ตอนที่ 506. สิ้นบุญพระเจ้าโจผี
ในขณะที่จ๊กก๊กปราบปรามฝ่ายกบฏและผู้รุกรานทางภาคใต้ได้ราบคาบ ฝ่ายวุยก๊กก็เกิดความไม่สงบเรียบร้อยขึ้นภายในราชสำนัก พระมเหสีเอียนซีต้องกลอุบายของบิดาพระสนมเอก และถูกลงโทษประหารชีวิต พระเจ้าโจผีค่อยคลายพระประชวรแล้ว จึงเสด็จออกประพาสป่าล่าสัตว์
พระเจ้าโจผีทรงสลดพระทัยเพราะคำทูลของโจยอยแล้ว น้ำพระทัยก็ประหวัดถึงอดีตพระมเหสีและพระราชบุตรโจยอยว่าต้องตกเป็นกำพร้าแม่เช่นเดียวกับลูกกวางน้อย และทรงคิดว่าราชบุตรโจยอยนี้มีน้ำใจเมตตาต่อสรรพสัตว์ สืบไปเบื้องหน้าแม้นได้ครองสิริราชสมบัติ บ้านเมืองแลราษฎรย่อมร่มเย็นเป็นสุข ทรงดำริดังนั้นแล้วน้ำพระทัยก็ชื้นขึ้น ตรัสสั่งให้ยกเลิกการล่าสัตว์แล้วเสด็จนิวัติกลับเข้าพระนคร
วันรุ่งขึ้นเสด็จออกท้องพระโรงท่ามกลางมหาสมาคม ทรงมีพระราชปรารภว่าบัดนี้พระราชบุตรโจยอยเจริญพระชนม์มายุแล้ว เปี่ยมด้วยน้ำพระทัยที่เมตตาต่อคนทั้งปวง สมควรสถาปนาให้เป็นที่รัชทายาท จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาโจยอยให้เป็นที่รัชทายาทในตำแหน่งเพงงวนอ๋อง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่า “พระเจ้าโจผีจึงตั้งโจยอยเป็นเพงงวนอ๋อง แปลภาษาไทยว่าราชบุตรต่างกรม”
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยหกสิบเก้าพรรษา เดือนเจ็ด หลังจากสถาปนารัชทายาทแล้ว อาการประชวรของพระเจ้าโจผีก็หวนกลับมาใหม่ ครั้งนี้พระอาการทรุดหนักลงโดยลำดับ แพทย์หลวงได้พยายามถวายการรักษาก็ไม่เป็นอันทุเลาลง
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า ในปีดังกล่าวเดือนห้า ฤดูคิมหันต์ พระเจ้าโจผีประชวรไข้เย็นหรือไข้จับสั่น ในขณะที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ครั้นพระเจ้าโจผีเสวยราชได้เจ็ดปี ตรงกับพุทธศักราชแปดร้อยหกสิบเก้า … ครั้นถึงเดือนแปดพระเจ้าโจผีประชวรไข้จับ”
พิเคราะห์วันเวลาที่ทรงพระประชวรจากสามก๊กฉบับภาษาจีนและฉบับภาษาญี่ปุ่นตรงกันว่า เป็นปีที่พระเจ้าโจผีเสวยราชได้เจ็ดปี ตรงกับปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยหกสิบเก้า เดือนเจ็ด ทรงพระประชวรเป็นไข้จับสั่น ทุกวันในเวลาพลบมีพระอาการหนาวสั่นรุนแรงขึ้นโดยลำดับ เสวยพระกระยาหารไม่ได้ บรรทมไม่หลับ พระอาการทรุดหนักลงจนมีพระดำริว่าอาการพระประชวรที่มีแต่ทรุดฉะนี้ผิดกว่าแต่ก่อน เห็นว่าจะมีพระชนม์มายุต่อไปได้ไม่นานนัก
เมื่อมีพระราชดำริเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าโจผีจึงรับสั่งให้หาโจจิ๋น ตันกุ๋นและสุมาอี้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เป็นเสาหลักสำคัญของแผ่นดิน พร้อมด้วยรัชทายาทโจยอยเข้ามาเฝ้าถึงพระที่พร้อมกันเป็นการด่วน
เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนทั้งสี่มาพร้อมกันตรงหน้าพระแท่นที่บรรทมแล้ว พระเจ้าโจผีจึงรับสั่งกับขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคนต่อหน้าราชบุตรโจยอยว่า “ตัวเราก็ป่วยหนักเห็นจะไม่รอดแล้ว เราคิดวิตกด้วยโจยอยยังหนุ่มแก่ความนักอยู่ ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งสามเคยทำราชการกับเราฉันใด จงช่วยเอาใจใส่ราชการบ้านเมือง ทำนุบำรุงบุตรเราเหมือนฉะนั้นเถิด”
