ตอนที่ 534. บุกวุยก๊กครั้งที่สอง

พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยเจ็ดสิบเอ็ดพรรษา เดือนสิบเอ็ด หลังจากลกซุนแม่ทัพใหญ่แห่งกังตั๋งได้ชัยชนะต่อกองทัพของวุยก๊กหนึ่งเดือน และเป็นช่วงที่ขงเบ้งกำลังจัดแจงกองทัพจะยกไปตีวุยก๊กครั้งที่สอง จูล่งขุนพลเคี่ยวศึกคู่บุญของพระเจ้าเล่าปี่และขงเบ้งได้สิ้นบุญลงอย่างเงียบสงบ

            บรรดาขุนนางและทหารทั้งปวงทราบข่าวว่าจูล่งสิ้นบุญ และเห็นขงเบ้งร้องไห้อาลัยรักจูล่งเป็นอันมากก็พากันร้องไห้รักจูล่งทุกคน ครั้นสร่างโศกแล้วขงเบ้งจึงสั่งให้บุตรจูล่งทั้งสองคนเชิญศพจูล่งกลับไปเมืองเสฉวน เมื่อถึงเมืองเสฉวนแล้วเตียวกองและเตียวหองได้เข้าไปเฝ้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน กราบบังคมทูลความให้ทรงทราบ

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนพอทราบว่าจูล่งตายก็ทรงพระกันแสงร่ำไห้เป็นอันมาก ด้วยรำลึกว่าชีวิตของพระองค์นั้นรอดปลอดภัยมาได้ถึงทุกวันนี้ก็ด้วยความเสียสละและจงรักภักดีอันยิ่งใหญ่ของจูล่งถึงสองครั้ง ครั้งแรกพระองค์ต้องนอนในอ้อมอกใต้เสื้อเกราะอันร้อนระอุของจูล่ง ในท่ามกลางการรุมล้อมโจมตีของทหารโจโฉหลายชั่วยาม ในครั้งนั้นจูล่งมิได้เกรงกลัวต่อความตาย ต่อสู้อย่างทรหดอดทนเพียงเพื่อหวังปกป้องพระองค์ให้ไปถึงมือพระเจ้าเล่าปี่ และหวุดหวิดจะเสียทีแก่ข้าศึกเป็นหลายครั้ง แต่ด้วยความกล้าหาญจูล่งจึงปกป้องชีวิตพระองค์จนไปถึงอ้อมอกของพระเจ้าเล่าปี่ได้โดยปลอดภัย แม้ในครั้งที่สองเล่าชาวเมืองกังตั๋งแต่งกลอุบายลวงเอานางซุนฮูหยินให้พาพระองค์หนีเล่าปี่ออกจากเมืองเกงจิ๋วกลับไปเมืองกังตั๋งเพื่อเอาเป็นตัวประกัน ชีวิตของพระองค์หวุดหวิดจะตกอยู่ในเงื้อมมือของซุนกวน แต่จูล่งก็ใช้เพียงเรือน้อยปรี่ออกจากฝั่ง กระโจนขึ้นไปบนเรือใหญ่ แล้วแย่งเอาพระองค์มาจากเงื้อมมือชาวเมืองกังตั๋ง แม้กระนั้นทั้งจูล่งและพระองค์ก็ยังคงอยู่บนเรือใหญ่ที่กำลังออกทะเลกลับไปเมืองกังตั๋ง ไม่อาจเข้าสู่ฝั่งได้ ยามคับขันนั้นเดชะบุญเตียวหุยยกกองเรือมาช่วย ชีวิตของพระองค์จึงรอดอันตรายครั้งสำคัญมาได้อีกครั้งหนึ่ง และตลอดระยะเวลาอันยาวนานแห่งพระชนม์ชีพของพระเจ้าเล่าปี่ ก็ได้ประจักษ์ว่าจูล่งแม้ไม่ใช่น้องร่วมสาบาน แต่มีความซื่อสัตย์จงรักภักดีและอุทิศทุกสิ่งอย่างเพื่อราชวงศ์ฮั่น แม้สิ้นบุญพระเจ้าเล่าปี่แล้วจูล่งก็ยังคงยึดมั่นในคำสั่งเสียของพระเจ้าเล่าปี่อย่างซื่อสัตย์ไม่คลอนแคลน ไม่เคยเห็นแก่ความเหนื่อยยากลำบาก ไม่เคยหวงแหนแม้แต่ชีวิตของตน หรือความผาสุขของ ครอบครัวในยามบั้นปลายของชีวิต ไม่ว่าศึกเหนือเสือใต้จูล่งเป็นอันเดือดร้อนและอาสาศึกทุกครั้งไป หนวดเครายาวขาวโพลนดุจไหมเงิน เสื้อเกราะสีเงิน และคมทวนที่ยังเคยแกร่งกล้าแคล่วคล่องในวัยหนุ่ม ภายใต้ผืนธงประจำตัวยอดทหารเสือ “จูล่งชาวเสียงสาน” ยังคงเป็นที่ครั่นคร้ามแก่ข้าศึกทุกทิศานุทิศ แม้ว่าจะทรงตระหนักว่าทุกคนเกิดมาแล้วย่อมไม่พ้นความตาย และจูล่งอยู่ในวัยชราอายุกว่าเจ็ดสิบปีแล้ว ย่อมต้องถึงแก่ความตายในสักวันหนึ่ง แต่เมื่อวันนั้นมาถึงเข้าจริง ๆ ก็ยังนอกเหนือความคาดคิดอยู่นั่นเอง พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงทรงพระกันแสงอาลัยรักจูล่งเป็นอันมาก

