ตอนที่ 532. อุบาย "มอบเกล้ามวยผม"
วุยก๊กเพิ่งเสร็จศึกกับจ๊กก๊กก็ถูกง่อก๊กลวงให้ยกกองทัพไปตี เพื่อจะตีโต้กลับและรุกเข้ายึดราชธานีลกเอี๋ยง พระเจ้าโจยอยโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้ยกกองทัพเป็นสามสายไปตีเมืองกังตั๋ง ซุนกวนทราบข่าวศึกก็มีความยินดีที่วุยก๊กต้องกล จึงปรึกษาด้วยขุนนางทั้งปวง
ซุนกวนเคยประจักษ์ฝีมือบัญชาการสงครามของลกซุนมาแต่ครั้งสงครามกับพระเจ้าเล่าปี่ ครั้นได้ฟังคำโกะหยงเสนอก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดเกล้าตั้งให้ลกซุนดำรงตำแหน่งฮูก๊กไต้จงกุ๋น มีอำนาจว่าราชการทหารและพลเรือนทั่วประเทศ และให้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพไปรับศึกวุยก๊ก
ลกซุนได้รับตราตั้งแล้วก็มีความยินดี กราบทูลขอจูหวนและจวนจ๋องสองขุนนางฝ่ายทหารเป็นปลัดทัพซ้ายขวา ซุนกวนก็อนุญาตตามที่ลกซุนต้องการ ตั้งให้จูหวนเป็นปลัดขวา จวนจ๋องเป็นปลัดซ้าย ลกซุนจึงถวายบังคมลาพาจูหวนและจวนจ๋องออกไปยังศาลาว่าราชการทหาร
ลกซุนสั่งให้เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองกังตั๋งแปดสิบแปดหัวเมือง เป็นพลเจ็ดสิบห้าหมื่น ครั้นได้กำลังพลและศาสตราวุธเต็มตามอัตราแล้วลกซุนจึงสั่งให้ชุมนุมกองทัพ และจัดแจงทหารเป็นสามกอง รอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกออกจากเมืองกังตั๋ง
วันหนึ่งจูหวนปลัดขวาได้ปรึกษากับลกซุนผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ว่า โจฮิวผู้นี้โง่เขลาเบาปัญญา หลงคำลวงของจิวหองตามแผนการของพระเจ้าซุนกวน แล้วลวงต่อให้พระเจ้าโจยอยจัดกองทัพยกมาตีเมืองกังตั๋ง ศึกครั้งนี้โจฮิวจะต้องปราชัยเป็นแน่แท้ และหากโจฮิวพ่ายแพ้แล้วเห็นจะล่าถอยทัพกลับไปทางตำบลเหียบเส็บและตำบลกุยกี๋ ซึ่งเป็นซอกเขาคับแคบทุรกันดาร
จูหวนเสนอสืบไปว่า ข้าพเจ้าขออาสาคุมทหารไปกับจวนจ๋องคนละกอง ยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่สองข้างทางของทั้งสองตำบล แล้วขนก้อนศิลาปิดปลายทางเสีย เมื่อโจฮิวแตกไปถึงทางนั้นข้าพเจ้าจะยกทหารเข้าตีกระหนาบล้อมจับตัวเอา เห็นจะได้โดยง่าย และเมื่อได้ตัวโจฮิวแล้วก็จะยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพของท่านยกไปตีเมืองซิวฉุนซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญที่จะรุกขึ้นไปยังแดนวุยก๊ก
จูหวนเห็นลกซุนนั่งฟังอย่างตั้งใจจึงกล่าวสืบไปว่า เมื่อยึดเมืองซิวฉุนได้แล้วกองทัพง่อก๊กเราก็จะเดินทัพอย่างสะดวกสบาย รุกเข้ายึดเอาเมืองฮูโต๋ตลอดไปจนถึงเมืองลกเอี๋ยงได้โดยสะดวก ท่านแม่ทัพจะมีความเห็นเป็นประการใด
ลกซุนนิ่งฟังจูหวนเสนอแผนการจนสิ้นกระแสความแล้วจึงว่า แผนการของท่านนั้นมิได้ครบถ้วนกระบวนศึก มีแต่แผนการตามตี แต่แผนการเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ของสุมาอี้หามีไม่ แต่ท่านอย่าพะวงเลย ตัวเราได้คิดอ่านแผนการศึกครั้งนี้ไว้ดีแล้ว ท่านจงวางใจเถิด
จูหวนเห็นลกซุนปฏิเสธแผนการ และเห็นว่าลกซุนมีความมั่นใจในแผนการที่คิดไว้ก็มิได้กล่าวประการใด
หลังจากนั้นลกซุนจึงสั่งให้จูกัดกิ๋นคุมทหารยกไปรักษาเมืองกังเหลง คอยตั้งรับกองทัพสุมาอี้ แต่กำชับว่าให้ตั้งมั่นรักษาเมืองไว้อย่าให้เป็นอันตราย แม้ข้าศึกยกมาก็อย่าได้ออกรบ เพียงแต่รักษาเมืองไว้ให้ได้ก็ถือว่ามีความชอบ หากจะให้ยกเข้าตีข้าศึกประการใด จะได้แจ้งคำสั่งไปในภายหลัง ส่วนลกซุนตระเตรียมกองทัพเสร็จแล้วก็สั่งเตรียมพร้อมให้คอยฟังคำสั่งยาตราทัพ
ฝ่ายจิวหองครั้นทราบว่าโจฮิวคุมกองทัพหน้ายกมาถึงเมืองกวนหยงแล้ว ก็แสร้งนำทหารออกไปคำนับต้อนรับโจฮิวตามประเพณี
โจฮิวถามจิวหองว่า ซึ่งท่านยอมอ่อนน้อมต่อเรา และเสนอให้ยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งนั้น เราก็ได้นำความกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยแล้วทรงเห็นชอบ ตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพยกมาตามแผนการของท่าน กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้แยกเป็นสามทาง แต่ทว่าเรายังมีข้อแคลงใจอยู่ประการหนึ่ง “ด้วยปากคำผู้คนทั้งปวงพูดกันว่า ท่านมีสติปัญญากอปรด้วยกลอุบายมาก เกลือกจะล่อลวงเราให้เสียการเมื่อปลายมือ แล้วประการหนึ่งก็คิดว่าซึ่งท่านจะลวงเราก็คงจะไม่เป็น แต่ว่ายังคิดสองใจสามใจอยู่”
จิวหองได้ฟังดังนั้นก็แสร้งทำเป็นร้องไห้ แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าบากหน้าถือเอาท่านเป็นที่พึ่ง แต่เมื่อท่านแคลงใจดังนี้จะมีชีวิตอยู่ไปไยเล่า ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกจะเชือดคอตาย
โจฮิวเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบแย่งกระบี่มาจากมือของจิวหอง แล้วกล่าวว่าไฉนท่านจึงวู่วามถึงปานนี้ จิวหองจึงว่าความทั้งปวงที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่านล้วนเป็นความสัตย์ แลที่แจ้งให้ท่านยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งนั้นก็ด้วยความจริงใจ ด้วยแผ่นดินง่อก๊กกำลังจะดับสูญแล้ว อาณาประชาราษฎรจะได้นับถือพระเจ้าโจยอยเป็นที่พึ่งสืบไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาเล่ห์กลของจิวหองในตอนนี้ว่า “แลผู้ซึ่งมาเจรจาว่าข้าพเจ้าคิดจะล่อลวงท่านนั้น ชะรอยจะเป็นกลอุบายเมืองกังตั๋งแกล้งให้ปรากฏมา ปรารถนาจะมิให้ท่านเชื่อใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าน้อยใจว่าตัวนี้ถ้าเป็นฟักแฟงจะผ่าอกออกให้ท่านเห็นเท็จแลจริง”
จิวหองวางเพลิงขึ้นในใจของโจฮิวว่ามีไส้ศึกเมืองกังตั๋งปล่อยข่าวว่าจิวหองเป็นคนล่อลวง แล้วก็แสร้งฮึดฮัดจะเอากระบี่เชือดคอตายอีกครั้งหนึ่ง โจฮิวถูกเพลิงพิฆาตของจิวหองลุกขึ้นในใจแล้ว เห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบชิงกระบี่จากมือจิวหองเอามาถือไว้ แล้วกล่าวว่าความซึ่งเรากล่าวนั้นเป็นการกล่าวเล่นเพื่อสัพยอกลองใจท่านดอก อย่าได้ถือเป็นเรื่องจริงจังเลย
จิวหองจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนใจซื่อถือความสัตย์ มอบตัวแลกายอ่อนน้อมต่อท่านแล้ว ก็ตั้งหน้าทำการด้วยท่านไปจนตลอดชีวิต แม้เพียงเป็นคำสัพยอก ข้าพเจ้าก็ละอายแก่ใจนัก ไม่อยากมีชีวิตอยู่สืบไป แต่เมื่อท่านซึ่งเป็นเจ้าชีวิตไม่ยอมให้ข้าพเจ้าตาย ก็จะขอตัดผมซึ่งรักดุจความรักที่มีต่อพ่อแม่ให้ท่านเห็นน้ำใสใจจริง จะได้ไม่กล่าวคำให้ข้าพเจ้าได้ความอัปยศสืบไปอีก
ว่าแล้วจิวหองจึงเอามีดสั้นตัดเกล้ามวยผมมอบแก่โจฮิว พลางกล่าวว่าความสัตย์แห่งใจข้าพเจ้าขอมอบด้วยเกล้ามวยผมนี้ไว้แก่ท่านตลอดกาลนาน
โจฮิวเห็นดังนั้นก็เชื่อใจว่าจิวหองยอมอ่อนน้อมโดยน้ำใสใจจริง หลังจากวันนั้นแล้วโจฮิวก็ไว้วางใจจิวหองดุจญาติพี่น้อง สั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงจิวหอง ครั้นเสพสุราสมควรแก่เวลาแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปที่พัก
วันรุ่งขึ้นกากุ๋ยยกทหารตามมาถึงจึงเข้าไปคำนับโจฮิวตามประเพณี แล้วรายงานว่าบัดนี้ข้าพเจ้าทราบข่าวว่าเมืองกังตั๋งได้ยกทหารมาสกัดอยู่ที่ปลายแดนเมืองอ้วนเซียเป็นอันมาก เห็นว่าท่านอย่าเพิ่งยกทหารรุกไปก่อน คอยท่าให้กองทัพหลวงของสุมาอี้ยกมาถึงแล้วจึงค่อยยกไปพร้อมกัน
โจฮิวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านกล่าวความฉะนี้ประหนึ่งมีความในใจซ่อนเร้นอยู่ หาใช่ความจริงไม่ อย่าได้ปิดบังต่อไปเลย มีสิ่งใดอยู่ในใจก็ให้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา
กากุ๋ยถูกโจฮิวถามแบบจี้ใจดำก็รู้ว่าโจฮิวรู้ทันความคิด ไม่อาจปกปิดความในใจไว้ได้อีกต่อไป จึงกล่าวว่าท่านคาดคะเนการได้ถูกต้องแล้ว ซึ่งข้าพเจ้ามาท้วงมิให้ท่านยกองทัพล่วงหน้าไปใช่ว่าจะปรารถนาแย่งชิงความชอบแต่อย่างใดไม่ การทั้งนี้เนื่องจากได้กิตติศัพท์ว่าท่านหลงใหลเชื่อฟังคำจิวหอง นับถือเอาเป็นคนสนิท อันตรายจะเกิดแก่ท่าน ซึ่งจิวหองแสร้งตัดเกล้ามวยผมทำทีเป็นสัตย์ซื่อนั้นหาจริงไม่ ความแท้เป็นแต่อุบายดอก หากท่านหลงฟังคำจิวหองสืบไป ยกกองทัพล่วงเข้าแดนกังตั๋งแล้ว เห็นจะเสียทีแก่ชาวเมืองกังตั๋งเป็นมั่นคง
โจฮิวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แล้วกล่าวว่าธรรมเนียมชายสืบมาถือมวยผมเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติศักดิ์ยิ่งชีวิต จิวหองอ่อนน้อมต่อเราโดยสุจริต จึงกล้าสละเกล้ามวยผมแก่เรา ท่านมากล่าวความฉะนี้ทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจ สืบไปเมื่อหน้าใครจะมายอมอ่อนน้อม วาจาท่านทำให้เกิดความแตกสามัคคี เสียหายแก่บ้านเมือง เป็นความผิดฉกรรจ์ กล่าวแล้วโจฮิวจึงสั่งให้ทหารคุมตัวกากุ๋ยและให้เอาไปประหารชีวิต
บรรดาทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันคุกเข่าคำนับโจฮิว แล้วกล่าวว่าขณะนี้เป็นเวลาหน้าศึก กากุ๋ยทำราชการมีความชอบมาแต่ก่อน ไม่ควรที่จะต้องโทษประหารชีวิต
โจฮิวเห็นแม่ทัพนายกองพร้อมเพรียงกันร้องขอดังนั้นขัดมิได้ จึงยกโทษให้แก่กากุ๋ย แต่ให้ถอดออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และให้เป็นพลทหารในกองทัพหน้า หลังจากนั้นโจฮิวจึงสั่งให้เคลื่อนทัพจะยกไปตีเมืองอ้วนเซีย
ฝ่ายจิวหองครั้นทราบว่าโจฮิวได้ถอดกากุ๋ยออกจากตำแหน่ง ก็คิดว่าเดชะบุญของซุนกวนยังมากอยู่ หาไม่แล้วโจฮิวฟังคำกากุ๋ย เมืองกังตั๋งก็จะเป็นอันตราย คิดดังนั้นแล้ว จิวหองจึงทำหนังสือให้ทหารถือไปให้แก่ลกซุน แจ้งว่าบัดนี้โจฮิวถอดกากุ๋ยออกจากตำแหน่งแล้ว และกำลังยกกองทัพไปเมืองอ้วนเซีย ให้ลกซุนคิดอ่านทำการตามถนัดเถิด
ครั้นทำหนังสือถึงลกซุนแล้ว จิวหองจึงนำทหารเมืองกวนหยงไปสมทบกับกองทัพของโจฮิวยกไปเมืองอ้วนเซีย
ฝ่ายลกซุนเมื่อทราบความจากหนังสือของจิวหองแล้ว จึงจัดทหารกองหนึ่ง สั่งให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่ตำบลเซ็กเต๋ง คอยซุ่มโจมตีกองทัพของโจฮิว และให้ชีเซ่งเป็นกองทัพหน้ายกล่วงหน้าไปขัดตาทัพของโจฮิวไว้ก่อน ลกซุนจะเคลื่อนทัพใหญ่ตามไปต่อภายหลัง
โจฮิวคุมกองทัพยกไปถึงกลางทาง เห็นเป็นทางเปลี่ยว สองข้างทางเป็นป่ารกชัฏ จึงถามจิวหองว่าตำบลข้างหน้านี้มีชื่อใด จิวหองจึงว่าตำบลข้างหน้านี้คือตำบลเซ็กเต๋ง เหลือระยะทางอีกไกลจึงจะถึงเมืองอ้วนเซีย ทหารเมืองกังตั๋งอยู่ห่างไกลกันมากนัก ให้ท่านรีบยกกองทัพรุดหน้าไปอย่าได้วิตกเลย
โจฮิวได้ฟังคำจิวหองก็มิได้สงสัยประการใด สั่งให้เคลื่อนกองทัพรุดหน้าต่อไป ค่ำลงก็ให้ปลงกองทัพไว้ที่ตำบลเซ็กเต๋ง
ครั้นเวลาใกล้รุ่งหน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานโจฮิวว่า ปลายซอกเขาข้างหน้ามีทหารเมืองกังตั๋งจำนวนมากยกมาตั้งสกัดปากทางไว้ โจฮิวได้ทราบรายงานก็ตกใจ ปรารภว่าก็ไหนจิวหองบอกเราว่าทหารเมืองกังตั๋งอยู่ห่างไกลจากที่นี่ แล้วไฉนกองทัพเมืองกังตั๋งจึงมาตั้งสกัดที่ปากทางเล่า
ปรารภดังนั้นแล้วโจฮิวจึงสั่งทหารให้ไปตามตัวจิวหองมาพบ ครู่หนึ่งทหารก็กลับมารายงานว่าจิวหองได้พาพรรคพวกสามสิบกว่าคนหลบหนีไปตั้งแต่เวลาปลายยามสามแล้ว
โจฮิวได้ฟังดังนั้นก็โกรธที่เสียรู้จิวหอง แต่มุมานะว่าตัวเราก็เป็นทหารชำนาญการศึก ไยจะมาเกรงกลัวทหารเมืองกังตั๋งเพียงเท่านี้ แล้วโจฮิวจึงสั่งให้เตียวเภาคุมทหารเป็นกองหน้าให้ตีฝ่าทหารเมืองกังตั๋งออกไปทางปลายซอกเขา
เตียวเภาคุมทหารเข้าปะทะกับทหารของชีเซ่ง ตัวเตียวเภาขี่ม้าเข้ารบกับชีเซ่งได้สามสิบเพลงก็ทานกำลังชีเซ่งไม่ได้ จึงพาทหารถอยกลับมาที่กองทหารของโจฮิว และแจ้งแก่โจฮิวว่าชีเซ่งนายทัพเมืองกังตั๋งมีกำลังกล้าแข็งนัก ไม่อาจตีฝ่าออกไปได้ โจฮิวจึงว่าวันนี้เราให้ท่านออกไปลองกำลังศึกดูเท่านั้น เอาไว้วันพรุ่งนี้เราจะตีกองทัพของชีเซ่งให้แตกไปจงได้
กล่าวแล้วโจฮิวจึงเรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกันแล้วสั่งว่า คืนวันนี้ให้เตียวเภาคุมทหารสองหมื่นยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าข้างทางด้านทิศใต้ ให้สีเกี๋ยวคุมทหารสองหมื่นยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าข้างทางด้านทิศเหนือ ในวันพรุ่งนี้เราจะคุมทหารยกไปล่อรบกับชีเซ่ง แล้วจะทำทีสู้ไม่ได้ถอยกลับมา เมื่อชีเซ่งยกทหารไล่ตามตีเราจะจุดประทัดสัญญาณขึ้น ให้เตียวเภาและสีเกี๋ยวยกทหารตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง.
ซุนกวนเคยประจักษ์ฝีมือบัญชาการสงครามของลกซุนมาแต่ครั้งสงครามกับพระเจ้าเล่าปี่ ครั้นได้ฟังคำโกะหยงเสนอก็ทรงเห็นชอบ จึงโปรดเกล้าตั้งให้ลกซุนดำรงตำแหน่งฮูก๊กไต้จงกุ๋น มีอำนาจว่าราชการทหารและพลเรือนทั่วประเทศ และให้เป็นแม่ทัพใหญ่ยกกองทัพไปรับศึกวุยก๊ก
ลกซุนได้รับตราตั้งแล้วก็มีความยินดี กราบทูลขอจูหวนและจวนจ๋องสองขุนนางฝ่ายทหารเป็นปลัดทัพซ้ายขวา ซุนกวนก็อนุญาตตามที่ลกซุนต้องการ ตั้งให้จูหวนเป็นปลัดขวา จวนจ๋องเป็นปลัดซ้าย ลกซุนจึงถวายบังคมลาพาจูหวนและจวนจ๋องออกไปยังศาลาว่าราชการทหาร
ลกซุนสั่งให้เกณฑ์ทหารจากหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองกังตั๋งแปดสิบแปดหัวเมือง เป็นพลเจ็ดสิบห้าหมื่น ครั้นได้กำลังพลและศาสตราวุธเต็มตามอัตราแล้วลกซุนจึงสั่งให้ชุมนุมกองทัพ และจัดแจงทหารเป็นสามกอง รอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกออกจากเมืองกังตั๋ง
วันหนึ่งจูหวนปลัดขวาได้ปรึกษากับลกซุนผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ว่า โจฮิวผู้นี้โง่เขลาเบาปัญญา หลงคำลวงของจิวหองตามแผนการของพระเจ้าซุนกวน แล้วลวงต่อให้พระเจ้าโจยอยจัดกองทัพยกมาตีเมืองกังตั๋ง ศึกครั้งนี้โจฮิวจะต้องปราชัยเป็นแน่แท้ และหากโจฮิวพ่ายแพ้แล้วเห็นจะล่าถอยทัพกลับไปทางตำบลเหียบเส็บและตำบลกุยกี๋ ซึ่งเป็นซอกเขาคับแคบทุรกันดาร
จูหวนเสนอสืบไปว่า ข้าพเจ้าขออาสาคุมทหารไปกับจวนจ๋องคนละกอง ยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่สองข้างทางของทั้งสองตำบล แล้วขนก้อนศิลาปิดปลายทางเสีย เมื่อโจฮิวแตกไปถึงทางนั้นข้าพเจ้าจะยกทหารเข้าตีกระหนาบล้อมจับตัวเอา เห็นจะได้โดยง่าย และเมื่อได้ตัวโจฮิวแล้วก็จะยกกองทัพไปบรรจบกับกองทัพของท่านยกไปตีเมืองซิวฉุนซึ่งเป็นเมืองยุทธศาสตร์สำคัญที่จะรุกขึ้นไปยังแดนวุยก๊ก
จูหวนเห็นลกซุนนั่งฟังอย่างตั้งใจจึงกล่าวสืบไปว่า เมื่อยึดเมืองซิวฉุนได้แล้วกองทัพง่อก๊กเราก็จะเดินทัพอย่างสะดวกสบาย รุกเข้ายึดเอาเมืองฮูโต๋ตลอดไปจนถึงเมืองลกเอี๋ยงได้โดยสะดวก ท่านแม่ทัพจะมีความเห็นเป็นประการใด
ลกซุนนิ่งฟังจูหวนเสนอแผนการจนสิ้นกระแสความแล้วจึงว่า แผนการของท่านนั้นมิได้ครบถ้วนกระบวนศึก มีแต่แผนการตามตี แต่แผนการเผชิญหน้ากับกองทัพใหญ่ของสุมาอี้หามีไม่ แต่ท่านอย่าพะวงเลย ตัวเราได้คิดอ่านแผนการศึกครั้งนี้ไว้ดีแล้ว ท่านจงวางใจเถิด
จูหวนเห็นลกซุนปฏิเสธแผนการ และเห็นว่าลกซุนมีความมั่นใจในแผนการที่คิดไว้ก็มิได้กล่าวประการใด
หลังจากนั้นลกซุนจึงสั่งให้จูกัดกิ๋นคุมทหารยกไปรักษาเมืองกังเหลง คอยตั้งรับกองทัพสุมาอี้ แต่กำชับว่าให้ตั้งมั่นรักษาเมืองไว้อย่าให้เป็นอันตราย แม้ข้าศึกยกมาก็อย่าได้ออกรบ เพียงแต่รักษาเมืองไว้ให้ได้ก็ถือว่ามีความชอบ หากจะให้ยกเข้าตีข้าศึกประการใด จะได้แจ้งคำสั่งไปในภายหลัง ส่วนลกซุนตระเตรียมกองทัพเสร็จแล้วก็สั่งเตรียมพร้อมให้คอยฟังคำสั่งยาตราทัพ
