ตอนที่ 533. จูล่งสิ้นบุญ
จิวหองลวงให้วุยก๊กยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งแล้วยังลวงให้โจฮิววางใจ ถอดกากุ๋ยออกจากตำแหน่งแม่ทัพแล้วยกไปที่ตำบลเซ็กเต๋ง จึงถูกลกซุนซุ่มทหารไว้ดัก โจมตี โจฮิวจึงวางแผนแก้กลจะล่อกองทัพของชีเซ่งให้เข้ามาในหุบเขา แล้วรุมตีกระหนาบเพื่อจะตีฝ่าออกไปทางปลายซอกเขา
เตียวเภาและสีเกี๋ยวสองนายทหารของโจฮิวรับคำสั่งแล้วออกไปจัดแจงทหาร ครั้นเวลาค่ำลงก็ยกทหารจะไปตั้งซุ่มตามแผนการของโจฮิว
ฝ่ายลกซุนครั้นได้ทราบรายงานว่ากองทัพของโจฮิวติดกับดักอยู่ในช่องเขาตำบลเซ็กเต๋ง และกองทัพของชีเซ่งได้ตีสกัดไม่ให้กองทัพของโจฮิวออกมาจากซอกเขาได้แล้ว ในบ่ายวันนั้นลกซุนจึงเรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกัน แล้วออกคำสั่งให้จูหวนและจวนจ๋องคุมทหารเป็นสองกอง กองละสามหมื่นคน ยกเข้าไปในซอกเขาเข้าตีค่ายของโจฮิว ให้ชีเซ่งแบ่งทหารไปคอยสกัดโจมตีกองทัพของโจฮิวซึ่งจะแตกหนีไปทางตำบลเหียบเส็บ ส่วนลกซุนจะยกกองทัพหลวงสกัดทางถอยของกองทัพโจฮิวไม่ให้ถอยกลับมาทางด้านหลังได้ และสั่งว่าให้ถือสัญญาณเพลิงเป็นสำคัญ ถ้าเห็นเป็นทีแล้วก็ให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้น เมื่อทหารทุกกองเห็นเพลิงสัญญาณก็ให้รุกจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน
ครั้นเวลาพลบค่ำกองทัพของลกซุน จูหวน และจวนจ๋อง ก็ยกไปถึงตำบลเซ็กเต๋ง
ฝ่ายเตียวเภายกกองทัพไปถึงที่หมายเป็นเวลาปลายยามหนึ่ง เห็นทหารของจูหวนยกมา แต่เห็นเครื่องแต่งกายกันไม่ถนัด สำคัญว่าเป็นทหารพวกเดียวกันกลับจากลาดตระเวน จึงขี่ม้าออกไปข้างหน้าจะไต่ถามว่าการลาดตระเวนทราบข่าวคราวประการใด
พอเตียวเภาเข้าไปใกล้จูหวนและเอ่ยปากถาม ในทันใดนั้นจูหวนก็เอาง้าวฟันถูกเตียวเภาตกม้าตาย จูหวนเห็นได้ทีก็สั่งทหารให้โจมตีทหารของเตียวเภา ทหารของเตียวเภาเห็นนายทัพเสียทีถึงแก่ความตายก็พากันแตกตื่นตกใจ วิ่งหนีเหยียบกันเองเป็นอลหม่าน
จูหวนเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ จวนจ๋องเห็นสัญญาณเพลิงก็ยกทหารหนุนเข้าตีทหารวุยก๊ก จูหวนเห็นสีเกี๋ยวคุมทหารยกมาอีกกองหนึ่ง จึงขี่ม้านำหน้าทหารเข้ารบกับสีเกี๋ยว ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้เพียงสิบเพลง สีเกี๋ยวเห็นกำลังข้าศึกหนุนเนื่องมาเป็นอันมาก จึงพาทหารแตกหนีไป
จูหวนและจวนจ๋องเห็นดังนั้นจึงคุมทหารรุกเข้าตีค่ายโจฮิว ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ แต่โจฮิวนั้นรู้ตัวดีว่าตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก หากจะต่อสู้นานไปก็อาจตกเป็นเชลย ดังนั้นพอได้โอกาสโจฮิวจึงอาศัยความมืดพาทหารตีฝ่าวงล้อมหนีออกจากปลายซอกเขาได้ แล้วพาทหารหนีไปทางตำบลเหียบเส็บ ทหารของ โจฮิวที่หนีไม่ทันก็ถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารเมืองกังตั๋งยึดศาสตราวุธและจับเชลยศึกที่เป็นทหารของโจฮิวได้เกือบหมดสิ้น
โจฮิวพาทหารหนีไปจนถึงตำบลเหียบเส็บก็ปะทะกับชีเซ่งซึ่งคุมทหารยกไปตั้งสกัดอยู่ก่อนแล้ว ชีเซ่งเห็นโจฮิวพาทหารหนีมาตามความคาดคิดของลกซุนจึงยกทหารเข้าโจมตีกองทหารของโจฮิว และฆ่าฟันทหารโจฮิวบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก โจฮิวเห็นจะสู้ไม่ได้จึงขี่ม้าหนีไปตามซอกเขาแต่ผู้เดียว
