ตอนที่ 528. อุบาย "เมืองร้าง"
ทันทีที่ขงเบ้งรู้ว่าเสียตำบลเกเต๋งแก่สุมาอี้แล้ว ก็รู้ว่าการศึกครั้งนี้ได้ตกเป็นฝ่ายปราชัยโดยไม่อาจกู้คืนได้อีก ไม่อาจตั้งอยู่ในแดนวุยก๊กได้อีกต่อไป จำต้องล่าถอยกลับเมืองฮันต๋งโดยเร็วที่สุด แต่หาใช่เรื่องง่ายดายไม่ เพราะการถอยทัพซึ่งมีกำลังพลจำนวนมากในแดนที่ลึกเข้าไปในแดนข้าศึกย่อมมีอันตรายอย่างใหญ่หลวง
ทหารทั้งปวงเห็นขงเบ้งมีสีหน้าเคร่งเครียดก็รู้ว่าสถานการณ์คับขัน พากันนิ่งตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ ขงเบ้งจึงสั่งให้เตียวเอ๊กคุมทหารเป็นกองหน้าสำหรับกรุยเส้นทางเพื่อให้กองทัพหลวงล่าถอยกลับเมืองฮันต๋งได้โดยสะดวก ให้เกียงอุยและม้าต้ายคุมทหารเป็นกองหลังคอยคุ้มกันการล่าถอยให้ปลอดภัยจากข้าศึกที่จะไล่ตามตี แล้วทำหนังสือสามฉบับถึงผู้รักษาเมืองเทียนซุย เมืองลำอั๋น และเมืองเสเสีย สั่งให้ถอนกำลังออกจากทั้งสามเมืองในทันที และให้ย้ายกำลังเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองฮันต๋ง
ขงเบ้งสั่งการในการถอยทัพแล้ว จึงสั่งทหารให้ไปรับมารดาของเกียงอุยซึ่งพำนักอยู่ที่เมืองเทียนซุย เชิญเข้าไปในเมืองฮันต๋งด้วย
ทหารทั้งปวงรับคำสั่งของขงเบ้งแล้วคำนับลาออกไปจัดการตามคำสั่งของขงเบ้งทุกประการ ตัวขงเบ้งคุมทหารซึ่งเหลืออยู่เพียงห้าพันยกไปที่เมืองเสเสียเพื่อจะเกณฑ์เสบียงขนกลับไปเมืองฮันต๋ง
เส้นทางถอยทัพของขงเบ้งจึงอยู่ในความคาดคะเนของสุมาอี้ซึ่งกำลังยกกองทัพใหญ่สิบห้าหมื่นตรงมาที่เมืองเสเสียพอดี
เมื่อขงเบ้งยกไปถึงเมืองเสเสียแล้วจึงแบ่งทหารสองพันห้าร้อยคนให้ไปเคลื่อนย้ายเสบียงจากคลังเสบียงทุกแห่ง เพื่อจะลำเลียงกลับไปเมืองฮันต๋งด้วย ขงเบ้งคุมทหารที่เหลือเพียงสองพันห้าร้อยคนตั้งอยู่ในเมือง คอยท่าให้การลำเลียงเสบียงอาหารมาพร้อมแล้วจะได้ยกกลับเมืองฮันต๋งพร้อมกัน
วันต่อมาหน่วยสอดแนมได้วิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานความแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้สุมาอี้ได้ยกกองทัพใหญ่กำลังพลสิบห้าหมื่นใกล้มาถึงเมืองเสเสียแล้ว
ขงเบ้งได้ยินรายงานดังนั้นก็ตกใจ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ทหารทั้งปวงก็หน้าซีดไปสิ้นทุกคน ขงเบ้งน้อยตัว แลทหารผู้ใหญ่ก็ไม่อยู่ มิรู้ที่จะสู้รบประการใด” ทั้งกองทัพของสุมาอี้ที่ยกมานั้น “เป็นอันมาก ดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย”
ขงเบ้งข่มอารมณ์ความรู้สึกทั้งปวงในฉับพลัน แล้วสั่งทหารให้เปิดประตูเมืองด้านที่กองทัพสุมาอี้กำลังยกมานั้น ให้คนแก่และทหารสิบสี่สิบห้าคนถือไม้กวาดออกไปทำทีกวาดขยะอยู่หน้าประตูเมืองโดยไม่สะทกสะเทือน และห้ามมิให้พูดจาส่งเสียงใด ๆ ให้ลดธงทิวบนกำแพงเมือง เชิงเทิน และหอรบเสียทั้งสิ้น แล้วกำชับทหารทั้งปวงว่าเราจะคิดกลอุบายสำคัญให้สุมาอี้ถอยทัพกลับไปให้จงได้ ท่านทั้งปวงอย่าได้หวั่นไหวสะทกสะเทือน อย่าให้พูดจาส่งเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น หากแม้นผู้ใดฝ่าฝืนเราจะตัดศีรษะเสีย
