโฮจนถึงกับถอดออกจากตำแหน่ง แต่ครั้นนานวันไปก็ทรงคลายพระโกรธ ดำริว่าจะรอคอยวันเวลาให้ซุนโฮกลับเนื้อกลับตัว แล้วจะโปรดเกล้าตั้งให้ครองตำแหน่งดังเดิม ครั้นซุนโฮถึงแก่ความตายพระเจ้าซุนกวนจึงโศกเศร้าพระทัย และตรอมพระทัยจนประชวร

            พระเจ้าซุนกวนทรงตระหนักดีว่าพระชนมายุมากขึ้นโดยลำดับ หากไม่แต่งตั้งมกุฎราชกุมารไว้ให้เรียบร้อย การข้างหน้าก็อาจเกิดการรบราฆ่าฟันในระหว่างญาติพี่น้องตระกูลซุน ดำริดังนั้นแล้วจึงโปรดเกล้าตั้งให้ซุนเหลียงซึ่งเป็นพระราชโอรสเกิดแต่พระสนมพัวฮูหยินขึ้นเป็นที่มกุฎราชกุมาร และโปรดเกล้าให้จูกัดเก๊กทำหน้าที่อบรมสั่งสอนการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครองแก่ซุนเหลียงอีกหน้าที่หนึ่ง

            ครั้นปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบสี่ เดือนสี่ ขึ้นหนึ่งค่ำ ได้บังเกิดนิมิตร้ายขึ้นในเมืองกังตั๋ง สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “บังเกิดเหตุพายุใหญ่ คลื่นในแม่น้ำแลทะเลก็กำเริบนัก เกิดน้ำใหญ่ท่วมไปในเมืองกังตั๋ง น้ำลึกถึงแปดศอก พายุก็ถอนต้นสนใหญ่ซึ่งปลูกอยู่หน้ากุฏิซึ่งฝังศพซุนเซ็กลอยขึ้นไปในอากาศ ต้นสนก็ตกลงริมประตูเมืองกังตั๋ง ปลายลงปักดินอยู่”

            สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุลางร้ายในปลายรัชกาลของพระเจ้าซุนกวนว่า “ไท้ฮั้วศกปีต้น ฤดูสารท เดือนแปด วันชิวอิก พลันเกิดลมพายุใหญ่ ลูกคลื่นในแม่น้ำทั้งทะเลซัดกระหน่ำอย่างรุนแรง เกิดน้ำท่วมตามพื้นที่ลึกถึงแปดเชี๊ยะ ต้นสนจีนที่เจ้าเหนือหัวก๊กโง้วทรงปลูกไว้ทั้งก่อนและหลังทั้งหมดล้วนถอนราก ถูกแรงลมพัดบินเอากิ่งก้านปักลงที่นอกประตูเมืองเกี้ยงเงี๊ยบ”

            วันเวลาที่เกิดลางร้ายที่ปรากฏในสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) และฉบับสมบูรณ์ต่างกันตรงเดือนที่เกิดเหตุ โดยสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเป็นเดือนสี่ ในขณะที่สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่าเป็นเดือนแปด แต่ฉบับภาษาญี่ปุ่นและฉบับของจีนระบุว่าเป็นเดือนแรกหลังจากขึ้นปีใหม่แล้ว ซึ่งก็คือเดือนสี่

            ลางร้ายดังกล่าวเป็นที่ร่ำลือเล่าขานทั่วไปในแคว้นกังตั๋ง พระเจ้าซุนกวนทรงเห็นลางร้ายปรากฏขึ้นดังนั้นก็ทรงพระวิตก เกรงว่าก๊กโง้วจะเป็นอันตราย หลังจากนั้นก็ไม่เป็นอันกินอันนอน และอาการพระประชวรก็ทรุดหนักลง แพทย์หลวงได้ถวายการเยียวยารักษาโดยลำดับ พระอาการก็มีแต่ทรงกับทรุด

            อาการประชวรของพระเจ้าซุนกวนเรื้อรังอยู่ปีเศษ ลุถึงปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบห้า เดือนหก อาการประชวรก็เข้าขั้นวิกฤติ พระเจ้าซุนกวนรู้สึกพระองค์ว่าเอื้อมหัตถ์แห่งมัจจุราชกำลังคร่าดวงวิญญาณของพระองค์ออกจากร่าง เห็นจะมีเวลาอยู่เหลือน้อยเต็มที จึงตรัสสั่งเรียกจูกัดเก๊กและลิต้ายสองขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาเฝ้าถึงพระแท่นที่บรรทม

