ตอนที่ 544. ปรากฏการณ์จากดาวลูกไก่
พระเจ้าโจยอยขุ่นพระทัยที่จ๊กก๊กกรีฑาทัพมาตีวุยก๊กครั้งแล้วครั้งเล่า จึงดำริที่จะยกกองทัพไปตีจ๊กก๊กบ้าง ดังนั้นจึงโปรดเกล้าตั้งให้โจจิ๋นและสุมาอี้เป็นแม่ทัพใหญ่ขวาซ้าย ยกกองทัพสี่สิบหมื่นไปตีเมืองฮันต๋งทางด่านเกี้ยมโก๊ะในเขตตำบลตันฉอง
ครั้นขงเบ้งทราบข่าวศึก จึงสั่งทหารให้ไปเรียกเตียวหงีและอองเป๋งเข้ามาพบ แล้วปรารภความให้ทราบว่าบัดนี้วุยก๊กแต่งให้โจจิ๋นและสุมาอี้คุมกองทัพสี่สิบหมื่นยกมาตีเมืองฮันต๋งทางด่านเกี้ยมโก๊ะ เราจะจัดทหารพันหนึ่งให้ท่านทั้งสองยกไปตั้งขัดตาทัพกองทัพวุยก๊กไว้ที่ตำบลตันฉอง แล้วเราจะยกกองทัพหลวงหนุนตามไปในภายหลัง
ทั้งอองเป๋งและเตียวหงีได้ฟังคำสั่งของขงเบ้งดังนั้นก็ตกใจ กล่าวพร้อมกันว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้มีกำลังพลถึงสี่สิบหมื่น และยังกล่าวขานให้เลื่องลือไปว่ากองทัพที่ยกมาประกอบด้วยนายและพลทหารกว่าแปดสิบหมื่นอีก มหาอุปราชจะจัดทหารให้ข้าพเจ้าเพียงพันนาย ไหนเลยจะสามารถสกัดกองทัพใหญ่ของวุยก๊กได้ ถึงแม้จะแบ่งกำลังพลออกไปเฝ้าตามซอกเขาและช่องแคบต่าง ๆ ก็ยังไม่เพียงพอ
ขงเบ้งได้ฟังจึงว่า เหตุที่จัดทหารให้พวกท่านแต่เพียงพันเดียวก็ด้วยเกรงว่าหากจัดทหารมากกว่านี้แล้วก็จะได้ยากลำบากแก่ไพร่พลเปล่า ๆ
อองเป๋งและเตียวหงีได้ยินคำขงเบ้งแล้วหันมามองหน้ากันและกัน มิกล้าที่จะว่ากล่าวประการใดสืบไป
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็รู้ทีว่าสองนายทหารเกรงว่ากำลังพลน้อยจะไม่สามารถต่อสู้กองทัพใหญ่ของวุยก๊กได้ จึงปลอบประโลมใจว่า ท่านทั้งสองอย่าได้แคลงใจ รีบยกทหารไปตามคำของเราเถิด หากแม้นผิดพลาดประการใด ความผิดก็จะตกอยู่แก่เรา หาได้ตกแก่พวกท่านไม่
อองเป๋งและเตียวหงีได้ฟังคำยืนกรานของขงเบ้งจึงคุกเข่าลงกับพื้น คำนับขงเบ้งแล้วว่ามาตรแม้นมหาอุปราชมีความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการอาศัยมือข้าศึกสังหารพวกข้าพเจ้าแล้วก็อย่าให้ได้ยากลำบากเลย ขอเชิญมหาอุปราชตัดศีรษะข้าพเจ้าทั้งสองเสียแต่บัดนี้เถิด
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าซึ่งเราใช้ท่านทั้งสองให้ยกทหารไปสกัดกองทัพวุยก๊กในครั้งนี้ จะเป็นด้วยน้ำใจชังนั้นหามิได้ แต่จะตำหนิพวกท่านก็ไม่ได้ เพราะการในฟ้าอากาศนั้นยากที่พวกท่านจะรู้แจ้งและเข้าใจ
สองนายทหารได้ฟังคำขงเบ้งยืนคำแข็งขัน แต่บ่งบอกความนัยว่ามีเหตุผลที่ลึกล้ำอยู่เบื้องหลังก็หันมาสบตากัน แล้วหันไปมองหน้าขงเบ้งประหนึ่งจะถามว่ามีเหตุผลต้นสายประการใด
ขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่า เมื่อคืนนี้ตัวเราได้สังเกตการณ์บนนภากาศ เห็นกลุ่มดาวกฤติกาโคจรอยู่ในท่ามกลางวงพระจันทร์เหนือขอบฟ้าเบื้องบูรพาทิศ เป็นนิมิตหมายว่าภายในเดือนนี้ฝนจะตกห่าใหญ่ต่อเนื่องกันถึงเดือนหนึ่ง ดังนั้นกองทัพวุยก๊กแม้จะยกพลมาถึงสี่สิบหมื่นก็ไม่อาจฝ่าหุบเขาห้วยหนองและป่ารกชัฎเข้ามาถึงตำบลตันฉองได้ เหตุนี้ถึงจะจัดทหารให้ท่านมากกว่าพันคนก็หาประโยชน์อันใดมิได้ ที่จัดทหารให้ท่านแต่เท่านี่ก็มากพอแล้วเพราะเพียงเพื่อให้ไปสังเกตดูความยากลำบากของข้าศึกให้เห็นแก่ตาเท่านั้น ตัวเราเองก็จะชุมนุมกองทัพใหญ่ไว้ในเมืองฮันต๋ง ให้ทหารพักผ่อนให้เป็นสุขสบายตลอดช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก
อองเป๋งและเตียวหงีได้ฟังคำขงเบ้งอรรถาธิบายดังนั้นก็พากันตื่นตะลึง ขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่าทหารวุยก๊กจะตกระกำลำบากยากแค้นเป็นสาหัสนัก เห็นจะไม่อาจตั้งอยู่ได้นานสืบไป ดีร้ายโจยอยก็อาจเรียกกองทัพกลับไป หรือมิฉะนั้นสุมาอี้ก็จะคิดอ่านเลิกทัพกลับไปเอง นี่ก็คือการดำเนินสงครามซึ่งโบราณว่าไว้ว่า ให้ทหารพักเอาแรง รอโอกาสต่อสู้ข้าศึกที่อ่อนล้าอิดโรยก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย ถึงเวลานั้นเราค่อยกรีฑาทัพใหญ่ยกไล่ตามตี เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
อองเป๋งและเตียวหงีได้ฟังคำอธิบายของขงเบ้งสิ้นกระแสความแล้วก็ตื่นจากภวังค์ ต่างคนต่างกระชุ่มกระชวย กล่าวสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญา รู้การในฟ้าอากาศเสมอด้วยเทพยดา สองนายทหารกล่าวแล้วก็คำนับลาขงเบ้งออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปตำบลตันฉอง
ครั้นอองเป๋งและเตียวหงีออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้เกณฑ์ทหารสิบหมื่นชุมนุมพลไว้ในเมืองฮันต๋ง สั่งให้ตระเตรียมเสบียงอาหาร ฟาง และอาหารม้าให้พร้อมสรรพ และให้ทหารพักผ่อนให้เต็มที่ เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพใหญ่หลังจากฝนสร่างซาแล้ว
ฝ่ายกองทัพวุยก๊กครั้นยกเข้ามาใกล้ตำบลตันฉอง สุมาอี้ไม่เห็นบ้านเรือนผู้คนแม้แต่สักหลังเดียวก็รู้สึกประหลาดใจ พอเห็นชาวบ้านที่พลัดหลงอยู่ครอบครัวหนึ่งจึงสั่งทหารให้เข้าไปสอบถามว่าเหตุใดตำบลนี้จึงร้างราผู้คน ชาวบ้านนั้นได้ตอบว่าเมื่อครั้งที่ขงเบ้งล่าทัพกลับคืนเมืองฮันต๋ง ได้สั่งทหารให้เกณฑ์ชาวบ้านเข้าไปในแดนเมืองฮันต๋ง และให้เผาผลาญบ้านเรือนและหญ้าฟางจนหมดสิ้น
สุมาอี้ทราบดังนั้นจึงปรารภว่า ขงเบ้งทำการทั้งนี้หวังจะตัดเสบียงและเครื่องใช้ไม้สอยที่กองทัพเราพอจะอาศัยเกณฑ์จากชาวบ้านได้ โจจิ๋นได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่าเมื่อบ้านเมืองร้างราอยู่ดังนี้ ชอบที่จะยกกองทัพรุดหน้าไปให้ถึงตำบลตันฉองโดยเร็ว
สุมาอี้แรกรู้ว่าขงเบ้งให้เผาบ้านเรือน เสบียงอาหาร และหญ้าม้าจนหมดสิ้นก็รู้สึกเฉลียวใจ พอได้ฟังคำโจจิ๋นที่เร่งให้ยกกองทัพรุดหน้าฝ่าป่าดงพงชัฎและซอกเขาไปที่ตำบลตันฉองโดยไวก็ได้คิด จึงว่าท่านอย่าเพ่อวู่วาม อันขงเบ้งนั้นมีสติปัญญา รู้การในฟ้าอากาศกระจ่างนัก เมื่อคืนวานนี้ข้าพเจ้าได้ตรวจดูการโคจรของดวงดาวในจักรราศี เห็นกลุ่มดาวกฤติกาโคจรฝ่าอยู่ในท่ามกลางรัศมีพระจันทร์ ณ ฟากฟ้าเบื้องบูรพาทิศในยามแรกของราตรี บ่งบอกว่าภายในเดือนนี้จะมีฝนตกห่าใหญ่ หากรีบรุดยกกองทัพเข้าไปในป่าดงรกชัฏก็จะได้ยากลำบากแก่ทหาร นับเป็นอุกฤติภูมิอันไม่ควรกรีฑาทัพเข้าไปเป็นอันขาด เพราะจะรุดหน้าก็ไม่ได้ จะล่าถอยก็ยากลำบาก