ขงเบ้งเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดนักพรตในลัทธิเต๋าแต่เสื้อคลุมนั้นสวมสีน้ำเงิน สวมหมวกผ้าไหมสีน้ำเงิน ขึ้นไปนั่งดีดพิณโบราณอยู่บนเชิงเทินบนหน้าประตูเมือง ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยเด็กชายหญิงข้างละคน คนหนึ่งถือธงสุริยัน อีกคนหนึ่งถือธงจันทรา บนโต๊ะซึ่งวางพิณนั้นตั้งกระถางธูปใหญ่ จุดธูปใหญ่ปักไว้สามดอก ด้านหน้ากระถางธูปวางเตาเผากำยานกลิ่นเย็นลึกลับ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเด็กที่ยืนขนาบข้างขงเบ้งนั้น คนหนึ่งถือกระบี่ คนหนึ่งถือแส้ ส่วนขงเบ้งนั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่ กระจับปี่ที่ว่านี้ก็คือพิณโบราณที่เล่าปี่เคยเห็นเมื่อครั้งที่ไปเชิญขงเบ้ง ณ กระท่อมน้อยที่เขาโงลังกั๋งนั่นเอง
ฝ่ายกองทัพหน้าของสุมาอี้ ครั้นยกเข้ามาใกล้กำแพงเมืองเห็นประตูเมืองเปิดอยู่ บนค่ายคูหอรบก็ไม่มีธงทิว เห็นขงเบ้งดีดพิณอยู่บนเชิงเทิน มีเพียงเด็กน้อยสองคนยืนถือธงเท่านั้น แต่เสียงพิณที่แว่วมาดังหนักแน่นนักก็รู้สึกประหวั่นใจ กองทัพหน้าของสุมาอี้จึงหยุดกึกอยู่กับที่ ในขณะที่พลสื่อสารก็ขี่ม้ากลับไปแจ้งให้สุมาอี้ทราบว่าแม่ทัพกองทัพหน้าเห็นเหตุการณ์ประหลาด จึงรั้งกองทัพไว้ตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ และให้ข้าพเจ้ารีบกลับมารายงาน
สุมาอี้ได้ฟังรายงานแล้วก็หัวเราะ ปรารภอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ขงเบ้งนี้จะอาจกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อ จะไปดูเอง”
สุมาอี้ไม่เชื่อรายงานว่าขงเบ้งจะบังอาจเปิดประตูเมืองแล้วนั่งดีดพิณอยู่บนเชิงเทินแต่ผู้เดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่ากองทัพใหญ่สิบห้าหมื่นกำลังรุกตรงมา จึงต้องการไปดูให้เห็นด้วยตาตนเอง สุมาอี้กล่าวดังนั้นแล้วจึงขี่ม้าพาทหารยี่สิบคนรุดไปที่กองทัพหน้า ยืนดูอยู่แต่ไกลๆ อย่างพินิจพิเคราะห์
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความตรงกับสามก๊กฉบับสมบูรณ์ว่า สุมาอี้แลขึ้นไปบนกำแพงเมืองแต่ไกล ๆ เห็น “ขงเบ้งแต่งตัวอ่าโถง หน้าตาแช่มชื่นบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเป็นการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหามีความสะดุ้งใจไม่ กลับดีดกระจับปี่เล่นเสียอีกเล่า ชะรอยจะแต่งกลไว้ลวงเราเป็นมั่นคง คิดฉะนั้นแล้วก็กริ่งใจกลัวว่าขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไป ความกลัวมิทันจะจัดแจงทหาร ก็ให้กองหน้าเป็นกองหลังขับทหารรีบถอยออกมา”
เพียงเท่านี้ย่อมขาดอรรถะและสาระอันสำคัญที่คนระดับสุมาอี้ซึ่งมีปัญญาในการสงครามเป็นอันมากจะกลัวจนล่าถอยแบบสิ้นเชิงชายฉะนี้ แต่หลักฐานจดหมายเหตุของแคว้นจ๊กซึ่งฝ่ายวรรณคดีของจีนได้ประมวลมาปรับปรุงเป็นบทภาพยนตร์ได้ขยายความอย่างมีชีวิตชีวา ตรงกับสามก๊กฉบับวิเคราะห์และนิทานพื้นบ้านที่เล่าขานสืบกันมา ว่ามีเหตุอันควรที่สุมาอี้จะต้องล่าถอยทัพ
