ตอนที่ 474. ค่ายกลนวภูมิ
เก้าปีหลังจากนางซุนฮูหยินถูกซุนกวนหลอกพรากออกจากอกของเล่าปี่กลับจากเมืองเกงจิ๋วไปเมืองกังตั๋ง ทำให้นางซุนฮูหยินผู้น้องของซุนกวนต้องตรอมใจอาลัยรักถึงเล่าปี่ ครั้นนางได้ยินข่าวลือว่าเล่าปี่ถึงแก่ความตายก็โศกเศร้าอาดูร พิรี้พิไรรำพันเป็นอันมาก
นางซุนฮูหยินยิ่งร้องไห้ก็ยิ่งแค้นซุนกวนที่พรากนางจากผู้เป็นสามีโดยไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ความเคียดแค้นประดังขึ้นแน่นในอก นางจึงคิดว่า “เกิดมาเป็นผู้หญิง จะให้มีชายต้องถึงสองคนก็ไม่ควรนัก บัดนี้ผัวเราก็ตายแล้ว จะอยู่ไปก็เป็นเครื่องราคีอายแก่คนทั้งปวง”
นางซุนฮูหยินคิดดังนั้นแล้วก็แอบไปขึ้นรถม้าข้างหน้าจวน แล้วขับออกจากจวนไปแต่ลำพังตรงไปที่ริมฝั่งทะเล ถึงชายทะเลแล้วนางทอดสายตาไปเบื้องทิศที่เห็นควันไฟยังคงลอยเจือจางอยู่บนอากาศแล้วร้องไห้อาลัยถึงเล่าปี่ ครู่หนึ่งนางก็เอาแส้ม้าเฆี่ยนม้ามุ่งหน้าลงทะเล และจมน้ำหายไปกับคลื่นในยามเช้าของวันนั้น
ความซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้เป็นสามีดุจหนึ่งความภักดีแห่งนางสีดาที่มีความรักภักดีต่อพระราม จึงเป็นที่สรรเสริญของคนทั้งปวงตราบเท่าทุกวันนี้
กองทัพเมืองกังตั๋งวางเพลิงเผากองทัพของพระเจ้าเล่าปี่และโจมตีจนกองทัพพระเจ้าเล่าปี่แตกพ่ายยับเยินไปแล้ว ได้เก็บเอาเสื้อผ้า อาวุธ เสบียงอาหารและม้า ตลอดจนจับทหารเมืองเสฉวนเป็นเชลยได้เป็นอันมาก
ทางฝ่ายลกซุนเมื่อได้ทราบว่าพระเจ้าเล่าปี่ตีฝ่าลงไปจากภูเขาได้แล้ว จึงพาทหารไล่ตามพระเจ้าเล่าปี่ต่อไป จนกระทั่งล่วงเข้าถึงตำบลอิปักโป้ “ดูไปเห็นข้างหน้าเป็นรูปคนยืนสะพรั่ง ถืออาวุธอยู่มากมายนัก ก็คิดสงสัย”
ลกซุนมองเห็นข้างหน้าเหมือนมีกองทหารเคลื่อนย้ายแปรขบวนชอบกลนัก ก็เกรงว่าข้าศึกจะซุ่มซ่อนโจมตี จึงสั่งให้ปลงทัพไว้ที่ตำบลอิปักโป้ และสั่งทหารให้ไปสอดแนมว่ามีกองทหารของพระเจ้าเล่าปี่ซุ่มซ่อนอยู่หรือไม่ แล้วให้รีบกลับมารายงาน
พักหนึ่งทหารสอดแนมก็กลับมารายงานว่า ที่เห็นเสมือนหนึ่งกองทหารแปรขบวนนั้นได้เข้าไปตรวจตราในที่ใกล้แล้วไม่เห็นมีผู้คนแม้แต่สักคนเดียว เห็นแต่กองศิลาประมาณแปดสิบเก้าสิบกองวางระเกะระกะอยู่
ลกซุนได้ยินคำรายงานก็ไม่สิ้นสงสัย เพราะภาพที่เห็นด้วยตาก่อนหน้านี้ไม่ใช่ก้อนศิลาเหมือนดังหนึ่งคำรายงาน หากเป็นขบวนทหารที่กำลังแปรขบวนพร้อมที่จะทำศึกอยู่ทุกเมื่อ ลกซุนครุ่นคิดไม่ตก ยิ่งคิดก็ยิ่งแคลงใจสงสัย แต่ครั้นจะยกทหารไปก็เกรงภัยว่าจะถูกซุ่มโจมตี ลกซุนจึงเรียกทหารมาสั่งให้ไปจับตัวชาวบ้านในถิ่นนั้นมาไต่ถาม