โจฮิวขี่ม้าหนีไประยะหนึ่งเห็นทหารกองหนึ่งยกสวนมาก็ตกใจ สำคัญว่าเป็นทหารเมืองกังตั๋ง จึงแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างทาง แต่พอทหารกองนั้นยกเข้ามาใกล้ก็จำได้ว่าเป็นกากุ๋ยก็มีความยินดี รีบขี่ม้าเข้าไปหาแล้วแจ้งความทั้งปวงให้กากุ๋ยทราบ พลางกล่าวขอโทษกากุ๋ยที่หลงเชื่อจิวหอง
กากุ๋ยมิได้ถือโทษโกรธขึ้ง คงคำนับโจฮิวเป็นอันดี แล้วรีบพาโจฮิวหนีไปตามทางลัด ไปหาสุมาอี้ แล้วโจฮิวจึงรายงานความทั้งปวงให้สุมาอี้ทราบ และว่าการทั้งนี้เราเสียทีแก่ข้าศึกก็เพราะหลงเชื่อจิวหอง
สุมาอี้ได้ทราบความดังนั้นก็เห็นว่าจิวหองซึ่งเป็นต้นคิดตัวการให้วุยก๊กยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งเป็นแต่เพียงไส้ศึกที่ล่อลวงกองทัพวุยก๊กให้ยกมา จึงคิดว่าถ้าหากขืนยกกองทัพรุกต่อไปก็ยิ่งหลงเข้าไปในกลของชาวกังตั๋ง ทั้งการที่กองทัพหน้าเสียทีมาครั้งนี้เป็นการเสียฤกษ์ชัยของกองทัพ ขืนทำสงครามต่อไปก็ยากที่จะได้ชัยชนะ คิดดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้ถอยทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายจูหวนและจวนจ๋องครั้นได้ชัยชนะแก่กองทัพของโจฮิวแล้ว ก็คุมตัวเชลยศึกเกือบสามหมื่นคนและศาสตราวุธทั้งปวงยกไปที่กองทัพหลวงของลกซุน และรายงานความทั้งปวงให้ทราบ
ลกซุนทราบความแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก แต่เพราะได้ทราบกิตติศัพท์ว่ากองทัพวุยก๊กยังมีความเข้มแข็งและเตรียมพร้อมรบอยู่ ถ้าหากจะยกกองทัพรุกไล่ตามตีเข้าไปในแดนวุยก๊กเห็นจะไม่ได้ชัยชนะ จึงสั่งให้สำรวจตรวจไพร่พล ศาสตราวุธและเสบียงอาหาร เสร็จแล้วสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง และให้ม้าเร็วรีบนำความไปรายงานให้ซุนกวนทราบก่อน
ฝ่ายซุนกวนพอทราบว่าลกซุนได้รับชัยชนะและกำลังยกกองทัพกลับมาก็มีความ ยินดี พาขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปคอยต้อนรับลกซุนที่นอกประตูเมือง ครั้นเห็นลกซุนคุมกองทัพยกมาถึง ซุนกวนจึงกล่าวกับทหารทั้งปวงว่า “ซึ่งจิวหองมีความชอบทำกลล่อลวงข้าศึกจนตัดผมเสีย เอาชัยชนะได้ครั้งนี้นั้น ตั้งให้เป็นกวนไล่เหาขุนนางในทำเนียบ”
จากนั้นซุนกวนจึงสั่งให้ปูนบำเหน็จแก่ทแกล้วทหารที่มีความชอบในสงครามเป็นอันมาก
วันหนึ่งลกซุนจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวน แล้วกราบทูลว่ากองทัพเราทำสงครามกับวุยก๊ก ต่างฝ่ายต่างบอบช้ำ แต่ฝ่ายจ๊กก๊กนั้นกำลังยังสดชื่นอยู่ ชอบที่จะบั่นทอนกำลังของจ๊กก๊กลง จึงควรที่พระองค์จะได้แต่งหนังสือไปถึงเมืองเสฉวน แจ้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง แล้วพระองค์จะยกกองทัพตีขึ้นไปจากด้านใต้ หากได้รับชัยชนะก็จะแบ่งแผ่นดินกันคนละครึ่ง หากกองทัพเสฉวนปราชัยแก่ข้าศึก ดุลอำนาจสงครามของแต่ละฝ่ายก็จะใกล้เคียงกัน เมืองกังตั๋งก็จะไม่มีอันตราย
พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ จึงแต่งหนังสือถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามแผนการของลกซุนทุกประการ
ฝ่ายโจฮิวหลังจากพ่ายแพ้เสียทีแก่ง่อก๊กแล้ว ให้ได้ความอัปยศเป็นอันมาก ความรู้สึกที่ถูกจิวหองหลอกลวงยิ่งอัปยศซ้ำ ให้ละอายแก่ใจว่าเสียเชิงชายยิ่งนัก โจฮิวจึงตรอมใจและป่วยมาตลอดทาง พอมาถึงเมืองลกเอี๋ยงอาการไข้ของโจฮิวก็หนักขึ้นและถึงแก่ความตาย พระเจ้าโจยอยจึงโปรดเกล้าให้แต่งการศพของโจฮิวและนำไปฝังตามประเพณี
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นยกกองทัพกลับไปถึงเมืองลกเอี๋ยง บรรดาขุนนางก็เข้ามาถามข่าวคราว ขุนนางบางคนได้ถามว่าโจฮิวยกทหารเป็นกองทัพหน้าไปรบกับชาวเมืองกังตั๋งพ่ายแพ้เสียทหารแตกหนีกลับมา ก็เป็นประเพณีการสงคราม แต่กองทัพหลวงของท่านยังมิได้ปะทะกับข้าศึก ทหารทั้งปวงยังบริบูรณ์อยู่ ไฉนจึงล่าถอยทัพกลับมาด้วยเล่า
สุมาอี้จึงว่า “ซึ่งยกมาทั้งนี้เพราะคิดว่ากองทัพเราเสียทีแล้ว เกลือกขงเบ้งจะรีบยกกองทัพมาตีเอาเมืองเตียงอัน ระวังหลังอยู่จึงกลับมา”
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำสุมาอี้ก็รู้สึกเหมือน ๆ กันว่าสุมาอี้ผู้นี้เป็นคนรักตัวกลัวตาย หนีข้าศึกกลับมาแล้วยังเจรจาโอ้อวดยกตนเอาความชอบอยู่อีก หลังจากวันนั้นแล้วบรรดาขุนนางก็พากันหัวเราะเยาะสุมาอี้ มิได้นับถือยำเกรงอีกต่อไป
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นได้รับหนังสือจากซุนกวนแล้วจึงโปรดให้อาลักษณ์เปิดหนังสือออกอ่าน เป็นใจความว่าพระเจ้าซุนกวนแห่งเมืองกังตั๋งขออวยพรมาถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยน ด้วยเราได้ให้ลกซุนเป็นแม่ทัพยกทหารไปปราบปรามกองทัพของพระเจ้าโจยอย เป็นเหตุให้โจฮิวซึ่งเป็นญาติวงศ์ของพระเจ้าโจยอยถึงแก่ความตาย แม้สุมาอี้ผู้เป็นแม่ทัพก็แตกหนีกลับไปเมือง ชาววุยก๊กต่างพากันเกรงกลัวทหารเมืองกังตั๋งเป็นอันมาก แลพระองค์นั้นเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถ มีพระเกียรติยศเกริกก้อง ทั้งทหารก็พร้อมบริบูรณ์ “ควรเราทั้งสองเมืองจะเป็นแผ่นดินเดียวกันโดยราชไมตรี”
ในหนังสือของพระเจ้าซุนกวนมีความต่อไปว่า บัดนี้กองทัพเมืองลกเอี๋ยงอ่อนล้าอิดโรยลงเป็นอันมากแล้ว ขอให้พระองค์ยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงเถิด กองทัพเมืองกังตั๋งจะยกหนุนตีกระหนาบไปจากทางใต้ เห็นจะได้เมืองโดยง่าย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทราบความในหนังสือของซุนกวนแล้วก็มีพระทัยยินดี ตรัสสั่งให้ทำพระบรมราชโองการส่งไปให้แก่ขงเบ้งซึ่งยังคงตั้งทัพอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ให้ยกกองทัพไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยง
ขงเบ้งได้รับพระบรมราชโองการแล้วต้องด้วยใจที่ยังผูกความเจ็บแค้นต้องการแก้แค้นวุยก๊กอยู่ จึงรีบสั่งจัดแจงกองทัพเพื่อรอคอยวันเวลาฤกษ์ แล้วจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กต่อไป
วันหนึ่งในขณะที่คอยฤกษ์อยู่นั้น ขงเบ้งเรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงที่ศาลาว่าราชการเมืองฮันต๋ง วันนั้นเป็นเวลาสาย ขณะที่ขงเบ้งนั่งอยู่บนที่ว่าราชการ แลออกไปข้างหน้าเห็นกิ่งสนใหญ่แกว่งไหวผิดปกติก็นิ่งจ้องมอง ในทันใดนั้นก็มีลมหัวด้วนพัดหมุนมาต้องกิ่งสนใหญ่นั้นหักสะบั้นลง แม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงซึ่งอยู่ในศาลาว่าราชการต่างพากันตกใจว่าจะเกิดเหตุร้ายดีประการใด