โจจิ๋นจึงถามสุมาอี้ว่า ซึ่งท่านว่าจะมีฝนตกห่าใหญ่นั้น จะตกหนักสักเท่าใด สุมาอี้จึงว่าการในฟ้าอากาศย่อมแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ฝนจะตกห่าใหญ่วันเดียวหรือกี่วันย่อมอยู่นอกเหนือสติปัญญาความรู้ของมนุษย์ แต่การคิดอ่านป้องกันมิให้ กองทัพได้รับอันตรายนั้นย่อมดีกว่าการรุดหน้าไปโดยประมาทเป็นแน่แท้
โจจิ๋นได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ตั้งค่ายพักชั่วคราวเพื่อคอยดูท่วงท่าว่าฝนฟ้าจะตกมากแลน้อยประการใด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสามพรรษา เดือนเก้า กองทัพวุยก๊กตั้งค่ายชั่วคราวไว้ในหุบเขา เตรียมจะกรีฑาทัพบุกเข้าตำบลตันฉองเพื่อยกล่วงเข้าไปตีเอาเมืองฮันต๋ง แต่พอตั้งค่ายเสร็จได้สิบสี่วันเมฆฝนบนฟ้าก็มืดครึ้มดุจเวลากลางคืน ฝนห่าใหญ่ได้ตกลงมาไม่ขาดสาย
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า “ฝนบนฟากฟ้าก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทุกแห่งชื้นแฉะไปหมด พื้นที่ราบน้ำลึกถึงสามไม้บรรทัด อาวุธยุทโธปกรณ์ล้วนเปียกชื้น คนก็มิอาจนอนได้ ทั้งวันทั้งคืนต่างไม่เป็นสุข ฝนตกกระหน่ำติดต่อกันถึงสามสิบวัน ม้าก็ขาดหญ้ากินตายไปเป็นจำนวนนับมิถ้วน บรรดาทหารต่างก็พากันบ่นด้วยความไม่พอใจ”
ในขณะที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมามิได้เหือดถึงสามสิบวัน น้ำในที่นั้นลึกประมาณสามศอก ท่วมเสบียงอาหารเสียสิ้น ทแกล้วทหารก็มิรู้ที่จะอาศัยนั่งนอนแห่งใด ได้ความลำบากก็ร้องไห้อื้ออึงไป”
กองทัพวุยก๊กสี่สิบหมื่นเผชิญความยากลำบากแสนสาหัสอยู่ในท่ามกลางหุบเข้าใกล้ตำบลตันฉอง ม้าอดหญ้าตายไปกว่าสามหมื่นตัว ทหารป่วยเจ็บล้มตายนับหมื่นคน พวกที่เหลือก็อดอยากขาดแคลนจนผอมซูบโซ เพราะเสบียงอาหารแม้มีอยู่ก็ยากที่จะหุงหาอาหารด้วยไร้ฟืนไฟ กิตติศัพท์ความทุกข์ยากของกองทัพวุยก๊กดังก้องไปถึงราชสำนักวุย
พระเจ้าโจยอยครั้นได้ทราบความทุกข์ยากของทหารในกองทัพก็ทรงพระวิตกเป็นทุกข์ร้อนด้วยทหารเหล่านั้น จึงโปรดให้ตั้งการพิธีอ้อนวอนต่อเฮ็กเซียนฮ่องเต้และพระพิรุณเทพขอให้ฝนหยุดตก แต่ก็ไม่เป็นผล
ข่าวความยากลำบากและป่วยเจ็บล้มตายของทหารในกองทัพวุยก๊กระบือแพร่หลายไปทั่วแคว้น ขุนนางอาวุโสหลายคนจึงพร้อมใจกันแต่งฎีกาทูลเกล้าถวายพระเจ้าโจยอย ซึ่งสามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความไว้อย่างน่าฟังว่า
“โบราณว่าไว้ ขนส่งเสบียงอาหารเป็นพันลี้ บรรดานักรบต่างมีสีหน้าหิวโหย เพราะขาดไม้ฟืนที่จะหุงต้ม กองทัพมิได้มีที่พักอาศัยและมิอิ่มหนำสำราญ นี่คือที่กล่าวถึง ผู้ที่เดินทัพในหนทางราบเรียบ แล้วถ้าหากต้องบุกเข้าลึกในพื้นที่มีอันตรายกีดขวางและต้องเจาะทางเข้าไป ก็ยิ่งต้องเพิ่มความเหนื่อยยากลำบากเป็นเท่าตัว บัดนี้ฝนตกกระหน่ำต่อกันตลอดเวลา ทางลาด ภูเขา และที่สูงชันล้วนลื่นไหล