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคนได้ฟังรับสั่งแล้วจึงคุกเข่าลงถวายบังคม และปลอบพระทัยว่าพระโรคเพียงเท่านี้ ขออย่าได้ทรงพระวิตกไปเลย อันการแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงฝากฝังนั้นพวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งสามคนจะน้อมสนองพระเดชพระคุณจนสุดชีวิต
พระเจ้าโจผีได้ฟังคำปลอบพระทัยก็ตรัสว่า การบนดินนั้นเรารู้อาการของเราเองดีอยู่ ส่วนการบนฟ้าเล่าก็ประหลาดนัก ด้วยประตูเอกที่จะเข้ามาเมืองฮูโต๋นี้อยู่ดี ๆ ก็พังทะลายลงมา จึงเห็นว่าบุญเรากำลังจะสิ้นแล้ว
พระเจ้าโจผีตรัสพอขาดคำทหารรักษาการณ์ก็วิ่งเข้ามารายงานว่า บัดนี้โจฮิวขุนนางผู้ใหญ่ผู้รับผิดชอบความปลอดภัยของแคว้นด้านทิศตะวันออกทราบอาการพระประชวรจึงรีบรุดมาเพื่อขอเฝ้า
พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็ดีพระทัย ด้วยโจฮิวนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ครั้งโจโฉเท่านั้น หากยังถือเป็นพระญาติ จึงรับสั่งให้รีบหาโจฮิวเข้ามาเฝ้า
โจฮิวเข้ามาถึงก็คุกเข่ากราบถวายบังคม พระเจ้าโจผีทอดพระเนตรเห็นโจฮิวก็ทรงพระกันแสง แล้วตรัสว่า “ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ช่วยปราบปรามข้าศึกมาแต่เมืองฮูโต๋ยังไม่ตั้งมั่นได้ จนใหญ่หลวงเป็นสุขขึ้นถึงเพียงนี้ บัดนี้เรายังไม่แก่ชรานัก อายุได้สี่สิบปี เพิ่งครองราชสมบัติได้เจ็ดปี โรคภัยก็เบียดเบียนนัก เห็นจะสิ้นอายุเสียมั่นคงแล้ว ท่านอยู่ภายหลังจงช่วยทำนุบำรุงบุตรเราโดยสุจริต ให้เราสิ้นวิตกด้วยเถิด”
พอตรัสสิ้นคำพระเจ้าโจผีก็มีอาการสะดุ้งขึ้นทั้งพระองค์ มีเสียงไอดังขึ้นครั้งหนึ่ง พระพักตร์ก็พลิกไปทางด้านข้าง ลมอัสสาสะ ปัสสาสะได้หยุดนิ่งลง พระเจ้าโจผีก็สิ้นพระชนม์ ณ บัดนั้น
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่เข้าเฝ้าเห็นพระเจ้าโจผีเสด็จสวรรคตต่างพากันโศกเศร้าร้องไห้เป็นอันมาก รัชทายาทโจยอยเห็นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตก็ทรงพระกันแสงแล้วโผพระองค์ซบพระบรมศพของพระเจ้าโจผี
พักใหญ่ขุนนางทั้งสี่คนจึงปรึกษากันว่าเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว ซึ่งจะให้การแผ่นดินว่างเว้นพระมหากษัตริย์นั้นไม่ชอบด้วยประเพณี ควรที่จะสถาปนารัชทายาท โจยอยขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบตำแหน่งแทน ทั้งสี่คนมีความเห็นร่วมกันดังนั้นแล้ว จึงให้ลั่นระฆังเป็นสัญญาณภายในราชสำนักว่าฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว และมีหมายเรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงไปพร้อมกันที่ท้องพระโรง
เมื่อขุนนางทั้งปวงไปพร้อมกันที่ท้องพระโรงแล้ว โจฮิว โจจิ๋น ตันกุ๋นและสุมาอี้ จึงได้ร่วมกันประกาศว่า บัดนี้พระเจ้าโจผีเสด็จสวรรคตแล้ว ก่อนสวรรคตทรงฝากฝังราชการแผ่นดินไว้กับพวกเราทั้งสี่คน และรับสั่งให้สถาปนาพระราชบุตรโจยอยขึ้นสืบราชสมบัติแทน ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
ขุนนางทั้งปวงเห็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่คน ซึ่งบ้างก็เป็นพระญาติผู้ใหญ่และต่างรับผิดชอบควบคุมกิจการทหารและพลเรือนอยู่ในมือพร้อมสรรพและเห็นพ้องต้องกันเช่นนั้น จึงพากันคุกเข่าแล้วกล่าวพร้อมกันว่า ทรงพระเจริญ อันเป็นการยอมรับพระบรมราชโองการก่อนเสด็จสวรรคตของพระเจ้าโจผี