ขงเบ้งรีบนับนิ้วจับยามตามคัมภีร์อี้จิง ครู่หนึ่งสีหน้าก็แสดงอาการตกใจ ซีดเผือดลง ลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว พลางกล่าวว่า “บัดนี้ทหารเอกเขี้ยวศึกของเจ้าเราตายเสียแล้ว”
ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำก็เห็นทวนเล่มใหญ่ที่ปักอยู่ในแผงศาสตราวุธในศาลาว่าราชการทหารสั่นไหวไกวแกว่ง ใจก็ประหวัดถึงจูล่ง นึกขึ้นในใจว่าลางร้ายครั้งนี้บอกเหตุว่ายอดทหารเสือของนายเราที่ถึงแก่ความตายนั้นเห็นจะเป็นจูล่งเป็นมั่นคง
ขงเบ้งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทหารรักษาการณ์ก็วิ่งเข้ามารายงานว่า บัดนี้เตียวกองและเตียวหองซึ่งเป็นบุตรของจูล่งได้มาที่ศาลาว่าราชการ จะมาขอพบมหาอุปราชเป็นการเร่งด่วน
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่า “ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็รู้ว่าจูล่งถึงแก่ความตาย กระทืบเท้าทิ้งจอกสุราลงเสีย”
พอดีเตียวกองและเตียวหองบุตรทั้งสองของจูล่งได้เข้ามาถึงหน้าที่ว่าราชการ เห็นขงเบ้งก็ร้องไห้และคุกเข่าลงคำนับ แล้วกล่าวว่าเมื่อคืนนี้เวลายามสาม จูล่งผู้เป็นบิดาของข้าพเจ้าได้ถึงแก่กรรมแล้ว
ขงเบ้งฟังสิ้นคำก็ร้องไห้ แล้วรู้สึกหน้ามืดตาลายวิงเวียนศีรษะ อาเจียนออกมาเป็นโลหิตแล้วสิ้นสติสมประดีล้มสลบลง ณ ที่นั้น แม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันวิ่งเข้ามาพยุงขงเบ้งขึ้นไปนั่งบนที่ว่าราชการ แล้วช่วยกันแก้ไขจนขงเบ้งฟื้นคืนสติสมประดี
พลันที่ลืมตาขงเบ้งก็กล่าวว่า “อันจูล่งถึงแก่ความตายนี้ เหมือนหนึ่งแขนซ้าย พระเจ้าเล่าเสี้ยนหัก ด้วยเป็นนายทหารผู้ใหญ่เคี่ยวศึกมา”
อา! ยอดทหารเสือผู้แกร่งกล้าเกรียงไกร มีความงดงามทั้งรูปกาย เรือนใจ และจิตใจที่จงรักภักดีมั่นคงต่อพระเจ้าเล่าปี่และพระราชวงศ์ฮั่น เพียงตัวคนเดียวภายใต้เสื้อเกราะเงินและทวนเล่มหนึ่งก็สามารถรบพุ่งอยู่ในท่ามกลางทหารร้อยหมื่นของโจโฉถึงสองวันหนึ่งคืนก็มิได้เพลี่ยงพล้ำ ใช้ความองอาจกล้าหาญชิงเอาอาเต๊าออกมาจากเงื้อมมือของชาวเมืองกังตั๋งบนเรือใหญ่ที่กำลังแล่นออกทะเล เคยสำแดงฝีมือเกาทัณฑ์อันลือลั่นยิงสายลดใบเรือของชีเซ่ง เตงฮอง ในขณะพาขงเบ้งกลับเมืองเกงจิ๋วขาดสะบั้น และเพียงตัวผู้เดียวที่ยืนม้าถือทวนสกัดกองทัพข้าศึกให้ล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังสามารถใช้ความคิดอ่านทำกลอุบายเอาชนะข้าศึกหลายครั้งนั้น เป็นยอดทหารเสือที่เป็นเสาหลักคนสำคัญของจ๊กก๊ก ชั่วชีวิตได้ฆ่าฟันศัตรูนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงเรียงนามก้องกังวานทั่วแผ่นดิน แม้กระนั้นก็ไม่เคยปรากฏว่าคมหอกคมดาบและปลายทวนหรือเกาทัณฑ์ของข้าศึกจะมีโอกาสได้สัมผัสผิวกายแม้แต่สักครั้งเดียว แต่ยามบั้นปลายของชีวิตกลับนอนหลับสนิท อำลาบ้านเมืองอย่างสงบ ทำให้ขงเบ้งต้องโศกเศร้าถึงขนาดรากเลือดเป็นครั้งแรก ดังนั้นแม้นามของจูล่งจะมิได้กลายเป็นเทพอย่างกวนอู แต่ชื่อจูล่งชาวเสียงสานยังเป็นที่เลื่องชื่อลือชาอยู่จนถึงทุกวันนี้.
