ตอนที่ 587. องครักษ์พิทักษ์นาย
พระเจ้าโจยอยถูกดวงวิญญาณของพระมเหสี ขันที และนางกำนัลซึ่งถูกประหารชีวิตโดยไม่มีความผิดมาหลอกหลอนทวงชีวิตก็ทรงพระประชวร รู้พระองค์เองดีว่าอาการประชวรครั้งนี้เข้าขั้นวิกฤต จึงปรึกษาด้วยขุนนางผู้ใกล้ชิดเพื่อจะแต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
พระเจ้าโจยอยได้ยินนามของโจซองซึ่งเป็นพระญาติสนิทและมีความคุ้นเคยมาแต่ก่อนก็ทรงเห็นชอบ จึงรับสั่งให้โจฮูกลับออกไป
พอโจฮูกลับออกไปแล้ว เล่าฮองและซุนจูจึงกราบบังคมทูลว่า แผ่นดินไม่ควรมีผู้มีอำนาจเป็นสอง อันเป็นทางให้ผู้ไม่ปรารถนาดียุยงให้แตกความสามัคคีเข่นฆ่ากันเอง โจฮูนั้นก็เป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ มีอิสริยยศเป็นเอี้ยนอ๋อง มีสมัครพรรคพวกเป็นอันมาก เมื่อพระองค์วางพระทัยจะโปรดเกล้าตั้งให้โจซองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว จึงชอบที่จะโปรดให้เอี้ยนอ๋องโจฮูออกไปอยู่นอกเมืองหลวง เพื่อป้องกันอันตรายในภายหน้า
พระเจ้าโจยอยได้ยินคำกราบทูลก็ทรงเห็นชอบ จึงมีพระราชโองการตั้งให้โจซองผู้บุตรของโจจิ๋นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในระหว่างที่ทรงพระประชวร และช่วยเหลือองค์รัชทายาทในการปกครองบ้านเมืองต่อไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ และมีพระบรมราชโองการสั่งให้เอี้ยนอ๋องโจฮูออกไปอยู่เมืองเลียวตั๋ง ห้ามมิให้เข้ามาในแผ่นดินตงง้วนเว้นแต่จะมีหมายรับสั่ง
ครั้นโจฮูได้รับหมายรับสั่งดังนั้นก็รู้ความนัยว่าฮ่องเต้ไม่วางพระทัย โปรดให้เนรเทศออกไปอยู่เมืองเลียวตั๋งซึ่งเป็นเมืองแดนไกลก็น้อยใจ แต่ไม่อาจขัดพระบรมราชโองการได้ จึงเข้ามากราบถวายบังคมลาแล้วพาครอบครัวเดินทางไปเมืองเลียวตั๋ง
อาการประชวรของพระเจ้าโจยอยทรุดหนักลงโดยลำดับ ทรงคิดถึงสุมาอี้ว่ามีสติปัญญา สามารถช่วยเหลือราชการแผ่นดินของพระราชบุตรร่วมกับโจซองได้ จึงตรัสสั่งให้ม้าเร็วรีบไปเชิญสุมาอี้มาที่เมืองฮูโต๋
ขณะนั้นสุมาอี้กำลังเดินทัพกลับเมืองลกเอี๋ยง ครั้นได้ทราบพระบรมราชโองการ จึงสั่งให้สุมาสูและสุมาเจียวคุมกองทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง ส่วนสุมาอี้พาทหารองครักษ์ที่สนิทพันคนรีบเดินทางไปเมืองฮูโต๋
ครั้นถึงเมืองฮูโต๋สุมาอี้ก็ทราบข่าวจากพรรคพวกว่าฮ่องเต้ทรงพระประชวร มีพระอาการวิกฤตก็ตกใจ จึงรีบเข้าไปเฝ้า แล้วถวายบังคมอยู่แทบพระแท่นที่บรรทมของพระเจ้าโจยอย
พระเจ้าโจยอยทราบว่าสุมาอี้เข้ามาเฝ้าก็ดีพระทัย ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนอิดโรยว่าเราป่วยหนักอยู่แล้ว แต่ฝืนทนอยู่คอยท่าท่านพอได้สั่งเสียสักหน่อยหนึ่ง
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ กราบทูลว่าข้าพระองค์นำกองทัพกลับมาถึงกลางทาง ได้ทราบว่าพระองค์ทรงประชวรก็รีบรุดเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน เสียดายที่ไม่มีปีก หาไม่แล้วก็จะรีบบินเข้ามาเฝ้าในทันที ได้เข้ามาถวายบังคมในวันนี้เป็นบุญของข้าพระองค์ยิ่งนัก
พระเจ้าโจยอยตรัสสั่งให้ขันทีเชิญโจฮองราชบุตรและโจซองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเข้ามาเฝ้าที่พระที่ พร้อมกับเล่าฮองและซุนจู