ทหารออกไปจับตัวชาวบ้านแปดเก้าคนพาเข้ามาหาลกซุน ลกซุนเห็นเป็นชาวบ้านจึงถามว่า “ที่นี่ผู้ใดมาทำไว้ เหตุผลเป็นประการใด ศิลาเป็นกองกองอยู่ ดูเป็นรูปคนถืออาวุธดังนี้”
ชาวบ้านทั้งนั้นตอบตรงกันว่า เมื่อครั้งที่ขงเบ้งยกกองทัพจากเมืองเกงจิ๋วไปช่วยเล่าปี่ตีเอาเมืองเสฉวนนั้น ได้ยกทหารผ่านมาที่ตำบลนี้ แล้วสั่งให้ทหารขนศิลามากองไว้ ชาวบ้านทั้งปวงล้วนรู้ทั่วกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์นัก ทั้งกลางวันและกลางคืนมักปรากฏเหตุการณ์ที่ทหารจำนวนมากออกมาแปรขบวนราวกับเป็นทหารเทพยดา จะมาจะไปก็ไร้ร่องรอย
ลกซุนได้ฟังคำชาวบ้านก็จ้องมองตาชาวบ้านทั้งนั้นเพื่อหาพิรุธร่องรอยว่าถูกเสี้ยมสอนทำเป็นอุบายมาหลอกลวงหรือไม่ แต่เห็นสายตาชาวบ้านล้วนซื่อตรง ไม่มีแอบแฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยมประการใด ลกซุนก็ยิ่งสงสัย แล้วสั่งให้ปล่อยชาวบ้านทั้งนั้นกลับไป
เมื่อชาวบ้านกลับออกไปแล้ว ลกซุนจึงเรียกทหารองครักษ์สามสิบคนขี่ม้าพากันไปที่กองศิลานั้น หวังจะดูให้ประจักษ์แก่ตาว่ามีเหตุผลกลนัยประการใดจึงเป็นดังนั้น เมื่อไปถึงลกซุนจึงลงจากม้าพาทหารเดินเข้าไปใกล้กองศิลา พิเคราะห์ดูโดยรอบเห็นตั้งวางเป็นตำแหน่งแปลกประหลาดชอบกลยิ่งนัก
ลกซุนยืนพินิจพิจารณาอยู่เป็นครู่ใหญ่ ไม่เห็นมีร่องรอยทหารซุ่มซ่อนก็แหงนหน้าขึ้นหัวเราะแล้วว่า “ขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายลวงไว้ให้คนกลัว”
กล่าวแล้วลกซุนก็พาทหารองครักษ์เดินเข้าไปในระหว่างกองศิลา สังเกตดูศิลาแต่ละกองก็เห็นว่าเป็นศิลาธรรมดาแต่ตำแหน่งที่จัดวางนั้นดูแปลกประหลาด ลกซุนจึงพา ทหารองครักษ์เดินตรวจดูกองศิลาเพื่อหาเลศนัยอยู่จนกระทั่งถึงเวลาบ่าย ทหารองครักษ์เห็นว่าเป็นเวลาอันควรแก่การแล้ว จึงเตือนลกซุนให้กลับไปค่าย
ลกซุนเห็นด้วย แต่ในทันใดนั้นก็ “บังเกิดพายุพัดหนัก แล้วได้ยินเสียงเหมือนชักกระบี่ออกจากฝัก ศิลาก็กระทบกันเป็นประกาย ทรายก็ปลิวขึ้นมืดคลุ้ม แล้วเห็นเป็นคนยืนถืออาวุธยืนขวางหน้าแลล้อมไว้มากมาย ไม่เห็นทางที่จะออกไปได้”
ลกซุนเห็นดังนั้นก็ตกใจ ชักกระบี่ออกฟาดฟันป้องกันตัว บรรดาทหารองครักษ์ได้เข้ามาล้อมพิทักษ์ลกซุนไว้แล้วชักกระบี่ฟาดฟันต่อสู้กับทหารซึ่งรุกล้อมเข้ามานั้น ยิ่งฟาดยิ่งฟันก็กระทบแต่ก้อนหิน ประกายไฟที่กระบี่กระทบกับหินกระจายเป็นระยะๆ