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่คนจึงทูลเชิญเสด็จรัชทายาทโจยอยขึ้นประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์แล้วประกาศสถาปนาเป็นฮ่องเต้เสวยสิริราชสมบัติสืบแทนพระเจ้าโจผี และนำขุนนางทั้งปวงคุกเข่าถวายบังคมขอให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงพระเจริญ เฉลิมพระนามว่าพระเจ้าไต้ฮุยฮ่องเต้ และให้ไว้ทุกข์ทั่วประเทศตามประเพณี
พระเจ้าโจยอยครองราชสมบัติแล้วทรงโปรดเกล้า “ให้ปล่อยคนโทษซึ่งต้องจำจองอยู่นั้นให้พ้นโทษ” ให้งดส่วยสาอากรเป็นเวลาสามปี และให้แต่งการพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าโจผีตามราชประเพณีทุกประการ
ครั้นเสร็จการพระบรมศพแล้ว พระเจ้าโจยอยจึงโปรดเกล้าให้แต่งตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยตามทำเนียบการบริหารราชการแผ่นดินตามโบราณราชประเพณีทุกประการ
วันหนึ่งพระเจ้าโจยอยเสด็จออกว่าราชการท่ามกลางขุนนางทั้งปวง แล้วมีพระราชปรารภว่าเมืองเสเหลียงซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเสฉวนเป็นเมืองหน้าศึก จำเป็นต้องมีผู้มีสติปัญญาในราชการสงครามไปอยู่รักษาจึงจะป้องกันบ้านเมืองมิให้เป็นอันตราย ท่านทั้งปวงเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมที่จะไปรักษาเมืองเสเหลียง
สุมาอี้ได้ฟังพระราชปรารภแล้วจึงถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์รับราชการมาแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าวุยอ๋อง ยังหาความชอบสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันมิได้ จะขออาสาไปรักษาเมืองเสเหลียงเอง
พระเจ้าโจยอยจึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพไปรักษาเมืองเสเหลียงและหัวเมืองชายแดนด้านตะวันตก สุมาอี้ถวายบังคมรับตราตั้งแล้วจึงนำครอบครัวและบุตรไปรับตำแหน่งที่เมืองเสเหลียง
ข่าวคราวการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในวุยก๊กเป็นที่สนใจของหน่วยสอดแนมของทั้งฝ่ายจ๊กก๊กและง่อก๊ก
ครั้นขงเบ้งทราบข่าวว่าพระเจ้าโจยอยได้เสวยราชสมบัติแทนพระเจ้าโจผีและโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้มารักษาเมืองเสเหลียงซึ่งใกล้กับเมืองเสฉวนก็ตกใจ เพราะรู้ดีว่าสุมาอี้นี้มีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้ง เชี่ยวชาญเจนจบในพิชัยสงคราม และเมืองเสเหลียงนั้นเล่าก็เป็นแหล่งกองทัพม้าที่เข้มแข็งเกรียงไกรของภาคตะวันตกของแผ่นดินตงง้วน หากสุมาอี้มารักษาเมืองนี้นานไปแล้วก็อาจซ่องสุมผู้คนและกองทัพม้าอย่างขนานใหญ่ มีผลต่อการคุกคามความปลอดภัยของจ๊กก๊ก ประกอบทั้งดำริว่าอาเต๊านั้นบัดนี้นิสัยลูกเจ้าได้กำเริบขึ้นเป็นอันมาก ลืมคนเก่า ใฝ่เสวนาอยู่กับคนใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกฉวยโอกาส แสวงหาประโยชน์สุขและชักนำไปในทางต่ำ การแผ่นดินเมือง เสฉวนจะอ่อนแอลง ตัวเราเล่าอายุขัยก็จะไม่ยืนยาว หากเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่ประพฤติตนอยู่ในธรรม ออกนอกลู่นอกทาง ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ทำให้ราษฎรทุกข์เข็ญ ก็ไม่อาจตัดใจปฏิบัติตามรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ก่อนสิ้นพระชนม์ ที่ทรงกระซิบสั่งว่า “ถ้าเห็นลูกเราไม่อยู่ในสัตย์ในธรรม ทำผิดประเพณีไปไม่ฟังท่าน ก็ให้ท่านรักษาเมืองเสฉวนบำรุงแผ่นดินเองเถิด” ได้ จำจะคิดอ่านไปให้ไกลหูไกลตาและป้องปรามวุยก๊กไม่ให้รุกรานจ๊กก๊กในอนาคตได้ แม้สิ้นบุญเราแล้วอย่างน้อยก็จะต้องรักษาเมืองเสฉวนให้ดำรงคงอยู่ไปตราบนานเท่านาน