พอมากันพร้อมหน้าแล้วพระเจ้าโจยอยจึงยุดเอามือสุมาอี้มากุมไว้แล้วตรัสว่า เมื่อครั้งที่เล่าปี่ป่วยหนักอยู่ที่เมืองเป๊กเต้ก็ให้หาขงเบ้งและเล่าเสี้ยนเข้ามาพร้อมกัน แล้วฝากฝังเล่าเสี้ยนไว้กับขงเบ้ง ครั้นเล่าปี่ตายแล้วขงเบ้งก็ให้ความจงรักภักดี ทำนุบำรุงเล่าเสี้ยนโดยสุจริตสืบมา มิได้เสียดายแก่ชีวิต จนถึงแก่ความตายในการสงคราม เล่าเสี้ยนจึงเป็นสุขมาจนถึงทุกวันนี้
พระเจ้าโจยอยจึงหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตรัสต่อไปว่า “บัดนี้เราจะให้โจฮองครองราชสมบัติ ให้โจซองผู้เป็นพระราชวงศ์ช่วยประคองว่าราชการไปกว่าอายุโจฮองจะจำเริญขึ้น ให้ท่านกับราชวงศ์แลขุนนางทั้งปวงช่วยกันทำนุบำรุงโจฮองสืบไป”
แล้วผินพระพักตร์ไปตรัสกับราชบุตรโจฮองว่า อันตัวบิดานี้กับสุมาอี้เสมือนหนึ่งเป็นคนคนเดียวกัน บัดนี้บิดาใกล้จะตายแล้ว ให้เจ้าฝากฝังตัวคำนับสุมาอี้เป็นบิดาบุญธรรมสืบไป
ตรัสแล้วก็โบกพระหัตถ์เป็นทีให้โจฮองคำนับสุมาอี้ โจฮองเป็นเด็กฉลาด เห็นท่วงทีของพระเจ้าโจยอยดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วโผเข้าไปกอดคอสุมาอี้ไว้แน่น สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ ร้องไห้ อุ้มโจฮองแนบไว้กับอก
พระเจ้าโจยอยน้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์ แล้วตรัสกับสุมาอี้อีกว่า “โจฮองนั้นก็มีอาลัยฝากตัวแก่ท่าน ท่านจงเห็นแก่เรา อย่าได้ลืมลูกน้อยเสียเลย อันชีวิตเราเห็นจะตายในวันนี้แล้ว”
พระเจ้าโจยอยตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงกันแสงด้วยเสียงอันดัง พลันก็เงียบเสียงไป คงมีพระสติอยู่แต่ตรัสประการใดไม่ได้ ทรงเอาพระหัตถ์ชี้ที่โจฮองกับสุมาอี้ แล้วพระหัตถ์ก็ตกลง เสด็จสวรรคต ณ เวลานั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าขณะนั้นพระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ได้สิบสามปี เสด็จสวรรคตเมื่อมีพระชนมายุได้สามสิบหกปี
โจซองและสุมาอี้เห็นพระเจ้าโจยอยเสด็จสวรรคตจึงพากันร้องไห้ พอสร่างจากโศกแล้วจึงให้มีหมายประกาศการเสด็จสวรรคต และให้ชาวเมืองไว้ทุกข์ตามประเพณี
หลังจากตั้งการพิธีพระบรมศพเสร็จแล้ว โจซองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและขุนนางทั้งปวงได้เชิญพระบรมศพของพระเจ้าโจยอยไปฝังไว้ที่สุสานหลวง ณ ตำบลโกเบงเหลงตามประเพณี
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยแปดสิบสามพรรษา เดือนสาม ข้างแรม เป็นวันฤกษ์ดี โจซองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและสุมาอี้จึงได้ตั้งการพิธีบรมราชาภิเษกโจฮองพระราชบุตรขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ สืบสันตติวงศ์แผ่นดินวุยก๊กสืบมา