ลกซุนและทหารวิ่งหนีไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหนก็เหมือนกับมีทหารรุมล้อมรุกไล่คล้ายกับเงาตามตัว ลกซุนและทหารองครักษ์ได้ต่อสู้กับทหารที่เห็นนั้นตลอดทั้งคืนก็สิ้นกำลังลง ต่างคนต่างทรุดตัวลงนั่งสิ้นอาลัยตายอยาก แม้ฟ้าสว่างแล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเคลื่อนย้ายแปรขบวนจะเข้าจับกุมตัว ลกซุนและทหารได้แต่หวาดหวั่นพรั่นพรึง จะหนีออกไปทางไหนก็ไม่ได้ จึงนั่งรอความตายอยู่ในที่นั้น
ลกซุนมองหาทางเข้า-ออกก็ไม่เห็นทาง เห็นเป็นป่าทึบรกชัฏ มีหน้าผาอยู่โดยรอบ ยิ่งคราใดมีสายลมพัดกล้ามาก็รู้สึกคล้ายกับทหารกองหนึ่งแปรขบวนรุกตรงเข้ามาหา ลกซุนและทหารจึงได้แต่ขวัญผวาหวาดหวั่นพรั่นพรึง คลานหนีไปตามซอกหินเป็นที่น่าเวทนานัก
ลกซุนและทหารซมซานจะหนีออกจากที่นั้นจนสิ้นความคิดแล้ว ลกซุนจึงปรารภว่า “ทีนี้เราตายด้วยความคิดขงเบ้งจริงแล้ว”
ลกซุนกล่าวสิ้นคำลงก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “ท่านจะใคร่ออกไปให้พ้นจากที่นี่หรือ”
ลกซุนและทหารองครักษ์เหลียวไปมองทางต้นเสียง เห็นชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้ร่องรอย ชายนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าลกซุนแล้วเอามือลูบหนวด พลางจ้องมองลกซุนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
ลกซุนเห็นชายชราก็สำคัญว่าเป็นเทพยดา เพราะไม่รู้ว่ามีอายุอานามสักเท่าใด แต่ผ่องใสกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก ลกซุนและทหารองครักษ์จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วอ้อนวอนชายชรานั้นว่าขอท่านได้เมตตาช่วยพาพวกข้าพเจ้าออกไปจากที่นี่เถิด
ชายชรานั้นจึงกล่าวว่า พวกเจ้าจงตามเราอย่าให้ห่าง เราจะพาพวกเจ้าออกไปจากที่นี่เอง ว่าแล้วชายชรานั้นก็ก้าวเดินเยื้องย่างซ้ายขวาวกหน้าวนหลังพาลกซุนและทหารองครักษ์ออกไป
พอออกพ้นมาจากที่นั้นแล้วลกซุนและทหารองครักษ์จึงคุกเข่าคำนับขอบคุณชายชรานั้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วถามว่าท่านผู้อาวุโสเป็นใคร มีถิ่นฐานอยู่ที่ใด จึงได้มาพบข้าพเจ้าในที่แห่งนี้ ช่วยบอกข้าพเจ้าเอาบุญเถิด
ชายชรานั้นจึงว่าตัวเรานี้ชื่อว่าอุยสิง่าน เป็นพ่อตาของขงเบ้ง เมื่อครั้งที่ขงเบ้งลูกเขยเราจะพาทหารไปเมืองเสฉวน ได้แวะมาถึงตำบลนี้ แล้วตั้งค่ายกลศิลานี้ขึ้น “มีประตูอยู่แปดประตู มีฤทธิ์มีเดชต่าง ๆ กัน ไม่รู้ที่จะพรรณนาฤทธิ์ให้ท่านฟังแล้ว แม้มีทหารไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่า แต่เมื่อขงเบ้งจะไปนั้นสั่งเราไว้ว่า อยู่ข้างหลังนี้จะมีทหารใหญ่เมือง กังตั๋งหลงเข้ามา แล้วอย่าให้เราชักพาออกมา นี่เราเห็นก็เอ็นดูจึงชักพาออกมาหวังจะเอาบุญ”