ขงเบ้งคิดดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก ด้านหนึ่งเพื่อจะไปให้ไกลหูไกลตาพระเจ้าเล่าเสี้ยน ไม่ต้องเห็นพฤติกรรมที่ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม และกระทำการผิดพระราชประเพณี เพราะไม่อาจตัดใจชิงเอาราชสมบัติตามรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ได้ อีกด้านหนึ่งเพื่อหวังจะป้องปรามไม่ให้วุยก๊กยกกองทัพมารุกรานจ๊กก๊กในอนาคต
เมื่อดำริแล้วขงเบ้งจึงปรึกษากับม้าเจ๊กว่าการที่วุยก๊กผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน และสุมาอี้มารักษาเมืองเสเหลียงครั้งนี้ ชอบที่เราจะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก ท่านจะคิดเห็นประการใด
ม้าเจ๊กจึงว่า กองทัพเราเพิ่งเสร็จศึกจากภาคใต้ ยังอ่อนล้าอิดโรยอยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กนั้นใหญ่หลวงนัก ขอให้งดกองทัพเอาไว้ก่อน ซึ่งมหาอุปราชวิตกด้วยสุมาอี้มารักษาเมืองเสเหลียงแล้วจะคุกคามต่อเมืองเสฉวนนั้น ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายให้โจยอยฆ่าสุมาอี้ให้จงได้
ขงเบ้งจึงถามว่าอุบายของท่านเป็นประการใด
ม้าเจ๊กจึงว่า เมื่อครั้งที่โจโฉยังมีชีวิตอยู่นั้น ถึงแม้จะช่วงใช้สุมาอี้ก็มิได้ไว้วางใจ ด้วยเห็นนรลักษณ์ของสุมาอี้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าตระกูลสุมาจะชิงราชสมบัติ ความข้อนี้คงจะล่วงรู้ถึงพระเจ้าโจยอยหรืออย่างน้อยขุนนางที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าโจยอยย่อมทราบความ และพระเจ้าโจยอยย่อมระแวงสุมาอี้อยู่ จึงโปรดให้สุมาอี้ออกไปอยู่ไกลเมืองหลวง เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าพเจ้า “คิดกลอุบายจะเขียนหนังสือให้ทหารลอบไปติดไว้ ณ ประตูเมืองลกเอี๋ยงแลหัวเมืองทั้งปวงว่าสุมาอี้คิดขบถ โจยอยรู้ก็จะฆ่าสุมาอี้เสีย”
ขงเบ้งได้ฟังแผนอุบายของม้าเจ๊กก็เห็นด้วย จึงสั่งหน่วยสืบราชการลับให้ไปดำเนินการตามแผนการของม้าเจ๊ก และให้เขียนแผ่นปลิวไปติดไว้ที่ประตูเมืองลกเอี๋ยงและหัวเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นต่อเมืองฮูโต๋เป็นใจความว่า “ตัวเราผู้ชื่อสุมาอี้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ บอกมาให้ท่านทั้งปวงแจ้ง เดิมพระเจ้าวุยอ๋องคิดจะมอบสมบัติให้โจสิด มีผู้ยุยงว่ากล่าวพระเจ้าโจผีจึงได้สมบัติ บัดนี้พระเจ้าโจผีมอบสมบัติให้โจยอยผู้บุตร โจยอยหนุ่มแก่ความ กระทำการสิ่งใดก็ไม่ปรานีราษฎร เห็นจะรักษาสมบัติไม่ได้ เราเป็นผู้ใหญ่จะนิ่งอยู่ให้แผ่นดินจลาจลก็ไม่ควร เราจึงซ่องสุมทหารไว้เป็นอันมาก จะคิดอ่านกำจัดโจยอยเสีย จะยกโจสิดขึ้นครองสมบัติตามดำริพระเจ้าวุยอ๋อง แม้ท่านทั้งปวงยอมสมัครทำการด้วยเรา ก็ให้เร่งชักชวนพร้อมกันคอยท่าเราอยู่ ถ้าผู้ใดเห็นหนังสือนี้แล้วไม่ทำตามเรา เมื่อสำเร็จราชการแล้วเราจะตัดศีรษะเสียให้สิ้นทั้งโคตร”.