อันโจฮองนั้นแท้จริงแล้วมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขในตระกูลโจ และมิใช่พระราชบุตรของพระเจ้าโจยอย เนื่องเพราะพระเจ้าโจยอยนั้นทรงเป็นหมัน ไม่อาจมีพระราชบุตร พระราชธิดาได้ แต่เพื่อมิให้แผ่นดินสิ้นพระมหากษัตริย์ จึงทรงคบคิดกับพระมเหสีลักเอาบุตรของราษฎรซึ่งไม่ปรากฏนามมาเลี้ยงไว้เป็นพระราชบุตร และทรงปกปิดความมิให้ขุนนางทั้งปวงได้รับรู้ ขุนนางทั้งปวงมิรู้ความลับของฝ่ายใน ทุกคนจึงคิดว่าโจฮองคือพระราชบุตรที่แท้จริง ครั้นโจฮองเจริญวัยขึ้นก็สำแดงความเป็นเด็กฉลาด น่ารัก เอาอกเอาใจเคล้าเคลียพระราชบิดาและพระมเหสี เป็นทำนองรู้จักเอาใจและสอพลอเก่งมาตั้งแต่เล็ก โจฮองจึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโจยอยและพระมเหสี ดังนั้นเมื่อสิ้นแผ่นดินพระเจ้าโจยอย อำนาจปกครองแผ่นดินของตระกูลโจที่โจโฉหมายมั่นปั้นมือให้สืบทอดสันตติวงศ์ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินจึงสิ้นสุดลง ณ บัดนั้น และ ณ บัดนี้ราชสมบัติในแผ่นดินตงง้วนจึงตกเป็นของคนซึ่งไม่รู้เทือกเถาเหล่ากอนามโจฮองด้วยประการฉะนี้
พระเจ้าโจฮองเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติโดยมีโจซองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสุมาอี้เป็นผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว จึงโปรดให้สถาปนาพระมเหสีโกยฮุยหยินขึ้นเป็นพระราชชนนีที่ไทเฮา และทรงตั้งศักราชประจำพระองค์ว่าศักราชเจี้ยสี แต่บรรดาราชการทั้งปวงนั้นทรงมอบหมายให้โจฮองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและสุมาอี้ผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดินร่วมกันว่ากล่าวทั้งสิ้น
โจซองเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน และยำเกรงผู้ใหญ่ ดังนั้นราชการงานสิ่งใดก็จะปรึกษาหารือร่วมกับสุมาอี้ เป็นต้นแบบของการมีผู้สำเร็จราชการร่วม และเป็นต้นแบบของการครองตำแหน่งรัฐมนตรีร่วมให้รัฐบาลของกัมพูชายึดถือปฏิบัติในระยะเกือบสองพันปีหลังต่อมา
แต่โจซองนั้นเป็นผู้ถือลัทธิเสพสุข รักการบันเทิงเริงรื่นครบครัน ดังนั้นการคบหามวลมิตรสหายทั้งหลายจึงคบหากับคนที่มีอัธยาศัยเป็นอย่างเดียวกัน แต่ละวันมีการเลี้ยงดูสนุกสนานกันเป็นการเอิกเกริก ถึงกับตั้งเรือนรับรองขนาดใหญ่สำหรับเลี้ยงดูผู้คนได้ถึงห้าร้อยคน แต่ละวันมีเพื่อนกินมาร่วมสังสรรค์เฮฮาเสพสุขถึงห้าร้อยคน
ในบรรดาสหายสนิทของโจซองนั้น มีขุนนางอยู่ห้าคนที่สนิทสนมไว้วางใจเป็นพิเศษได้แก่ โฮอั๋น เตงเหยียง หลีซิน เตงปิด และปิดห้วน ทั้งห้าคนนี้ถือได้ว่าเป็นคอหอยและลูกกระเดือกของโจซอง เสพสุรา นารี และอาหาร ก็ร่วมการร่วมกินร่วมเสพไม่เคยห่างแม้แต่สักวันเดียว และทั้งห้าคนนี้ก็ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์โจซอง จัดการแอบอ้างการทั้งปวงตามอำเภอใจ จัดการประการใดหรือจะกล่าวความประการใด โจซองก็เชื่อฟังทั้งสิ้น นับว่าเป็นตัวอย่างของการมีเพื่อนกินที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุด เชื้อพระวงศ์หนุ่มผู้ครองตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่มีเพื่อนกินสนิทห้าคน และเพื่อนกินประจำอีกห้าร้อยคนนี้จึงเป็นเรื่องฮือฮาลือลั่นอยู่ในประวัติศาสตร์จวบปัจจุบัน