เรื่องราวที่ขยายความในตอนนี้คือ เมื่อสุมาอี้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็คำนึงขึ้นในใจว่า คัมภีร์พิชัยสงครามแต่โบราณมากล่าวว่า อันการดำเนินสงครามนั้นเมื่อจะรุกต้องทำทีเป็นถอย เมื่อจะถอยต้องทำทีเป็นรุก เมื่อจะไปเหนือให้ทำทีว่าจะไปใต้ เมื่ออยู่ใกล้ก็ให้ทำว่าอยู่ไกล เมื่ออยู่ไกลก็ให้ทำว่าอยู่ใกล้ เมื่อมีทหารมากก็ทำให้เห็นว่ามีทหารน้อย เมื่อมีทหารน้อยให้ทำเป็นมีทหารมาก บทพิชัยสงครามนี้ขงเบ้งย่อมรู้ดีและย่อมรู้ว่าตัวเราก็รู้เป็นอันดี
สุมาอี้คิดต่อไปว่า ขงเบ้งคิดกลซ้อนคัมภีร์พิชัยสงครามทำเป็นไม่มีทหาร ลวงให้เราคิดว่าไม่มีทหาร แล้วกลับซุ่มทหารไว้ทั้งในและนอกเมือง ความคิดดังนี้หรือจะลวงเราได้
แต่สุมาอี้นั้นมักขี้ระแวง แม้เชื่อว่าขงเบ้งแต่งกลอุบายโดยอาศัยคัมภีร์พิชัยสงครามซ้อนกลเป็นสองชั้นดังนี้แล้วก็ยังไม่วางใจ ใจหนึ่งก็ยังเผื่อว่าขงเบ้งอาจไม่มีทหารอยู่ในเมืองจึงแสร้งทำกลลวงดังนี้ สุมาอี้เขม้นตาจ้องมองสองเด็กน้อยที่ถือธงสุริยันจันทราขนาบข้างขงเบ้งก็รู้สึกประหวั่นใจ เพราะธงสุริยันจันทรานั้นเป็นธงสำคัญของกองทัพ ใช้เป็นธงสัญญาณให้ทหารรุกถอยหรือจู่โจมได้ในฉับพลัน เพียงแค่เอื้อมมือขงเบ้งก็สามารถฉวยเอาธงมาโบกให้สัญญาณได้แล้ว ทั้งสีเสื้อขงเบ้งที่ใส่แม้เป็นแบบนักพรตแต่กลับไม่ใช่สีขาวสำหรับผู้ที่กำลังประพฤติธรรม หากเป็นสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีแห่งความล้ำลึก แฝงไว้ด้วยเงาของการรบราฆ่าฟันอยู่ในที
สุมาอี้เป็นผู้เชี่ยวชาญการดนตรีที่เยี่ยมยอดคนหนึ่งของวุยก๊ก จึงเงี่ยหูฟังสดับท่วงทำนองน้ำเสียงเพลงพิณของขงเบ้งว่าจะแฝงฝังไว้ด้วยความประหวั่นพรั่นใจหรือร้อนรนประการใดหรือไม่ สุมาอี้ฟังท่วงทำนองเพลงด้วยความตั้งใจก็เห็นว่าเป็นท่วงทำนองที่สะท้อนถึงจิตใจของผู้เล่นพิณว่ามีความเบิกบานมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ทำนองเพลงรื่นไหลดุจดังกระแสน้ำไม่มีติดขัด จังหวะเบาก็ไร้ร่องรอยดุจดังสายลมพัด จังหวะหนักก็หนักหน่วงดุจขุนเขาถล่มทลาย หาใช่จิตใจของผู้ที่มีความหวั่นเกรงหรือสะทกสะท้านแต่ประการใดไม่
สุมาอี้ฟังเสียงเพลงพิณของขงเบ้งเป็นเนื้อความออกเช่นเดียวกับที่พระอภัยมณีเป่าปี่แล้วฟังเป็นเนื้อความได้ว่า
“ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย แม้นไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย”
สุมาอี้ฟังเพลงพิณที่ขงเบ้งบรรเลงเป็นเนื้อความว่า
“สายธารไหลรี่รวมลงสู่ทะเลกว้าง
พระสมุทรเวิ้งว้างราบเรียบไร้คลื่นลม
ฝูงปลาน้อยว่ายแหวกชวนชม
ท้องน้ำล้ำลึกดำมืดราวคืนแรม
ภูเขาสูงตระหง่านเสียดแทงเมฆ
ความวิเวกแผ่คลุมปลายฤดูหนาว
มวลพฤกษาผลิใบแทนใบที่ร่วงราว