พระเจ้าโจผีทรงสลดพระทัยเพราะคำทูลของโจยอยแล้ว น้ำพระทัยก็ประหวัดถึงอดีตพระมเหสีและพระราชบุตรโจยอยว่าต้องตกเป็นกำพร้าแม่เช่นเดียวกับลูกกวางน้อย และทรงคิดว่าราชบุตรโจยอยนี้มีน้ำใจเมตตาต่อสรรพสัตว์ สืบไปเบื้องหน้าแม้นได้ครองสิริราชสมบัติ บ้านเมืองแลราษฎรย่อมร่มเย็นเป็นสุข ทรงดำริดังนั้นแล้วน้ำพระทัยก็ชื้นขึ้น ตรัสสั่งให้ยกเลิกการล่าสัตว์แล้วเสด็จนิวัติกลับเข้าพระนคร
วันรุ่งขึ้นเสด็จออกท้องพระโรงท่ามกลางมหาสมาคม ทรงมีพระราชปรารภว่าบัดนี้พระราชบุตรโจยอยเจริญพระชนม์มายุแล้ว เปี่ยมด้วยน้ำพระทัยที่เมตตาต่อคนทั้งปวง สมควรสถาปนาให้เป็นที่รัชทายาท จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาโจยอยให้เป็นที่รัชทายาทในตำแหน่งเพงงวนอ๋อง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุความตอนนี้ว่า “พระเจ้าโจผีจึงตั้งโจยอยเป็นเพงงวนอ๋อง แปลภาษาไทยว่าราชบุตรต่างกรม”
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยหกสิบเก้าพรรษา เดือนเจ็ด หลังจากสถาปนารัชทายาทแล้ว อาการประชวรของพระเจ้าโจผีก็หวนกลับมาใหม่ ครั้งนี้พระอาการทรุดหนักลงโดยลำดับ แพทย์หลวงได้พยายามถวายการรักษาก็ไม่เป็นอันทุเลาลง
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ระบุว่า ในปีดังกล่าวเดือนห้า ฤดูคิมหันต์ พระเจ้าโจผีประชวรไข้เย็นหรือไข้จับสั่น ในขณะที่สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “ครั้นพระเจ้าโจผีเสวยราชได้เจ็ดปี ตรงกับพุทธศักราชแปดร้อยหกสิบเก้า … ครั้นถึงเดือนแปดพระเจ้าโจผีประชวรไข้จับ”
พิเคราะห์วันเวลาที่ทรงพระประชวรจากสามก๊กฉบับภาษาจีนและฉบับภาษาญี่ปุ่นตรงกันว่า เป็นปีที่พระเจ้าโจผีเสวยราชได้เจ็ดปี ตรงกับปีพุทธศักราชเจ็ดร้อยหกสิบเก้า เดือนเจ็ด ทรงพระประชวรเป็นไข้จับสั่น ทุกวันในเวลาพลบมีพระอาการหนาวสั่นรุนแรงขึ้นโดยลำดับ เสวยพระกระยาหารไม่ได้ บรรทมไม่หลับ พระอาการทรุดหนักลงจนมีพระดำริว่าอาการพระประชวรที่มีแต่ทรุดฉะนี้ผิดกว่าแต่ก่อน เห็นว่าจะมีพระชนม์มายุต่อไปได้ไม่นานนัก
เมื่อมีพระราชดำริเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าโจผีจึงรับสั่งให้หาโจจิ๋น ตันกุ๋นและสุมาอี้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ เป็นเสาหลักสำคัญของแผ่นดิน พร้อมด้วยรัชทายาทโจยอยเข้ามาเฝ้าถึงพระที่พร้อมกันเป็นการด่วน
เมื่อทอดพระเนตรเห็นคนทั้งสี่มาพร้อมกันตรงหน้าพระแท่นที่บรรทมแล้ว พระเจ้าโจผีจึงรับสั่งกับขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคนต่อหน้าราชบุตรโจยอยว่า “ตัวเราก็ป่วยหนักเห็นจะไม่รอดแล้ว เราคิดวิตกด้วยโจยอยยังหนุ่มแก่ความนักอยู่ ถ้าเราหาบุญไม่แล้ว ท่านทั้งสามเคยทำราชการกับเราฉันใด จงช่วยเอาใจใส่ราชการบ้านเมือง ทำนุบำรุงบุตรเราเหมือนฉะนั้นเถิด”
