ตอนที่ 485. พระเจ้าโจผีแตกทัพครั้งที่สอง

พระเจ้าซุนกวนโปรดเกล้าให้ชีเซ่งขุนพลอาวุโสของง่อก๊กเป็นแม่ทัพยกไปขัดตาทัพพระเจ้าโจผี ซุนเสียวบุตรซุนเซ็กหลานซุนกวนขัดคำสั่งแม่ทัพที่ห้ามไม่ให้ยกกองทัพไปรบกับพระเจ้าโจผี จึงถูกชีเซ่งสั่งประหารชีวิต พระเจ้าซุนกวนเสด็จมาขอร้องให้ยกโทษ ชีเซ่งก็ยกโทษถวาย

            พระเจ้าซุนกวนได้ฟังคำสั่งอภัยโทษของชีเซ่งก็โล่งพระทัย ตรัสสั่งให้ซุนเสียวกราบคำนับขอบคุณแม่ทัพ แต่ซุนเสียวซึ่งถือดีว่าเป็นลูกท่านหลานเธอ ถูกเลี้ยงดูโดยเอาแต่ใจมาแต่น้อย ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่ยอมคำนับขอบคุณแม่ทัพตามรับสั่ง แสดงท่าทีฮึดฮัด ขัดขืนและกล่าวขึ้นลอย ๆ ว่าจะหาโอกาสคุมทหารในสังกัดยกไปรบกับพระเจ้าโจผีให้จงได้ กล่าวแล้วก็หันหลังเดินกลับออกไปโดยมิได้ยำเกรงพระเจ้าซุนกวนและชีเซ่งแม้แต่น้อย

            พระเจ้าซุนกวนเห็นดังนั้นจึงตรัสกับชีเซ่งว่าซุนเสียวนี้ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่มีความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ท่านอย่าใช้สอยมันอีกเลย ตรัสแล้วพระเจ้าซุนกวนก็เสด็จกลับด้วยความขุ่นเคืองในพระทัย

            พอค่ำลงหน่วยสอดแนมก็เข้ามารายงานกับชีเซ่งว่า ซุนเสียวได้คุมทหารยกข้ามแม่น้ำไปตั้งซุ่มอยู่ทางฝั่งแม่น้ำอีกด้านหนึ่งแล้ว ชีเซ่งได้ฟังดังนั้นก็ตกใจเกรงว่าจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงสั่งให้เตงฮองคุมทหารสามพันยกข้ามฟากไปซุ่มอยู่ข้าง ๆ คอยช่วยเหลือซุนเสียวมิให้เป็นอันตราย

            เมื่อเตงฮองรับคำสั่งออกไปแล้ว ชีเซ่งจึงสั่งให้ทหารเอาฟางมาผูกมัดเป็นหุ่นจำนวนมาก เอาไปวางเรียงรายไว้ตามชายป่าใกล้แม่น้ำ และให้ติดธงทิวหลากสีตลอดแนวฝั่งแม่น้ำ ตั้งแต่ตำบลน้ำฉีไปจนถึงตำบลเซ็กเทา กำชับให้ปฏิบัติให้แล้วเสร็จภายในคืนวันนี้ ทหารทั้งปวงรับคำสั่งแล้วออกไปจัดแจงตามคำสั่งของชีเซ่งทุกประการ

            ด้านกองทัพเมืองฮูโต๋ พระเจ้าโจผีประทับเรือพระที่นั่งทรงมังกรมาในกองทัพหลวง เมื่อยกล่วงมาถึงตำบลกองเหลงเห็นแม่น้ำข้างหน้ากว้างใหญ่ จึงตรัสถามโจจิ๋นแม่ทัพหน้าว่าเหตุไฉนเรายกล่วงเข้ามาถึงแดนเมืองกังตั๋งแล้วจึงไม่เห็นทหารเมืองกังตั๋งแม้แต่สักคนเดียว

            โจจิ๋นจึงกราบทูลว่า ชาวเมืองกังตั๋งคงจะเกรงพระบรมเดชานุภาพจึงตั้งรับอยู่ในเขตเมือง เหตุนี้จึงไม่มีกองทหารยกมาตั้งในแถบนี้