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนหยุดกันแสงแล้วจึงตรัสสั่งให้แต่งการศพของจูล่งอย่างยิ่งใหญ่ สมเกียรติ และให้เอาศพของจูล่งไปฝังไว้ที่สุสานวีรชนเมืองเสฉวน และโปรดเกล้าให้สร้างศาลเทพารักษ์จูล่งให้ผู้คนซึ่งมีน้ำใจศรัทธาได้บูชากราบไหว้ ซึ่งยังคงเหลือร่องรอยอยู่ถึงทุกวันนี้

            หลังจากเสร็จการศพของจูล่งแล้ว พระเจ้าเล่าเสี้ยนจึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้บุตรของจูล่งทั้งสองคนเป็นนายทหารผู้ใหญ่ และปูนบำเหน็จปลอบใจแก่ผู้คนในครอบครัวของจูล่งเป็นอันมาก

            ฝ่ายขงเบ้งหลังจากจัดแจงแต่งกองทัพพร้อมแล้ว จึงทำฎีกากราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนว่า ตามที่มีพระบรมราชโองการสั่งให้ยกกองทัพไปปราบปรามวุยก๊กนั้น บัดนี้ได้จัดแจงแต่งกองทัพพร้อมแล้ว จึงขอรับพระราชานุญาต “ยกทหารไปกำจัดศัตรูเสีย ให้อาณาประชาราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ตามซึ่งได้รับปฏิญาณพระเจ้าเล่าปี่ไว้”

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ทอดพระเนตรฎีกาของขงเบ้งแล้ว จึงมีพระบรมราชโองการอนุญาตให้ขงเบ้งยาตราทัพบุกวุยก๊กครั้งที่สอง พอขงเบ้งได้รับพระบรมราชานุญาตจึงตั้งให้อุยเอี๋ยนเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า ตัวขงเบ้งคุมกองทัพหลวงยกพลสามสิบหมื่นบุกเข้าสู่แดนวุยก๊กทางตำบลตันฉอง

            ครั้นพระเจ้าโจยอยได้รับทราบข่าวศึกจึงเรียกสุมาอี้และขุนนางทั้งปวงมาปรึกษาว่าจะคิดอ่านรับศึกจ๊กก๊กครั้งนี้ประการใด

            โจจิ๋นซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ได้ฟังคำปรึกษาของพระเจ้าโจยอยแล้ว จึงถวายบังคมกราบทูลว่า “แต่ก่อนโปรดให้ข้าพเจ้าไปรักษาเมืองหลงเสนั้นก็หาความชอบมิได้ มีโทษอยู่เป็นหลายครั้ง ข้าพเจ้ามิได้ทำการแก้ตัวก่อน ครั้งนี้ข้าพเจ้าจะขออาสายกทหารไปทำการเอาชัยชนะจงได้ แลอองสงนั้นเป็นคนมีฝีมือ ถือง้าวหนักหกสิบชั่ง ซ่อนลูกขลุบไปได้ในเสื้อถึงสามลูก ทิ้งข้าศึกนั้นก็แม่นยำนัก ข้าพเจ้าจะขอเอาไปเป็นทัพหน้าด้วย”