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสามคนได้ฟังรับสั่งแล้วจึงคุกเข่าลงถวายบังคม และปลอบพระทัยว่าพระโรคเพียงเท่านี้ ขออย่าได้ทรงพระวิตกไปเลย อันการแผ่นดินซึ่งพระองค์ทรงฝากฝังนั้นพวกข้าพระพุทธเจ้าทั้งสามคนจะน้อมสนองพระเดชพระคุณจนสุดชีวิต
พระเจ้าโจผีได้ฟังคำปลอบพระทัยก็ตรัสว่า การบนดินนั้นเรารู้อาการของเราเองดีอยู่ ส่วนการบนฟ้าเล่าก็ประหลาดนัก ด้วยประตูเอกที่จะเข้ามาเมืองฮูโต๋นี้อยู่ดี ๆ ก็พังทะลายลงมา จึงเห็นว่าบุญเรากำลังจะสิ้นแล้ว
พระเจ้าโจผีตรัสพอขาดคำทหารรักษาการณ์ก็วิ่งเข้ามารายงานว่า บัดนี้โจฮิวขุนนางผู้ใหญ่ผู้รับผิดชอบความปลอดภัยของแคว้นด้านทิศตะวันออกทราบอาการพระประชวรจึงรีบรุดมาเพื่อขอเฝ้า
พระเจ้าโจผีได้ฟังดังนั้นก็ดีพระทัย ด้วยโจฮิวนั้นไม่เพียงแต่จะเป็นขุนนางผู้ใหญ่มาแต่ครั้งโจโฉเท่านั้น หากยังถือเป็นพระญาติ จึงรับสั่งให้รีบหาโจฮิวเข้ามาเฝ้า
โจฮิวเข้ามาถึงก็คุกเข่ากราบถวายบังคม พระเจ้าโจผีทอดพระเนตรเห็นโจฮิวก็ทรงพระกันแสง แล้วตรัสว่า “ท่านเป็นขุนนางผู้ใหญ่ ช่วยปราบปรามข้าศึกมาแต่เมืองฮูโต๋ยังไม่ตั้งมั่นได้ จนใหญ่หลวงเป็นสุขขึ้นถึงเพียงนี้ บัดนี้เรายังไม่แก่ชรานัก อายุได้สี่สิบปี เพิ่งครองราชสมบัติได้เจ็ดปี โรคภัยก็เบียดเบียนนัก เห็นจะสิ้นอายุเสียมั่นคงแล้ว ท่านอยู่ภายหลังจงช่วยทำนุบำรุงบุตรเราโดยสุจริต ให้เราสิ้นวิตกด้วยเถิด”
พอตรัสสิ้นคำพระเจ้าโจผีก็มีอาการสะดุ้งขึ้นทั้งพระองค์ มีเสียงไอดังขึ้นครั้งหนึ่ง พระพักตร์ก็พลิกไปทางด้านข้าง ลมอัสสาสะ ปัสสาสะได้หยุดนิ่งลง พระเจ้าโจผีก็สิ้นพระชนม์ ณ บัดนั้น
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่คนที่เข้าเฝ้าเห็นพระเจ้าโจผีเสด็จสวรรคตต่างพากันโศกเศร้าร้องไห้เป็นอันมาก รัชทายาทโจยอยเห็นพระราชบิดาเสด็จสวรรคตก็ทรงพระกันแสงแล้วโผพระองค์ซบพระบรมศพของพระเจ้าโจผี
พักใหญ่ขุนนางทั้งสี่คนจึงปรึกษากันว่าเมื่อพระเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคตแล้ว ซึ่งจะให้การแผ่นดินว่างเว้นพระมหากษัตริย์นั้นไม่ชอบด้วยประเพณี ควรที่จะสถาปนารัชทายาท โจยอยขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์สืบตำแหน่งแทน ทั้งสี่คนมีความเห็นร่วมกันดังนั้นแล้ว จึงให้ลั่นระฆังเป็นสัญญาณภายในราชสำนักว่าฮ่องเต้สิ้นพระชนม์แล้ว และมีหมายเรียกขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งปวงไปพร้อมกันที่ท้องพระโรง
เมื่อขุนนางทั้งปวงไปพร้อมกันที่ท้องพระโรงแล้ว โจฮิว โจจิ๋น ตันกุ๋นและสุมาอี้ จึงได้ร่วมกันประกาศว่า บัดนี้พระเจ้าโจผีเสด็จสวรรคตแล้ว ก่อนสวรรคตทรงฝากฝังราชการแผ่นดินไว้กับพวกเราทั้งสี่คน และรับสั่งให้สถาปนาพระราชบุตรโจยอยขึ้นสืบราชสมบัติแทน ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
ขุนนางทั้งปวงเห็นขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่คน ซึ่งบ้างก็เป็นพระญาติผู้ใหญ่และต่างรับผิดชอบควบคุมกิจการทหารและพลเรือนอยู่ในมือพร้อมสรรพและเห็นพ้องต้องกันเช่นนั้น จึงพากันคุกเข่าแล้วกล่าวพร้อมกันว่า ทรงพระเจริญ อันเป็นการยอมรับพระบรมราชโองการก่อนเสด็จสวรรคตของพระเจ้าโจผี