เตียวเภาและสีเกี๋ยวสองนายทหารของโจฮิวรับคำสั่งแล้วออกไปจัดแจงทหาร ครั้นเวลาค่ำลงก็ยกทหารจะไปตั้งซุ่มตามแผนการของโจฮิว
ฝ่ายลกซุนครั้นได้ทราบรายงานว่ากองทัพของโจฮิวติดกับดักอยู่ในช่องเขาตำบลเซ็กเต๋ง และกองทัพของชีเซ่งได้ตีสกัดไม่ให้กองทัพของโจฮิวออกมาจากซอกเขาได้แล้ว ในบ่ายวันนั้นลกซุนจึงเรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกัน แล้วออกคำสั่งให้จูหวนและจวนจ๋องคุมทหารเป็นสองกอง กองละสามหมื่นคน ยกเข้าไปในซอกเขาเข้าตีค่ายของโจฮิว ให้ชีเซ่งแบ่งทหารไปคอยสกัดโจมตีกองทัพของโจฮิวซึ่งจะแตกหนีไปทางตำบลเหียบเส็บ ส่วนลกซุนจะยกกองทัพหลวงสกัดทางถอยของกองทัพโจฮิวไม่ให้ถอยกลับมาทางด้านหลังได้ และสั่งว่าให้ถือสัญญาณเพลิงเป็นสำคัญ ถ้าเห็นเป็นทีแล้วก็ให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้น เมื่อทหารทุกกองเห็นเพลิงสัญญาณก็ให้รุกจู่โจมเข้ามาพร้อมกัน
ครั้นเวลาพลบค่ำกองทัพของลกซุน จูหวน และจวนจ๋อง ก็ยกไปถึงตำบลเซ็กเต๋ง
ฝ่ายเตียวเภายกกองทัพไปถึงที่หมายเป็นเวลาปลายยามหนึ่ง เห็นทหารของจูหวนยกมา แต่เห็นเครื่องแต่งกายกันไม่ถนัด สำคัญว่าเป็นทหารพวกเดียวกันกลับจากลาดตระเวน จึงขี่ม้าออกไปข้างหน้าจะไต่ถามว่าการลาดตระเวนทราบข่าวคราวประการใด
พอเตียวเภาเข้าไปใกล้จูหวนและเอ่ยปากถาม ในทันใดนั้นจูหวนก็เอาง้าวฟันถูกเตียวเภาตกม้าตาย จูหวนเห็นได้ทีก็สั่งทหารให้โจมตีทหารของเตียวเภา ทหารของเตียวเภาเห็นนายทัพเสียทีถึงแก่ความตายก็พากันแตกตื่นตกใจ วิ่งหนีเหยียบกันเองเป็นอลหม่าน
จูหวนเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารให้จุดเพลิงสัญญาณขึ้นเป็นสำคัญ จวนจ๋องเห็นสัญญาณเพลิงก็ยกทหารหนุนเข้าตีทหารวุยก๊ก จูหวนเห็นสีเกี๋ยวคุมทหารยกมาอีกกองหนึ่ง จึงขี่ม้านำหน้าทหารเข้ารบกับสีเกี๋ยว ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้เพียงสิบเพลง สีเกี๋ยวเห็นกำลังข้าศึกหนุนเนื่องมาเป็นอันมาก จึงพาทหารแตกหนีไป
จูหวนและจวนจ๋องเห็นดังนั้นจึงคุมทหารรุกเข้าตีค่ายโจฮิว ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ แต่โจฮิวนั้นรู้ตัวดีว่าตกอยู่ในวงล้อมของข้าศึก หากจะต่อสู้นานไปก็อาจตกเป็นเชลย ดังนั้นพอได้โอกาสโจฮิวจึงอาศัยความมืดพาทหารตีฝ่าวงล้อมหนีออกจากปลายซอกเขาได้ แล้วพาทหารหนีไปทางตำบลเหียบเส็บ ทหารของ โจฮิวที่หนีไม่ทันก็ถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารเมืองกังตั๋งยึดศาสตราวุธและจับเชลยศึกที่เป็นทหารของโจฮิวได้เกือบหมดสิ้น
โจฮิวพาทหารหนีไปจนถึงตำบลเหียบเส็บก็ปะทะกับชีเซ่งซึ่งคุมทหารยกไปตั้งสกัดอยู่ก่อนแล้ว ชีเซ่งเห็นโจฮิวพาทหารหนีมาตามความคาดคิดของลกซุนจึงยกทหารเข้าโจมตีกองทหารของโจฮิว และฆ่าฟันทหารโจฮิวบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก โจฮิวเห็นจะสู้ไม่ได้จึงขี่ม้าหนีไปตามซอกเขาแต่ผู้เดียว