สามก๊กบางฉบับพรรณนาไปอีกทางหนึ่งว่า ขงเบ้งได้กำชับพ่อตาให้แจ้งแก่ลกซุนว่าวันหนึ่งในภายหน้าจะมีนายทหารคนสำคัญเมืองกังตั๋งหลงเข้ามาในค่ายกลนี้ ปล่อยให้สิ้นกำลังก่อนแล้วค่อยแจ้งความจริงให้ทราบว่าขงเบ้งคะเนสถานการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่เพื่อเห็นแก่ไมตรี จึงให้มาพาออกจากค่ายกลเพื่อกลับไปป้องกันเมืองกังตั๋ง ด้วยกองทัพเว่ยกำลังยกทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ลกซุนได้ฟังถึงการหยั่งการเบื้องหน้าก็ศรัทธาเลื่อมใส เฉลียวใจได้คิดว่าหากมัวจะคิดรุกหน้าต่อไป โจผียกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งแล้วก็จะกลับไปป้องกันเมืองไม่ทัน
สามก๊กบางฉบับวิจารณ์ว่า ความจริงค่ายกลเช่นนี้หามีไม่ กรณีเป็นเรื่องที่ขงเบ้งได้คาดการสงครามไว้อย่างถูกต้อง จึงแต่งผู้คนปลอมตัวเป็นชาวบ้าน แสร้งปล่อยข่าวแก่ ลกซุนว่า ขณะนี้กองทัพเว่ยกำลังยกกองทัพจะไปตีเมืองกังตั๋ง ลกซุนได้ฟังชาวบ้านก็เชื่อว่าเป็นความจริง จึงหยุดการไล่ตามพระเจ้าเล่าปี่
ค่ายกลที่ว่านี้จะว่าไม่มีอยู่นั้นก็หามีข้อเท็จจริงใดสนับสนุนไม่ เพราะหลังจากครั้งนี้แล้วยังมีปรากฏว่าขงเบ้งตั้งค่ายกลลวงศัตรูอีก กิตติศัพท์ร่ำลือเรื่องค่ายกลยังคงแพร่หลายทรงจำอยู่ในความเชื่อถือของคนจีนจำนวนมาก เมื่อครั้งที่กิมย้งประพันธ์เรื่องมังกรหยกอันลือลั่น ก็ได้อ้างอิงความรู้เรื่องค่ายกลของขงเบ้งดังกล่าวว่าภูตบูรพาอึ้งเอี๊ยะซือได้เรียนรู้วิชาค่ายกลชนิดนี้ โดยปลูกต้นดอกท้อต่างก้อนศิลาตามตำแหน่งแห่งวิชาค่ายกล แล้วท้าทายจิวแปะทงยอดคนแห่งสำนักช้วนจินก้าให้เข้าไปในดงดอกท้อนั้นว่าหากเข้าไปแล้วออกมาได้ก็จะยอมแพ้ จิวแปะทงแม้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน เข้าไปในค่ายกลดอกท้อแล้วไม่สามารถกลับออกมาได้ ต้องถูกกักขังอยู่ในค่ายกลนั้นเป็นเวลานานหลายปี แม้ในชั้นหลังอึ้งย้งผู้บุตรภูตบูรพาก็ได้รับถ่ายทอดวิชาค่ายกลนี้ และได้ใช้ป้องกันตัวจากปรปักษ์หลายครั้งหลายหน แม้ในวรรณคดีโบราณหลายเรื่องของจีนก็ได้เอ่ยอ้างถึงค่ายกลนี้ ดังนี้แล้วจะว่าไร้ที่มาหรือไม่มีอยู่เสียทีเดียวย่อมไม่ชอบ