            พระเจ้าโจยอยได้ฟังกราบทูลดังนั้นจึงตรัสสั่งให้หาอองสงเข้ามาหน้าพระที่นั่ง   สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าอองสงผู้นี้ “มีตัวสูงหกศอก หน้าดำ ตาแดง พูดจาโฮกฮาก กิริยาอาการลักษณะเหมือนเสือ”

            พระเจ้าโจยอยทอดพระเนตรเห็นอองสงก็ทรงพอพระทัย ถึงขนาดตบพระหัตถ์แย้มพระสรวล แล้วตรัสว่าเมืองเรามีทหารซึ่งทรงพลังเข้มแข็งดังอองสงเช่นนี้ เหมือนกับเมื่อครั้งที่พระเจ้าวุยอ๋องได้เตียนอุยไว้เป็นยอดขุนพลข้างกาย จะเกรงกลัวอันใดกับข้าศึกอีกเล่า

            ตรัสแล้วพระเจ้าโจยอยจึงพระราชทานเกราะทองและเสื้อยศขุนนางผู้ใหญ่ให้แก่อองสง และมีพระบรมราชโองการตั้งให้โจจิ๋นเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้นและตั้งให้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพไปรับศึกขงเบ้ง และให้อองสงเป็นแม่ทัพกองทัพหน้า

            โจจิ๋นถวายบังคมขอบพระทัยพระเจ้าโจยอยแล้ว รับเอาตราตั้งตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดแห่งแคว้น แล้วถวายบังคมลาพร้อมกับพาอองสงไปที่ศาลาบัญชาการทหารในเพลานั้น

            ครั้นไปถึงศาลาว่าราชการทหาร โจจิ๋นจึงเรียกบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาพร้อมกัน จัดแจงทหารเตรียมจะยกกองทัพไปรบกับขงเบ้ง ให้เตียวคับและโกฉุยยกทหารไปรักษาด่านตลอดแนวตันฉองป้องกันกองทัพขงเบ้งมิให้รุกล้ำเข้ามาได้ โจจิ๋นเองคุมทหารสิบห้าหมื่น มีอองสงเป็นกองทัพหน้า โจจิ๋นเป็นกองทัพหลวง ยกออกจากเมืองลกเอี๋ยงตรงไปทางตำบลตันฉอง

            ฝ่ายขงเบ้งครั้นยกกองทัพใกล้ถึงตำบลตันฉอง หน่วยสอดแนมได้มารายงานว่า  เส้นทางที่จะเดินทัพไปตำบลตันฉองนั้นมีทหารของวุยก๊กมาตั้งค่ายขัดตาทัพอยู่ ที่ปากทางเข้าได้ก่อกำแพงสูงใหญ่มั่นคง พระเจ้าโจยอยได้โปรดให้เฮ็กเจียวคุมทหารมารักษาค่ายและตำบลตันฉองไว้

            แม่ทัพนายกองได้ยินรายงานดังนั้นก็เสนอว่า ซึ่งจะยกกองทัพไปทางตำบลตันฉองครั้งนี้เห็นขัดสน เพราะข้าศึกรู้ตัวเตรียมป้องกันไว้อย่างแน่นหนา ชอบที่จะยกกองทัพไปทางตำบลแปะเฉียตรงไปที่เขากิสานจึงจะสะดวก

            ขงเบ้งได้ฟังจึงว่า “อันตำบลตันฉองนี้เป็นที่สำคัญใหญ่หลวง กับเกเต๋งนั้นก็เหมือนกัน แม้ว่าเราได้ตันฉองนี้แล้วจะทำการต่อเข้าไปเอาเมืองลกเอี๋ยงก็จะได้โดยง่าย อันจะถอยไปเดินทัพทางแปะเฉียนั้นมิได้”