แต่ในคนหมู่มากนั้นก็ย่อมมีคนดีมีฝีมืออยู่บ้าง นั่นคือฮวนห้อมซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายกรมนา มีสติปัญญาปรากฏประจักษ์แก่ขุนนางทั้งปวง เนื่องเพราะมีวิสัยบัณฑิตติดตัวอยู่บ้างเช่นนี้ ฮวนห้อมจึงมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับโจซองเหมือนกับห้าขุนนางองครักษ์ ยามใดที่ราชการของโจซองติดขัดเป็นปัญหา ก็ได้อาศัยความคิดสติปัญญาของฮวนห้อมคิดอ่านแก้ไขชี้นำ ดังนั้นโจซองจึงไว้วางใจฮวนห้อมในฐานะที่เป็นผู้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและวิกฤตต่าง ๆ และเรียกหาฮวนห้อมเข้ามากินอยู่เสวนาถึงในจวนเป็นประจำ
ย่อมเป็นธรรมดาขององครักษ์พิทักษ์นาย แต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันแม้ในอนาคตย่อมเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น คือรักนาย หวงนาย ถือตัวเป็นเจ้าของครอบครองนาย กีดกันผู้อื่นมิให้เข้าใกล้นายด้วยเกรงว่านายจะแบ่งความรักความวางใจไปให้ และไม่ต้องการให้ใครใดใหญ่ยิ่งเสมอด้วยนายตน ดังนั้นห้า องครักษ์พิทักษ์นายจึงร่วมกันคิดอ่านจะให้โจซองครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินแต่ ผู้เดียว เพราะยิ่งโจซองครองอำนาจเป็นใหญ่เพียงใด อำนาจวาสนาและลาภยศของห้าองครักษ์พิทักษ์นายก็จะบริบูรณ์พูนสุขมากขึ้นเพียงนั้นด้วย
เมื่อห้าองครักษ์พิทักษ์นายคบคิดกันดังนั้นแล้ว โฮอั๋นจึงทำหน้าที่เป็นหัวหอกเสนอความคิดแก่โจซองว่า “ตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ พระเจ้าโจยอยก็ให้เป็นผู้ช่วยราชการ ข้าพเจ้าเห็นสุมาอี้มีใจกำเริบสูงศักดิ์อยู่ ซึ่งท่านจะไปคำนับสุมาอี้นั้นไม่ควร”
เอาเข้าแล้ว! ห้าองครักษ์พิทักษ์นายมิได้คำนึงว่าสุมาอี้เป็นกำลังของแผ่นดินในการปกป้องคุ้มครองรักษาความปลอดภัยแห่งแคว้น ไม่คำนึงว่าสุมาอี้เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนแผ่นดินและอำนาจรัฐตามคำสั่งเสียของพระเจ้าโจยอย คิดแต่จะให้นายตัวครองอำนาจเป็นใหญ่อยู่แต่ผู้เดียว เพื่อพวกตนจะได้เสวยอำนาจวาสนามากขึ้น โดยหารู้ไม่ว่าการยุยงเช่นนั้นคือการรื้อถอนรากฐานแห่งอำนาจทั้งของแคว้น ของฮ่องเต้ ของโจซอง และรวมทั้งฐานอำนาจของตนเองด้วย
โจซองได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่า สุมาอี้ก็เป็นที่มหาอุปราช ตัวเราเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ได้รับการฝากฝังจากฮ่องเต้ในพระบรมโกศให้ช่วยกันประนอมพร้อมใจ ร่วมทำนุบำรุงฮ่องเต้และบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข สุมาอี้เล่าก็อาวุโสด้วยอายุ มีความรู้และสติปัญญา ซึ่งจะไม่ให้เราเคารพนับถือร่วมปรึกษาราชการด้วยนั้นไม่ควร
โฮอั๋นเป็นผู้ฉลาดในการเพ็ดทูลอันเป็นคุณสมบัติธาตุประจำตัวของพวกองครักษ์พิทักษ์นาย พอได้ยินโจซองกล่าวดังนั้นก็จุดพลุระเบิดขนาดใหญ่เข้าใส่กลางใจของโจซองว่า ท่านจะคิดอ่านดังนี้ไม่ชอบ ท่านลืมเสียแล้วหรือว่าเมื่อครั้งที่โจจิ๋นบิดาท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ถูกสุมาอี้เหยียดหยามข้ามหน้าข้ามตาเป็นอาจิณ เมื่อครั้งที่โจจิ๋นและสุมาอี้ไปทำสงครามกับกองทัพเมืองเสฉวน สุมาอี้ก็ได้ท้าทายทำการให้โจจิ๋นได้อาย จนตรอมใจถึงแก่ความตาย คนทั้งปวงก็รู้ทั่วกัน ข้าพเจ้าเป็นแต่คนนอกก็ยังคุมแค้นสุมาอี้ไม่เคยคลาย ท่านจะมาหลงนับถือศัตรูผู้เข่นฆ่าบิดาดังนี้จะควรไฉน.