            จูกัดเก๊กและลิต้ายคุกเข่าถวายบังคมแล้ว เห็นพระเจ้าซุนกวนประทับนอนบนพระแท่น มีน้ำพระเนตรไหลนองใบหน้าก็สงสารจึงร้องไห้ตาม พระเจ้าซุนกวนรู้สึกพระองค์จึงกวักมือเรียกสองขุนนางผู้ใหญ่เข้ามาใกล้พระแท่น แล้วตรัสด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนอิดโรยแทบไม่ได้ยินว่า กรรมมาถึงตัวเราแล้ว จำจะอำลาพวกท่านไปก่อน ฝากบอกกล่าวขุนนางทั้งปวงว่าซึ่งสั่งเสียไม่ทั่วถึงนั้นอย่าได้น้อยใจเลย

            พระเจ้าซุนกวนหยุดหอบอยู่ครู่หนึ่งจึงรับสั่งต่อไปว่า ซุนเหลียงมกุฎราชกุมารนั้นยังอ่อนเยาว์ไม่รู้การแผ่นดิน ขอฝากฝังท่านทั้งสองช่วยทำนุบำรุง ขอให้เห็นแก่เรา หนักเบาประการใดก็ให้ตั้งหน้าทำการโดยสุจริต

            พระเจ้าซุนกวนรับสั่งเพียงเท่านี้ก็เสด็จสวรรคต สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าพระเจ้าซุนกวน “ฝากฝังบ้านเมืองบุตรภรรยาประชาราษฎรแล้วก็สิ้นใจตาย เมื่อตายนั้นเดือนหก พุทธศักราชเจ็ดร้อยเก้าสิบห้า อายุพอได้เจ็ดสิบเอ็ดปี เสวยราชย์ได้ยี่สิบสี่ปี”

            อา! โจโฉ เล่าปี่ ซุนกวน สามขุนศึกใหญ่ที่ขับเคี่ยวชิงชัย หวังครองแผ่นดินจีนแต่ผู้เดียวตลอดระยะเวลาอันยาวนาน ล้วนไม่ประสบความสำเร็จดังเจตนารมย์ ต่างคนต่างถูกอำนาจแห่งกาลเวลาครอบงำ แล้วล่วงลับดับสูญ ทิ้งภารกิจและปณิธานไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ขับเคี่ยวรบราฆ่าฟันกันต่อไป

            ซุนเหลียงและลิต้ายเห็นพระเจ้าซุนกวนเสด็จสวรรคตก็ร้องไห้ พอคลายโศกก็สั่งให้ตั้งการพระราชพิธีพระบรมศพตามราชประเพณี และกระทำพิธีบรมราชาภิเษกอัญเชิญซุนเหลียงขึ้นเสวยราชย์แทนพระเจ้าซุนกวน และให้ขุนนาง ข้าราชการ ตลอดจนชาวเมืองทั้งปวงนุ่งขาวห่มขาวไว้ทุกข์เป็นเวลาหนึ่งปี

            พระเจ้าซุนเหลียงขึ้นครองราชย์แล้วทรงตั้งศักราชประจำพระองค์ว่าศักราชไท้เฮงซึ่งแปลว่ามหาศักราชแห่งความรุ่งเรืองของแคว้นง่อ โปรดเกล้าให้พระราชทานอภัยโทษแก่คนคุกทั่วทั้งแคว้น และเฉลิมพระนามาภิไธยของพระเจ้าซุนกวนใหม่ว่าพระเจ้าไต้ฮ่องเต้

            เสร็จการพิธีพระบรมศพแล้วโปรดเกล้าให้นำพระบรมศพของพระเจ้าซุนกวนไปฝังไว้ที่สุสานราชตระกูลซุนที่ตำบลเตียวเหลง และโปรดเกล้าตั้งให้จูกัดเก๊กราชครูเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินอีกตำแหน่งหนึ่ง