            พระเจ้าโจผีได้ฟังโจจิ๋นก็ยังไม่คลายพระทัย คงสงสัยว่ากองทัพเมืองฮูโต๋ยกมาเอิกเกริกนัก เป็นไปไม่ได้ที่ชาวเมืองกังตั๋งจะหลบลี้หนีหน้าไม่ยกกองทัพมาขัดตาทัพตามประเพณีการศึก จึงให้เทียบเรือพระที่นั่งที่ริมแม่น้ำ แล้วประทับบนหลังม้าเสด็จขึ้นไปบนเนินเขา ทอดพระเนตรไปยังฝั่งตรงกันข้ามก็ไม่เห็นทหารเมืองกังตั๋งลาดตระเวนอันเป็นการผิดปกติวิสัยนัก

            พระเจ้าโจผีจึงตรัสถามเล่าหัวที่ปรึกษาว่า เมื่อฝั่งตรงกันข้ามไม่มีผู้คน เราควรจะยกพลขึ้นบกหรือไม่ประการใด

            เล่าหัวซึ่งเป็นที่ปรึกษาและเตียวจี๋ได้ฟังพระราชดำริดังนั้นจึงกราบทูลว่า ความเงียบสงบและความที่ข้อเท็จจริงไม่กระจ่างนั้นเป็นความเสี่ยงภัยใหญ่หลวง อาจเป็นกลอุบายของชาวเมืองกังตั๋งแสร้งซุ่มทหารไว้ หากยกพลขึ้นบกก็อาจเสียทีแก่ข้าศึก ชอบที่จะงดไว้ให้พ้นสามวันก่อนจึงค่อยให้กองทัพหน้ายกล่วงขึ้นไป

            พระเจ้าโจผีทรงเห็นชอบกับข้อเสนอ จึงตรัสสั่งให้หยุดกองทัพไว้ที่ริมแม่น้ำ ให้กองทัพเรือทอดสมอแล้วคอยสังเกตการความเคลื่อนไหวทางฟากแม่น้ำฝั่งตรงกันข้ามอย่างใกล้ชิด พอเวลาค่ำลงก็ยังไม่ปรากฏความเคลื่อนไหวใด ๆ แม้แสงฟืนไฟก็ไม่มี กองทัพเมืองฮูโต๋จึงหวาดหวั่นว่าจะเป็นกลอุบายร้ายดีประการใด

            ในค่ำคืนวันนั้นทหารเมืองกังตั๋งก็ได้เอาหุ่นฟางที่แต่งตัวแบบทหาร ตลอดจนธงทิวมาวางไว้ตลอดแนวแม่น้ำตามคำสั่งของชีเซ่งแล้วเสร็จ

            วันรุ่งขึ้นหมอกลงหนาตลอดลำน้ำและปริมณฑลข้างเคียง พอตกสายหมอกค่อยเบาบางลง พระเจ้าโจผีทอดพระเนตรไปยังฝั่งแม่น้ำตรงกันข้ามเห็นหุ่นฟางและธงทิวปลิวไสวแน่นขนัดตลอดแนวฝั่งแม่น้ำ ก็สำคัญว่าทหารเมืองกังตั๋งยกมาตั้งรับเป็นอันมากก็ตกพระทัย ว่าไฉนทหารเมืองกังตั๋งจึงยกมารวดเร็วไร้ร่องรอยดังนี้ จึงตรัสปรึกษากับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะทำประการใด

            ในทันใดนั้นพายุใหญ่ก็พัดกล้า บังเกิดคลื่นใหญ่ในแม่น้ำระลอกแล้วระลอกเล่า เรือพระที่นั่งโคลงเคลงหวิดจะจมลงเป็นหลายครั้ง เรือรบเล็กจมลงในแม่น้ำเป็นหลายลำ ทหารเมืองฮูโต๋ต้องว่ายน้ำหนีขึ้นฝั่งเป็นชุลมุน

            พระเจ้าโจผีและทหารในเรือพระที่นั่งต้องทรุดนั่งเพราะไม่อาจยืนทานความโคลงเคลงของเรือรบได้ และคลื่นใหญ่ทวีความรุนแรงขึ้นโดยลำดับ โจจิ๋นซึ่งเป็นแม่ทัพหน้าเกรงว่าเรือพระที่นั่งจะล่มจึงให้บุนเพ่งเอาเรือรบขนาดกลางเข้าไปเทียบเรือพระที่นั่ง แล้วอัญเชิญพระเจ้าโจผีเสด็จลงในเรือ รีบแจวเข้าไปในคลองเพื่อให้พ้นจากพายุใหญ่