ผีเสื้อหลากสีสันเริงร่าท้าทาย
ชาวนาแบกไถจูงโคคืนเคหา
เหลาสุราเปล่งเสียงเจ้งครื้นเครงครัน
เสียงสวดมนต์บ่นพร่ำพระธรรมแว่วมา
ฟากฟ้าประจิมประกายแสงแดงจ้า
สรรพสิ่งหมุนเวียนไปไร้เงื่อนปม
สายลมแผ่วโชยมายากหารอยต่อ
สำเนียงพิณห่อนสิ้นเพลงเคล้าคลอ
เมฆฝนก่อเค้ามางามตาเอย”
สุมาอี้ฟังความจากเพลงพิณตอนแรกก็สะดุ้งใจ เพราะพระสมุทรอันกว้างใหญ่ไหนเลยจะไร้คลื่นลม ท้องน้ำอันยากหยั่งถึงไหนเลยจะมีแต่ฝูงปลาน้อย มฤตยูใต้ห้วงน้ำลึกและพายุใหญ่ไฉนจึงถูกปิดงำไว้
เพลงพิณตอนที่สองได้ปิดงำความสำคัญอันยิ่งใหญ่ไว้ เพราะในพงพฤกษานั้นไหนเลยจะมีเพียงผีเสื้อหลากสีสัน ย่อมต้องมีฝูงสกุณานกป่านานาพันธุ์ ซึ่งบทเพลงไร้หมู่นกในแมกไม้ หรือชะรอยจะมีการซุ่มทหารไว้ ฝูงนกป่าจึงพากันหลีกลี้หนีไปสิ้น
เพลงพิณตอนที่สามแม้บ่งบอกว่าเป็นยุคยามบ้านเมืองอยู่ในห้วงแห่งสันติ ผู้คนทำมาหากินและมีความสุขสนุกสนาน ผู้ใฝ่ในพระธรรมบ่นพร่ำภาวนา แต่ฟากฟ้าไยต้องมีสีโลหิตเจิดจ้า ทั้งยามสันตินั้นคือรอยต่อที่จะเข้าสู่ยุคสงครามตามกฎแห่งวัฎจักร
ครั้นสุมาอี้ฟังเพลงพิณมาถึงตอนที่สี่ก็ยิ่งกระจ่างว่า ผู้บัญชาการสงครามที่เลิศล้ำย่อมดำเนินสงครามพลิกแพลงต่อเนื่อง หารอยต่อเงื่อนปมอันใดมิได้ กลิ่นอายฆ่าฟันอันรุนแรงแม้แอบแฝงปกปิดไว้อย่างเงียบงันและงดงาม แต่ก็ฟุ้งกลิ่นกระจายเข้าจมูกของสุมาอี้อย่างเต็มที่
สุมาอี้พิจารณาเหตุการณ์ทั้งปวงแล้ว สีหน้าก็ตกใจด้วยความประหวั่นครั่นคร้าม เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ไหลลงโทรมหน้าโดยไม่รู้ตัว แน่แก่ใจว่าขงเบ้งทำกลทั้งนี้ต้องการให้เรายกกองทัพเข้าตีเมือง แล้วหวังสังหารตัวเราและทำลายกองทัพเราให้ย่อยยับเป็นแน่แท้
สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงรีบออกคำสั่งให้แปรขบวนกองหลังเป็นกองหน้า ให้กองหน้าเป็นกองหลัง ขับทหารให้รีบถอยในทันที ผู้ใดไม่เชื่อฟังก็จะตัดศีรษะตามพระอัยการศึก ตัวสุมาอี้ขี่ม้าร้องออกคำสั่งอย่างร้อนรน ขับทหารล่าถอยกลับไป
สุมาเจียวผู้บุตรเห็นบิดาแตกตื่นตกใจถึงปานนี้ก็ขี่ม้าเข้าไปใกล้ แล้วถามว่าขงเบ้งสิ้นท่าอับจนดังนี้แล้ว ไฉนบิดาท่านจึงยกทหารถอยกลับเสียเล่า
สุมาอี้ยังคงขี่ม้ารุดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องบอกแก่สุมาเจียวผู้บุตรว่า “ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความ ยังมิรู้สันทัดเคยกลขงเบ้ง อันขงเบ้งเป็นคนมีสติปัญญา ชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเป็นผู้ใหญ่แก่การศึกนั้นมิบังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไป ก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง พากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่า เราจะเชื่อฟังมิได้”
“อุบายเมืองร้าง” ที่ขงเบ้งทำการครั้งนี้ จึงเป็นที่นับถือของบรรดาเสนาธิการทหารตลอดมาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้.