ขุนนางผู้ใหญ่ทั้งสี่คนจึงทูลเชิญเสด็จรัชทายาทโจยอยขึ้นประทับนั่งบนพระราชบัลลังก์แล้วประกาศสถาปนาเป็นฮ่องเต้เสวยสิริราชสมบัติสืบแทนพระเจ้าโจผี และนำขุนนางทั้งปวงคุกเข่าถวายบังคมขอให้ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ทรงพระเจริญ เฉลิมพระนามว่าพระเจ้าไต้ฮุยฮ่องเต้ และให้ไว้ทุกข์ทั่วประเทศตามประเพณี
พระเจ้าโจยอยครองราชสมบัติแล้วทรงโปรดเกล้า “ให้ปล่อยคนโทษซึ่งต้องจำจองอยู่นั้นให้พ้นโทษ” ให้งดส่วยสาอากรเป็นเวลาสามปี และให้แต่งการพระราชพิธีพระบรมศพของพระเจ้าโจผีตามราชประเพณีทุกประการ
ครั้นเสร็จการพระบรมศพแล้ว พระเจ้าโจยอยจึงโปรดเกล้าให้แต่งตั้งขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยตามทำเนียบการบริหารราชการแผ่นดินตามโบราณราชประเพณีทุกประการ
วันหนึ่งพระเจ้าโจยอยเสด็จออกว่าราชการท่ามกลางขุนนางทั้งปวง แล้วมีพระราชปรารภว่าเมืองเสเหลียงซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองเสฉวนเป็นเมืองหน้าศึก จำเป็นต้องมีผู้มีสติปัญญาในราชการสงครามไปอยู่รักษาจึงจะป้องกันบ้านเมืองมิให้เป็นอันตราย ท่านทั้งปวงเห็นว่าผู้ใดมีความเหมาะสมที่จะไปรักษาเมืองเสเหลียง
สุมาอี้ได้ฟังพระราชปรารภแล้วจึงถวายบังคมแล้วกราบทูลว่า ข้าพระองค์รับราชการมาแต่ครั้งแผ่นดินพระเจ้าวุยอ๋อง ยังหาความชอบสิ่งใดเป็นชิ้นเป็นอันมิได้ จะขออาสาไปรักษาเมืองเสเหลียงเอง
พระเจ้าโจยอยจึงโปรดเกล้าแต่งตั้งให้สุมาอี้เป็นแม่ทัพไปรักษาเมืองเสเหลียงและหัวเมืองชายแดนด้านตะวันตก สุมาอี้ถวายบังคมรับตราตั้งแล้วจึงนำครอบครัวและบุตรไปรับตำแหน่งที่เมืองเสเหลียง
ข่าวคราวการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในวุยก๊กเป็นที่สนใจของหน่วยสอดแนมของทั้งฝ่ายจ๊กก๊กและง่อก๊ก
ครั้นขงเบ้งทราบข่าวว่าพระเจ้าโจยอยได้เสวยราชสมบัติแทนพระเจ้าโจผีและโปรดเกล้าตั้งให้สุมาอี้มารักษาเมืองเสเหลียงซึ่งใกล้กับเมืองเสฉวนก็ตกใจ เพราะรู้ดีว่าสุมาอี้นี้มีสติปัญญาหลักแหลมลึกซึ้ง เชี่ยวชาญเจนจบในพิชัยสงคราม และเมืองเสเหลียงนั้นเล่าก็เป็นแหล่งกองทัพม้าที่เข้มแข็งเกรียงไกรของภาคตะวันตกของแผ่นดินตงง้วน หากสุมาอี้มารักษาเมืองนี้นานไปแล้วก็อาจซ่องสุมผู้คนและกองทัพม้าอย่างขนานใหญ่ มีผลต่อการคุกคามความปลอดภัยของจ๊กก๊ก ประกอบทั้งดำริว่าอาเต๊านั้นบัดนี้นิสัยลูกเจ้าได้กำเริบขึ้นเป็นอันมาก ลืมคนเก่า ใฝ่เสวนาอยู่กับคนใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกฉวยโอกาส แสวงหาประโยชน์สุขและชักนำไปในทางต่ำ การแผ่นดินเมือง เสฉวนจะอ่อนแอลง ตัวเราเล่าอายุขัยก็จะไม่ยืนยาว หากเห็นพระเจ้าเล่าเสี้ยนไม่ประพฤติตนอยู่ในธรรม ออกนอกลู่นอกทาง ทำให้บ้านเมืองเดือดร้อน ทำให้ราษฎรทุกข์เข็ญ ก็ไม่อาจตัดใจปฏิบัติตามรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ก่อนสิ้นพระชนม์ ที่ทรงกระซิบสั่งว่า “ถ้าเห็นลูกเราไม่อยู่ในสัตย์ในธรรม ทำผิดประเพณีไปไม่ฟังท่าน ก็ให้ท่านรักษาเมืองเสฉวนบำรุงแผ่นดินเองเถิด” ได้ จำจะคิดอ่านไปให้ไกลหูไกลตาและป้องปรามวุยก๊กไม่ให้รุกรานจ๊กก๊กในอนาคตได้ แม้สิ้นบุญเราแล้วอย่างน้อยก็จะต้องรักษาเมืองเสฉวนให้ดำรงคงอยู่ไปตราบนานเท่านาน