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่าเรือรบในกองทัพของพระเจ้าโจผีถูกพายุใหญ่แตกล่มจมลงในแม่น้ำประมาณสามสิบลำ บรรดาทหารในเรือต่างว่ายขึ้นฝั่งหนีเอาตัวรอด

            ทางเมืองเสฉวน ครั้นขงเบ้งได้รับพระราชสาสน์ของพระเจ้าซุนกวนทราบความแล้ว จึงนำเนื้อความกราบบังคมทูลพระเจ้าเล่าเสี้ยนทรงทราบ และกราบบังคมทูลเสนอว่าชอบที่จะให้จูล่งเป็นแม่ทัพคุมทหารยกไปช่วยตามที่พระเจ้าซุนกวนร้องขอ พระเจ้าเล่าเสี้ยนก็โปรดเกล้าตามที่ขงเบ้งเสนอ

            จูล่งรับรับสั่งแล้วจึงจัดแจงทหารยกไปทางด่านยังเผงก๋วนเพื่อจะไปตีเอาเมืองเซ่งอั๋นซึ่งเป็นหัวเมืองในเขตแดนเมืองฮูโต๋

            ฝ่ายพระเจ้าโจผีเสด็จประทับอยู่ในเรือรบของบุนเพ่งซึ่งถอยเข้าไปอยู่ในคลองเพื่อให้พ้นพายุใหญ่แล้ว จนกระทั่งถึงตอนบ่ายพายุค่อยสงบลง แต่กองทัพเรือถูกพายุใหญ่พัดจมเสียหายยับเยิน ทหารจมน้ำและล้มป่วยลงเป็นอันมาก

            พระเจ้าโจผีได้รับทราบรายงานความเสียหายแล้วก็ท้อถอยพระทัย ยังไม่ทันที่จะตัดสินใจประการใดทหารรักษาการณ์ก็นำใบบอกที่ส่งมาแต่เมืองฮูโต๋เข้ามาถวายพระเจ้าโจผีว่า ขณะนี้จูล่งได้ยกกองทัพไปตีเมืองเซ่งอั๋น หากเมืองเซ่งอั๋นแตกแล้วเห็นจะยกล่วงเข้าตีเอาเมืองฮูโต๋

            พระเจ้าโจผีกำลังลังเลพระทัยว่าจะตัดสินใจประการใด พอได้รับทราบใบบอกดังนั้นจึงตัดสินพระทัยให้เลิกทัพกลับไปป้องกันเมืองฮูโต๋ กองทัพทั้งปวงทราบรับสั่งแล้วก็เริ่มถอยทัพ

            ฝ่ายชีเซ่งครั้นได้ทราบจากหน่วยสอดแนมว่ากองทัพของพระเจ้าโจผีกำลังล่าทัพจะกลับไปเมืองฮูโต๋ เห็นเป็นทีจึงจัดแจงกองทัพเรือยกตามตีพระเจ้าโจผี

            พระเจ้าโจผีทราบความว่าทหารเมืองกังตั๋งยกตามตีดังนั้นก็มีพระราชดำริว่า การจะเสด็จหนีการตามตีโดยทางเรือนั้นเป็นทางอ้อมและล่าช้า อาจถูกกองทัพเมืองกังตั๋งตามทัน จึงควรจะหนีกลับไปโดยทางบก

            เมื่อดำริดังนั้นพระเจ้าโจผีจึงตรัสสั่งให้เผาบรรดาเรือรบทั้งปวงมิให้ตกเป็นสินศึกแก่ชาวเมืองกังตั๋ง และให้ทหารเมืองฮูโต๋ยกพลขึ้นบก รีบยกกลับไปเมืองฮูโต๋