พระเจ้าโจยอยได้ยินนามของโจซองซึ่งเป็นพระญาติสนิทและมีความคุ้นเคยมาแต่ก่อนก็ทรงเห็นชอบ จึงรับสั่งให้โจฮูกลับออกไป
พอโจฮูกลับออกไปแล้ว เล่าฮองและซุนจูจึงกราบบังคมทูลว่า แผ่นดินไม่ควรมีผู้มีอำนาจเป็นสอง อันเป็นทางให้ผู้ไม่ปรารถนาดียุยงให้แตกความสามัคคีเข่นฆ่ากันเอง โจฮูนั้นก็เป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ มีอิสริยยศเป็นเอี้ยนอ๋อง มีสมัครพรรคพวกเป็นอันมาก เมื่อพระองค์วางพระทัยจะโปรดเกล้าตั้งให้โจซองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว จึงชอบที่จะโปรดให้เอี้ยนอ๋องโจฮูออกไปอยู่นอกเมืองหลวง เพื่อป้องกันอันตรายในภายหน้า
พระเจ้าโจยอยได้ยินคำกราบทูลก็ทรงเห็นชอบ จึงมีพระราชโองการตั้งให้โจซองผู้บุตรของโจจิ๋นเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินในระหว่างที่ทรงพระประชวร และช่วยเหลือองค์รัชทายาทในการปกครองบ้านเมืองต่อไปจนกว่าจะบรรลุนิติภาวะ และมีพระบรมราชโองการสั่งให้เอี้ยนอ๋องโจฮูออกไปอยู่เมืองเลียวตั๋ง ห้ามมิให้เข้ามาในแผ่นดินตงง้วนเว้นแต่จะมีหมายรับสั่ง
ครั้นโจฮูได้รับหมายรับสั่งดังนั้นก็รู้ความนัยว่าฮ่องเต้ไม่วางพระทัย โปรดให้เนรเทศออกไปอยู่เมืองเลียวตั๋งซึ่งเป็นเมืองแดนไกลก็น้อยใจ แต่ไม่อาจขัดพระบรมราชโองการได้ จึงเข้ามากราบถวายบังคมลาแล้วพาครอบครัวเดินทางไปเมืองเลียวตั๋ง
อาการประชวรของพระเจ้าโจยอยทรุดหนักลงโดยลำดับ ทรงคิดถึงสุมาอี้ว่ามีสติปัญญา สามารถช่วยเหลือราชการแผ่นดินของพระราชบุตรร่วมกับโจซองได้ จึงตรัสสั่งให้ม้าเร็วรีบไปเชิญสุมาอี้มาที่เมืองฮูโต๋
ขณะนั้นสุมาอี้กำลังเดินทัพกลับเมืองลกเอี๋ยง ครั้นได้ทราบพระบรมราชโองการ จึงสั่งให้สุมาสูและสุมาเจียวคุมกองทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง ส่วนสุมาอี้พาทหารองครักษ์ที่สนิทพันคนรีบเดินทางไปเมืองฮูโต๋
ครั้นถึงเมืองฮูโต๋สุมาอี้ก็ทราบข่าวจากพรรคพวกว่าฮ่องเต้ทรงพระประชวร มีพระอาการวิกฤตก็ตกใจ จึงรีบเข้าไปเฝ้า แล้วถวายบังคมอยู่แทบพระแท่นที่บรรทมของพระเจ้าโจยอย
พระเจ้าโจยอยทราบว่าสุมาอี้เข้ามาเฝ้าก็ดีพระทัย ตรัสด้วยพระสุรเสียงอันอ่อนอิดโรยว่าเราป่วยหนักอยู่แล้ว แต่ฝืนทนอยู่คอยท่าท่านพอได้สั่งเสียสักหน่อยหนึ่ง
สุมาอี้ได้ยินดังนั้นก็ร้องไห้ กราบทูลว่าข้าพระองค์นำกองทัพกลับมาถึงกลางทาง ได้ทราบว่าพระองค์ทรงประชวรก็รีบรุดเดินทางมาทั้งวันทั้งคืน เสียดายที่ไม่มีปีก หาไม่แล้วก็จะรีบบินเข้ามาเฝ้าในทันที ได้เข้ามาถวายบังคมในวันนี้เป็นบุญของข้าพระองค์ยิ่งนัก
พระเจ้าโจยอยตรัสสั่งให้ขันทีเชิญโจฮองราชบุตรและโจซองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินเข้ามาเฝ้าที่พระที่ พร้อมกับเล่าฮองและซุนจู