ทหารทั้งปวงเห็นขงเบ้งมีสีหน้าเคร่งเครียดก็รู้ว่าสถานการณ์คับขัน พากันนิ่งตั้งใจฟังอย่างใจจดใจจ่อ ขงเบ้งจึงสั่งให้เตียวเอ๊กคุมทหารเป็นกองหน้าสำหรับกรุยเส้นทางเพื่อให้กองทัพหลวงล่าถอยกลับเมืองฮันต๋งได้โดยสะดวก ให้เกียงอุยและม้าต้ายคุมทหารเป็นกองหลังคอยคุ้มกันการล่าถอยให้ปลอดภัยจากข้าศึกที่จะไล่ตามตี แล้วทำหนังสือสามฉบับถึงผู้รักษาเมืองเทียนซุย เมืองลำอั๋น และเมืองเสเสีย สั่งให้ถอนกำลังออกจากทั้งสามเมืองในทันที และให้ย้ายกำลังเข้าไปตั้งอยู่ในเมืองฮันต๋ง
ขงเบ้งสั่งการในการถอยทัพแล้ว จึงสั่งทหารให้ไปรับมารดาของเกียงอุยซึ่งพำนักอยู่ที่เมืองเทียนซุย เชิญเข้าไปในเมืองฮันต๋งด้วย
ทหารทั้งปวงรับคำสั่งของขงเบ้งแล้วคำนับลาออกไปจัดการตามคำสั่งของขงเบ้งทุกประการ ตัวขงเบ้งคุมทหารซึ่งเหลืออยู่เพียงห้าพันยกไปที่เมืองเสเสียเพื่อจะเกณฑ์เสบียงขนกลับไปเมืองฮันต๋ง
เส้นทางถอยทัพของขงเบ้งจึงอยู่ในความคาดคะเนของสุมาอี้ซึ่งกำลังยกกองทัพใหญ่สิบห้าหมื่นตรงมาที่เมืองเสเสียพอดี
เมื่อขงเบ้งยกไปถึงเมืองเสเสียแล้วจึงแบ่งทหารสองพันห้าร้อยคนให้ไปเคลื่อนย้ายเสบียงจากคลังเสบียงทุกแห่ง เพื่อจะลำเลียงกลับไปเมืองฮันต๋งด้วย ขงเบ้งคุมทหารที่เหลือเพียงสองพันห้าร้อยคนตั้งอยู่ในเมือง คอยท่าให้การลำเลียงเสบียงอาหารมาพร้อมแล้วจะได้ยกกลับเมืองฮันต๋งพร้อมกัน
วันต่อมาหน่วยสอดแนมได้วิ่งหน้าตื่นเข้ามารายงานความแก่ขงเบ้งว่า บัดนี้สุมาอี้ได้ยกกองทัพใหญ่กำลังพลสิบห้าหมื่นใกล้มาถึงเมืองเสเสียแล้ว
ขงเบ้งได้ยินรายงานดังนั้นก็ตกใจ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ทหารทั้งปวงก็หน้าซีดไปสิ้นทุกคน ขงเบ้งน้อยตัว แลทหารผู้ใหญ่ก็ไม่อยู่ มิรู้ที่จะสู้รบประการใด” ทั้งกองทัพของสุมาอี้ที่ยกมานั้น “เป็นอันมาก ดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย”
ขงเบ้งข่มอารมณ์ความรู้สึกทั้งปวงในฉับพลัน แล้วสั่งทหารให้เปิดประตูเมืองด้านที่กองทัพสุมาอี้กำลังยกมานั้น ให้คนแก่และทหารสิบสี่สิบห้าคนถือไม้กวาดออกไปทำทีกวาดขยะอยู่หน้าประตูเมืองโดยไม่สะทกสะเทือน และห้ามมิให้พูดจาส่งเสียงใด ๆ ให้ลดธงทิวบนกำแพงเมือง เชิงเทิน และหอรบเสียทั้งสิ้น แล้วกำชับทหารทั้งปวงว่าเราจะคิดกลอุบายสำคัญให้สุมาอี้ถอยทัพกลับไปให้จงได้ ท่านทั้งปวงอย่าได้หวั่นไหวสะทกสะเทือน อย่าให้พูดจาส่งเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น หากแม้นผู้ใดฝ่าฝืนเราจะตัดศีรษะเสีย