            ทางฝ่ายซุนเสียวยกทหารมาซุ่มอยู่ในป่าริมแม่น้ำ ครั้นทราบความว่าพระเจ้าโจผีสั่งให้เผากองเรือรบแล้วเสด็จหนีไปโดยทางบก จึงคุมทหารไล่ตามตี ครั้นทันกองหลังก็จู่โจมเข้าตีอย่างรวดเร็ว กองหลังของพระเจ้าโจผีไม่ทันระวังตัว เมื่อถูกทหารเมืองกังตั๋งโจมตีดังนั้นก็แตกตื่นตกใจ ถูกทหารเมืองกังตั๋งฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทหารเรือที่หนีขึ้นฝั่งไม่ทันก็จมน้ำ หรือไม่ก็ถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์บาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก

            พระเจ้าโจผีทราบว่ากองหลังถูกตามตีก็เร่งทหารให้รีบหนีต่อไป ในขณะนั้นเตงฮองซึ่งยกทหารมาช่วยซุนเสียว เห็นทหารซุนเสียวไล่ตามตีกองทัพของพระเจ้าโจผี จึงสั่งให้จุดประทัดสัญญาณขึ้นแล้วยกทหารจู่โจมตัดกลางขบวนทัพของพระเจ้าโจผี

            เตงฮองเห็นพระเจ้าโจผีเสด็จอยู่ในท่ามกลางหมู่ทหาร จึงนำทหารรุกตรงเข้าไป เตียวเลี้ยวเห็นเตงฮองคุมทหารรุกตรงเข้ามาก็เกรงว่าพระเจ้าโจผีจะเป็นอันตรายจึงทูลเชิญให้รีบเสด็จหนี ตัวเตียวเลี้ยวคุมทหารกลับมาสกัดกองทหารของเตงฮองไว้

            เตียวเลี้ยวรบพลางถอยพลางเพื่อรั้งสกัดกองทัพเมืองกังตั๋งให้ช้าที่สุด ในขณะที่เตียวเลี้ยวกำลังหนีเตงฮองก็เอาเกาทัณฑ์ยิงไปถูกเตียวเลี้ยวที่บั้นเอวฟุบลงบนหลังม้า

            ซิหลงเห็นเตียวเลี้ยวถูกเกาทัณฑ์บาดเจ็บก็คุมทหารลงมาช่วย และให้ทหารพา เตียวเลี้ยวรุดหน้าไป ตัวซิหลงรบพลางถอยพลางคอยสกัดกองทัพเมืองกังตั๋ง จนพระเจ้าโจผีพาทหารหนีไปไกลแล้ว ซิหลงจึงรีบขี่ม้าไล่ตามไป ทหารเมืองกังตั๋งไล่ตามตีไม่ทันแล้วจึงยกกลับ เก็บเอาเสบียงอาวุธยุทโธปกรณ์และจับเชลยศึกได้เป็นจำนวนมาก จากนั้นจึงยกกองทัพกลับคืนเมืองกังตั๋ง

            ชีเซ่งและบรรดาแม่ทัพนายกองได้พากันไปเฝ้าพระเจ้าซุนกวน แล้วถวายรายงานให้ทรงทราบการศึกที่ได้กระทำมาทุกประการ พระเจ้าซุนกวนทราบความก็ดีพระทัย โปรดให้แต่งโต๊ะพระราชทานเลี้ยงแก่บรรดาทหารซึ่งมีความชอบและปูนบำเหน็จแก่ทหารซึ่งมีความชอบนั้นเป็นอันมาก

            ฝ่ายเตียวเลี้ยวเมื่อถูกพาตามเสด็จพระเจ้าโจผีกลับไปถึงเมืองฮูโต๋แล้ว พิษเกาทัณฑ์กำเริบขึ้น เตียวเลี้ยวทนต่อบาดแผลและความเจ็บปวดไม่ได้จึงสิ้นใจตาย พระเจ้าโจผีทราบว่าเตียวเลี้ยวขุนศึกอาวุโสแต่ครั้งโจโฉตายแล้วก็โศกเศร้าพระทัยอาลัยรักถึงเตียวเลี้ยวเป็นอันมาก ตรัสสั่งให้แต่งการพิธีศพของเตียวเลี้ยวอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติและให้นำศพไปฝังไว้ในสุสานหลวงตามบรรดาศักดิ์