ฝ่ายจิวหองครั้นทราบว่าโจฮิวคุมกองทัพหน้ายกมาถึงเมืองกวนหยงแล้ว ก็แสร้งนำทหารออกไปคำนับต้อนรับโจฮิวตามประเพณี
โจฮิวถามจิวหองว่า ซึ่งท่านยอมอ่อนน้อมต่อเรา และเสนอให้ยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งนั้น เราก็ได้นำความกราบบังคมทูลพระเจ้าโจยอยแล้วทรงเห็นชอบ ตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพยกมาตามแผนการของท่าน กองทัพวุยก๊กยกมาครั้งนี้แยกเป็นสามทาง แต่ทว่าเรายังมีข้อแคลงใจอยู่ประการหนึ่ง “ด้วยปากคำผู้คนทั้งปวงพูดกันว่า ท่านมีสติปัญญากอปรด้วยกลอุบายมาก เกลือกจะล่อลวงเราให้เสียการเมื่อปลายมือ แล้วประการหนึ่งก็คิดว่าซึ่งท่านจะลวงเราก็คงจะไม่เป็น แต่ว่ายังคิดสองใจสามใจอยู่”
จิวหองได้ฟังดังนั้นก็แสร้งทำเป็นร้องไห้ แล้วกล่าวว่าข้าพเจ้าบากหน้าถือเอาท่านเป็นที่พึ่ง แต่เมื่อท่านแคลงใจดังนี้จะมีชีวิตอยู่ไปไยเล่า ว่าแล้วก็ชักกระบี่ออกจะเชือดคอตาย
โจฮิวเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบแย่งกระบี่มาจากมือของจิวหอง แล้วกล่าวว่าไฉนท่านจึงวู่วามถึงปานนี้ จิวหองจึงว่าความทั้งปวงที่ข้าพเจ้าแจ้งแก่ท่านล้วนเป็นความสัตย์ แลที่แจ้งให้ท่านยกกองทัพมาตีเมืองกังตั๋งนั้นก็ด้วยความจริงใจ ด้วยแผ่นดินง่อก๊กกำลังจะดับสูญแล้ว อาณาประชาราษฎรจะได้นับถือพระเจ้าโจยอยเป็นที่พึ่งสืบไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาเล่ห์กลของจิวหองในตอนนี้ว่า “แลผู้ซึ่งมาเจรจาว่าข้าพเจ้าคิดจะล่อลวงท่านนั้น ชะรอยจะเป็นกลอุบายเมืองกังตั๋งแกล้งให้ปรากฏมา ปรารถนาจะมิให้ท่านเชื่อใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าน้อยใจว่าตัวนี้ถ้าเป็นฟักแฟงจะผ่าอกออกให้ท่านเห็นเท็จแลจริง”
จิวหองวางเพลิงขึ้นในใจของโจฮิวว่ามีไส้ศึกเมืองกังตั๋งปล่อยข่าวว่าจิวหองเป็นคนล่อลวง แล้วก็แสร้งฮึดฮัดจะเอากระบี่เชือดคอตายอีกครั้งหนึ่ง โจฮิวถูกเพลิงพิฆาตของจิวหองลุกขึ้นในใจแล้ว เห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบชิงกระบี่จากมือจิวหองเอามาถือไว้ แล้วกล่าวว่าความซึ่งเรากล่าวนั้นเป็นการกล่าวเล่นเพื่อสัพยอกลองใจท่านดอก อย่าได้ถือเป็นเรื่องจริงจังเลย
จิวหองจึงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนใจซื่อถือความสัตย์ มอบตัวแลกายอ่อนน้อมต่อท่านแล้ว ก็ตั้งหน้าทำการด้วยท่านไปจนตลอดชีวิต แม้เพียงเป็นคำสัพยอก ข้าพเจ้าก็ละอายแก่ใจนัก ไม่อยากมีชีวิตอยู่สืบไป แต่เมื่อท่านซึ่งเป็นเจ้าชีวิตไม่ยอมให้ข้าพเจ้าตาย ก็จะขอตัดผมซึ่งรักดุจความรักที่มีต่อพ่อแม่ให้ท่านเห็นน้ำใสใจจริง จะได้ไม่กล่าวคำให้ข้าพเจ้าได้ความอัปยศสืบไปอีก