ขงเบ้งเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเป็นชุดนักพรตในลัทธิเต๋าแต่เสื้อคลุมนั้นสวมสีน้ำเงิน สวมหมวกผ้าไหมสีน้ำเงิน ขึ้นไปนั่งดีดพิณโบราณอยู่บนเชิงเทินบนหน้าประตูเมือง ขนาบข้างซ้ายขวาด้วยเด็กชายหญิงข้างละคน คนหนึ่งถือธงสุริยัน อีกคนหนึ่งถือธงจันทรา บนโต๊ะซึ่งวางพิณนั้นตั้งกระถางธูปใหญ่ จุดธูปใหญ่ปักไว้สามดอก ด้านหน้ากระถางธูปวางเตาเผากำยานกลิ่นเย็นลึกลับ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเด็กที่ยืนขนาบข้างขงเบ้งนั้น คนหนึ่งถือกระบี่ คนหนึ่งถือแส้ ส่วนขงเบ้งนั่งดีดกระจับปี่เล่นอยู่ กระจับปี่ที่ว่านี้ก็คือพิณโบราณที่เล่าปี่เคยเห็นเมื่อครั้งที่ไปเชิญขงเบ้ง ณ กระท่อมน้อยที่เขาโงลังกั๋งนั่นเอง
ฝ่ายกองทัพหน้าของสุมาอี้ ครั้นยกเข้ามาใกล้กำแพงเมืองเห็นประตูเมืองเปิดอยู่ บนค่ายคูหอรบก็ไม่มีธงทิว เห็นขงเบ้งดีดพิณอยู่บนเชิงเทิน มีเพียงเด็กน้อยสองคนยืนถือธงเท่านั้น แต่เสียงพิณที่แว่วมาดังหนักแน่นนักก็รู้สึกประหวั่นใจ กองทัพหน้าของสุมาอี้จึงหยุดกึกอยู่กับที่ ในขณะที่พลสื่อสารก็ขี่ม้ากลับไปแจ้งให้สุมาอี้ทราบว่าแม่ทัพกองทัพหน้าเห็นเหตุการณ์ประหลาด จึงรั้งกองทัพไว้ตามคำสั่งของท่านแม่ทัพ และให้ข้าพเจ้ารีบกลับมารายงาน
สุมาอี้ได้ฟังรายงานแล้วก็หัวเราะ ปรารภอย่างมั่นอกมั่นใจว่า “ขงเบ้งนี้จะอาจกระนั้นเจียวหรือ เรามิเชื่อ จะไปดูเอง”
สุมาอี้ไม่เชื่อรายงานว่าขงเบ้งจะบังอาจเปิดประตูเมืองแล้วนั่งดีดพิณอยู่บนเชิงเทินแต่ผู้เดียว ทั้งๆ ที่รู้ว่ากองทัพใหญ่สิบห้าหมื่นกำลังรุกตรงมา จึงต้องการไปดูให้เห็นด้วยตาตนเอง สุมาอี้กล่าวดังนั้นแล้วจึงขี่ม้าพาทหารยี่สิบคนรุดไปที่กองทัพหน้า ยืนดูอยู่แต่ไกลๆ อย่างพินิจพิเคราะห์
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาความตรงกับสามก๊กฉบับสมบูรณ์ว่า สุมาอี้แลขึ้นไปบนกำแพงเมืองแต่ไกล ๆ เห็น “ขงเบ้งแต่งตัวอ่าโถง หน้าตาแช่มชื่นบานสบายอยู่ ก็คิดว่ากองทัพเรายกมาเป็นการจวนตัวถึงเพียงนี้ ขงเบ้งหามีความสะดุ้งใจไม่ กลับดีดกระจับปี่เล่นเสียอีกเล่า ชะรอยจะแต่งกลไว้ลวงเราเป็นมั่นคง คิดฉะนั้นแล้วก็กริ่งใจกลัวว่าขงเบ้งจะซุ่มทหารไว้ ก็ชักม้าพาทหารกลับไป ความกลัวมิทันจะจัดแจงทหาร ก็ให้กองหน้าเป็นกองหลังขับทหารรีบถอยออกมา”
เพียงเท่านี้ย่อมขาดอรรถะและสาระอันสำคัญที่คนระดับสุมาอี้ซึ่งมีปัญญาในการสงครามเป็นอันมากจะกลัวจนล่าถอยแบบสิ้นเชิงชายฉะนี้ แต่หลักฐานจดหมายเหตุของแคว้นจ๊กซึ่งฝ่ายวรรณคดีของจีนได้ประมวลมาปรับปรุงเป็นบทภาพยนตร์ได้ขยายความอย่างมีชีวิตชีวา ตรงกับสามก๊กฉบับวิเคราะห์และนิทานพื้นบ้านที่เล่าขานสืบกันมา ว่ามีเหตุอันควรที่สุมาอี้จะต้องล่าถอยทัพ