โจฮิวขี่ม้าหนีไประยะหนึ่งเห็นทหารกองหนึ่งยกสวนมาก็ตกใจ สำคัญว่าเป็นทหารเมืองกังตั๋ง จึงแอบซุ่มอยู่ในป่าข้างทาง แต่พอทหารกองนั้นยกเข้ามาใกล้ก็จำได้ว่าเป็นกากุ๋ยก็มีความยินดี รีบขี่ม้าเข้าไปหาแล้วแจ้งความทั้งปวงให้กากุ๋ยทราบ พลางกล่าวขอโทษกากุ๋ยที่หลงเชื่อจิวหอง
กากุ๋ยมิได้ถือโทษโกรธขึ้ง คงคำนับโจฮิวเป็นอันดี แล้วรีบพาโจฮิวหนีไปตามทางลัด ไปหาสุมาอี้ แล้วโจฮิวจึงรายงานความทั้งปวงให้สุมาอี้ทราบ และว่าการทั้งนี้เราเสียทีแก่ข้าศึกก็เพราะหลงเชื่อจิวหอง
สุมาอี้ได้ทราบความดังนั้นก็เห็นว่าจิวหองซึ่งเป็นต้นคิดตัวการให้วุยก๊กยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งเป็นแต่เพียงไส้ศึกที่ล่อลวงกองทัพวุยก๊กให้ยกมา จึงคิดว่าถ้าหากขืนยกกองทัพรุกต่อไปก็ยิ่งหลงเข้าไปในกลของชาวกังตั๋ง ทั้งการที่กองทัพหน้าเสียทีมาครั้งนี้เป็นการเสียฤกษ์ชัยของกองทัพ ขืนทำสงครามต่อไปก็ยากที่จะได้ชัยชนะ คิดดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงสั่งให้ถอยทัพกลับไปเมืองลกเอี๋ยง
ฝ่ายจูหวนและจวนจ๋องครั้นได้ชัยชนะแก่กองทัพของโจฮิวแล้ว ก็คุมตัวเชลยศึกเกือบสามหมื่นคนและศาสตราวุธทั้งปวงยกไปที่กองทัพหลวงของลกซุน และรายงานความทั้งปวงให้ทราบ
ลกซุนทราบความแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก แต่เพราะได้ทราบกิตติศัพท์ว่ากองทัพวุยก๊กยังมีความเข้มแข็งและเตรียมพร้อมรบอยู่ ถ้าหากจะยกกองทัพรุกไล่ตามตีเข้าไปในแดนวุยก๊กเห็นจะไม่ได้ชัยชนะ จึงสั่งให้สำรวจตรวจไพร่พล ศาสตราวุธและเสบียงอาหาร เสร็จแล้วสั่งให้เลิกทัพกลับไปเมืองกังตั๋ง และให้ม้าเร็วรีบนำความไปรายงานให้ซุนกวนทราบก่อน
ฝ่ายซุนกวนพอทราบว่าลกซุนได้รับชัยชนะและกำลังยกกองทัพกลับมาก็มีความ ยินดี พาขุนนางทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนออกไปคอยต้อนรับลกซุนที่นอกประตูเมือง ครั้นเห็นลกซุนคุมกองทัพยกมาถึง ซุนกวนจึงกล่าวกับทหารทั้งปวงว่า “ซึ่งจิวหองมีความชอบทำกลล่อลวงข้าศึกจนตัดผมเสีย เอาชัยชนะได้ครั้งนี้นั้น ตั้งให้เป็นกวนไล่เหาขุนนางในทำเนียบ”
จากนั้นซุนกวนจึงสั่งให้ปูนบำเหน็จแก่ทแกล้วทหารที่มีความชอบในสงครามเป็นอันมาก
วันหนึ่งลกซุนจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวน แล้วกราบทูลว่ากองทัพเราทำสงครามกับวุยก๊ก ต่างฝ่ายต่างบอบช้ำ แต่ฝ่ายจ๊กก๊กนั้นกำลังยังสดชื่นอยู่ ชอบที่จะบั่นทอนกำลังของจ๊กก๊กลง จึงควรที่พระองค์จะได้แต่งหนังสือไปถึงเมืองเสฉวน แจ้งให้พระเจ้าเล่าเสี้ยนยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยง แล้วพระองค์จะยกกองทัพตีขึ้นไปจากด้านใต้ หากได้รับชัยชนะก็จะแบ่งแผ่นดินกันคนละครึ่ง หากกองทัพเสฉวนปราชัยแก่ข้าศึก ดุลอำนาจสงครามของแต่ละฝ่ายก็จะใกล้เคียงกัน เมืองกังตั๋งก็จะไม่มีอันตราย
พระเจ้าซุนกวนได้ฟังดังนั้นก็ทรงเห็นชอบ จึงแต่งหนังสือถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยนตามแผนการของลกซุนทุกประการ