พอมากันพร้อมหน้าแล้วพระเจ้าโจยอยจึงยุดเอามือสุมาอี้มากุมไว้แล้วตรัสว่า เมื่อครั้งที่เล่าปี่ป่วยหนักอยู่ที่เมืองเป๊กเต้ก็ให้หาขงเบ้งและเล่าเสี้ยนเข้ามาพร้อมกัน แล้วฝากฝังเล่าเสี้ยนไว้กับขงเบ้ง ครั้นเล่าปี่ตายแล้วขงเบ้งก็ให้ความจงรักภักดี ทำนุบำรุงเล่าเสี้ยนโดยสุจริตสืบมา มิได้เสียดายแก่ชีวิต จนถึงแก่ความตายในการสงคราม เล่าเสี้ยนจึงเป็นสุขมาจนถึงทุกวันนี้
พระเจ้าโจยอยจึงหยุดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตรัสต่อไปว่า “บัดนี้เราจะให้โจฮองครองราชสมบัติ ให้โจซองผู้เป็นพระราชวงศ์ช่วยประคองว่าราชการไปกว่าอายุโจฮองจะจำเริญขึ้น ให้ท่านกับราชวงศ์แลขุนนางทั้งปวงช่วยกันทำนุบำรุงโจฮองสืบไป”
แล้วผินพระพักตร์ไปตรัสกับราชบุตรโจฮองว่า อันตัวบิดานี้กับสุมาอี้เสมือนหนึ่งเป็นคนคนเดียวกัน บัดนี้บิดาใกล้จะตายแล้ว ให้เจ้าฝากฝังตัวคำนับสุมาอี้เป็นบิดาบุญธรรมสืบไป
ตรัสแล้วก็โบกพระหัตถ์เป็นทีให้โจฮองคำนับสุมาอี้ โจฮองเป็นเด็กฉลาด เห็นท่วงทีของพระเจ้าโจยอยดังนั้นก็ร้องไห้ แล้วโผเข้าไปกอดคอสุมาอี้ไว้แน่น สุมาอี้เห็นดังนั้นก็ ร้องไห้ อุ้มโจฮองแนบไว้กับอก
พระเจ้าโจยอยน้ำพระเนตรไหลอาบพระพักตร์ แล้วตรัสกับสุมาอี้อีกว่า “โจฮองนั้นก็มีอาลัยฝากตัวแก่ท่าน ท่านจงเห็นแก่เรา อย่าได้ลืมลูกน้อยเสียเลย อันชีวิตเราเห็นจะตายในวันนี้แล้ว”
พระเจ้าโจยอยตรัสดังนั้นแล้วก็ทรงกันแสงด้วยเสียงอันดัง พลันก็เงียบเสียงไป คงมีพระสติอยู่แต่ตรัสประการใดไม่ได้ ทรงเอาพระหัตถ์ชี้ที่โจฮองกับสุมาอี้ แล้วพระหัตถ์ก็ตกลง เสด็จสวรรคต ณ เวลานั้น
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าขณะนั้นพระเจ้าโจยอยเสวยราชย์ได้สิบสามปี เสด็จสวรรคตเมื่อมีพระชนมายุได้สามสิบหกปี
โจซองและสุมาอี้เห็นพระเจ้าโจยอยเสด็จสวรรคตจึงพากันร้องไห้ พอสร่างจากโศกแล้วจึงให้มีหมายประกาศการเสด็จสวรรคต และให้ชาวเมืองไว้ทุกข์ตามประเพณี
หลังจากตั้งการพิธีพระบรมศพเสร็จแล้ว โจซองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและขุนนางทั้งปวงได้เชิญพระบรมศพของพระเจ้าโจยอยไปฝังไว้ที่สุสานหลวง ณ ตำบลโกเบงเหลงตามประเพณี
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยแปดสิบสามพรรษา เดือนสาม ข้างแรม เป็นวันฤกษ์ดี โจซองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและสุมาอี้จึงได้ตั้งการพิธีบรมราชาภิเษกโจฮองพระราชบุตรขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์ สืบสันตติวงศ์แผ่นดินวุยก๊กสืบมา
อันโจฮองนั้นแท้จริงแล้วมิใช่เลือดเนื้อเชื้อไขในตระกูลโจ และมิใช่พระราชบุตรของพระเจ้าโจยอย เนื่องเพราะพระเจ้าโจยอยนั้นทรงเป็นหมัน ไม่อาจมีพระราชบุตร พระราชธิดาได้ แต่เพื่อมิให้แผ่นดินสิ้นพระมหากษัตริย์ จึงทรงคบคิดกับพระมเหสีลักเอาบุตรของราษฎรซึ่งไม่ปรากฏนามมาเลี้ยงไว้เป็นพระราชบุตร และทรงปกปิดความมิให้ขุนนางทั้งปวงได้รับรู้ ขุนนางทั้งปวงมิรู้ความลับของฝ่ายใน ทุกคนจึงคิดว่าโจฮองคือพระราชบุตรที่แท้จริง ครั้นโจฮองเจริญวัยขึ้นก็สำแดงความเป็นเด็กฉลาด