ว่าแล้วจิวหองจึงเอามีดสั้นตัดเกล้ามวยผมมอบแก่โจฮิว พลางกล่าวว่าความสัตย์แห่งใจข้าพเจ้าขอมอบด้วยเกล้ามวยผมนี้ไว้แก่ท่านตลอดกาลนาน
โจฮิวเห็นดังนั้นก็เชื่อใจว่าจิวหองยอมอ่อนน้อมโดยน้ำใสใจจริง หลังจากวันนั้นแล้วโจฮิวก็ไว้วางใจจิวหองดุจญาติพี่น้อง สั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงจิวหอง ครั้นเสพสุราสมควรแก่เวลาแล้วต่างคนต่างแยกย้ายกลับไปที่พัก
วันรุ่งขึ้นกากุ๋ยยกทหารตามมาถึงจึงเข้าไปคำนับโจฮิวตามประเพณี แล้วรายงานว่าบัดนี้ข้าพเจ้าทราบข่าวว่าเมืองกังตั๋งได้ยกทหารมาสกัดอยู่ที่ปลายแดนเมืองอ้วนเซียเป็นอันมาก เห็นว่าท่านอย่าเพิ่งยกทหารรุกไปก่อน คอยท่าให้กองทัพหลวงของสุมาอี้ยกมาถึงแล้วจึงค่อยยกไปพร้อมกัน
โจฮิวได้ฟังดังนั้นจึงว่า ท่านกล่าวความฉะนี้ประหนึ่งมีความในใจซ่อนเร้นอยู่ หาใช่ความจริงไม่ อย่าได้ปิดบังต่อไปเลย มีสิ่งใดอยู่ในใจก็ให้พูดกันอย่างตรงไปตรงมา
กากุ๋ยถูกโจฮิวถามแบบจี้ใจดำก็รู้ว่าโจฮิวรู้ทันความคิด ไม่อาจปกปิดความในใจไว้ได้อีกต่อไป จึงกล่าวว่าท่านคาดคะเนการได้ถูกต้องแล้ว ซึ่งข้าพเจ้ามาท้วงมิให้ท่านยกองทัพล่วงหน้าไปใช่ว่าจะปรารถนาแย่งชิงความชอบแต่อย่างใดไม่ การทั้งนี้เนื่องจากได้กิตติศัพท์ว่าท่านหลงใหลเชื่อฟังคำจิวหอง นับถือเอาเป็นคนสนิท อันตรายจะเกิดแก่ท่าน ซึ่งจิวหองแสร้งตัดเกล้ามวยผมทำทีเป็นสัตย์ซื่อนั้นหาจริงไม่ ความแท้เป็นแต่อุบายดอก หากท่านหลงฟังคำจิวหองสืบไป ยกกองทัพล่วงเข้าแดนกังตั๋งแล้ว เห็นจะเสียทีแก่ชาวเมืองกังตั๋งเป็นมั่นคง
โจฮิวได้ฟังดังนั้นก็โกรธ แล้วกล่าวว่าธรรมเนียมชายสืบมาถือมวยผมเป็นสัญลักษณ์แห่งเกียรติศักดิ์ยิ่งชีวิต จิวหองอ่อนน้อมต่อเราโดยสุจริต จึงกล้าสละเกล้ามวยผมแก่เรา ท่านมากล่าวความฉะนี้ทหารทั้งปวงจะเสียน้ำใจ สืบไปเมื่อหน้าใครจะมายอมอ่อนน้อม วาจาท่านทำให้เกิดความแตกสามัคคี เสียหายแก่บ้านเมือง เป็นความผิดฉกรรจ์ กล่าวแล้วโจฮิวจึงสั่งให้ทหารคุมตัวกากุ๋ยและให้เอาไปประหารชีวิต
บรรดาทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็พากันคุกเข่าคำนับโจฮิว แล้วกล่าวว่าขณะนี้เป็นเวลาหน้าศึก กากุ๋ยทำราชการมีความชอบมาแต่ก่อน ไม่ควรที่จะต้องโทษประหารชีวิต
โจฮิวเห็นแม่ทัพนายกองพร้อมเพรียงกันร้องขอดังนั้นขัดมิได้ จึงยกโทษให้แก่กากุ๋ย แต่ให้ถอดออกจากตำแหน่งแม่ทัพ และให้เป็นพลทหารในกองทัพหน้า หลังจากนั้นโจฮิวจึงสั่งให้เคลื่อนทัพจะยกไปตีเมืองอ้วนเซีย
ฝ่ายจิวหองครั้นทราบว่าโจฮิวได้ถอดกากุ๋ยออกจากตำแหน่ง ก็คิดว่าเดชะบุญของซุนกวนยังมากอยู่ หาไม่แล้วโจฮิวฟังคำกากุ๋ย เมืองกังตั๋งก็จะเป็นอันตราย คิดดังนั้นแล้ว จิวหองจึงทำหนังสือให้ทหารถือไปให้แก่ลกซุน แจ้งว่าบัดนี้โจฮิวถอดกากุ๋ยออกจากตำแหน่งแล้ว และกำลังยกกองทัพไปเมืองอ้วนเซีย ให้ลกซุนคิดอ่านทำการตามถนัดเถิด
