ตอนที่ 501. กลศึกเขางูเลื้อย
ขงเบ้งจับและปล่อยตัวเบ้งเฮ็กเป็นครั้งที่หก โดยเบ้งเฮ็กได้กระทำสัตย์สาบานว่าหากถูกจับได้อีกครั้งหนึ่งแล้วจะยอมอ่อนน้อมแต่โดยดี หลังจากนั้นเบ้งเฮ็กจึงไปขอความช่วยเหลือจากลุดตัดกุดเจ้าเมืองออโกก๊กเพื่อให้ยกกองทัพมาชิงเอาเมืองหมั่นอ๋องกลับคืน
ลุดตัดกุดได้ฟังความจากเบ้งเฮ็กตลอดแล้ว จึงกล่าวว่าซึ่งกองทัพจีนยกมารุกรานแดนพุกามประเทศนั้น เป็นการคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยทั่วทั้งอาณาจักรแห่งนี้ ตัวท่านกับเราอยู่ในผืนดินอันเป็นพุกามประเทศด้วยกัน ถือว่าเป็นพี่น้องกัน ทุกข์ของท่านก็คือทุกข์ของเรา ความแค้นของท่านก็คือความแค้นของเรา อย่าได้ปรารมภ์เลย เราจะแก้แค้นแทนท่านเอง
หลังจากจัดงานเลี้ยงต้อนรับเบ้งเฮ็กอย่างสมเกียรติแล้ว ห้าวันต่อมาลุดตัดกุดก็ยกกองทัพออกจากเมืองออโกก๊ก ตั้งให้เขาอั๋นและเคหลีสองนายทหารเอกคุมทหารกองทัพเกราะหวายสามหมื่นคนเป็นกองทัพหน้ายกไปตั้งขัดตาทัพกองทัพเมืองเสฉวนที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุยชายแดนเมืองออโกก๊กด้านทิศตะวันออก ส่วนลุดตัดกุดและเบ้งเฮ็กจะยกกองทัพหนุนตามไปในภายหลัง
ฝ่ายขงเบ้งซึ่งตั้งกองทัพอยู่ในเมืองงินแขเห็นข่าวคราวของเบ้งเฮ็กเงียบหายไป จึงให้ทหารหน่วยสอดแนมติดตามหาข่าวคราวว่าเบ้งเฮ็กหนีไปอยู่บ้านเมืองใด ครั้นได้ทราบว่าเบ้งเฮ็กหนีไปอาศัยอยู่กับลุดตัดกุด และทหารเมืองออโกก๊กได้ยกมาตั้งขัดตาทัพไว้ที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุยเป็นจำนวนมาก ขงเบ้งจึงสั่งให้เคลื่อนทัพยกไปที่แม่น้ำโท้ฮัวสุย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยหกสิบแปดพรรษา เดือนอ้าย กองทัพเมืองเสฉวนได้ยกไปถึงริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย ประจัญหน้ากับกองทัพเมืองออโกก๊กคนละฟากฝั่งแม่น้ำ
เมื่อกองทัพเมืองเสฉวนยกไปถึงริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย ขงเบ้งได้ขี่เกวียนน้อยพร้อมทหารองครักษ์ออกไปลาดตระเวนดูภูมิประเทศตามแนวฝั่งแม่น้ำ มองไปฝั่งตรงกันข้าม “เห็นทหารลุดตัดกุดรูปร่างเป็นชาวดง แล้วน้ำนั้นก็วิปริต คิดสงสัย จึงหาชาวบ้านมาสืบถาม ชาวบ้านจึงบอกว่าน้ำในแม่น้ำโท้ฮัวสุยนี้ถ้าใบท้อหล่นลงแล้วเมื่อใด คนต่างประเทศไม่รู้ตักมากินก็เมาตายในขณะนั้น ถ้าชาวเมืองออโกก๊กมาตักกินก็ให้เกิดสติปัญญาแลกำลังมากขึ้น”
ขงเบ้งทราบสภาพภูมิประเทศและอันตรายดังนั้น ก็เกรงว่าหากตั้งกองทัพอยู่ริมแม่น้ำ ทหารดื่มกินน้ำก็จะเป็นอันตราย จึงสั่งให้ถอยทัพหลวงออกมาตั้งค่ายอยู่ห่างริมแม่น้ำสองร้อยห้าสิบเส้น แต่ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารตั้งค่ายอยู่ใกล้ริมแม่น้ำเพื่อคอยสังเกตการณ์ฝ่ายข้าศึก และกำชับทหารทั้งปวงมิให้อาบกินน้ำในแม่น้ำเป็นอันขาด
ฝ่ายเขาอั๋นและเคหลีสองแม่ทัพเมืองออโกก๊กเห็นกองทัพหลวงเมืองเสฉวนล่าถอยออกไป คงมีแต่ทหารส่วนย่อยตั้งค่ายอยู่ใกล้แม่น้ำ จึงคุมทหารใส่เกราะหวายแช่น้ำมันลอยข้ามแม่น้ำบุกเข้าโจมตีค่ายของอุยเอี๋ยน