ฝ่ายโจฮิวหลังจากพ่ายแพ้เสียทีแก่ง่อก๊กแล้ว ให้ได้ความอัปยศเป็นอันมาก ความรู้สึกที่ถูกจิวหองหลอกลวงยิ่งอัปยศซ้ำ ให้ละอายแก่ใจว่าเสียเชิงชายยิ่งนัก โจฮิวจึงตรอมใจและป่วยมาตลอดทาง พอมาถึงเมืองลกเอี๋ยงอาการไข้ของโจฮิวก็หนักขึ้นและถึงแก่ความตาย พระเจ้าโจยอยจึงโปรดเกล้าให้แต่งการศพของโจฮิวและนำไปฝังตามประเพณี
ฝ่ายสุมาอี้ครั้นยกกองทัพกลับไปถึงเมืองลกเอี๋ยง บรรดาขุนนางก็เข้ามาถามข่าวคราว ขุนนางบางคนได้ถามว่าโจฮิวยกทหารเป็นกองทัพหน้าไปรบกับชาวเมืองกังตั๋งพ่ายแพ้เสียทหารแตกหนีกลับมา ก็เป็นประเพณีการสงคราม แต่กองทัพหลวงของท่านยังมิได้ปะทะกับข้าศึก ทหารทั้งปวงยังบริบูรณ์อยู่ ไฉนจึงล่าถอยทัพกลับมาด้วยเล่า
สุมาอี้จึงว่า “ซึ่งยกมาทั้งนี้เพราะคิดว่ากองทัพเราเสียทีแล้ว เกลือกขงเบ้งจะรีบยกกองทัพมาตีเอาเมืองเตียงอัน ระวังหลังอยู่จึงกลับมา”
ขุนนางทั้งปวงได้ฟังคำสุมาอี้ก็รู้สึกเหมือน ๆ กันว่าสุมาอี้ผู้นี้เป็นคนรักตัวกลัวตาย หนีข้าศึกกลับมาแล้วยังเจรจาโอ้อวดยกตนเอาความชอบอยู่อีก หลังจากวันนั้นแล้วบรรดาขุนนางก็พากันหัวเราะเยาะสุมาอี้ มิได้นับถือยำเกรงอีกต่อไป
ฝ่ายพระเจ้าเล่าเสี้ยนครั้นได้รับหนังสือจากซุนกวนแล้วจึงโปรดให้อาลักษณ์เปิดหนังสือออกอ่าน เป็นใจความว่าพระเจ้าซุนกวนแห่งเมืองกังตั๋งขออวยพรมาถึงพระเจ้าเล่าเสี้ยน ด้วยเราได้ให้ลกซุนเป็นแม่ทัพยกทหารไปปราบปรามกองทัพของพระเจ้าโจยอย เป็นเหตุให้โจฮิวซึ่งเป็นญาติวงศ์ของพระเจ้าโจยอยถึงแก่ความตาย แม้สุมาอี้ผู้เป็นแม่ทัพก็แตกหนีกลับไปเมือง ชาววุยก๊กต่างพากันเกรงกลัวทหารเมืองกังตั๋งเป็นอันมาก แลพระองค์นั้นเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาสามารถ มีพระเกียรติยศเกริกก้อง ทั้งทหารก็พร้อมบริบูรณ์ “ควรเราทั้งสองเมืองจะเป็นแผ่นดินเดียวกันโดยราชไมตรี”
ในหนังสือของพระเจ้าซุนกวนมีความต่อไปว่า บัดนี้กองทัพเมืองลกเอี๋ยงอ่อนล้าอิดโรยลงเป็นอันมากแล้ว ขอให้พระองค์ยกกองทัพไปตีเมืองลกเอี๋ยงเถิด กองทัพเมืองกังตั๋งจะยกหนุนตีกระหนาบไปจากทางใต้ เห็นจะได้เมืองโดยง่าย
พระเจ้าเล่าเสี้ยนทราบความในหนังสือของซุนกวนแล้วก็มีพระทัยยินดี ตรัสสั่งให้ทำพระบรมราชโองการส่งไปให้แก่ขงเบ้งซึ่งยังคงตั้งทัพอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ให้ยกกองทัพไปตีเอาเมืองลกเอี๋ยง
ขงเบ้งได้รับพระบรมราชโองการแล้วต้องด้วยใจที่ยังผูกความเจ็บแค้นต้องการแก้แค้นวุยก๊กอยู่ จึงรีบสั่งจัดแจงกองทัพเพื่อรอคอยวันเวลาฤกษ์ แล้วจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กต่อไป
วันหนึ่งในขณะที่คอยฤกษ์อยู่นั้น ขงเบ้งเรียกประชุมบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงที่ศาลาว่าราชการเมืองฮันต๋ง วันนั้นเป็นเวลาสาย ขณะที่ขงเบ้งนั่งอยู่บนที่ว่าราชการ แลออกไปข้างหน้าเห็นกิ่งสนใหญ่แกว่งไหวผิดปกติก็นิ่งจ้องมอง ในทันใดนั้นก็มีลมหัวด้วนพัดหมุนมาต้องกิ่งสนใหญ่นั้นหักสะบั้นลง แม่ทัพนายกองและขุนนางทั้งปวงซึ่งอยู่ในศาลาว่าราชการต่างพากันตกใจว่าจะเกิดเหตุร้ายดีประการใด