น่ารัก เอาอกเอาใจเคล้าเคลียพระราชบิดาและพระมเหสี เป็นทำนองรู้จักเอาใจและสอพลอเก่งมาตั้งแต่เล็ก โจฮองจึงเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าโจยอยและพระมเหสี ดังนั้นเมื่อสิ้นแผ่นดินพระเจ้าโจยอย อำนาจปกครองแผ่นดินของตระกูลโจที่โจโฉหมายมั่นปั้นมือให้สืบทอดสันตติวงศ์ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินจึงสิ้นสุดลง ณ บัดนั้น และ ณ บัดนี้ราชสมบัติในแผ่นดินตงง้วนจึงตกเป็นของคนซึ่งไม่รู้เทือกเถาเหล่ากอนามโจฮองด้วยประการฉะนี้
พระเจ้าโจฮองเสด็จเถลิงถวัลย์ราชสมบัติโดยมีโจซองเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน และสุมาอี้เป็นผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดินแล้ว จึงโปรดให้สถาปนาพระมเหสีโกยฮุยหยินขึ้นเป็นพระราชชนนีที่ไทเฮา และทรงตั้งศักราชประจำพระองค์ว่าศักราชเจี้ยสี แต่บรรดาราชการทั้งปวงนั้นทรงมอบหมายให้โจฮองผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและสุมาอี้ผู้ช่วยผู้สำเร็จราชการแผ่นดินร่วมกันว่ากล่าวทั้งสิ้น
โจซองเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน และยำเกรงผู้ใหญ่ ดังนั้นราชการงานสิ่งใดก็จะปรึกษาหารือร่วมกับสุมาอี้ เป็นต้นแบบของการมีผู้สำเร็จราชการร่วม และเป็นต้นแบบของการครองตำแหน่งรัฐมนตรีร่วมให้รัฐบาลของกัมพูชายึดถือปฏิบัติในระยะเกือบสองพันปีหลังต่อมา
แต่โจซองนั้นเป็นผู้ถือลัทธิเสพสุข รักการบันเทิงเริงรื่นครบครัน ดังนั้นการคบหามวลมิตรสหายทั้งหลายจึงคบหากับคนที่มีอัธยาศัยเป็นอย่างเดียวกัน แต่ละวันมีการเลี้ยงดูสนุกสนานกันเป็นการเอิกเกริก ถึงกับตั้งเรือนรับรองขนาดใหญ่สำหรับเลี้ยงดูผู้คนได้ถึงห้าร้อยคน แต่ละวันมีเพื่อนกินมาร่วมสังสรรค์เฮฮาเสพสุขถึงห้าร้อยคน
ในบรรดาสหายสนิทของโจซองนั้น มีขุนนางอยู่ห้าคนที่สนิทสนมไว้วางใจเป็นพิเศษได้แก่ โฮอั๋น เตงเหยียง หลีซิน เตงปิด และปิดห้วน ทั้งห้าคนนี้ถือได้ว่าเป็นคอหอยและลูกกระเดือกของโจซอง เสพสุรา นารี และอาหาร ก็ร่วมการร่วมกินร่วมเสพไม่เคยห่างแม้แต่สักวันเดียว และทั้งห้าคนนี้ก็ทำตัวเป็นองครักษ์พิทักษ์โจซอง จัดการแอบอ้างการทั้งปวงตามอำเภอใจ จัดการประการใดหรือจะกล่าวความประการใด โจซองก็เชื่อฟังทั้งสิ้น นับว่าเป็นตัวอย่างของการมีเพื่อนกินที่ขึ้นชื่อลือชาที่สุด เชื้อพระวงศ์หนุ่มผู้ครองตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่มีเพื่อนกินสนิทห้าคน และเพื่อนกินประจำอีกห้าร้อยคนนี้จึงเป็นเรื่องฮือฮาลือลั่นอยู่ในประวัติศาสตร์จวบปัจจุบัน