            แล้วขงเบ้งจึงสั่งให้อุยเอี๋ยนยกกองทัพหน้าเข้าตีตำบลตันฉอง อุยเอี๋ยนรับคำสั่งแล้วจึงยกทหารเข้าตีจะหักเอาตำบลตันฉอง แต่เฮ็กเจียวใช้ให้ทหารสู้รบป้องกันตำบลตันฉองไว้เป็นสามารถ และเพราะเหตุที่วุยก๊กได้ก่อกำแพงตั้งหลักรับมืออยู่ก่อนแล้ว จึงตั้งอยู่ในชัยภูมิที่ได้เปรียบ อุยเอี๋ยนเข้าหักเอาตำบลตันฉองถึงสี่ห้าวันก็ไม่สำเร็จ จึงให้ทหารตั้งค่ายประชิดตำบลตันฉองไว้ แล้วอุยเอี๋ยนได้กลับมาหาขงเบ้ง รายงานความทั้งปวงให้ทราบ

            ขงเบ้งได้ฟังรายงานของอุยเอี๋ยนก็โกรธ กล่าวว่า “ตัวเป็นแม่กองหน้ายกมาทำการหวังจะตีเอาเมืองลกเอี๋ยงอีก แต่ตำบลตันฉองเท่านี้ยังตีมิแตก แล้วที่ไหนจะทำการใหญ่หลวงสืบไปได้เล่า”

            กล่าวแล้วขงเบ้งจึงสั่งทหารให้คุมตัวอุยเอี๋ยนเอาไปประหารชีวิต อุยเอี๋ยนได้ยินคำสั่งก็ฮึดฮัดด้วยความโกรธ ในทันใดนั้นกิมเซียงซึ่งเป็นนายทหารได้คุกเข่าทัดทานกับขงเบ้งว่า ขออย่าเพิ่งประหารชีวิตอุยเอี๋ยน ข้าพเจ้ามีความจะรายงานให้ท่านทราบ

            ขงเบ้งได้ยินดังนั้นจึงโบกมือห้ามทหารซึ่งคุมตัวอุยเอี๋ยนให้หยุดอยู่ก่อน แล้วหันมาถามกิมเซียงว่า ท่านมีความสิ่งใดจงว่ามาเถิด

            กิมเซียงจึงว่า ข้าพเจ้ามาทำราชการอยู่ด้วยท่านนานช้าแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสทำความชอบสิ่งใดเลย ข้าพเจ้าขออาสาไปว่ากล่าวเฮ็กเจียวให้ออกมายอมอ่อนน้อมต่อท่าน ด้วยเฮ๊กเจียวนี้มีความคุ้นเคยใกล้ชิดสนิทสนมกับข้าพเจ้ามาแต่น้อยด้วยกัน หากข้าพเจ้าออกไปว่ากล่าว เห็นเฮ็กเจียวจะยอมตาม ท่านก็จะไม่ต้องลำบากในการยึดตำบลตันฉองสืบไป

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวว่าหากท่านสามารถเกลี้ยกล่อมเฮ็กเจียวให้ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี ความชอบก็จะมีแก่ท่านเป็นอันมาก แล้วขงเบ้งจึงอนุญาตให้กิมเซียงออกไปหาเฮ็กเจียว และให้ยกโทษอุยเอี๋ยนเสีย

            ครั้นกิมเซียงเดินทางไปถึงหน้าค่ายตำบลตันฉอง จึงร้องบอกแก่ทหารซึ่งรักษาหน้าที่ว่าตัวเรานี้มีชื่อว่ากิมเซียง เป็นเพื่อนกับเฮ็กเจียว มีความรำลึกถึงจึงเดินทางมาเยี่ยมเยือน ทหารซึ่งรักษาหน้าที่จึงนำความไปแจ้งให้เฮ็กเจียวทราบ ครั้นเฮ๊กเจียวทราบว่ากิมเซียงมาหาจึงออกมาต้อนรับแล้วถามว่า เพื่อนเกลอมาหาข้าพเจ้าด้วยกิจธุระสิ่งใดหรือ

            กิมเซียงจึงว่า ตัวข้าพเจ้ารับราชการอยู่ในพระเจ้าเล่าเสี้ยน ซึ่งสืบสายมาแต่พระเจ้าฮั่นโกโจอันประเสริฐ ได้กิตติศัพท์ว่าท่านมารักษาตำบลตันฉองอยู่ จึงอาสาขงเบ้งมาว่ากล่าวเชิญชวนให้ท่านไปทำราชการอยู่ด้วยกัน

            เฮ็กเจียวได้ฟังคำกิมเซียงสิ้นคำลงก็โกรธ ลุกขึ้นยืนหน้านิ่วคิ้วขมวดแล้วกล่าวว่า “ตัวท่านไปเป็นข้าพระเจ้าเล่าเสี้ยน ตัวเราก็เป็นข้าของพระเจ้าโจยอย ได้กินเบี้ยหวัดผ้าปีของเจ้าด้วยกัน บัดนี้พระเจ้าเล่าเสี้ยนกับเจ้าเราก็เป็นข้าศึกกัน ตัวท่านกับเราต่างคนต่างก็เจ็บร้อนด้วยเจ้า ถ้อยทีเป็นข้าศึกกันอยู่ ซึ่งท่านจะมาเจรจาด้วยเรานั้นพูดกันมิเต็มปาก ไปเสียเถิด”

            กล่าวแล้วเฮ็กเจียวก็ตัดบท ลุกเข้าไปข้างใน มิได้อำลาหรือไว้เยื่อใยไมตรีใด ๆ ต่อไปอีก ทหารองครักษ์ของเฮ็กเจียวเห็นดังนั้นจึงขับกิมเซียงกลับออกไป

            กิมเซียงออกมาถึงนอกกำแพงตำบลตันฉองแล้ว แลขึ้นไปบนหอรบเห็นเฮ็กเจียวยืนอยู่ จึงร้องกล่าวไปว่า “น้องเราเป็นไฉนได้ดีแล้วไม่คิดถึงความรักมาแต่หลังบ้างเลย บากหน้าเสียง่าย ๆ ไม่อินังกัน”

            เฮ็กเจียวได้ยินก็ร้องตอบกลับมาว่า “อันประเพณีเราเป็นข้าเจ้าแผ่นดิน ได้กินเบี้ยหวัดผ้าปีแล้ว ก็ตั้งใจภักดีสนองคุณเจ้าตราบเท่าสิ้นชีวิต จึงจะนับว่าชาย ท่านอย่ามาว่าเซ้าซี้อยู่เลย เร่งไปบอกขงเบ้งให้ยกทหารรีบเข้ามาตีเราเถิด ถ้ามิไปบัดนี้เราจะให้ทหารเอาเกาทัณฑ์ยิงให้ตายเสีย”

            กิมเซียงได้ยินคำเฮ็กเจียวตัดเยื่อไม่เหลือใยไมตรี แล้วฟังคำขู่ดังนั้นแล้ว เห็นว่าซึ่งจะเจรจาต่อไปก็ไร้ประโยชน์ ดีร้ายก็อาจเป็นอันตรายด้วยคมเกาทัณฑ์ จึงขี่ม้ากลับไปหาขงเบ้ง แล้วรายงานความให้ทราบทุกประการ

            ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็โกรธ และกล่าวว่าเฮ็กเจียวกล่าวความฉะนี้โอหังบังอาจนัก จะได้เห็นดีกัน กล่าวแล้วขงเบ้งจึงให้หน่วยสอดแนมไปพาชาวบ้านซึ่งเป็นคนพื้นที่เข้ามาหา แล้วถามว่าซึ่งเฮ็กเจียวมารักษาตำบลตันฉองนี้ มีทหารมากแลน้อยเท่าใด

            ชาวบ้านจึงแจ้งว่าตำบลตันฉองนี้มีแต่กำแพงสูงใหญ่ แม้จะดูมั่นคงน่าเกรมขามแต่ทหารซึ่งอยู่รักษาตำบลตันฉองกับเฮ็กเจียวมีเพียงประมาณสามพันคนเท่านั้น ขงเบ้งได้ยินดังนั้นก็มีความยินดี กล่าวว่าเฮ็กเจียวมีทหารเพียงเท่านี้หรือจะต้านทานเราได้ ว่าแล้วก็สั่งทหารให้เตรียมบันได พะอง และเชือกเป็นอันมากสำหรับบุกขึ้นไปบนกำแพงตำบลตันฉอง

            ครั้นรุ่งขึ้นขงเบ้งก็สั่งให้ทหารใช้บันได พะอง และเชือกหักขึ้นไปบนกำแพง  เฮ็กเจียวเห็นดังนั้นก็ให้ทหารเอาคบเพลิงเผาบันได พะอง และยิงเกาทัณฑ์สกัดกั้นไว้.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