เรื่องราวที่ขยายความในตอนนี้คือ เมื่อสุมาอี้เห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็คำนึงขึ้นในใจว่า คัมภีร์พิชัยสงครามแต่โบราณมากล่าวว่า อันการดำเนินสงครามนั้นเมื่อจะรุกต้องทำทีเป็นถอย เมื่อจะถอยต้องทำทีเป็นรุก เมื่อจะไปเหนือให้ทำทีว่าจะไปใต้ เมื่ออยู่ใกล้ก็ให้ทำว่าอยู่ไกล เมื่ออยู่ไกลก็ให้ทำว่าอยู่ใกล้ เมื่อมีทหารมากก็ทำให้เห็นว่ามีทหารน้อย เมื่อมีทหารน้อยให้ทำเป็นมีทหารมาก บทพิชัยสงครามนี้ขงเบ้งย่อมรู้ดีและย่อมรู้ว่าตัวเราก็รู้เป็นอันดี
สุมาอี้คิดต่อไปว่า ขงเบ้งคิดกลซ้อนคัมภีร์พิชัยสงครามทำเป็นไม่มีทหาร ลวงให้เราคิดว่าไม่มีทหาร แล้วกลับซุ่มทหารไว้ทั้งในและนอกเมือง ความคิดดังนี้หรือจะลวงเราได้
แต่สุมาอี้นั้นมักขี้ระแวง แม้เชื่อว่าขงเบ้งแต่งกลอุบายโดยอาศัยคัมภีร์พิชัยสงครามซ้อนกลเป็นสองชั้นดังนี้แล้วก็ยังไม่วางใจ ใจหนึ่งก็ยังเผื่อว่าขงเบ้งอาจไม่มีทหารอยู่ในเมืองจึงแสร้งทำกลลวงดังนี้ สุมาอี้เขม้นตาจ้องมองสองเด็กน้อยที่ถือธงสุริยันจันทราขนาบข้างขงเบ้งก็รู้สึกประหวั่นใจ เพราะธงสุริยันจันทรานั้นเป็นธงสำคัญของกองทัพ ใช้เป็นธงสัญญาณให้ทหารรุกถอยหรือจู่โจมได้ในฉับพลัน เพียงแค่เอื้อมมือขงเบ้งก็สามารถฉวยเอาธงมาโบกให้สัญญาณได้แล้ว ทั้งสีเสื้อขงเบ้งที่ใส่แม้เป็นแบบนักพรตแต่กลับไม่ใช่สีขาวสำหรับผู้ที่กำลังประพฤติธรรม หากเป็นสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีแห่งความล้ำลึก แฝงไว้ด้วยเงาของการรบราฆ่าฟันอยู่ในที
สุมาอี้เป็นผู้เชี่ยวชาญการดนตรีที่เยี่ยมยอดคนหนึ่งของวุยก๊ก จึงเงี่ยหูฟังสดับท่วงทำนองน้ำเสียงเพลงพิณของขงเบ้งว่าจะแฝงฝังไว้ด้วยความประหวั่นพรั่นใจหรือร้อนรนประการใดหรือไม่ สุมาอี้ฟังท่วงทำนองเพลงด้วยความตั้งใจก็เห็นว่าเป็นท่วงทำนองที่สะท้อนถึงจิตใจของผู้เล่นพิณว่ามีความเบิกบานมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ทำนองเพลงรื่นไหลดุจดังกระแสน้ำไม่มีติดขัด จังหวะเบาก็ไร้ร่องรอยดุจดังสายลมพัด จังหวะหนักก็หนักหน่วงดุจขุนเขาถล่มทลาย หาใช่จิตใจของผู้ที่มีความหวั่นเกรงหรือสะทกสะท้านแต่ประการใดไม่
สุมาอี้ฟังเสียงเพลงพิณของขงเบ้งเป็นเนื้อความออกเช่นเดียวกับที่พระอภัยมณีเป่าปี่แล้วฟังเป็นเนื้อความได้ว่า
“ในเพลงปี่ว่าสามพี่พราหมณ์เอ๋ย แม้นไม่เคยชมชิดพิสมัย
ถึงร้อยรสบุปผาสุมาลัย จะชื่นใจเหมือนสตรีไม่มีเลย”
สุมาอี้ฟังเพลงพิณที่ขงเบ้งบรรเลงเป็นเนื้อความว่า
“สายธารไหลรี่รวมลงสู่ทะเลกว้าง
พระสมุทรเวิ้งว้างราบเรียบไร้คลื่นลม
ฝูงปลาน้อยว่ายแหวกชวนชม
ท้องน้ำล้ำลึกดำมืดราวคืนแรม
ภูเขาสูงตระหง่านเสียดแทงเมฆ
ความวิเวกแผ่คลุมปลายฤดูหนาว
มวลพฤกษาผลิใบแทนใบที่ร่วงราว
ผีเสื้อหลากสีสันเริงร่าท้าทาย
ชาวนาแบกไถจูงโคคืนเคหา
เหลาสุราเปล่งเสียงเจ้งครื้นเครงครัน