บีบบังคับผู้คนมิอาจสำแดงอานุภาพได้ อีกทั้งเสบียงอยู่ห่างไกลและยากที่จะติดต่อส่งไปได้ ซึ่งเป็นเรื่อง มิชอบเป็นอย่างยิ่งในการกรีฑาทัพ ได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดโจจิ๋นได้เคลื่อนทัพไปเป็นแรมเดือน แต่ไปไม่ถึงครึ่งหุบเขา การบุกเบิกสร้างทางย่อมเป็นความดีความชอบใหญ่หลวง แต่บรรดานักรบต้องหยุดปฏิบัติการรบ ทำให้ฝ่ายข้าศึกได้พักเอาแรงแต่ฝ่ายเดียว เพื่อรอกองทัพเราที่เหน็ดเหนื่อยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวของเหล่านักรบผู้วางแผน หากจะยกเรื่องในยุคก่อนก็คือเรื่องพระเจ้าบู๊อ๋องเมื่อทรงปราบพระเจ้าติ๋วอ๋อง ได้ยกออกจากด่านไปแล้วก็ยังหวนกลับมา หากจะยกเรื่องใกล้ๆ ก็คือเรื่องพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉและพระเจ้าโจผีปราบซุนกวน แม้จะเข้าใกล้แม่น้ำแต่ก็ไม่รุกต่อ แล้วไยเราจะไม่รู้กาลเวลา โอนอ่อนตามสวรรค์เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์แล้วตรัสเรียกกองทัพให้ยกกลับมาเมืองลกเอี๋ยงจึงจะควร”
อันดาวกฤติกาหรือกลุ่มดาวลูกไก่นั้น เป็นหนึ่งในยี่สิบเจ็ดกลุ่มดาวนักษัตรที่สถิตประจำอยู่ในจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่บ่งบอกฤดูกาลอันแม่นยำมาแต่โบราณกาล เทศกาลใดที่กลุ่มดาวลูกไก่โคจรอยู่ในระดับสายตา ณ ฟากฟ้าเบื้องบูรพาทิศในยามแรกแห่งราตรี เทศกาลนั้นย่อมเป็นฤดูฝน เทศกาลใดที่กลุ่มดาวกฤติกาโคจรเหนือระดับสายตา เทศกาลนั้นเป็นเทศกาลร้อน เทศกาลใดที่โคจรอยู่ในระดับตรงศีรษะ เทศกาลนั้นเป็นหน้าแล้ง เวลาใดที่กลุ่มดาวกฤติกาโคจรอยู่ในท่ามกลางวงพระจันทร์ เวลานั้นฝนจะตกหนักติดต่อกันถึงเดือนหนึ่ง ถ้าโคจรอยู่ที่ขอบวงพระจันทร์ ฝนจะตกหนักติดต่อกันกึ่งเดือน หากโคจรอยู่นอกและใกล้รัศมีแห่งวงพระจันทร์ ฝนจะตกหนักสัปดาห์หนึ่ง ยิ่งเป็นเทศกาลหน้าฝนก็จะยิ่งทวีคูณ เหตุนี้วิชากุนซือจึงกำหนดหมายให้จำต้องเรียนรู้และเข้าใจความเป็นไปแห่งวิถีโคจรของกลุ่มดาวกฤติกาจนแจ่มแจ้ง จึงจะทำให้ผู้เป็นกุนซือสามารถใช้พลานุภาพแห่งฤดูกาลในการสงครามได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนับเนื่องเป็นพลังจักรวาลได้อีกชนิดหนึ่ง
ขงเบ้งเห็นปรากฏการณ์วิถีโคจรของกลุ่มดาวกฤติกาที่โคจรฝ่าเข้าไปกลาง วงพระจันทร์ จึงรู้ว่าภายในเวลาเดือนนี้ฝนจะตกหนักติดต่อกันถึงเดือนหนึ่ง แต่สุมาอี้นั้นแม้จะรู้ว่าภายในเดือนนี้จะมีฝนตกหนัก แต่มิได้รู้ว่าฝนจะตกหนักเป็นเวลากี่วัน ดังนั้นจึงนำทัพยกไปให้เปลืองแรงทหาร และทำให้ทหารได้ยากลำบากเป็นสาหัส ดังนั้นความรู้ในการอากาศของสุมาอี้จึงด้อยกว่าขงเบ้งอยู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะเหตุนี้ในขณะที่ทหารของสุมาอี้ต้องทุกข์ยากแสนสาหัส เจ็บป่วยตายเป็นอันมาก ม้าศึกตายไปกว่าสามหมื่นตัวนั้น ทหารของขงเบ้งกลับนั่งนอนพักผ่อนออมแรงเป็นที่สบายอยู่ในแดนเมืองฮันต๋ง ความสูญเสียและความยากลำบากต่างกันอย่างลิบลับปานนี้ ย่อมเนื่องเพราะความรู้แจ้งในการอากาศแห่งวิชากุนซือนั่นเอง.