ขงเบ้งคิดดังนั้นแล้วจึงดำริที่จะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก ด้านหนึ่งเพื่อจะไปให้ไกลหูไกลตาพระเจ้าเล่าเสี้ยน ไม่ต้องเห็นพฤติกรรมที่ไม่ตั้งอยู่ในสัตย์ในธรรม และกระทำการผิดพระราชประเพณี เพราะไม่อาจตัดใจชิงเอาราชสมบัติตามรับสั่งของพระเจ้าเล่าปี่ได้ อีกด้านหนึ่งเพื่อหวังจะป้องปรามไม่ให้วุยก๊กยกกองทัพมารุกรานจ๊กก๊กในอนาคต
เมื่อดำริแล้วขงเบ้งจึงปรึกษากับม้าเจ๊กว่าการที่วุยก๊กผลัดเปลี่ยนแผ่นดิน และสุมาอี้มารักษาเมืองเสเหลียงครั้งนี้ ชอบที่เราจะยกกองทัพไปตีวุยก๊ก ท่านจะคิดเห็นประการใด
ม้าเจ๊กจึงว่า กองทัพเราเพิ่งเสร็จศึกจากภาคใต้ ยังอ่อนล้าอิดโรยอยู่ ซึ่งมหาอุปราชจะยกกองทัพไปตีวุยก๊กนั้นใหญ่หลวงนัก ขอให้งดกองทัพเอาไว้ก่อน ซึ่งมหาอุปราชวิตกด้วยสุมาอี้มารักษาเมืองเสเหลียงแล้วจะคุกคามต่อเมืองเสฉวนนั้น ข้าพเจ้าจะคิดกลอุบายให้โจยอยฆ่าสุมาอี้ให้จงได้
ขงเบ้งจึงถามว่าอุบายของท่านเป็นประการใด
ม้าเจ๊กจึงว่า เมื่อครั้งที่โจโฉยังมีชีวิตอยู่นั้น ถึงแม้จะช่วงใช้สุมาอี้ก็มิได้ไว้วางใจ ด้วยเห็นนรลักษณ์ของสุมาอี้ว่าวันหนึ่งข้างหน้าตระกูลสุมาจะชิงราชสมบัติ ความข้อนี้คงจะล่วงรู้ถึงพระเจ้าโจยอยหรืออย่างน้อยขุนนางที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าโจยอยย่อมทราบความ และพระเจ้าโจยอยย่อมระแวงสุมาอี้อยู่ จึงโปรดให้สุมาอี้ออกไปอยู่ไกลเมืองหลวง เมื่อเป็นเช่นนี้ข้าพเจ้า “คิดกลอุบายจะเขียนหนังสือให้ทหารลอบไปติดไว้ ณ ประตูเมืองลกเอี๋ยงแลหัวเมืองทั้งปวงว่าสุมาอี้คิดขบถ โจยอยรู้ก็จะฆ่าสุมาอี้เสีย”
ขงเบ้งได้ฟังแผนอุบายของม้าเจ๊กก็เห็นด้วย จึงสั่งหน่วยสืบราชการลับให้ไปดำเนินการตามแผนการของม้าเจ๊ก และให้เขียนแผ่นปลิวไปติดไว้ที่ประตูเมืองลกเอี๋ยงและหัวเมืองต่าง ๆ ที่ขึ้นต่อเมืองฮูโต๋เป็นใจความว่า “ตัวเราผู้ชื่อสุมาอี้ซึ่งเป็นขุนนางผู้ใหญ่ บอกมาให้ท่านทั้งปวงแจ้ง เดิมพระเจ้าวุยอ๋องคิดจะมอบสมบัติให้โจสิด มีผู้ยุยงว่ากล่าวพระเจ้าโจผีจึงได้สมบัติ บัดนี้พระเจ้าโจผีมอบสมบัติให้โจยอยผู้บุตร โจยอยหนุ่มแก่ความ กระทำการสิ่งใดก็ไม่ปรานีราษฎร เห็นจะรักษาสมบัติไม่ได้ เราเป็นผู้ใหญ่จะนิ่งอยู่ให้แผ่นดินจลาจลก็ไม่ควร เราจึงซ่องสุมทหารไว้เป็นอันมาก จะคิดอ่านกำจัดโจยอยเสีย จะยกโจสิดขึ้นครองสมบัติตามดำริพระเจ้าวุยอ๋อง แม้ท่านทั้งปวงยอมสมัครทำการด้วยเรา ก็ให้เร่งชักชวนพร้อมกันคอยท่าเราอยู่ ถ้าผู้ใดเห็นหนังสือนี้แล้วไม่ทำตามเรา เมื่อสำเร็จราชการแล้วเราจะตัดศีรษะเสียให้สิ้นทั้งโคตร”.