ขงเบ้งรีบนับนิ้วจับยามตามคัมภีร์อี้จิง ครู่หนึ่งสีหน้าก็แสดงอาการตกใจ ซีดเผือดลง ลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว พลางกล่าวว่า “บัดนี้ทหารเอกเขี้ยวศึกของเจ้าเราตายเสียแล้ว”
ขงเบ้งกล่าวสิ้นคำก็เห็นทวนเล่มใหญ่ที่ปักอยู่ในแผงศาสตราวุธในศาลาว่าราชการทหารสั่นไหวไกวแกว่ง ใจก็ประหวัดถึงจูล่ง นึกขึ้นในใจว่าลางร้ายครั้งนี้บอกเหตุว่ายอดทหารเสือของนายเราที่ถึงแก่ความตายนั้นเห็นจะเป็นจูล่งเป็นมั่นคง
ขงเบ้งตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ทหารรักษาการณ์ก็วิ่งเข้ามารายงานว่า บัดนี้เตียวกองและเตียวหองซึ่งเป็นบุตรของจูล่งได้มาที่ศาลาว่าราชการ จะมาขอพบมหาอุปราชเป็นการเร่งด่วน
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่า “ขงเบ้งแจ้งดังนั้นก็รู้ว่าจูล่งถึงแก่ความตาย กระทืบเท้าทิ้งจอกสุราลงเสีย”
พอดีเตียวกองและเตียวหองบุตรทั้งสองของจูล่งได้เข้ามาถึงหน้าที่ว่าราชการ เห็นขงเบ้งก็ร้องไห้และคุกเข่าลงคำนับ แล้วกล่าวว่าเมื่อคืนนี้เวลายามสาม จูล่งผู้เป็นบิดาของข้าพเจ้าได้ถึงแก่กรรมแล้ว
ขงเบ้งฟังสิ้นคำก็ร้องไห้ แล้วรู้สึกหน้ามืดตาลายวิงเวียนศีรษะ อาเจียนออกมาเป็นโลหิตแล้วสิ้นสติสมประดีล้มสลบลง ณ ที่นั้น แม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นดังนั้นก็ตกใจ พากันวิ่งเข้ามาพยุงขงเบ้งขึ้นไปนั่งบนที่ว่าราชการ แล้วช่วยกันแก้ไขจนขงเบ้งฟื้นคืนสติสมประดี
พลันที่ลืมตาขงเบ้งก็กล่าวว่า “อันจูล่งถึงแก่ความตายนี้ เหมือนหนึ่งแขนซ้าย พระเจ้าเล่าเสี้ยนหัก ด้วยเป็นนายทหารผู้ใหญ่เคี่ยวศึกมา”
อา! ยอดทหารเสือผู้แกร่งกล้าเกรียงไกร มีความงดงามทั้งรูปกาย เรือนใจ และจิตใจที่จงรักภักดีมั่นคงต่อพระเจ้าเล่าปี่และพระราชวงศ์ฮั่น เพียงตัวคนเดียวภายใต้เสื้อเกราะเงินและทวนเล่มหนึ่งก็สามารถรบพุ่งอยู่ในท่ามกลางทหารร้อยหมื่นของโจโฉถึงสองวันหนึ่งคืนก็มิได้เพลี่ยงพล้ำ ใช้ความองอาจกล้าหาญชิงเอาอาเต๊าออกมาจากเงื้อมมือของชาวเมืองกังตั๋งบนเรือใหญ่ที่กำลังแล่นออกทะเล เคยสำแดงฝีมือเกาทัณฑ์อันลือลั่นยิงสายลดใบเรือของชีเซ่ง เตงฮอง ในขณะพาขงเบ้งกลับเมืองเกงจิ๋วขาดสะบั้น และเพียงตัวผู้เดียวที่ยืนม้าถือทวนสกัดกองทัพข้าศึกให้ล่าถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังสามารถใช้ความคิดอ่านทำกลอุบายเอาชนะข้าศึกหลายครั้งนั้น เป็นยอดทหารเสือที่เป็นเสาหลักคนสำคัญของจ๊กก๊ก ชั่วชีวิตได้ฆ่าฟันศัตรูนับไม่ถ้วน ชื่อเสียงเรียงนามก้องกังวานทั่วแผ่นดิน แม้กระนั้นก็ไม่เคยปรากฏว่าคมหอกคมดาบและปลายทวนหรือเกาทัณฑ์ของข้าศึกจะมีโอกาสได้สัมผัสผิวกายแม้แต่สักครั้งเดียว แต่ยามบั้นปลายของชีวิตกลับนอนหลับสนิท อำลาบ้านเมืองอย่างสงบ ทำให้ขงเบ้งต้องโศกเศร้าถึงขนาดรากเลือดเป็นครั้งแรก ดังนั้นแม้นามของจูล่งจะมิได้กลายเป็นเทพอย่างกวนอู แต่ชื่อจูล่งชาวเสียงสานยังเป็นที่เลื่องชื่อลือชาอยู่จนถึงทุกวันนี้.