เสียงสวดมนต์บ่นพร่ำพระธรรมแว่วมา
ฟากฟ้าประจิมประกายแสงแดงจ้า
สรรพสิ่งหมุนเวียนไปไร้เงื่อนปม
สายลมแผ่วโชยมายากหารอยต่อ
สำเนียงพิณห่อนสิ้นเพลงเคล้าคลอ
เมฆฝนก่อเค้ามางามตาเอย”
สุมาอี้ฟังความจากเพลงพิณตอนแรกก็สะดุ้งใจ เพราะพระสมุทรอันกว้างใหญ่ไหนเลยจะไร้คลื่นลม ท้องน้ำอันยากหยั่งถึงไหนเลยจะมีแต่ฝูงปลาน้อย มฤตยูใต้ห้วงน้ำลึกและพายุใหญ่ไฉนจึงถูกปิดงำไว้
เพลงพิณตอนที่สองได้ปิดงำความสำคัญอันยิ่งใหญ่ไว้ เพราะในพงพฤกษานั้นไหนเลยจะมีเพียงผีเสื้อหลากสีสัน ย่อมต้องมีฝูงสกุณานกป่านานาพันธุ์ ซึ่งบทเพลงไร้หมู่นกในแมกไม้ หรือชะรอยจะมีการซุ่มทหารไว้ ฝูงนกป่าจึงพากันหลีกลี้หนีไปสิ้น
เพลงพิณตอนที่สามแม้บ่งบอกว่าเป็นยุคยามบ้านเมืองอยู่ในห้วงแห่งสันติ ผู้คนทำมาหากินและมีความสุขสนุกสนาน ผู้ใฝ่ในพระธรรมบ่นพร่ำภาวนา แต่ฟากฟ้าไยต้องมีสีโลหิตเจิดจ้า ทั้งยามสันตินั้นคือรอยต่อที่จะเข้าสู่ยุคสงครามตามกฎแห่งวัฎจักร
ครั้นสุมาอี้ฟังเพลงพิณมาถึงตอนที่สี่ก็ยิ่งกระจ่างว่า ผู้บัญชาการสงครามที่เลิศล้ำย่อมดำเนินสงครามพลิกแพลงต่อเนื่อง หารอยต่อเงื่อนปมอันใดมิได้ กลิ่นอายฆ่าฟันอันรุนแรงแม้แอบแฝงปกปิดไว้อย่างเงียบงันและงดงาม แต่ก็ฟุ้งกลิ่นกระจายเข้าจมูกของสุมาอี้อย่างเต็มที่
สุมาอี้พิจารณาเหตุการณ์ทั้งปวงแล้ว สีหน้าก็ตกใจด้วยความประหวั่นครั่นคร้าม เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ไหลลงโทรมหน้าโดยไม่รู้ตัว แน่แก่ใจว่าขงเบ้งทำกลทั้งนี้ต้องการให้เรายกกองทัพเข้าตีเมือง แล้วหวังสังหารตัวเราและทำลายกองทัพเราให้ย่อยยับเป็นแน่แท้
สุมาอี้คิดดังนั้นแล้วจึงรีบออกคำสั่งให้แปรขบวนกองหลังเป็นกองหน้า ให้กองหน้าเป็นกองหลัง ขับทหารให้รีบถอยในทันที ผู้ใดไม่เชื่อฟังก็จะตัดศีรษะตามพระอัยการศึก ตัวสุมาอี้ขี่ม้าร้องออกคำสั่งอย่างร้อนรน ขับทหารล่าถอยกลับไป
สุมาเจียวผู้บุตรเห็นบิดาแตกตื่นตกใจถึงปานนี้ก็ขี่ม้าเข้าไปใกล้ แล้วถามว่าขงเบ้งสิ้นท่าอับจนดังนี้แล้ว ไฉนบิดาท่านจึงยกทหารถอยกลับเสียเล่า
สุมาอี้ยังคงขี่ม้ารุดหน้าต่อไปอย่างรวดเร็ว ปากก็ร้องบอกแก่สุมาเจียวผู้บุตรว่า “ตัวเจ้าหนุ่มแก่ความ ยังมิรู้สันทัดเคยกลขงเบ้ง อันขงเบ้งเป็นคนมีสติปัญญา ชำนาญในการสงครามนัก จะทำการสิ่งใดก็แน่นอน เคยทำกลศึกมีชัยมาหลายครั้ง เจ้ามีสติปัญญาแต่เพียงนี้ จะล่วงดูหมิ่นขงเบ้งเป็นผู้ใหญ่แก่การศึกนั้นมิบังควร แม้จะขืนทำล่วงเกินไป ก็จะต้องด้วยกลของขงเบ้ง พากันตายเสียสิ้น ซึ่งถ้อยคำของเจ้าว่า เราจะเชื่อฟังมิได้”
“อุบายเมืองร้าง” ที่ขงเบ้งทำการครั้งนี้ จึงเป็นที่นับถือของบรรดาเสนาธิการทหารตลอดมาตั้งแต่บัดนั้นถึงบัดนี้.