ครั้นทำหนังสือถึงลกซุนแล้ว จิวหองจึงนำทหารเมืองกวนหยงไปสมทบกับกองทัพของโจฮิวยกไปเมืองอ้วนเซีย
ฝ่ายลกซุนเมื่อทราบความจากหนังสือของจิวหองแล้ว จึงจัดทหารกองหนึ่ง สั่งให้ยกไปตั้งซุ่มอยู่ที่ตำบลเซ็กเต๋ง คอยซุ่มโจมตีกองทัพของโจฮิว และให้ชีเซ่งเป็นกองทัพหน้ายกล่วงหน้าไปขัดตาทัพของโจฮิวไว้ก่อน ลกซุนจะเคลื่อนทัพใหญ่ตามไปต่อภายหลัง
โจฮิวคุมกองทัพยกไปถึงกลางทาง เห็นเป็นทางเปลี่ยว สองข้างทางเป็นป่ารกชัฏ จึงถามจิวหองว่าตำบลข้างหน้านี้มีชื่อใด จิวหองจึงว่าตำบลข้างหน้านี้คือตำบลเซ็กเต๋ง เหลือระยะทางอีกไกลจึงจะถึงเมืองอ้วนเซีย ทหารเมืองกังตั๋งอยู่ห่างไกลกันมากนัก ให้ท่านรีบยกกองทัพรุดหน้าไปอย่าได้วิตกเลย
โจฮิวได้ฟังคำจิวหองก็มิได้สงสัยประการใด สั่งให้เคลื่อนกองทัพรุดหน้าต่อไป ค่ำลงก็ให้ปลงกองทัพไว้ที่ตำบลเซ็กเต๋ง
ครั้นเวลาใกล้รุ่งหน่วยสอดแนมได้เข้ามารายงานโจฮิวว่า ปลายซอกเขาข้างหน้ามีทหารเมืองกังตั๋งจำนวนมากยกมาตั้งสกัดปากทางไว้ โจฮิวได้ทราบรายงานก็ตกใจ ปรารภว่าก็ไหนจิวหองบอกเราว่าทหารเมืองกังตั๋งอยู่ห่างไกลจากที่นี่ แล้วไฉนกองทัพเมืองกังตั๋งจึงมาตั้งสกัดที่ปากทางเล่า
ปรารภดังนั้นแล้วโจฮิวจึงสั่งทหารให้ไปตามตัวจิวหองมาพบ ครู่หนึ่งทหารก็กลับมารายงานว่าจิวหองได้พาพรรคพวกสามสิบกว่าคนหลบหนีไปตั้งแต่เวลาปลายยามสามแล้ว
โจฮิวได้ฟังดังนั้นก็โกรธที่เสียรู้จิวหอง แต่มุมานะว่าตัวเราก็เป็นทหารชำนาญการศึก ไยจะมาเกรงกลัวทหารเมืองกังตั๋งเพียงเท่านี้ แล้วโจฮิวจึงสั่งให้เตียวเภาคุมทหารเป็นกองหน้าให้ตีฝ่าทหารเมืองกังตั๋งออกไปทางปลายซอกเขา
เตียวเภาคุมทหารเข้าปะทะกับทหารของชีเซ่ง ตัวเตียวเภาขี่ม้าเข้ารบกับชีเซ่งได้สามสิบเพลงก็ทานกำลังชีเซ่งไม่ได้ จึงพาทหารถอยกลับมาที่กองทหารของโจฮิว และแจ้งแก่โจฮิวว่าชีเซ่งนายทัพเมืองกังตั๋งมีกำลังกล้าแข็งนัก ไม่อาจตีฝ่าออกไปได้ โจฮิวจึงว่าวันนี้เราให้ท่านออกไปลองกำลังศึกดูเท่านั้น เอาไว้วันพรุ่งนี้เราจะตีกองทัพของชีเซ่งให้แตกไปจงได้
กล่าวแล้วโจฮิวจึงเรียกแม่ทัพนายกองเข้ามาพร้อมกันแล้วสั่งว่า คืนวันนี้ให้เตียวเภาคุมทหารสองหมื่นยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าข้างทางด้านทิศใต้ ให้สีเกี๋ยวคุมทหารสองหมื่นยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าข้างทางด้านทิศเหนือ ในวันพรุ่งนี้เราจะคุมทหารยกไปล่อรบกับชีเซ่ง แล้วจะทำทีสู้ไม่ได้ถอยกลับมา เมื่อชีเซ่งยกทหารไล่ตามตีเราจะจุดประทัดสัญญาณขึ้น ให้เตียวเภาและสีเกี๋ยวยกทหารตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะแก่ข้าศึกเป็นมั่นคง.