แต่ในคนหมู่มากนั้นก็ย่อมมีคนดีมีฝีมืออยู่บ้าง นั่นคือฮวนห้อมซึ่งเป็นขุนนางฝ่ายกรมนา มีสติปัญญาปรากฏประจักษ์แก่ขุนนางทั้งปวง เนื่องเพราะมีวิสัยบัณฑิตติดตัวอยู่บ้างเช่นนี้ ฮวนห้อมจึงมิได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับโจซองเหมือนกับห้าขุนนางองครักษ์ ยามใดที่ราชการของโจซองติดขัดเป็นปัญหา ก็ได้อาศัยความคิดสติปัญญาของฮวนห้อมคิดอ่านแก้ไขชี้นำ ดังนั้นโจซองจึงไว้วางใจฮวนห้อมในฐานะที่เป็นผู้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหาและวิกฤตต่าง ๆ และเรียกหาฮวนห้อมเข้ามากินอยู่เสวนาถึงในจวนเป็นประจำ
ย่อมเป็นธรรมดาขององครักษ์พิทักษ์นาย แต่ไหนแต่ไรมาไม่ว่าอดีตหรือปัจจุบันแม้ในอนาคตย่อมเป็นอย่างเดียวกันทั้งสิ้น คือรักนาย หวงนาย ถือตัวเป็นเจ้าของครอบครองนาย กีดกันผู้อื่นมิให้เข้าใกล้นายด้วยเกรงว่านายจะแบ่งความรักความวางใจไปให้ และไม่ต้องการให้ใครใดใหญ่ยิ่งเสมอด้วยนายตน ดังนั้นห้า องครักษ์พิทักษ์นายจึงร่วมกันคิดอ่านจะให้โจซองครองอำนาจเป็นใหญ่ในแผ่นดินแต่ ผู้เดียว เพราะยิ่งโจซองครองอำนาจเป็นใหญ่เพียงใด อำนาจวาสนาและลาภยศของห้าองครักษ์พิทักษ์นายก็จะบริบูรณ์พูนสุขมากขึ้นเพียงนั้นด้วย
เมื่อห้าองครักษ์พิทักษ์นายคบคิดกันดังนั้นแล้ว โฮอั๋นจึงทำหน้าที่เป็นหัวหอกเสนอความคิดแก่โจซองว่า “ตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ พระเจ้าโจยอยก็ให้เป็นผู้ช่วยราชการ ข้าพเจ้าเห็นสุมาอี้มีใจกำเริบสูงศักดิ์อยู่ ซึ่งท่านจะไปคำนับสุมาอี้นั้นไม่ควร”
เอาเข้าแล้ว! ห้าองครักษ์พิทักษ์นายมิได้คำนึงว่าสุมาอี้เป็นกำลังของแผ่นดินในการปกป้องคุ้มครองรักษาความปลอดภัยแห่งแคว้น ไม่คำนึงว่าสุมาอี้เป็นเสาหลักที่ค้ำจุนแผ่นดินและอำนาจรัฐตามคำสั่งเสียของพระเจ้าโจยอย คิดแต่จะให้นายตัวครองอำนาจเป็นใหญ่อยู่แต่ผู้เดียว เพื่อพวกตนจะได้เสวยอำนาจวาสนามากขึ้น โดยหารู้ไม่ว่าการยุยงเช่นนั้นคือการรื้อถอนรากฐานแห่งอำนาจทั้งของแคว้น ของฮ่องเต้ ของโจซอง และรวมทั้งฐานอำนาจของตนเองด้วย
โจซองได้ฟังดังนั้นก็แย้งว่า สุมาอี้ก็เป็นที่มหาอุปราช ตัวเราเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ได้รับการฝากฝังจากฮ่องเต้ในพระบรมโกศให้ช่วยกันประนอมพร้อมใจ ร่วมทำนุบำรุงฮ่องเต้และบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุข สุมาอี้เล่าก็อาวุโสด้วยอายุ มีความรู้และสติปัญญา ซึ่งจะไม่ให้เราเคารพนับถือร่วมปรึกษาราชการด้วยนั้นไม่ควร
โฮอั๋นเป็นผู้ฉลาดในการเพ็ดทูลอันเป็นคุณสมบัติธาตุประจำตัวของพวกองครักษ์พิทักษ์นาย พอได้ยินโจซองกล่าวดังนั้นก็จุดพลุระเบิดขนาดใหญ่เข้าใส่กลางใจของโจซองว่า ท่านจะคิดอ่านดังนี้ไม่ชอบ ท่านลืมเสียแล้วหรือว่าเมื่อครั้งที่โจจิ๋นบิดาท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น ถูกสุมาอี้เหยียดหยามข้ามหน้าข้ามตาเป็นอาจิณ เมื่อครั้งที่โจจิ๋นและสุมาอี้ไปทำสงครามกับกองทัพเมืองเสฉวน สุมาอี้ก็ได้ท้าทายทำการให้โจจิ๋นได้อาย จนตรอมใจถึงแก่ความตาย คนทั้งปวงก็รู้ทั่วกัน ข้าพเจ้าเป็นแต่คนนอกก็ยังคุมแค้นสุมาอี้ไม่เคยคลาย ท่านจะมาหลงนับถือศัตรูผู้เข่นฆ่าบิดาดังนี้จะควรไฉน.