ครั้นขงเบ้งทราบข่าวศึก จึงสั่งทหารให้ไปเรียกเตียวหงีและอองเป๋งเข้ามาพบ แล้วปรารภความให้ทราบว่าบัดนี้วุยก๊กแต่งให้โจจิ๋นและสุมาอี้คุมกองทัพสี่สิบหมื่นยกมาตีเมืองฮันต๋งทางด่านเกี้ยมโก๊ะ เราจะจัดทหารพันหนึ่งให้ท่านทั้งสองยกไปตั้งขัดตาทัพกองทัพวุยก๊กไว้ที่ตำบลตันฉอง แล้วเราจะยกกองทัพหลวงหนุนตามไปในภายหลัง
ทั้งอองเป๋งและเตียวหงีได้ฟังคำสั่งของขงเบ้งดังนั้นก็ตกใจ กล่าวพร้อมกันว่า กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้มีกำลังพลถึงสี่สิบหมื่น และยังกล่าวขานให้เลื่องลือไปว่ากองทัพที่ยกมาประกอบด้วยนายและพลทหารกว่าแปดสิบหมื่นอีก มหาอุปราชจะจัดทหารให้ข้าพเจ้าเพียงพันนาย ไหนเลยจะสามารถสกัดกองทัพใหญ่ของวุยก๊กได้ ถึงแม้จะแบ่งกำลังพลออกไปเฝ้าตามซอกเขาและช่องแคบต่าง ๆ ก็ยังไม่เพียงพอ
ขงเบ้งได้ฟังจึงว่า เหตุที่จัดทหารให้พวกท่านแต่เพียงพันเดียวก็ด้วยเกรงว่าหากจัดทหารมากกว่านี้แล้วก็จะได้ยากลำบากแก่ไพร่พลเปล่า ๆ
อองเป๋งและเตียวหงีได้ยินคำขงเบ้งแล้วหันมามองหน้ากันและกัน มิกล้าที่จะว่ากล่าวประการใดสืบไป
ขงเบ้งเห็นดังนั้นก็รู้ทีว่าสองนายทหารเกรงว่ากำลังพลน้อยจะไม่สามารถต่อสู้กองทัพใหญ่ของวุยก๊กได้ จึงปลอบประโลมใจว่า ท่านทั้งสองอย่าได้แคลงใจ รีบยกทหารไปตามคำของเราเถิด หากแม้นผิดพลาดประการใด ความผิดก็จะตกอยู่แก่เรา หาได้ตกแก่พวกท่านไม่
อองเป๋งและเตียวหงีได้ฟังคำยืนกรานของขงเบ้งจึงคุกเข่าลงกับพื้น คำนับขงเบ้งแล้วว่ามาตรแม้นมหาอุปราชมีความเคียดแค้นชิงชัง ต้องการอาศัยมือข้าศึกสังหารพวกข้าพเจ้าแล้วก็อย่าให้ได้ยากลำบากเลย ขอเชิญมหาอุปราชตัดศีรษะข้าพเจ้าทั้งสองเสียแต่บัดนี้เถิด
ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าซึ่งเราใช้ท่านทั้งสองให้ยกทหารไปสกัดกองทัพวุยก๊กในครั้งนี้ จะเป็นด้วยน้ำใจชังนั้นหามิได้ แต่จะตำหนิพวกท่านก็ไม่ได้ เพราะการในฟ้าอากาศนั้นยากที่พวกท่านจะรู้แจ้งและเข้าใจ
สองนายทหารได้ฟังคำขงเบ้งยืนคำแข็งขัน แต่บ่งบอกความนัยว่ามีเหตุผลที่ลึกล้ำอยู่เบื้องหลังก็หันมาสบตากัน แล้วหันไปมองหน้าขงเบ้งประหนึ่งจะถามว่ามีเหตุผลต้นสายประการใด
ขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่า เมื่อคืนนี้ตัวเราได้สังเกตการณ์บนนภากาศ เห็นกลุ่มดาวกฤติกาโคจรอยู่ในท่ามกลางวงพระจันทร์เหนือขอบฟ้าเบื้องบูรพาทิศ เป็นนิมิตหมายว่าภายในเดือนนี้ฝนจะตกห่าใหญ่ต่อเนื่องกันถึงเดือนหนึ่ง ดังนั้นกองทัพวุยก๊กแม้จะยกพลมาถึงสี่สิบหมื่นก็ไม่อาจฝ่าหุบเขาห้วยหนองและป่ารกชัฎเข้ามาถึงตำบลตันฉองได้ เหตุนี้ถึงจะจัดทหารให้ท่านมากกว่าพันคนก็หาประโยชน์อันใดมิได้ ที่จัดทหารให้ท่านแต่เท่านี่ก็มากพอแล้วเพราะเพียงเพื่อให้ไปสังเกตดูความยากลำบากของข้าศึกให้เห็นแก่ตาเท่านั้น ตัวเราเองก็จะชุมนุมกองทัพใหญ่ไว้ในเมืองฮันต๋ง ให้ทหารพักผ่อนให้เป็นสุขสบายตลอดช่วงเวลาที่ฝนตกหนัก
อองเป๋งและเตียวหงีได้ฟังคำขงเบ้งอรรถาธิบายดังนั้นก็พากันตื่นตะลึง ขงเบ้งจึงกล่าวสืบไปว่าทหารวุยก๊กจะตกระกำลำบากยากแค้นเป็นสาหัสนัก เห็นจะไม่อาจตั้งอยู่ได้นานสืบไป ดีร้ายโจยอยก็อาจเรียกกองทัพกลับไป หรือมิฉะนั้นสุมาอี้ก็จะคิดอ่านเลิกทัพกลับไปเอง นี่ก็คือการดำเนินสงครามซึ่งโบราณว่าไว้ว่า ให้ทหารพักเอาแรง รอโอกาสต่อสู้ข้าศึกที่อ่อนล้าอิดโรยก็จะได้ชัยชนะโดยง่าย ถึงเวลานั้นเราค่อยกรีฑาทัพใหญ่ยกไล่ตามตี เห็นจะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง
อองเป๋งและเตียวหงีได้ฟังคำอธิบายของขงเบ้งสิ้นกระแสความแล้วก็ตื่นจากภวังค์ ต่างคนต่างกระชุ่มกระชวย กล่าวสรรเสริญขงเบ้งว่ามีสติปัญญา รู้การในฟ้าอากาศเสมอด้วยเทพยดา สองนายทหารกล่าวแล้วก็คำนับลาขงเบ้งออกไปจัดแจงทหารแล้วยกไปตำบลตันฉอง
ครั้นอองเป๋งและเตียวหงีออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงสั่งให้เกณฑ์ทหารสิบหมื่นชุมนุมพลไว้ในเมืองฮันต๋ง สั่งให้ตระเตรียมเสบียงอาหาร ฟาง และอาหารม้าให้พร้อมสรรพ และให้ทหารพักผ่อนให้เต็มที่ เตรียมพร้อมที่จะเคลื่อนทัพใหญ่หลังจากฝนสร่างซาแล้ว
ฝ่ายกองทัพวุยก๊กครั้นยกเข้ามาใกล้ตำบลตันฉอง สุมาอี้ไม่เห็นบ้านเรือนผู้คนแม้แต่สักหลังเดียวก็รู้สึกประหลาดใจ พอเห็นชาวบ้านที่พลัดหลงอยู่ครอบครัวหนึ่งจึงสั่งทหารให้เข้าไปสอบถามว่าเหตุใดตำบลนี้จึงร้างราผู้คน ชาวบ้านนั้นได้ตอบว่าเมื่อครั้งที่ขงเบ้งล่าทัพกลับคืนเมืองฮันต๋ง ได้สั่งทหารให้เกณฑ์ชาวบ้านเข้าไปในแดนเมืองฮันต๋ง และให้เผาผลาญบ้านเรือนและหญ้าฟางจนหมดสิ้น
สุมาอี้ทราบดังนั้นจึงปรารภว่า ขงเบ้งทำการทั้งนี้หวังจะตัดเสบียงและเครื่องใช้ไม้สอยที่กองทัพเราพอจะอาศัยเกณฑ์จากชาวบ้านได้ โจจิ๋นได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่าเมื่อบ้านเมืองร้างราอยู่ดังนี้ ชอบที่จะยกกองทัพรุดหน้าไปให้ถึงตำบลตันฉองโดยเร็ว
สุมาอี้แรกรู้ว่าขงเบ้งให้เผาบ้านเรือน เสบียงอาหาร และหญ้าม้าจนหมดสิ้นก็รู้สึกเฉลียวใจ พอได้ฟังคำโจจิ๋นที่เร่งให้ยกกองทัพรุดหน้าฝ่าป่าดงพงชัฎและซอกเขาไปที่ตำบลตันฉองโดยไวก็ได้คิด จึงว่าท่านอย่าเพ่อวู่วาม อันขงเบ้งนั้นมีสติปัญญา รู้การในฟ้าอากาศกระจ่างนัก เมื่อคืนวานนี้ข้าพเจ้าได้ตรวจดูการโคจรของดวงดาวในจักรราศี เห็นกลุ่มดาวกฤติกาโคจรฝ่าอยู่ในท่ามกลางรัศมีพระจันทร์ ณ ฟากฟ้าเบื้องบูรพาทิศในยามแรกของราตรี บ่งบอกว่าภายในเดือนนี้จะมีฝนตกห่าใหญ่ หากรีบรุดยกกองทัพเข้าไปในป่าดงรกชัฏก็จะได้ยากลำบากแก่ทหาร นับเป็นอุกฤติภูมิอันไม่ควรกรีฑาทัพเข้าไปเป็นอันขาด เพราะจะรุดหน้าก็ไม่ได้ จะล่าถอยก็ยากลำบาก
โจจิ๋นจึงถามสุมาอี้ว่า ซึ่งท่านว่าจะมีฝนตกห่าใหญ่นั้น จะตกหนักสักเท่าใด สุมาอี้จึงว่าการในฟ้าอากาศย่อมแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป ฝนจะตกห่าใหญ่วันเดียวหรือกี่วันย่อมอยู่นอกเหนือสติปัญญาความรู้ของมนุษย์ แต่การคิดอ่านป้องกันมิให้ กองทัพได้รับอันตรายนั้นย่อมดีกว่าการรุดหน้าไปโดยประมาทเป็นแน่แท้
โจจิ๋นได้ฟังคำสุมาอี้ดังนั้นก็เห็นด้วย จึงให้ตั้งค่ายพักชั่วคราวเพื่อคอยดูท่วงท่าว่าฝนฟ้าจะตกมากแลน้อยประการใด
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบสามพรรษา เดือนเก้า กองทัพวุยก๊กตั้งค่ายชั่วคราวไว้ในหุบเขา เตรียมจะกรีฑาทัพบุกเข้าตำบลตันฉองเพื่อยกล่วงเข้าไปตีเอาเมืองฮันต๋ง แต่พอตั้งค่ายเสร็จได้สิบสี่วันเมฆฝนบนฟ้าก็มืดครึ้มดุจเวลากลางคืน ฝนห่าใหญ่ได้ตกลงมาไม่ขาดสาย
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า “ฝนบนฟากฟ้าก็ตกกระหน่ำลงมาอย่างหนัก ทุกแห่งชื้นแฉะไปหมด พื้นที่ราบน้ำลึกถึงสามไม้บรรทัด อาวุธยุทโธปกรณ์ล้วนเปียกชื้น คนก็มิอาจนอนได้ ทั้งวันทั้งคืนต่างไม่เป็นสุข ฝนตกกระหน่ำติดต่อกันถึงสามสิบวัน ม้าก็ขาดหญ้ากินตายไปเป็นจำนวนนับมิถ้วน บรรดาทหารต่างก็พากันบ่นด้วยความไม่พอใจ”
ในขณะที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ฝนห่าใหญ่ก็ตกลงมามิได้เหือดถึงสามสิบวัน น้ำในที่นั้นลึกประมาณสามศอก ท่วมเสบียงอาหารเสียสิ้น ทแกล้วทหารก็มิรู้ที่จะอาศัยนั่งนอนแห่งใด ได้ความลำบากก็ร้องไห้อื้ออึงไป”
กองทัพวุยก๊กสี่สิบหมื่นเผชิญความยากลำบากแสนสาหัสอยู่ในท่ามกลางหุบเข้าใกล้ตำบลตันฉอง ม้าอดหญ้าตายไปกว่าสามหมื่นตัว ทหารป่วยเจ็บล้มตายนับหมื่นคน พวกที่เหลือก็อดอยากขาดแคลนจนผอมซูบโซ เพราะเสบียงอาหารแม้มีอยู่ก็ยากที่จะหุงหาอาหารด้วยไร้ฟืนไฟ กิตติศัพท์ความทุกข์ยากของกองทัพวุยก๊กดังก้องไปถึงราชสำนักวุย
พระเจ้าโจยอยครั้นได้ทราบความทุกข์ยากของทหารในกองทัพก็ทรงพระวิตกเป็นทุกข์ร้อนด้วยทหารเหล่านั้น จึงโปรดให้ตั้งการพิธีอ้อนวอนต่อเฮ็กเซียนฮ่องเต้และพระพิรุณเทพขอให้ฝนหยุดตก แต่ก็ไม่เป็นผล
ข่าวความยากลำบากและป่วยเจ็บล้มตายของทหารในกองทัพวุยก๊กระบือแพร่หลายไปทั่วแคว้น ขุนนางอาวุโสหลายคนจึงพร้อมใจกันแต่งฎีกาทูลเกล้าถวายพระเจ้าโจยอย ซึ่งสามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความไว้อย่างน่าฟังว่า
“โบราณว่าไว้ ขนส่งเสบียงอาหารเป็นพันลี้ บรรดานักรบต่างมีสีหน้าหิวโหย เพราะขาดไม้ฟืนที่จะหุงต้ม กองทัพมิได้มีที่พักอาศัยและมิอิ่มหนำสำราญ นี่คือที่กล่าวถึง ผู้ที่เดินทัพในหนทางราบเรียบ แล้วถ้าหากต้องบุกเข้าลึกในพื้นที่มีอันตรายกีดขวางและต้องเจาะทางเข้าไป ก็ยิ่งต้องเพิ่มความเหนื่อยยากลำบากเป็นเท่าตัว บัดนี้ฝนตกกระหน่ำต่อกันตลอดเวลา ทางลาด ภูเขา และที่สูงชันล้วนลื่นไหล บีบบังคับผู้คนมิอาจสำแดงอานุภาพได้ อีกทั้งเสบียงอยู่ห่างไกลและยากที่จะติดต่อส่งไปได้ ซึ่งเป็นเรื่อง มิชอบเป็นอย่างยิ่งในการกรีฑาทัพ ได้ยินกิตติศัพท์ว่าท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดโจจิ๋นได้เคลื่อนทัพไปเป็นแรมเดือน แต่ไปไม่ถึงครึ่งหุบเขา การบุกเบิกสร้างทางย่อมเป็นความดีความชอบใหญ่หลวง แต่บรรดานักรบต้องหยุดปฏิบัติการรบ ทำให้ฝ่ายข้าศึกได้พักเอาแรงแต่ฝ่ายเดียว เพื่อรอกองทัพเราที่เหน็ดเหนื่อยซึ่งเป็นเรื่องที่น่าหวาดกลัวของเหล่านักรบผู้วางแผน หากจะยกเรื่องในยุคก่อนก็คือเรื่องพระเจ้าบู๊อ๋องเมื่อทรงปราบพระเจ้าติ๋วอ๋อง ได้ยกออกจากด่านไปแล้วก็ยังหวนกลับมา หากจะยกเรื่องใกล้ๆ ก็คือเรื่องพระเจ้าวุยอ๋องโจโฉและพระเจ้าโจผีปราบซุนกวน แม้จะเข้าใกล้แม่น้ำแต่ก็ไม่รุกต่อ แล้วไยเราจะไม่รู้กาลเวลา โอนอ่อนตามสวรรค์เปลี่ยนแปลงตามสถานการณ์แล้วตรัสเรียกกองทัพให้ยกกลับมาเมืองลกเอี๋ยงจึงจะควร”
อันดาวกฤติกาหรือกลุ่มดาวลูกไก่นั้น เป็นหนึ่งในยี่สิบเจ็ดกลุ่มดาวนักษัตรที่สถิตประจำอยู่ในจักรราศี เป็นกลุ่มดาวที่บ่งบอกฤดูกาลอันแม่นยำมาแต่โบราณกาล เทศกาลใดที่กลุ่มดาวลูกไก่โคจรอยู่ในระดับสายตา ณ ฟากฟ้าเบื้องบูรพาทิศในยามแรกแห่งราตรี เทศกาลนั้นย่อมเป็นฤดูฝน เทศกาลใดที่กลุ่มดาวกฤติกาโคจรเหนือระดับสายตา เทศกาลนั้นเป็นเทศกาลร้อน เทศกาลใดที่โคจรอยู่ในระดับตรงศีรษะ เทศกาลนั้นเป็นหน้าแล้ง เวลาใดที่กลุ่มดาวกฤติกาโคจรอยู่ในท่ามกลางวงพระจันทร์ เวลานั้นฝนจะตกหนักติดต่อกันถึงเดือนหนึ่ง ถ้าโคจรอยู่ที่ขอบวงพระจันทร์ ฝนจะตกหนักติดต่อกันกึ่งเดือน หากโคจรอยู่นอกและใกล้รัศมีแห่งวงพระจันทร์ ฝนจะตกหนักสัปดาห์หนึ่ง ยิ่งเป็นเทศกาลหน้าฝนก็จะยิ่งทวีคูณ เหตุนี้วิชากุนซือจึงกำหนดหมายให้จำต้องเรียนรู้และเข้าใจความเป็นไปแห่งวิถีโคจรของกลุ่มดาวกฤติกาจนแจ่มแจ้ง จึงจะทำให้ผู้เป็นกุนซือสามารถใช้พลานุภาพแห่งฤดูกาลในการสงครามได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนับเนื่องเป็นพลังจักรวาลได้อีกชนิดหนึ่ง
ขงเบ้งเห็นปรากฏการณ์วิถีโคจรของกลุ่มดาวกฤติกาที่โคจรฝ่าเข้าไปกลาง วงพระจันทร์ จึงรู้ว่าภายในเวลาเดือนนี้ฝนจะตกหนักติดต่อกันถึงเดือนหนึ่ง แต่สุมาอี้นั้นแม้จะรู้ว่าภายในเดือนนี้จะมีฝนตกหนัก แต่มิได้รู้ว่าฝนจะตกหนักเป็นเวลากี่วัน ดังนั้นจึงนำทัพยกไปให้เปลืองแรงทหาร และทำให้ทหารได้ยากลำบากเป็นสาหัส ดังนั้นความรู้ในการอากาศของสุมาอี้จึงด้อยกว่าขงเบ้งอยู่อีกขั้นหนึ่ง เพราะเหตุนี้ในขณะที่ทหารของสุมาอี้ต้องทุกข์ยากแสนสาหัส เจ็บป่วยตายเป็นอันมาก ม้าศึกตายไปกว่าสามหมื่นตัวนั้น ทหารของขงเบ้งกลับนั่งนอนพักผ่อนออมแรงเป็นที่สบายอยู่ในแดนเมืองฮันต๋ง ความสูญเสียและความยากลำบากต่างกันอย่างลิบลับปานนี้ ย่อมเนื่องเพราะความรู้แจ้งในการอากาศแห่งวิชากุนซือนั่นเอง.