            ข่าวคราวการเสด็จสวรรคตของพระเจ้าซุนกวนทราบไปถึงแผ่นดินวุยก๊ก สุมาสูเห็นเป็นโอกาสอันงามที่ง่อก๊กกำลังตกอยู่ในภาวะโศกเศร้า จึงปรึกษาด้วยแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง

            เตาหวนซึ่งเป็นที่ปรึกษาผู้ใหญ่ได้ฟังปรารภดังนั้นจึงคัดค้านว่าซึ่งจะยกไปตีเมืองกังตั๋งบัดนี้นั้นไม่เห็นสม ด้วยเมืองกังตั๋งตั้งอยู่ในชัยภูมิมั่นคง มีทะเลขวางกั้น ยากแก่การเข้าตี เมื่อครั้งพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉและพระเจ้าโจผีก็เคยยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งแต่ไม่สำเร็จ ต้องพ่ายแพ้ยับเยินกลับมา แลบัดนี้แผ่นดินว่างศึกมาช้านาน อาณาประชาราษฎรได้ความสุข จึงควรดำเนินวิเทโศบายต่างคนต่างอยู่ก็จะมีความสุขสืบไป ไว้เมื่อใดเห็นเป็นทีประจักษ์แล้วจึงค่อยยกไปทำการจะดีกว่า

            สุมาสูได้ฟังดังนั้นก็ไม่พอใจ กล่าวว่าซึ่งจะให้รอคอยเวลาอันไม่มีกำหนดนั้น อีกสักกี่ร้อยปีจึงจะมีโอกาสเล่า

            สุมาเจียวได้ฟังคำสุมาสูผู้พี่จึงหนุนว่า ซุนกวนมีบารมีมาแต่ก่อนก็ล่วงลับแล้ว ซุนเหลียงผู้บุตรยังอ่อนเดียงสา หาผู้คนนับถือมิได้ ดังนี้ย่อมถือว่าเป็นทีที่จะยกไปทำการ เห็นจะได้ชัยชนะแต่ถ่ายเดียวเท่านั้น

            สุมาสูได้ฟังคำสุมาเจียวดังนั้นก็พยักหน้า แล้วถามขุนนางทั้งปวงว่าจะมีความเห็นเป็นประการใด ขุนนางทั้งปวงเห็นท่าทีของสุมาสูและสุมาเจียวดังนั้นก็รู้ทีว่ามีความปรารถนาจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ต่างคนจึงต่างต้องการเอาอกเอาใจ แสดงความเห็นชอบให้ยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋ง

            สุมาสูเห็นขุนนางทั้งปวงพร้อมใจดังนั้น จึงตั้งให้อองซองเป็นกองทัพหน้าคุมทหารสิบหมื่น ให้บู๊ขิวเขียมเป็นกองทัพหนุนคุมทหารสิบหมื่น ให้สุมาเจียวเป็นกองทัพหลวงคุมทหารอีกสิบหมื่นยกไปตีเมืองกังตั๋ง

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเก้าสิบห้าพรรษา เดือนสิบสอง หลังจากพระเจ้าซุนกวนเสด็จสวรรคตได้หกเดือน กองทัพสามสิบหมื่นของวุยก๊กก็ยกล่วงเข้าถึงปลายแดนเมืองกังตั๋ง และปลงกองทัพไว้ที่ริมแม่น้ำด้านหน้าเมืองตังหิน

            สุมาเจียวได้เรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาประชุมปรึกษาว่า เมืองตังหินซึ่งเป็นเมืองหน้าด่านของเมืองกังตั๋งนั้นมั่นคงแน่นหนานัก ทางหน้าเมืองทั้งด้านซ้ายและด้านขวามีป้อมปราการสูงใหญ่ มีพลเกาทัณฑ์จุกซ่องอยู่เป็นอันมาก จะเข้าตีซึ่งหน้าก็ขัดสนด้วยทหารในป้อมย่อมใช้เกาทัณฑ์ระดมยิง ไม่อาจเข้าประชิดตัวเมืองได้โดยสะดวก

            สุมาเจียวเห็นทหารทั้งปวงพากันนิ่งเงียบจึงกล่าวสืบไปว่าซึ่งจะเข้าตีเมืองตังหินนี้จำต้องใช้ยุทธวิธีอันแยบยลจึงจะได้ชัยชนะ.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