            ทางฝ่ายจูล่งเมื่อยกทหารไปใกล้เขตเมืองเซ่งอั๋นแล้วก็ตั้งค่ายมั่นไว้ทำทีประหนึ่งจะยกกองทัพเข้าตีเมือง ครั้นได้ทราบข่าวว่าพระเจ้าโจผีเลิกทัพกลับมาแต่เมืองกังตั๋งแล้ว จูล่งจึงเลิกทัพถอยกลับเข้ามาตั้งมั่นอยู่ในเขตแดนเมืองเสฉวน

            พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วได้เจ็ดร้อยหกสิบแปดพรรษา เดือนห้า ซึ่งขณะนั้นพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสวยราชย์ได้สามปี สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่า “ขงเบ้งช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง หามีโจรผู้ร้ายไม่ ข้าวปลาอาหารก็บริบูรณ์ อาณาประชาราษฎรก็อยู่เย็นเป็นสุขทั้งแผ่นดิน”

            วันหนึ่งพระเจ้าเล่าเสี้ยนเสด็จประทับบนพระราชบัลลังก์ ออกว่าราชการตามปกติ หน่วยสอดแนมได้ส่งรายงานเข้ามากราบบังคมทูลว่า เจ้าเมืองชายแดนด้านใต้คือยงคีเจ้าเมืองเกียมเหลง จูโพเจ้าเมืองโคกุ้น โกเตงเจ้าเมืองอวดจุ้น ทั้งสามเมืองนี้ขึ้นต่อเมือง   เสฉวน หลังจากพระเจ้าเล่าปี่แตกทัพเมืองกังตั๋งแล้ว ได้คบคิดกับเบ้งเฮ็กเจ้าเมืองหมั่นอ๋องเป็นขบถแข็งเมือง ขณะนี้ได้ยกทหารสิบหมื่นมาประชิดเมืองเองเฉียง ซึ่งอองค้างผู้เป็นเจ้าเมืองเองเฉียง และลิคี กงโจ ปลัดเมืองและผู้ช่วยเจ้าเมืองได้เกณฑ์ทหารป้องกันเมืองแต่เห็นว่าจะต้านทานกองทัพของฝ่ายขบถไม่ได้ มีทีท่าว่าเมืองเองเฉียงจะเสียแก่ข้าศึก

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนทราบรายงานแล้วก็ตกพระทัย ปรารภความตามรายงานนั้นแก่ขงเบ้งและขุนนางทั้งปวง แล้วตรัสถามขงเบ้งว่าจะจัดการประการใด

            ขงเบ้งจึงกราบทูลว่า เบ้งเฮ็กเจ้าเมืองหมั่นอ๋องเป็นพวกป่าเถื่อน อยู่นอกแดนเมืองจีน มาแข็งข้อกำเริบก็เพราะไอ้เจ้าเมืองสามคนคบคิดกันเป็นกบฏ ข้าพเจ้าพอทราบความเคลื่อนไหวอยู่ก่อน จึงได้เร่งฟื้นฟูสัมพันธไมตรีกับเมืองกังตั๋ง ขณะนี้กองทัพของพระเจ้าโจผีเพิ่งปราชัย เห็นจะไม่ยกมาทำอันตรายเมืองเรา ส่วนเมืองกังตั๋งนั้นเล่าก็หมดที่กังวลเพราะมีไมตรีแน่นแฟ้น และอ่อนล้าด้วยเพิ่งเสร็จสงครามเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าจะถือโอกาสนี้ยกกองทัพไปปราบปรามพวกขบถให้ราบคาบ

            พระเจ้าเล่าเสี้ยนได้ฟังคำขงเบ้งแล้วตรัสถามว่า การไปทำศึกปราบพวกกบฏเพียงเท่านี้ ไยท่านพ่อจะต้องคุมกองทัพไปด้วยตนเองเล่า จะให้แม่ทัพนายกองคนใดคุมทหารไปไม่ได้หรือ

            ขงเบ้งจึงกราบบังคมทูลว่า ซึ่งจะให้แม่ทัพนายกองคนอื่นยกไปทำการก็เห็นจะได้ชัยชนะอยู่ แต่หาราบคาบไม่.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นตรี สอบในสนามหลวง วันอังคาร ที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๒

ปัญหาและเฉลยวิชาอนุพุทธประวัติ นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันอาทิตย์ ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร