ตอนที่ 588. อุบาย "ยกขึ้นหิ้ง"
โจซองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและสุมาอี้มหาอุปราชได้ร่วมกันทำนุบำรุงพระเจ้าโจฮองไม่ทันนานก็เริ่มมีความขัดแย้งทางการเมืองเกิดขึ้น เนื่องจากห้าองครักษ์พิทักษ์นายของโจซองยุยงโจซองให้ครองอำนาจไว้แต่ผู้เดียว โดยอ้างเหตุการณ์ที่สุมาอี้เหยียดหยามข้ามหน้าข้ามตาจนโจจิ๋นบิดาของโจซองถึงแก่ความตาย
โจซองได้ยินความหลังสะกิดใจให้รำลึกถึงความคับแค้นของบิดา พลันความแค้นพยาบาทก็พลุ่งพล่านขึ้น เห็นดีเห็นงามไปกับความเห็นของโฮอั๋น โฮอั๋นเห็นเป็นทีจึงเรียกเพื่อนองครักษ์เข้ามาพร้อมกัน แล้วกล่าวว่าความแค้นของท่านก็เหมือนความแค้นของพวกข้าพเจ้า มีการสิ่งใดท่านจงวางใจให้พวกเราได้คิดอ่านทำการจนกว่าจะสำเร็จ
โจซองจึงปรึกษาว่าหลังจากสุมาอี้ได้ชัยชนะในสงครามเมืองเลียวตั๋งแล้วก็คุมอำนาจทางทหารไว้เป็นอันมาก จะคิดอ่านประการใดจึงจะให้สุมาอี้หลุดพ้นไปจากวงจรแห่งอำนาจได้
ห้าองครักษ์พิทักษ์นายเห็นโจซองตัดสินใจกำจัดสุมาอี้ให้พ้นหนทางแห่งอำนาจก็ดีใจ ปรึกษาพร้อมกันแล้วเห็นว่าสุมาอี้นี้เป็นขุนนางผู้มีอาวุโส มีความรู้ประสบการณ์เป็นอันมาก ควรแก่ตำแหน่งราชครู และหากสุมาอี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชครูแล้วก็จะหลุดพ้นไปจากอำนาจทางการทหาร
เมื่อตกลงกันดังนั้นโจซองจึงนำความไปปรึกษาหารือกับขุนนางทั้งปวง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลโจ ขุนนางทั้งปวงจึงเห็นด้วย ครั้นถึงวันพระเจ้าโจฮองเสด็จออกว่าราชการ โจซองจึงกราบบังคมทูลให้โปรดเกล้าตั้งสุมาอี้เป็นราชครู มีหน้าที่ถวายคำแนะนำสั่งสอนวิทยาการทั้งปวง
บรรดาขุนนางซึ่งเห็นดีเห็นงามกับความคิดของโจซองอยู่ก่อนแล้ว ได้ช่วยกันเพ็ดทูลเป็นอย่างเดียวกันว่า ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ ชอบที่จะต้องมีราชครูตามประเพณี เพื่อแนะนำสั่งสอนเกี่ยวกับการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินทั้งปวง
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็รู้ว่าโจซองและเหล่าขุนนางคิดอ่านวางแผนการยกเอาตัวขึ้นไว้บนหิ้ง ให้หลุดพ้นออกไปจากอำนาจทางการทหาร เป็นแผนการที่โจซองจะยึดอำนาจปกครองไว้แต่ผู้เดียว แต่ตำแหน่งราชครูก็เป็นตำแหน่งสูงส่ง เป็นตำแหน่งซึ่งใกล้ชิดและไว้วางใจของฮ่องเต้อันถือเป็นการแผ่นดินที่สำคัญ เป็นแต่ไม่มีอำนาจทางการทหาร ครั้นจะปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงก็อาจถูกกล่าวหาได้ว่ามีวาระซ่อนเร้นในใจ ต้องการครองอำนาจทางการทหารเพื่อก่อการกบฏตามข่าวที่เล่าลือมาแต่ก่อน สุมาอี้แม้รู้แผนการก็ไม่อาจกราบทูลทัดทานประการใดได้ จึงได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่หน้าพระราชบัลลังก์
พระเจ้าโจฮองเห็นการต้องด้วยประเพณี และขุนนางทั้งปวงปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันดังนั้นแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้มีตำแหน่งเป็นราชครู พ้นจากหน้าที่การงานอื่นทั้งปวง และโปรดเกล้าตั้งให้โจซองครองตำแหน่งมหาอุปราชแทนสุมาอี้อีกตำแหน่งหนึ่ง
นับแต่นั้นมาอำนาจการปกครองบ้านเมืองทั้งทหาร พลเรือน ทั้งภายในภายนอกราชสำนักจึงตกอยู่ในมือของโจซองทั้งสิ้น
ครั้นอำนาจการปกครองตกอยู่ในมือของโจซองแต่ผู้เดียวแล้ว โจซองก็กำเริบในอำนาจวาสนากว่าแต่ก่อน ตั้งพี่น้องในตระกูลโจสามคนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน คือตั้งให้โจอี้ผู้น้องเป็นนายทหารเอกตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งให้โจหุ้นน้องรองเป็นทหารเอกมีตำแหน่งหน้าที่ป้องกันระมัดระวังรักษาชายแดน และตั้งให้โจง่านน้องคนสุดท้องเป็นขุนนางผู้ใหญ่ประจำสำนักราชเลขาธิการ มีหน้าที่ถวายหนังสือราชการและเสนอความคิดเห็นต่อพระเจ้าโจฮอง ทั้งโจอี้ โจหุ้น และโจง่านมีทหารองครักษ์ประจำตัวคนละสามพันนาย ประกอบด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หากเดินทางไปแห่งหนตำบลใดมีผู้เดินตัดหน้าขบวน ก็ให้อาญาสิทธิ์จับประหารชีวิตได้ตามที่จะเห็นสมควร
และยังมอบหน้าที่พิเศษแก่โจอี้ โจหุ้น และโจง่าน ให้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของพระราชวัง ควบคุมกรมทหารราชองครักษ์และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์อีกด้วย
เพื่อกระชับอำนาจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โจซองจึงปูนบำเหน็จให้แก่ห้าองครักษ์พิทักษ์นาย ให้โฮอั๋น เตงเหยียง เตงปิด เป็นขุนนางประจำสำนักราชเลขาธิการ ดูแลการในราชสำนักทั้งหมด ให้ปิดห้วนเป็นผู้อำนวยการกองกำลังรักษาพระนคร และตรวจตราวินัยขุนนางที่กระทำความผิดวินัย ส่วนหลีซินให้เป็นขุนนางเจ้ากรมการปกครองชั้นใน ควบคุมดูแลหัวเมืองชั้นในที่ติดต่อกับเมืองหลวงรวมยี่สิบเอ็ดหัวเมือง
โจซองมีอำนาจวาสนาเพิ่มมากขึ้น ห้าองครักษ์ก็มีอำนาจวาสนาเพิ่มขึ้นตาม และยิ่งเพิ่มความเข้มข้นในการทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์นายมากขึ้นโดยลำดับ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าห้าองครักษ์พิทักษ์นายนี้ “พิทักษ์รักษาโจซองทั้งกลางวันกลางคืน”
คงเหลือแต่ฮวนห้อมเท่านั้นแม้ว่าจะเป็นผู้มีสติปัญญาและเป็นที่พึ่งพาทางความคิดช่วยโจซองแก้ไขวิกฤตตลอดมา กลับมิได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจวาสนาเพิ่มขึ้น เพราะเหตุที่ฮวนห้อมมิได้แวะเวียนเข้าหาใกล้ชิดเหมือนกับห้าองครักษ์พิทักษ์นาย ดังนั้นตำแหน่งต่าง ๆ จึงถูกจัดสรรไปจนหมดสิ้น ประหนึ่งฮวนห้อมจะถูกลืมไปแล้วฉะนั้น
เป็นธรรมดาของอำนาจวาสนา มีศูนย์กลางตั้งอยู่ที่ผู้ใด ผู้คนก็ย่อมหลั่งไหลเข้าไปหา เหตุนี้ “บ่าวไพร่ขุนนางทั้งปวงชวนกันเข้าอยู่ด้วยโจซองเป็นอันมาก” ในแต่ละวันบรรดาเพื่อนกินที่เคยมีอยู่ถึงห้าร้อยคนก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จากการแต่งโต๊ะเลี้ยงวันละเวลาก็เพิ่มเป็นวันละสามเวลา ผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันเข้าหาทั้งวันคืน
โจซองและห้าองครักษ์พิทักษ์นายจึงต้องทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อที่แวะเวียนเข้ามาหาตลอดทั้งวันทั้งคืน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “โจซองกับที่ปรึกษาห้าคนก็ชวนกันเสพสุราทุกวันมิได้ขาด โจซองนั้นแต่งตัวเหมือนพระเจ้าโจฮอง ถ้ามีเครื่องบรรณาการหัวเมืองมาถวาย โจซองก็เลือกเก็บเอาของดีไว้ตามชอบใจ”
เมื่อเรื่องเกียรติและเรื่องกินพรั่งพร้อมล้นหลามดังนี้แล้ว เรื่องกามก็ตามมา ฝ่ายเตียวต๋องซึ่งเป็นเจ้ากรมขันที เห็นโจซองมีอำนาจวาสนาควบคุมการในราชสำนักไว้ในมือทั้งสิ้นก็คิดสร้างความชอบ พอรู้การที่เป็นไปข้างในจวนของโจซองก็อ่านรูปการความคิดของโจซองออกว่ามีความกำเริบมักใหญ่ใฝ่สูง ติดยึดมักมากในการเสพเสวยสุขประหนึ่งเป็นฮ่องเต้เสียเอง บรรดาเนื้อวัวเนื้อควายเนื้อกระต่ายและเนื้อแพะโจซองย่อมเสพสิ้นทุกสิ่งแล้ว คงเหลือแต่เนื้อหงส์ซึ่งยังไม่เคยลิ้มรสและเป็นวิสัยที่คนมักใหญ่ใฝ่สูงแบบโจซองนี้จะมีความปรารถนาขั้นสูงสุด
เตียวต๋องอ่านความปรารถนาของผู้มักใหญ่ใฝ่สูงแบบโจซองออกกระจ่างแล้ว จึงลอบจัดนางพระสนมอันเป็นบาทบริจาริกาของฮ่องเต้ในพระบรมโกศ ซึ่งมีรูปโฉมสะคราญ ผิวพรรณผุดผ่องดั่งผิวหยวกเนื้อในเจ็ดแปดคนเอาไปมอบบรรณาการแก่โจซอง แล้วกระซิบกระซาบให้รู้ความนัยว่านางผู้เป็นบาทบริจาริกาในฮ่องเต้พระองค์ก่อนทั้งแปดคนนี้ใช่จะงดงามสคราญตาแต่รูปโฉมภายนอกก็หาไม่ ความงามงดสดใสภายในซึ่งไม่มีใครใดในแผ่นดินรู้เห็น ยังล้ำเลิศกว่าที่เห็นแต่ภายนอกมากนัก ทั้งการปรนนิบัติพัดวีรับใช้ในเชิงชั้นกามกลก็ได้รับการฝึกฝนอบรมเป็นอย่างดี นับเป็นเนื้อหงส์ฟ้าอันประเสริฐล้ำเลิศที่ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินได้ลิ้มรส
โจซองผู้พรั่งพร้อมด้วยอำนาจทรัพย์สิ่งศฤงคารทุกประการ ครั้นเห็นของบรรณาการดังนั้นก็ต้องใจลึก ยอมรับเอาของบรรณาการนั้นด้วยความเต็มใจ และมอบข้าวของเงินทองเป็นบำเหน็จแก่เตียวต๋องเป็นอันมาก
หลังจากนั้นมาเตียวต๋องจึงกลายเป็นคนใกล้ชิดที่สนิทวางใจ การใดในราชสำนัก เตียวต๋องก็นำมารายงานแก่โจซองทั้งสิ้น โจซองก็ปูนบำเหน็จแก่เตียวต๋องเป็นอันมากทุกครั้งไป ต่างฝ่ายต่างตอบสนองความต้องการและความปรารถนาของกันและกันอย่างเต็มที่
เพราะเหตุที่ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ เตียวต๋องจึงสามารถปลีกตัวใช้อำนาจแห่งราชสำนักกะเกณฑ์หญิงงามอันเป็นบุตรสาวชาวบ้านจากทั่วแคว้น แบ่งสรรปันส่วนมาบรรณาการให้กับโจซองสำหรับขับร้องประโคมและประโลมใจในยามเปลี่ยวอีกกว่าสี่สิบคน
ผู้คนล้นหลามมากขึ้นดังนี้ ห้องโถงของจวนใหญ่ซึ่งใช้เป็นที่สโมสรของคนทั้งปวงที่แวะเข้าหาก็คับแคบลง โจซองจึงให้เกณฑ์ช่างฝีมือดีเกือบพันคนมาทำการก่อสร้างสโมสรสำหรับจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินขึ้นใหม่อีกหลังหนึ่ง ตบแต่งด้วยวัสดุล้ำค่าราคาแพง และใช้จิตรกรฝีมือดีวาดลวดลายอันประณีตงดงามตระการตา เร่งให้ทำการทั้งกลางวันและกลางคืน
บารมีของโจซองทั้งอำนาจวาสนาและความสุขสโมสรจึงเอิกเกริกครึกโครมยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด บรรดาขุนนางข้าราชการและพ่อค้าวาณิชจึงหลั่งไหลเข้าหาโจซองมากขึ้นทุกที
โจซองกำเริบในอำนาจวาสนาดังนี้แล้ว จึงบริหารราชการแผ่นดินตามอำเภอใจ
ฝ่ายสุมาอี้นับแต่ได้รับตำแหน่งเป็นราชครู รู้ทีว่าถูกกีดกันออกจากอำนาจการบริหารจึงพาลไม่เข้ามาเฝ้าในท้องพระโรงในขณะที่พระเจ้าโจฮองเสด็จออกว่าราชการ คงปฏิบัติหน้าที่อบรมสั่งสอนพระเจ้าโจฮองตามหน้าที่ของราชครูเท่านั้น
แม้กระนั้นแล้วโจซองก็ยังไม่วางใจในสุมาอี้ สั่งทหารให้ไปตั้งกองรักษาการณ์ที่หน้าจวนของสุมาอี้ คอยตรวจสอบผู้คนเข้าออกจวนของสุมาอี้ทั้งกลางวันและกลางคืน ขุนนางข้าราชการทั้งปวงรู้นัยอันเป็นไปทางการเมืองจึงใช้กระบวนท่ารู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี พากันหลีกลี้หนีหายไปจากจวนของสุมาอี้จนหมดสิ้น
จวนสุมาอี้จึงมีแต่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยววังเวง เมื่อกลับจากการสั่งสอนวิทยาการแก่ฮ่องเต้ผู้เยาว์แล้ว สุมาอี้จึงได้แต่ปลูกผัก เดินเล่นอยู่ภายในบ้านเท่านั้น
แรงกดดันทางการเมืองไม่เพียงแต่มีกับตัวสุมาอี้เท่านั้น ยังกดดันไปถึงสุมาสูและสุมาเจียวผู้บุตรของสุมาอี้ด้วย ทั้งสุมาสูและสุมาเจียวน้อยใจจึงลาออกจากราชการมานอนเล่นอยู่กับบ้าน
หลังจากสุมาสูและสุมาเจียวลาออกจากราชการแล้ว ตระกูลสุมาก็หมดอำนาจทางการทหารอย่างสิ้นเชิง โจซองจึงยิ่งกำเริบ ทำการทั้งปวงตามอำเภอใจ เดินทางไปแห่งหนใดก็ตั้งขบวนแห่ประดุจดังขบวนเสด็จ
ฝ่ายโฮอั๋นหัวโจกใหญ่ของห้าองครักษ์พิทักษ์นาย เป็นผู้หลงใหลในคำพยากรณ์ ยามว่างก็ให้หานักพยากรณ์มาดูโชคชะตาราศี นักพยากรณ์เหล่านั้นดูจากปรากฏการณ์ข้างนอกเห็นโฮอั๋นเรืองอำนาจวาสนาเป็นที่วางใจสนิทของโจซอง ก็พากันทำนายทายทักว่าเป็นผู้มีบุญมาเกิด มียศศักดิ์ วาสนาและอายุยืนยิ่งกว่าใคร โฮอั๋นก็พอใจ มอบข้าวของเงินทองเป็นบำเหน็จแก่หมอดูจำนวนมาก
โฮอั๋นได้ยินว่ากวนลอแห่งเมืองเพงง้วนก๋วนเป็นผู้ชำนาญการพยากรณ์ มีกิตติศัพท์ลือเลื่อง จึงเชิญกวนลอมาดูลักษณะนรลักษณ์ว่าสืบไปเมื่อหน้าวาสนาจะก้าวหน้าไปถึงไหน พร้อมกับเล่าความฝันให้ฟังว่าเมื่อสองสามวันมานี้ได้ฝันเห็นแมลงวันหลายสิบตัวบินมาเกาะอยู่ที่ปลายจมูกจะดีร้ายประการใด และจะเป็นนิมิตหมายว่าตัวเราจะได้ครองตำแหน่งมหาอุปราชซึ่งโจซองครอบครอง กับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินหรือไม่
กวนลอจับยามตามคัมภีร์อี้จิงและพิเคราะห์ดูนรลักษณ์ของโฮอั๋นประกอบแล้ว เห็นจมูกโด่งมีฐานจมูกใหญ่ จึงพยากรณ์ว่าลักษณะจมูกของท่านดุจดั่งขุนเขา เป็นที่ตั้งแห่งอำนาจวาสนาในชีวิตของท่าน แต่แมลงวันนั้นเป็นของโสโครก เกาะกินแต่สิ่งสกปรก ซึ่งความฝันอันประกอบกับนรลักษณ์ดังนี้จึงพยากรณ์ว่า อำนาจวาสนาที่มีอยู่กำลังถูกสิ่งปฏิกูลเกลือกกลั้ว การซึ่งคิดไว้จะเป็นอันตรายแก่ตัว ชอบที่จะระงับความคิดนั้นเสีย จึงจะมีความจำเริญสืบไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุคำพยากรณ์ของกวนลอว่า “ท่านจะมีความสุขอยู่ แมลงวันนั้นเป็นของโสโครก อันจมูกนั้นเหมือนต้นไม้สูง มีกลิ่นหอม บัดนี้ท่านมียศถาศักดิ์อยู่แล้ว จงประหยัดอย่าเห็นแก่ของดี ถ้าไม่ฟังจะมีอันตรายเหมือนลมพายุพัดมาต้องไม้สูงหักลง แม้ท่านละโลภเสียได้ อุตส่าห์บำรุงตนโดยสัตย์ซื่อก็จะได้มียศถาศักดิ์จำเริญขึ้นไป”
เตงเหยียงเพื่อนองครักษ์พิทักษ์นายของโฮอั๋นได้ยินคำทำนายไปในทางร้ายก็โกรธ ตำหนิกวนลอว่าท่านพยากรณ์ดังนี้เหมือนคนมิรู้ตำรา คิดจะให้ตกใจกลัวแล้วให้ท่านแต่งการพิธีสะเดาะเคราะห์กระนั้นหรือ.
โจซองได้ยินความหลังสะกิดใจให้รำลึกถึงความคับแค้นของบิดา พลันความแค้นพยาบาทก็พลุ่งพล่านขึ้น เห็นดีเห็นงามไปกับความเห็นของโฮอั๋น โฮอั๋นเห็นเป็นทีจึงเรียกเพื่อนองครักษ์เข้ามาพร้อมกัน แล้วกล่าวว่าความแค้นของท่านก็เหมือนความแค้นของพวกข้าพเจ้า มีการสิ่งใดท่านจงวางใจให้พวกเราได้คิดอ่านทำการจนกว่าจะสำเร็จ
โจซองจึงปรึกษาว่าหลังจากสุมาอี้ได้ชัยชนะในสงครามเมืองเลียวตั๋งแล้วก็คุมอำนาจทางทหารไว้เป็นอันมาก จะคิดอ่านประการใดจึงจะให้สุมาอี้หลุดพ้นไปจากวงจรแห่งอำนาจได้
ห้าองครักษ์พิทักษ์นายเห็นโจซองตัดสินใจกำจัดสุมาอี้ให้พ้นหนทางแห่งอำนาจก็ดีใจ ปรึกษาพร้อมกันแล้วเห็นว่าสุมาอี้นี้เป็นขุนนางผู้มีอาวุโส มีความรู้ประสบการณ์เป็นอันมาก ควรแก่ตำแหน่งราชครู และหากสุมาอี้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นราชครูแล้วก็จะหลุดพ้นไปจากอำนาจทางการทหาร
เมื่อตกลงกันดังนั้นโจซองจึงนำความไปปรึกษาหารือกับขุนนางทั้งปวง ซึ่งล้วนแล้วแต่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลโจ ขุนนางทั้งปวงจึงเห็นด้วย ครั้นถึงวันพระเจ้าโจฮองเสด็จออกว่าราชการ โจซองจึงกราบบังคมทูลให้โปรดเกล้าตั้งสุมาอี้เป็นราชครู มีหน้าที่ถวายคำแนะนำสั่งสอนวิทยาการทั้งปวง
บรรดาขุนนางซึ่งเห็นดีเห็นงามกับความคิดของโจซองอยู่ก่อนแล้ว ได้ช่วยกันเพ็ดทูลเป็นอย่างเดียวกันว่า ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ ชอบที่จะต้องมีราชครูตามประเพณี เพื่อแนะนำสั่งสอนเกี่ยวกับการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดินทั้งปวง
สุมาอี้เห็นดังนั้นก็รู้ว่าโจซองและเหล่าขุนนางคิดอ่านวางแผนการยกเอาตัวขึ้นไว้บนหิ้ง ให้หลุดพ้นออกไปจากอำนาจทางการทหาร เป็นแผนการที่โจซองจะยึดอำนาจปกครองไว้แต่ผู้เดียว แต่ตำแหน่งราชครูก็เป็นตำแหน่งสูงส่ง เป็นตำแหน่งซึ่งใกล้ชิดและไว้วางใจของฮ่องเต้อันถือเป็นการแผ่นดินที่สำคัญ เป็นแต่ไม่มีอำนาจทางการทหาร ครั้นจะปฏิเสธหรือบ่ายเบี่ยงก็อาจถูกกล่าวหาได้ว่ามีวาระซ่อนเร้นในใจ ต้องการครองอำนาจทางการทหารเพื่อก่อการกบฏตามข่าวที่เล่าลือมาแต่ก่อน สุมาอี้แม้รู้แผนการก็ไม่อาจกราบทูลทัดทานประการใดได้ จึงได้แต่ก้มหน้านิ่งอยู่หน้าพระราชบัลลังก์
พระเจ้าโจฮองเห็นการต้องด้วยประเพณี และขุนนางทั้งปวงปรึกษาเห็นชอบพร้อมกันดังนั้นแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้มีตำแหน่งเป็นราชครู พ้นจากหน้าที่การงานอื่นทั้งปวง และโปรดเกล้าตั้งให้โจซองครองตำแหน่งมหาอุปราชแทนสุมาอี้อีกตำแหน่งหนึ่ง
นับแต่นั้นมาอำนาจการปกครองบ้านเมืองทั้งทหาร พลเรือน ทั้งภายในภายนอกราชสำนักจึงตกอยู่ในมือของโจซองทั้งสิ้น
ครั้นอำนาจการปกครองตกอยู่ในมือของโจซองแต่ผู้เดียวแล้ว โจซองก็กำเริบในอำนาจวาสนากว่าแต่ก่อน ตั้งพี่น้องในตระกูลโจสามคนเป็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน คือตั้งให้โจอี้ผู้น้องเป็นนายทหารเอกตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารสูงสุด ตั้งให้โจหุ้นน้องรองเป็นทหารเอกมีตำแหน่งหน้าที่ป้องกันระมัดระวังรักษาชายแดน และตั้งให้โจง่านน้องคนสุดท้องเป็นขุนนางผู้ใหญ่ประจำสำนักราชเลขาธิการ มีหน้าที่ถวายหนังสือราชการและเสนอความคิดเห็นต่อพระเจ้าโจฮอง ทั้งโจอี้ โจหุ้น และโจง่านมีทหารองครักษ์ประจำตัวคนละสามพันนาย ประกอบด้วยอิสริยยศเป็นอันมาก หากเดินทางไปแห่งหนตำบลใดมีผู้เดินตัดหน้าขบวน ก็ให้อาญาสิทธิ์จับประหารชีวิตได้ตามที่จะเห็นสมควร
และยังมอบหน้าที่พิเศษแก่โจอี้ โจหุ้น และโจง่าน ให้ทำหน้าที่รักษาความปลอดภัยของพระราชวัง ควบคุมกรมทหารราชองครักษ์และทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์อีกด้วย
เพื่อกระชับอำนาจให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โจซองจึงปูนบำเหน็จให้แก่ห้าองครักษ์พิทักษ์นาย ให้โฮอั๋น เตงเหยียง เตงปิด เป็นขุนนางประจำสำนักราชเลขาธิการ ดูแลการในราชสำนักทั้งหมด ให้ปิดห้วนเป็นผู้อำนวยการกองกำลังรักษาพระนคร และตรวจตราวินัยขุนนางที่กระทำความผิดวินัย ส่วนหลีซินให้เป็นขุนนางเจ้ากรมการปกครองชั้นใน ควบคุมดูแลหัวเมืองชั้นในที่ติดต่อกับเมืองหลวงรวมยี่สิบเอ็ดหัวเมือง
โจซองมีอำนาจวาสนาเพิ่มมากขึ้น ห้าองครักษ์ก็มีอำนาจวาสนาเพิ่มขึ้นตาม และยิ่งเพิ่มความเข้มข้นในการทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์นายมากขึ้นโดยลำดับ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าห้าองครักษ์พิทักษ์นายนี้ “พิทักษ์รักษาโจซองทั้งกลางวันกลางคืน”
คงเหลือแต่ฮวนห้อมเท่านั้นแม้ว่าจะเป็นผู้มีสติปัญญาและเป็นที่พึ่งพาทางความคิดช่วยโจซองแก้ไขวิกฤตตลอดมา กลับมิได้รับแต่งตั้งให้มีอำนาจวาสนาเพิ่มขึ้น เพราะเหตุที่ฮวนห้อมมิได้แวะเวียนเข้าหาใกล้ชิดเหมือนกับห้าองครักษ์พิทักษ์นาย ดังนั้นตำแหน่งต่าง ๆ จึงถูกจัดสรรไปจนหมดสิ้น ประหนึ่งฮวนห้อมจะถูกลืมไปแล้วฉะนั้น
เป็นธรรมดาของอำนาจวาสนา มีศูนย์กลางตั้งอยู่ที่ผู้ใด ผู้คนก็ย่อมหลั่งไหลเข้าไปหา เหตุนี้ “บ่าวไพร่ขุนนางทั้งปวงชวนกันเข้าอยู่ด้วยโจซองเป็นอันมาก” ในแต่ละวันบรรดาเพื่อนกินที่เคยมีอยู่ถึงห้าร้อยคนก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น จากการแต่งโต๊ะเลี้ยงวันละเวลาก็เพิ่มเป็นวันละสามเวลา ผลัดเปลี่ยนเวียนหน้ากันเข้าหาทั้งวันคืน
โจซองและห้าองครักษ์พิทักษ์นายจึงต้องทำหน้าที่ต้อนรับขับสู้แขกเหรื่อที่แวะเวียนเข้ามาหาตลอดทั้งวันทั้งคืน สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “โจซองกับที่ปรึกษาห้าคนก็ชวนกันเสพสุราทุกวันมิได้ขาด โจซองนั้นแต่งตัวเหมือนพระเจ้าโจฮอง ถ้ามีเครื่องบรรณาการหัวเมืองมาถวาย โจซองก็เลือกเก็บเอาของดีไว้ตามชอบใจ”
เมื่อเรื่องเกียรติและเรื่องกินพรั่งพร้อมล้นหลามดังนี้แล้ว เรื่องกามก็ตามมา ฝ่ายเตียวต๋องซึ่งเป็นเจ้ากรมขันที เห็นโจซองมีอำนาจวาสนาควบคุมการในราชสำนักไว้ในมือทั้งสิ้นก็คิดสร้างความชอบ พอรู้การที่เป็นไปข้างในจวนของโจซองก็อ่านรูปการความคิดของโจซองออกว่ามีความกำเริบมักใหญ่ใฝ่สูง ติดยึดมักมากในการเสพเสวยสุขประหนึ่งเป็นฮ่องเต้เสียเอง บรรดาเนื้อวัวเนื้อควายเนื้อกระต่ายและเนื้อแพะโจซองย่อมเสพสิ้นทุกสิ่งแล้ว คงเหลือแต่เนื้อหงส์ซึ่งยังไม่เคยลิ้มรสและเป็นวิสัยที่คนมักใหญ่ใฝ่สูงแบบโจซองนี้จะมีความปรารถนาขั้นสูงสุด
เตียวต๋องอ่านความปรารถนาของผู้มักใหญ่ใฝ่สูงแบบโจซองออกกระจ่างแล้ว จึงลอบจัดนางพระสนมอันเป็นบาทบริจาริกาของฮ่องเต้ในพระบรมโกศ ซึ่งมีรูปโฉมสะคราญ ผิวพรรณผุดผ่องดั่งผิวหยวกเนื้อในเจ็ดแปดคนเอาไปมอบบรรณาการแก่โจซอง แล้วกระซิบกระซาบให้รู้ความนัยว่านางผู้เป็นบาทบริจาริกาในฮ่องเต้พระองค์ก่อนทั้งแปดคนนี้ใช่จะงดงามสคราญตาแต่รูปโฉมภายนอกก็หาไม่ ความงามงดสดใสภายในซึ่งไม่มีใครใดในแผ่นดินรู้เห็น ยังล้ำเลิศกว่าที่เห็นแต่ภายนอกมากนัก ทั้งการปรนนิบัติพัดวีรับใช้ในเชิงชั้นกามกลก็ได้รับการฝึกฝนอบรมเป็นอย่างดี นับเป็นเนื้อหงส์ฟ้าอันประเสริฐล้ำเลิศที่ไม่มีผู้ใดในแผ่นดินได้ลิ้มรส
โจซองผู้พรั่งพร้อมด้วยอำนาจทรัพย์สิ่งศฤงคารทุกประการ ครั้นเห็นของบรรณาการดังนั้นก็ต้องใจลึก ยอมรับเอาของบรรณาการนั้นด้วยความเต็มใจ และมอบข้าวของเงินทองเป็นบำเหน็จแก่เตียวต๋องเป็นอันมาก
หลังจากนั้นมาเตียวต๋องจึงกลายเป็นคนใกล้ชิดที่สนิทวางใจ การใดในราชสำนัก เตียวต๋องก็นำมารายงานแก่โจซองทั้งสิ้น โจซองก็ปูนบำเหน็จแก่เตียวต๋องเป็นอันมากทุกครั้งไป ต่างฝ่ายต่างตอบสนองความต้องการและความปรารถนาของกันและกันอย่างเต็มที่
เพราะเหตุที่ฮ่องเต้ยังทรงพระเยาว์ เตียวต๋องจึงสามารถปลีกตัวใช้อำนาจแห่งราชสำนักกะเกณฑ์หญิงงามอันเป็นบุตรสาวชาวบ้านจากทั่วแคว้น แบ่งสรรปันส่วนมาบรรณาการให้กับโจซองสำหรับขับร้องประโคมและประโลมใจในยามเปลี่ยวอีกกว่าสี่สิบคน
ผู้คนล้นหลามมากขึ้นดังนี้ ห้องโถงของจวนใหญ่ซึ่งใช้เป็นที่สโมสรของคนทั้งปวงที่แวะเข้าหาก็คับแคบลง โจซองจึงให้เกณฑ์ช่างฝีมือดีเกือบพันคนมาทำการก่อสร้างสโมสรสำหรับจวนผู้สำเร็จราชการแผ่นดินขึ้นใหม่อีกหลังหนึ่ง ตบแต่งด้วยวัสดุล้ำค่าราคาแพง และใช้จิตรกรฝีมือดีวาดลวดลายอันประณีตงดงามตระการตา เร่งให้ทำการทั้งกลางวันและกลางคืน
บารมีของโจซองทั้งอำนาจวาสนาและความสุขสโมสรจึงเอิกเกริกครึกโครมยิ่งกว่ายุคใดสมัยใด บรรดาขุนนางข้าราชการและพ่อค้าวาณิชจึงหลั่งไหลเข้าหาโจซองมากขึ้นทุกที
โจซองกำเริบในอำนาจวาสนาดังนี้แล้ว จึงบริหารราชการแผ่นดินตามอำเภอใจ
ฝ่ายสุมาอี้นับแต่ได้รับตำแหน่งเป็นราชครู รู้ทีว่าถูกกีดกันออกจากอำนาจการบริหารจึงพาลไม่เข้ามาเฝ้าในท้องพระโรงในขณะที่พระเจ้าโจฮองเสด็จออกว่าราชการ คงปฏิบัติหน้าที่อบรมสั่งสอนพระเจ้าโจฮองตามหน้าที่ของราชครูเท่านั้น
แม้กระนั้นแล้วโจซองก็ยังไม่วางใจในสุมาอี้ สั่งทหารให้ไปตั้งกองรักษาการณ์ที่หน้าจวนของสุมาอี้ คอยตรวจสอบผู้คนเข้าออกจวนของสุมาอี้ทั้งกลางวันและกลางคืน ขุนนางข้าราชการทั้งปวงรู้นัยอันเป็นไปทางการเมืองจึงใช้กระบวนท่ารู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง รู้รักษาตัวรอดเป็นยอดดี พากันหลีกลี้หนีหายไปจากจวนของสุมาอี้จนหมดสิ้น
จวนสุมาอี้จึงมีแต่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยววังเวง เมื่อกลับจากการสั่งสอนวิทยาการแก่ฮ่องเต้ผู้เยาว์แล้ว สุมาอี้จึงได้แต่ปลูกผัก เดินเล่นอยู่ภายในบ้านเท่านั้น
แรงกดดันทางการเมืองไม่เพียงแต่มีกับตัวสุมาอี้เท่านั้น ยังกดดันไปถึงสุมาสูและสุมาเจียวผู้บุตรของสุมาอี้ด้วย ทั้งสุมาสูและสุมาเจียวน้อยใจจึงลาออกจากราชการมานอนเล่นอยู่กับบ้าน
หลังจากสุมาสูและสุมาเจียวลาออกจากราชการแล้ว ตระกูลสุมาก็หมดอำนาจทางการทหารอย่างสิ้นเชิง โจซองจึงยิ่งกำเริบ ทำการทั้งปวงตามอำเภอใจ เดินทางไปแห่งหนใดก็ตั้งขบวนแห่ประดุจดังขบวนเสด็จ
ฝ่ายโฮอั๋นหัวโจกใหญ่ของห้าองครักษ์พิทักษ์นาย เป็นผู้หลงใหลในคำพยากรณ์ ยามว่างก็ให้หานักพยากรณ์มาดูโชคชะตาราศี นักพยากรณ์เหล่านั้นดูจากปรากฏการณ์ข้างนอกเห็นโฮอั๋นเรืองอำนาจวาสนาเป็นที่วางใจสนิทของโจซอง ก็พากันทำนายทายทักว่าเป็นผู้มีบุญมาเกิด มียศศักดิ์ วาสนาและอายุยืนยิ่งกว่าใคร โฮอั๋นก็พอใจ มอบข้าวของเงินทองเป็นบำเหน็จแก่หมอดูจำนวนมาก
โฮอั๋นได้ยินว่ากวนลอแห่งเมืองเพงง้วนก๋วนเป็นผู้ชำนาญการพยากรณ์ มีกิตติศัพท์ลือเลื่อง จึงเชิญกวนลอมาดูลักษณะนรลักษณ์ว่าสืบไปเมื่อหน้าวาสนาจะก้าวหน้าไปถึงไหน พร้อมกับเล่าความฝันให้ฟังว่าเมื่อสองสามวันมานี้ได้ฝันเห็นแมลงวันหลายสิบตัวบินมาเกาะอยู่ที่ปลายจมูกจะดีร้ายประการใด และจะเป็นนิมิตหมายว่าตัวเราจะได้ครองตำแหน่งมหาอุปราชซึ่งโจซองครอบครอง กับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินหรือไม่
กวนลอจับยามตามคัมภีร์อี้จิงและพิเคราะห์ดูนรลักษณ์ของโฮอั๋นประกอบแล้ว เห็นจมูกโด่งมีฐานจมูกใหญ่ จึงพยากรณ์ว่าลักษณะจมูกของท่านดุจดั่งขุนเขา เป็นที่ตั้งแห่งอำนาจวาสนาในชีวิตของท่าน แต่แมลงวันนั้นเป็นของโสโครก เกาะกินแต่สิ่งสกปรก ซึ่งความฝันอันประกอบกับนรลักษณ์ดังนี้จึงพยากรณ์ว่า อำนาจวาสนาที่มีอยู่กำลังถูกสิ่งปฏิกูลเกลือกกลั้ว การซึ่งคิดไว้จะเป็นอันตรายแก่ตัว ชอบที่จะระงับความคิดนั้นเสีย จึงจะมีความจำเริญสืบไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุคำพยากรณ์ของกวนลอว่า “ท่านจะมีความสุขอยู่ แมลงวันนั้นเป็นของโสโครก อันจมูกนั้นเหมือนต้นไม้สูง มีกลิ่นหอม บัดนี้ท่านมียศถาศักดิ์อยู่แล้ว จงประหยัดอย่าเห็นแก่ของดี ถ้าไม่ฟังจะมีอันตรายเหมือนลมพายุพัดมาต้องไม้สูงหักลง แม้ท่านละโลภเสียได้ อุตส่าห์บำรุงตนโดยสัตย์ซื่อก็จะได้มียศถาศักดิ์จำเริญขึ้นไป”
เตงเหยียงเพื่อนองครักษ์พิทักษ์นายของโฮอั๋นได้ยินคำทำนายไปในทางร้ายก็โกรธ ตำหนิกวนลอว่าท่านพยากรณ์ดังนี้เหมือนคนมิรู้ตำรา คิดจะให้ตกใจกลัวแล้วให้ท่านแต่งการพิธีสะเดาะเคราะห์กระนั้นหรือ.