อุยเอี๋ยนทราบว่าข้าศึกลอยตัวข้ามแม่น้ำยกมาโจมตีโดยที่ไม่มีเรือแพก็แปลกประหลาดใจ แต่ด้วยวิสัยชายชาติทหาร อุยเอี๋ยนจึงคุมทหารออกไปรบกับทหารออโกก๊ก ซึ่งถึงแม้ว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะเป็นทหารฝีมือดี มีการรบเป็นแบบแผนตามกระบวนศึก มีเชิงชั้นเหนือกว่าทหารเมืองออโกก๊ก แต่ปรากฏว่าไม่สามารถตีทหารเมืองออโกก๊กให้แตกพ่ายไปได้เพราะเสื้อเกราะหวายแช่น้ำมันซึ่งหุ้มตัวทหารออโกก๊กอยู่นั้นทนทานต่อคมศาสตราวุธทั้งปวง จะฟันแทงประการใดก็ไม่เข้า หอกดาบเกาทัณฑ์กระทบเกราะหวายแล้วกระดอนกระเด็นไปทั้งสิ้น
อุยเอี๋ยนคุมทหารสู้รบกับทหารเมืองออโกก๊กถึงสองชั่วยามก็ยังไม่สามารถตีโต้ทหารเมืองออโกก๊กให้ล่าถอยไปได้ และทหารเมืองออโกก๊กที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำหนึ่งก็หนุนเนื่องลอยตัวข้ามแม่น้ำมาเป็นอันมาก เห็นจะต้านทานไม่ได้ อุยเอี๋ยนจึงสั่งให้ทิ้งค่ายแล้วพาทหารหนีไปกลับไปสมทบกับกองทัพหลวง
ทหารเมืองออโกก๊กได้ชัยชนะในศึกยกแรกก็มีความยินดี พากันยกกลับโดยลอยตัวข้ามแม่น้ำบ้าง ถอดเกราะหวายลอยน้ำแล้วขี่ข้ามแม่น้ำแทนเรือบ้าง กลับไปยังอีกฟากหนึ่งตามเดิม
ฝ่ายอุยเอี๋ยนเมื่อพาทหารไปถึงค่ายหลวงแล้วก็รายงานความให้ขงเบ้งทราบทุกประการ และกล่าวว่าทหารออโกก๊กนี้ประหลาดนัก สามารถลอยตัวข้ามแม่น้ำได้โดยไม่ต้องใช้เรือแพ หากอาศัยแต่เกราะหวายแห้งแช่น้ำมันก็สามารถลอยตัวข้ามแม่น้ำได้โดยสะดวก ทั้งทนทานต่ออาวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้า
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็สงสัย จึงเรียกลิคีนายทหารผู้นำทางมาสอบถามว่าเพราะเหตุผลกลใดจึงเป็นไปดั่งนี้
ลิคีจึงว่า ทหารเมืองออโกก๊กนี้เป็นหน่วยรบพิเศษ เรียกว่ากองทัพเกราะหวาย มีพละกำลังกล้าแข็งยิ่งกว่าคนธรรมดา สวมเสื้อเกราะหวายแห้งแช่น้ำมันหมักไว้ถึงหกเดือนแล้วผึ่งแดดจนแห้งสนิท คงทนต่อศาสตราวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้าดังนี้ เห็นทีจะรบต่อไปก็ไม่ได้ชัยชนะ จึงควรที่มหาอุปราชจะได้เลิกทัพกลับคืนเมืองเสฉวน แลเบ้งเฮ็กนั้นบัดนี้สิ้นความคิดแล้ว ทั้งกำลังก็น้อยลง แม้มหาอุปราชจะล่าทัพกลับไป ก็เห็นว่าเบ้งเฮ็กจะไม่กล้ายกกองทัพไล่ตามตี
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าเรายกมาทำการล่วงมาถึงเพียงนี้แล้ว ซึ่งจะล่าทัพกลับไปโดยที่การไม่สำเร็จนั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงเป็นไปได้ แม้ว่าทหารเมืองออโกก๊กใส่เสื้อเกราะหวาย คงทนต่อศาสตราวุธ เราก็จะคิดกลอุบายเอาชัยชนะให้จงได้
วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงให้จูล่งและอุยเอี๋ยนอยู่รักษาค่าย ตัวขงเบ้งขึ้นเกวียนน้อย พาทหารองครักษ์พร้อมกับชาวบ้านนำทางออกไปลาดตระเวนเลียบไปตามริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย ขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ เห็นป่าเขาเป็นที่ชอบกล ขงเบ้งจึงลงจากเกวียนเดินไปสำรวจภูมิประเทศอันสลับซับซ้อน
ขงเบ้งเห็นภูมิประเทศเป็นช่องเขาลดเลี้ยวเคี้ยวคดคล้ายรูปงู ปากทางเข้ากว้างหน่อยหนึ่งพอทหารขี่ม้าเรียงหน้ากระดานได้แปดตัว ตรงกลางเป็นทุ่งราบกว้างคล้ายกับท้องงูยามกลืนกินสัตว์ใหญ่ อันอาจกลืนกินทหารเกราะหวายทั้งสามหมื่นคนได้ในคราวเดียว ด้านปลายเป็นทางแคบ สภาพพื้นที่เส้นทางราบเรียบมีแต่ก้อนหิน ไม่มีต้นไม้ หญ้าและฟืน สองข้างทางเป็นแนวผาสูงชัน ด้านบนเป็นป่าชัฏ ก่อนถึงทุ่งราบมีทางเล็กอยู่ในป่ารกชัฏเป็นที่ชอบกล จึงเรียกชาวบ้านมาสอบถามว่าหุบเขานี้มีชื่อใด
ชาวบ้านได้ชี้แจงว่า ช่องเขานี้เป็นที่ชอบกลคล้ายกับรูปงู จึงมีชื่อว่าเขาจัวปัวสกหรือเนินเขางูเลื้อย มีเส้นทางใหญ่ลงไปถึงเมืองสำกั๋ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รำพึงขึ้นโดยลืมตัวว่า การครั้งนี้จะสำเร็จเป็นมั่นคง กล่าวแล้วก็ลงจากเนินเขาขึ้นเกวียนน้อยพาทหารกลับไปค่าย
เมื่อไปถึงค่ายหลวงขงเบ้งจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาประชุมปรึกษาแล้วสั่งม้าต้ายว่า ให้เอาเกวียนบรรทุกฟางหญ้าราดดินประสิวเต็มทุกเล่มจำนวนสิบเล่มไปจอดทิ้งไว้ในทุ่งราบกว้างคล้ายท้องงูในช่องเขาจัวปัวสกและจัดการตามคำสั่งลับอีกฉบับหนึ่งให้เสร็จสิ้นภายในสิบห้าวัน แล้วยกทหารไปซุ่มอยู่ที่ซอกเขาต้นทาง และให้ จูล่งคุมทหารไปตั้งสกัดอยู่ที่ชายป่าปลายทางที่จะไปยังเมืองสำกั๋ง ให้เตรียมการให้พร้อมภายในสิบห้าวันเช่นเดียวกัน ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารยกไปตั้งอยู่ที่ค่ายเดิมที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย ถ้าหากทหารของลุดตัดกุดยกมารบก็ให้ทำทีสู้ไม่ได้ แตกถอยเข้าไปในช่องเขาจัวปัวสก ถ้าเห็นธงขาวปักอยู่ที่ไหน ก็ให้พักทหารไว้ที่นั่น กำชับให้แกล้งรบแพ้สิบห้าครั้งในสิบห้าวัน
อุยเอี๋ยนได้ฟังคำสั่งขงเบ้งแต่ไม่ทราบความนัยก็อึดอัดใจ ด้วยเป็นคำสั่งให้ยอมแพ้แก่ข้าศึกแล้วทำทีแตกถอยไปที่ค่ายธงขาวที่ปักไว้ แต่เกรงอาญาของขงเบ้งจึงไม่กล้าถามความนัย คำนับลาขงเบ้งพาทหารออกไปที่ค่ายเดิมตามคำสั่ง
เมื่ออุยเอี๋ยนออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกเตียวหงีและม้าตงให้คุมชนชาวท้องถิ่นที่เกลี้ยกล่อมเข้าเป็นพวกพันคนยกไปตั้งค่ายอยู่ตามแนวแม่น้ำโท้ฮัวสุย เรียงรายเป็นระยะตั้งแต่ริมแม่น้ำไปจนถึงช่องเขาจัวปัวสก ค่ายแต่ละแห่งให้ปักธงขาวไว้เป็นสำคัญ
ทางฝ่ายลุดตัดกุด ครั้นเกณฑ์ทหารได้พร้อมสรรพก็ยกหนุนเนื่องมาที่กองทัพซึ่งตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย เห็นกองทัพของอุยเอี๋ยนตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำค่ายหนึ่ง และทางด้านเหนือขึ้นไปก็มีค่ายเล็กค่ายน้อยมิได้เป็นกระบวนศึก ลุดตัดกุดก็หัวเราะเยาะว่านี่หรือเป็นความคิดสติปัญญาของจูกัดเหลียง ซึ่งเขาลือว่ามีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมาก
เบ้งเฮ็กเห็นลุดตัดกุดประมาทความคิดของขงเบ้งดังนั้นก็เตือนว่า “อันขงเบ้งนี้มีสติปัญญาทำกลอุบายล่อลวงต่าง ๆ เราจะทำศึกกับขงเบ้ง จำจะกำชับทหารทั้งปวงเสียก่อนว่าเมื่อรบพุ่งกับขงเบ้ง ถ้าถึงชายป่าแลเนินเขาที่สำคัญ ถึงจะได้ทีก็อย่าให้ติดตาม”
ลุดตัดกุดได้ฟังก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า ท่านเสียทีแก่ขงเบ้งหลายครั้งคราจึงได้ขยาดเกรงกลัวขงเบ้งเสมือนหนึ่งงูเกรงกลัวเชือกกล้วยฉะนี้ เราได้เห็นกับตาว่าขงเบ้งหาได้มีสติปัญญาสมคำลือไม่ ถึงแม้ว่าขงเบ้งจะมีกลอุบายเราก็ไม่กลัว เราจะคุมทหารยกข้ามแม่น้ำไปจับขงเบ้งฆ่าเสียให้จงได้ ตัวท่านเมื่อหวั่นเกรงความคิดขงเบ้งก็จงคุมทหารเป็นกองหลัง คอยหนุนตามเราไป
กล่าวแล้วลุดตัดกุดก็พาทหารลอยข้ามแม่น้ำไปที่ค่ายของอุยเอี๋ยน อุยเอี๋ยนเห็น ลุดตัดกุดยกทหารข้ามแม่น้ำจึงพาทหารยกออกไปรบ แต่พอรบกันได้ห้าเพลงอุยเอี๋ยนก็ทำเป็นแพ้ทิ้งค่ายหนี แต่ลุดตัดกุดระแวงสงสัยว่าเหตุไฉนเพิ่งประมือกันได้ห้าเพลง ทหารเมืองเสฉวนจึงยอมแพ้โดยง่ายดาย จึงคิดว่าอาจเป็นกลอุบาย คิดดังนั้นแล้วลุดตัดกุดก็ไม่ไล่ตาม กลับพาทหารยกข้ามฟากกลับมาค่าย
ฝ่ายอุยเอี๋ยนเห็นลุดตัดกุดไม่ไล่ติดตามก็พาทหารเข้าไปตั้งอยู่ในค่ายดังเก่า
วันรุ่งขึ้นลุดตัดกุดก็ยกทหารข้ามแม่น้ำไปรบกับอุยเอี๋ยนอีกครั้งหนึ่ง รบกันได้เจ็ดเพลงอุยเอี๋ยนก็ขับม้าหนี ลุดตัดกุดสงสัยว่าจะเป็นกลอุบายแต่ใจหนึ่งก็คิดว่าอุยเอี๋ยนหนีไปถึงสองครั้งหรือว่าเกรงกลัวฝีมือเรา คิดสองจิตสองใจอยู่ดังนี้ ลุดตัดกุดจึงสั่งทหารกองหนึ่งให้ลอบไล่ตามอุยเอี๋ยนไป
ทหารลุดตัดกุดไล่ตามอุยเอี๋ยนไปเป็นระยะทางถึงแปดสิบเส้น ก็เห็นเงียบกริบไม่มีสิ่งใดระแวงสงสัย จึงให้ม้าเร็วรีบกลับไปรายงานให้ลุดตัดกุดทราบ ลุดตัดกุดจึงคิดว่าที่อุยเอี๋ยนหนีไปนั้นเป็นเพราะเกรงกลัวฝีมือ จึงพาทหารทั้งค่ายข้ามแม่น้ำยกตามอุยเอี๋ยนไป
อุยเอี๋ยนแกล้งถ่วงเวลาล่าถอยจนเห็นลุดตัดกุดยกทหารไล่ตามมา จึงแกล้งทำเป็นกลัว ให้ทหารถอดเกราะทิ้ง แล้วขี่ม้าหนีเข้าไปอยู่ในค่ายซึ่งปักธงขาวค่ายแรกนั้น ลุดตัดกุดเห็นได้ทีก็ยกทหารตามไปจนถึงค่าย
อุยเอี๋ยนจึงขับม้าออกรบกับลุดตัดกุดอีกสามเพลงก็ทิ้งค่าย พาทหารหนีขึ้นไปทางด้านทิศเหนือแล้วเข้าไปตั้งอยู่ในค่ายที่สองซึ่งปักธงขาวเป็นสัญญาณอยู่
ลุดตัดกุดได้ชัยชนะถึงสองครั้งติดต่อกันก็กำเริบใจ ยกทหารไล่ตามอุยเอี๋ยนไปจนถึงค่ายธงขาวค่ายที่สอง อุยเอี๋ยนก็แกล้งยกทหารออกมารบกับลุดตัดกุดอีกคำรบหนึ่ง ต่อสู้กันได้สามเพลงอุยเอี๋ยนก็พาทหารหนีกลับเข้าค่าย พอลุดตัดกุดคุมทหารเข้าตีค่าย อุยเอี๋ยนก็แสร้งรบป้องกันค่ายพอเป็นพิธี แล้วพาทหารทิ้งค่ายหนี ครั้นลุดตัดกุดไล่ตามตีก็ทำเป็นต่อสู้อีกสองสามเพลง แล้วหนีไปเข้าค่ายธงขาวถัดไป
อุยเอี๋ยนแสร้งรบแพ้สิบห้าครั้งในระยะเวลาเพียงสิบห้าวัน และทิ้งค่ายถึงเจ็ดค่ายอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหนีไปถึงหุบเขาจัวปัวสก
ลุดตัดกุดในเวลานี้มั่นใจว่าอุยเอี๋ยนต่อสู้ไม่ได้ จึงต้องพ่ายแพ้ถึงสิบห้าครั้ง และทิ้งค่ายถึงเจ็ดค่ายในระยะเวลาเพียงสิบห้าวัน ลุดตัดกุดจึงยิ่งกำเริบน้ำใจ ขี่ม้านำหน้าทหารไล่ตามอุยเอี๋ยนไปจนถึงเขาจัวปัวสก เห็นเป็นซอกเขาราบเรียบ มีหน้าผาสูงชันทั้งสองข้าง แต่ข้างทางขวามือมีทางย่อยเป็นป่าชัฏ ลุดตัดกุดก็กริ่งใจจึงรั้งทหารไว้
เบ้งเฮ็กเห็นลุดตัดกุดครุ่นคิดตรึกตรองก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าขงเบ้งเป็นคนเจ้าอุบาย สู้รบเราซึ่งหน้าไม่ได้แล้ว จึงคิดวางอุบายซุ่มโจมตีเรา ชอบที่จะรั้งทหารไว้ที่นี่ ดูท่าทีของขงเบ้งสักคืนหนึ่ง เห็นเป็นทีแล้วค่อยไล่ตามตีต่อไป จะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง.
ลุดตัดกุดได้ฟังความจากเบ้งเฮ็กตลอดแล้ว จึงกล่าวว่าซึ่งกองทัพจีนยกมารุกรานแดนพุกามประเทศนั้น เป็นการคุกคามต่อความสงบเรียบร้อยทั่วทั้งอาณาจักรแห่งนี้ ตัวท่านกับเราอยู่ในผืนดินอันเป็นพุกามประเทศด้วยกัน ถือว่าเป็นพี่น้องกัน ทุกข์ของท่านก็คือทุกข์ของเรา ความแค้นของท่านก็คือความแค้นของเรา อย่าได้ปรารมภ์เลย เราจะแก้แค้นแทนท่านเอง
หลังจากจัดงานเลี้ยงต้อนรับเบ้งเฮ็กอย่างสมเกียรติแล้ว ห้าวันต่อมาลุดตัดกุดก็ยกกองทัพออกจากเมืองออโกก๊ก ตั้งให้เขาอั๋นและเคหลีสองนายทหารเอกคุมทหารกองทัพเกราะหวายสามหมื่นคนเป็นกองทัพหน้ายกไปตั้งขัดตาทัพกองทัพเมืองเสฉวนที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุยชายแดนเมืองออโกก๊กด้านทิศตะวันออก ส่วนลุดตัดกุดและเบ้งเฮ็กจะยกกองทัพหนุนตามไปในภายหลัง
ฝ่ายขงเบ้งซึ่งตั้งกองทัพอยู่ในเมืองงินแขเห็นข่าวคราวของเบ้งเฮ็กเงียบหายไป จึงให้ทหารหน่วยสอดแนมติดตามหาข่าวคราวว่าเบ้งเฮ็กหนีไปอยู่บ้านเมืองใด ครั้นได้ทราบว่าเบ้งเฮ็กหนีไปอาศัยอยู่กับลุดตัดกุด และทหารเมืองออโกก๊กได้ยกมาตั้งขัดตาทัพไว้ที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุยเป็นจำนวนมาก ขงเบ้งจึงสั่งให้เคลื่อนทัพยกไปที่แม่น้ำโท้ฮัวสุย
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยหกสิบแปดพรรษา เดือนอ้าย กองทัพเมืองเสฉวนได้ยกไปถึงริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย ประจัญหน้ากับกองทัพเมืองออโกก๊กคนละฟากฝั่งแม่น้ำ
เมื่อกองทัพเมืองเสฉวนยกไปถึงริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย ขงเบ้งได้ขี่เกวียนน้อยพร้อมทหารองครักษ์ออกไปลาดตระเวนดูภูมิประเทศตามแนวฝั่งแม่น้ำ มองไปฝั่งตรงกันข้าม “เห็นทหารลุดตัดกุดรูปร่างเป็นชาวดง แล้วน้ำนั้นก็วิปริต คิดสงสัย จึงหาชาวบ้านมาสืบถาม ชาวบ้านจึงบอกว่าน้ำในแม่น้ำโท้ฮัวสุยนี้ถ้าใบท้อหล่นลงแล้วเมื่อใด คนต่างประเทศไม่รู้ตักมากินก็เมาตายในขณะนั้น ถ้าชาวเมืองออโกก๊กมาตักกินก็ให้เกิดสติปัญญาแลกำลังมากขึ้น”
ขงเบ้งทราบสภาพภูมิประเทศและอันตรายดังนั้น ก็เกรงว่าหากตั้งกองทัพอยู่ริมแม่น้ำ ทหารดื่มกินน้ำก็จะเป็นอันตราย จึงสั่งให้ถอยทัพหลวงออกมาตั้งค่ายอยู่ห่างริมแม่น้ำสองร้อยห้าสิบเส้น แต่ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารตั้งค่ายอยู่ใกล้ริมแม่น้ำเพื่อคอยสังเกตการณ์ฝ่ายข้าศึก และกำชับทหารทั้งปวงมิให้อาบกินน้ำในแม่น้ำเป็นอันขาด
ฝ่ายเขาอั๋นและเคหลีสองแม่ทัพเมืองออโกก๊กเห็นกองทัพหลวงเมืองเสฉวนล่าถอยออกไป คงมีแต่ทหารส่วนย่อยตั้งค่ายอยู่ใกล้แม่น้ำ จึงคุมทหารใส่เกราะหวายแช่น้ำมันลอยข้ามแม่น้ำบุกเข้าโจมตีค่ายของอุยเอี๋ยน
อุยเอี๋ยนทราบว่าข้าศึกลอยตัวข้ามแม่น้ำยกมาโจมตีโดยที่ไม่มีเรือแพก็แปลกประหลาดใจ แต่ด้วยวิสัยชายชาติทหาร อุยเอี๋ยนจึงคุมทหารออกไปรบกับทหารออโกก๊ก ซึ่งถึงแม้ว่ากองทัพเมืองเสฉวนจะเป็นทหารฝีมือดี มีการรบเป็นแบบแผนตามกระบวนศึก มีเชิงชั้นเหนือกว่าทหารเมืองออโกก๊ก แต่ปรากฏว่าไม่สามารถตีทหารเมืองออโกก๊กให้แตกพ่ายไปได้เพราะเสื้อเกราะหวายแช่น้ำมันซึ่งหุ้มตัวทหารออโกก๊กอยู่นั้นทนทานต่อคมศาสตราวุธทั้งปวง จะฟันแทงประการใดก็ไม่เข้า หอกดาบเกาทัณฑ์กระทบเกราะหวายแล้วกระดอนกระเด็นไปทั้งสิ้น
อุยเอี๋ยนคุมทหารสู้รบกับทหารเมืองออโกก๊กถึงสองชั่วยามก็ยังไม่สามารถตีโต้ทหารเมืองออโกก๊กให้ล่าถอยไปได้ และทหารเมืองออโกก๊กที่อยู่อีกฝั่งแม่น้ำหนึ่งก็หนุนเนื่องลอยตัวข้ามแม่น้ำมาเป็นอันมาก เห็นจะต้านทานไม่ได้ อุยเอี๋ยนจึงสั่งให้ทิ้งค่ายแล้วพาทหารหนีไปกลับไปสมทบกับกองทัพหลวง
ทหารเมืองออโกก๊กได้ชัยชนะในศึกยกแรกก็มีความยินดี พากันยกกลับโดยลอยตัวข้ามแม่น้ำบ้าง ถอดเกราะหวายลอยน้ำแล้วขี่ข้ามแม่น้ำแทนเรือบ้าง กลับไปยังอีกฟากหนึ่งตามเดิม
ฝ่ายอุยเอี๋ยนเมื่อพาทหารไปถึงค่ายหลวงแล้วก็รายงานความให้ขงเบ้งทราบทุกประการ และกล่าวว่าทหารออโกก๊กนี้ประหลาดนัก สามารถลอยตัวข้ามแม่น้ำได้โดยไม่ต้องใช้เรือแพ หากอาศัยแต่เกราะหวายแห้งแช่น้ำมันก็สามารถลอยตัวข้ามแม่น้ำได้โดยสะดวก ทั้งทนทานต่ออาวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้า
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็สงสัย จึงเรียกลิคีนายทหารผู้นำทางมาสอบถามว่าเพราะเหตุผลกลใดจึงเป็นไปดั่งนี้
ลิคีจึงว่า ทหารเมืองออโกก๊กนี้เป็นหน่วยรบพิเศษ เรียกว่ากองทัพเกราะหวาย มีพละกำลังกล้าแข็งยิ่งกว่าคนธรรมดา สวมเสื้อเกราะหวายแห้งแช่น้ำมันหมักไว้ถึงหกเดือนแล้วผึ่งแดดจนแห้งสนิท คงทนต่อศาสตราวุธทั้งปวง ฟันแทงไม่เข้าดังนี้ เห็นทีจะรบต่อไปก็ไม่ได้ชัยชนะ จึงควรที่มหาอุปราชจะได้เลิกทัพกลับคืนเมืองเสฉวน แลเบ้งเฮ็กนั้นบัดนี้สิ้นความคิดแล้ว ทั้งกำลังก็น้อยลง แม้มหาอุปราชจะล่าทัพกลับไป ก็เห็นว่าเบ้งเฮ็กจะไม่กล้ายกกองทัพไล่ตามตี
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าเรายกมาทำการล่วงมาถึงเพียงนี้แล้ว ซึ่งจะล่าทัพกลับไปโดยที่การไม่สำเร็จนั้น ไม่ใช่ฐานะที่จะพึงเป็นไปได้ แม้ว่าทหารเมืองออโกก๊กใส่เสื้อเกราะหวาย คงทนต่อศาสตราวุธ เราก็จะคิดกลอุบายเอาชัยชนะให้จงได้
วันรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงให้จูล่งและอุยเอี๋ยนอยู่รักษาค่าย ตัวขงเบ้งขึ้นเกวียนน้อย พาทหารองครักษ์พร้อมกับชาวบ้านนำทางออกไปลาดตระเวนเลียบไปตามริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย ขึ้นไปทางด้านทิศเหนือ เห็นป่าเขาเป็นที่ชอบกล ขงเบ้งจึงลงจากเกวียนเดินไปสำรวจภูมิประเทศอันสลับซับซ้อน
ขงเบ้งเห็นภูมิประเทศเป็นช่องเขาลดเลี้ยวเคี้ยวคดคล้ายรูปงู ปากทางเข้ากว้างหน่อยหนึ่งพอทหารขี่ม้าเรียงหน้ากระดานได้แปดตัว ตรงกลางเป็นทุ่งราบกว้างคล้ายกับท้องงูยามกลืนกินสัตว์ใหญ่ อันอาจกลืนกินทหารเกราะหวายทั้งสามหมื่นคนได้ในคราวเดียว ด้านปลายเป็นทางแคบ สภาพพื้นที่เส้นทางราบเรียบมีแต่ก้อนหิน ไม่มีต้นไม้ หญ้าและฟืน สองข้างทางเป็นแนวผาสูงชัน ด้านบนเป็นป่าชัฏ ก่อนถึงทุ่งราบมีทางเล็กอยู่ในป่ารกชัฏเป็นที่ชอบกล จึงเรียกชาวบ้านมาสอบถามว่าหุบเขานี้มีชื่อใด
ชาวบ้านได้ชี้แจงว่า ช่องเขานี้เป็นที่ชอบกลคล้ายกับรูปงู จึงมีชื่อว่าเขาจัวปัวสกหรือเนินเขางูเลื้อย มีเส้นทางใหญ่ลงไปถึงเมืองสำกั๋ง ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี รำพึงขึ้นโดยลืมตัวว่า การครั้งนี้จะสำเร็จเป็นมั่นคง กล่าวแล้วก็ลงจากเนินเขาขึ้นเกวียนน้อยพาทหารกลับไปค่าย
เมื่อไปถึงค่ายหลวงขงเบ้งจึงเรียกแม่ทัพนายกองทั้งปวงมาประชุมปรึกษาแล้วสั่งม้าต้ายว่า ให้เอาเกวียนบรรทุกฟางหญ้าราดดินประสิวเต็มทุกเล่มจำนวนสิบเล่มไปจอดทิ้งไว้ในทุ่งราบกว้างคล้ายท้องงูในช่องเขาจัวปัวสกและจัดการตามคำสั่งลับอีกฉบับหนึ่งให้เสร็จสิ้นภายในสิบห้าวัน แล้วยกทหารไปซุ่มอยู่ที่ซอกเขาต้นทาง และให้ จูล่งคุมทหารไปตั้งสกัดอยู่ที่ชายป่าปลายทางที่จะไปยังเมืองสำกั๋ง ให้เตรียมการให้พร้อมภายในสิบห้าวันเช่นเดียวกัน ให้อุยเอี๋ยนคุมทหารยกไปตั้งอยู่ที่ค่ายเดิมที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย ถ้าหากทหารของลุดตัดกุดยกมารบก็ให้ทำทีสู้ไม่ได้ แตกถอยเข้าไปในช่องเขาจัวปัวสก ถ้าเห็นธงขาวปักอยู่ที่ไหน ก็ให้พักทหารไว้ที่นั่น กำชับให้แกล้งรบแพ้สิบห้าครั้งในสิบห้าวัน
อุยเอี๋ยนได้ฟังคำสั่งขงเบ้งแต่ไม่ทราบความนัยก็อึดอัดใจ ด้วยเป็นคำสั่งให้ยอมแพ้แก่ข้าศึกแล้วทำทีแตกถอยไปที่ค่ายธงขาวที่ปักไว้ แต่เกรงอาญาของขงเบ้งจึงไม่กล้าถามความนัย คำนับลาขงเบ้งพาทหารออกไปที่ค่ายเดิมตามคำสั่ง
เมื่ออุยเอี๋ยนออกไปแล้ว ขงเบ้งจึงเรียกเตียวหงีและม้าตงให้คุมชนชาวท้องถิ่นที่เกลี้ยกล่อมเข้าเป็นพวกพันคนยกไปตั้งค่ายอยู่ตามแนวแม่น้ำโท้ฮัวสุย เรียงรายเป็นระยะตั้งแต่ริมแม่น้ำไปจนถึงช่องเขาจัวปัวสก ค่ายแต่ละแห่งให้ปักธงขาวไว้เป็นสำคัญ
ทางฝ่ายลุดตัดกุด ครั้นเกณฑ์ทหารได้พร้อมสรรพก็ยกหนุนเนื่องมาที่กองทัพซึ่งตั้งอยู่ที่ริมแม่น้ำโท้ฮัวสุย เห็นกองทัพของอุยเอี๋ยนตั้งค่ายอยู่ริมแม่น้ำค่ายหนึ่ง และทางด้านเหนือขึ้นไปก็มีค่ายเล็กค่ายน้อยมิได้เป็นกระบวนศึก ลุดตัดกุดก็หัวเราะเยาะว่านี่หรือเป็นความคิดสติปัญญาของจูกัดเหลียง ซึ่งเขาลือว่ามีสติปัญญาในการสงครามเป็นอันมาก
เบ้งเฮ็กเห็นลุดตัดกุดประมาทความคิดของขงเบ้งดังนั้นก็เตือนว่า “อันขงเบ้งนี้มีสติปัญญาทำกลอุบายล่อลวงต่าง ๆ เราจะทำศึกกับขงเบ้ง จำจะกำชับทหารทั้งปวงเสียก่อนว่าเมื่อรบพุ่งกับขงเบ้ง ถ้าถึงชายป่าแลเนินเขาที่สำคัญ ถึงจะได้ทีก็อย่าให้ติดตาม”
ลุดตัดกุดได้ฟังก็หัวเราะแล้วกล่าวว่า ท่านเสียทีแก่ขงเบ้งหลายครั้งคราจึงได้ขยาดเกรงกลัวขงเบ้งเสมือนหนึ่งงูเกรงกลัวเชือกกล้วยฉะนี้ เราได้เห็นกับตาว่าขงเบ้งหาได้มีสติปัญญาสมคำลือไม่ ถึงแม้ว่าขงเบ้งจะมีกลอุบายเราก็ไม่กลัว เราจะคุมทหารยกข้ามแม่น้ำไปจับขงเบ้งฆ่าเสียให้จงได้ ตัวท่านเมื่อหวั่นเกรงความคิดขงเบ้งก็จงคุมทหารเป็นกองหลัง คอยหนุนตามเราไป
กล่าวแล้วลุดตัดกุดก็พาทหารลอยข้ามแม่น้ำไปที่ค่ายของอุยเอี๋ยน อุยเอี๋ยนเห็น ลุดตัดกุดยกทหารข้ามแม่น้ำจึงพาทหารยกออกไปรบ แต่พอรบกันได้ห้าเพลงอุยเอี๋ยนก็ทำเป็นแพ้ทิ้งค่ายหนี แต่ลุดตัดกุดระแวงสงสัยว่าเหตุไฉนเพิ่งประมือกันได้ห้าเพลง ทหารเมืองเสฉวนจึงยอมแพ้โดยง่ายดาย จึงคิดว่าอาจเป็นกลอุบาย คิดดังนั้นแล้วลุดตัดกุดก็ไม่ไล่ตาม กลับพาทหารยกข้ามฟากกลับมาค่าย
ฝ่ายอุยเอี๋ยนเห็นลุดตัดกุดไม่ไล่ติดตามก็พาทหารเข้าไปตั้งอยู่ในค่ายดังเก่า
วันรุ่งขึ้นลุดตัดกุดก็ยกทหารข้ามแม่น้ำไปรบกับอุยเอี๋ยนอีกครั้งหนึ่ง รบกันได้เจ็ดเพลงอุยเอี๋ยนก็ขับม้าหนี ลุดตัดกุดสงสัยว่าจะเป็นกลอุบายแต่ใจหนึ่งก็คิดว่าอุยเอี๋ยนหนีไปถึงสองครั้งหรือว่าเกรงกลัวฝีมือเรา คิดสองจิตสองใจอยู่ดังนี้ ลุดตัดกุดจึงสั่งทหารกองหนึ่งให้ลอบไล่ตามอุยเอี๋ยนไป
ทหารลุดตัดกุดไล่ตามอุยเอี๋ยนไปเป็นระยะทางถึงแปดสิบเส้น ก็เห็นเงียบกริบไม่มีสิ่งใดระแวงสงสัย จึงให้ม้าเร็วรีบกลับไปรายงานให้ลุดตัดกุดทราบ ลุดตัดกุดจึงคิดว่าที่อุยเอี๋ยนหนีไปนั้นเป็นเพราะเกรงกลัวฝีมือ จึงพาทหารทั้งค่ายข้ามแม่น้ำยกตามอุยเอี๋ยนไป
อุยเอี๋ยนแกล้งถ่วงเวลาล่าถอยจนเห็นลุดตัดกุดยกทหารไล่ตามมา จึงแกล้งทำเป็นกลัว ให้ทหารถอดเกราะทิ้ง แล้วขี่ม้าหนีเข้าไปอยู่ในค่ายซึ่งปักธงขาวค่ายแรกนั้น ลุดตัดกุดเห็นได้ทีก็ยกทหารตามไปจนถึงค่าย
อุยเอี๋ยนจึงขับม้าออกรบกับลุดตัดกุดอีกสามเพลงก็ทิ้งค่าย พาทหารหนีขึ้นไปทางด้านทิศเหนือแล้วเข้าไปตั้งอยู่ในค่ายที่สองซึ่งปักธงขาวเป็นสัญญาณอยู่
ลุดตัดกุดได้ชัยชนะถึงสองครั้งติดต่อกันก็กำเริบใจ ยกทหารไล่ตามอุยเอี๋ยนไปจนถึงค่ายธงขาวค่ายที่สอง อุยเอี๋ยนก็แกล้งยกทหารออกมารบกับลุดตัดกุดอีกคำรบหนึ่ง ต่อสู้กันได้สามเพลงอุยเอี๋ยนก็พาทหารหนีกลับเข้าค่าย พอลุดตัดกุดคุมทหารเข้าตีค่าย อุยเอี๋ยนก็แสร้งรบป้องกันค่ายพอเป็นพิธี แล้วพาทหารทิ้งค่ายหนี ครั้นลุดตัดกุดไล่ตามตีก็ทำเป็นต่อสู้อีกสองสามเพลง แล้วหนีไปเข้าค่ายธงขาวถัดไป
อุยเอี๋ยนแสร้งรบแพ้สิบห้าครั้งในระยะเวลาเพียงสิบห้าวัน และทิ้งค่ายถึงเจ็ดค่ายอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งหนีไปถึงหุบเขาจัวปัวสก
ลุดตัดกุดในเวลานี้มั่นใจว่าอุยเอี๋ยนต่อสู้ไม่ได้ จึงต้องพ่ายแพ้ถึงสิบห้าครั้ง และทิ้งค่ายถึงเจ็ดค่ายในระยะเวลาเพียงสิบห้าวัน ลุดตัดกุดจึงยิ่งกำเริบน้ำใจ ขี่ม้านำหน้าทหารไล่ตามอุยเอี๋ยนไปจนถึงเขาจัวปัวสก เห็นเป็นซอกเขาราบเรียบ มีหน้าผาสูงชันทั้งสองข้าง แต่ข้างทางขวามือมีทางย่อยเป็นป่าชัฏ ลุดตัดกุดก็กริ่งใจจึงรั้งทหารไว้
เบ้งเฮ็กเห็นลุดตัดกุดครุ่นคิดตรึกตรองก็หัวเราะ แล้วกล่าวว่าขงเบ้งเป็นคนเจ้าอุบาย สู้รบเราซึ่งหน้าไม่ได้แล้ว จึงคิดวางอุบายซุ่มโจมตีเรา ชอบที่จะรั้งทหารไว้ที่นี่ ดูท่าทีของขงเบ้งสักคืนหนึ่ง เห็นเป็นทีแล้วค่อยไล่ตามตีต่อไป จะได้ชัยชนะเป็นมั่นคง.