ค่ายกลที่ว่านี้มีชื่อว่า “ค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ” ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้คนที่ใกล้ชิดกับสุมาเต๊กโชเช่นชีซี ขงเบ้ง หรือบังทองจะเรียนรู้เท่านั้น แม้แต่ โจหยินก็รู้วิชาค่ายกลนี้ เป็นแต่ไม่ถึงขั้นล้ำลึก จึงไม่อาจเปล่งอานุภาพได้ดังปรารถนา ดังที่ชีซีได้วิจารณ์ค่ายกลของโจหยินในการสัประยุทธ์ด้วยค่ายกลพยุหะในช่วงที่ชีซีอยู่กับเล่าปี่นั้นแล้ว ค่ายกลพยุหะชนิดนี้ใช้กองทหารตั้งเป็นขบวนพยุหะได้อย่างหนึ่ง ใช้ก้อนศิลาหรือต้นไม้วางตามตำแหน่งค่ายกลได้อีกอย่างหนึ่ง ขบวนพยุหะที่ใช้คนอาจบังคับบัญชาให้ผันแปรพิสดารโดยไม่ต้องอาศัยพลังจักรวาลในธรรมชาติ แต่ขบวนพยุหะที่ใช้ก้อนศิลาหรือต้นไม้ซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจ ต้องอาศัยพลังจักรวาลคือแรงลมอันเป็นวิญญาณธาตุเข้าประกอบ จึงทำให้ค่ายกลนั้นคล้ายประหนึ่งมีชีวิตชีวา ดังที่ลกซุนและองครักษ์ได้ประสบนั้น ค่ายกลนี้มีประตูแปดทิศก็จริง แต่ตำแหน่งที่วางเป็นแปดทิศแปดปูมนั้นย่อมมีปูมกลางอันเป็นปูมแห่งวิญญาณธาตุ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ค่ายกลมีชีวิตชีวา บางตำราจึงว่าการตั้งค่ายกลด้วยก้อนศิลาหรือต้นไม้เรียกว่าวิชาค่าย กลนวภูมิ หรือนพธาตุ
ขงเบ้งเคยแจ้งแก่ม้าเลี้ยงว่าได้จัดวางกองทหารสิบหมื่นไว้สกัดข้าศึกที่จะไล่ตามตีพระเจ้าเล่าปี่เมื่อครั้งที่ม้าเลี้ยงนำแผนที่การตั้งค่ายของพระเจ้าเล่าปี่ไปให้ขงเบ้งตรวจดู นั่นก็คือขงเบ้งได้ประเมินว่าค่ายกลชนิดนี้เมื่อกอปรด้วยพลังจักรวาลแล้ว ก็จะมีศักดานุภาพเท่ากับทหารสิบหมื่นนั่นเอง
ลกซุนได้ฟังคำของพ่อตาขงเบ้งแล้วก็ใคร่ได้เรียนรู้วิชานี้ จึงถามว่า “ความรู้วิชาการเช่นขงเบ้งทำไว้นี้ท่านรู้หรือไม่”
อุยสิง่านจึงตอบว่า วิชาเช่นนี้เราหาได้มีความรู้แต่อย่างใดไม่ ซึ่งนำพาท่านออกมาได้นั้นก็เป็นเพราะขงเบ้งได้บอกวิธีออกจากค่ายกลไว้ให้เท่านั้น
ลกซุนได้ฟังดังนั้นจึงว่า ภูมิวิชาปัญญาคุณของขงเบ้งกว้างขวางล้ำลึกนัก เป็นบุญของข้าพเจ้าที่ขงเบ้งไม่ได้ร่วมมากับกองทัพของพระเจ้าเล่าปี่ มิฉะนั้นข้าพเจ้าย่อมไม่มีวันได้พบหน้าท่านเป็นแน่แท้ กล่าวแล้วลกซุนก็คุกเข่าลงคำนับอุยสิง่านและอำลากลับไปค่าย.
นางซุนฮูหยินยิ่งร้องไห้ก็ยิ่งแค้นซุนกวนที่พรากนางจากผู้เป็นสามีโดยไม่เห็นแก่ความเป็นพี่น้อง ความเคียดแค้นประดังขึ้นแน่นในอก นางจึงคิดว่า “เกิดมาเป็นผู้หญิง จะให้มีชายต้องถึงสองคนก็ไม่ควรนัก บัดนี้ผัวเราก็ตายแล้ว จะอยู่ไปก็เป็นเครื่องราคีอายแก่คนทั้งปวง”
นางซุนฮูหยินคิดดังนั้นแล้วก็แอบไปขึ้นรถม้าข้างหน้าจวน แล้วขับออกจากจวนไปแต่ลำพังตรงไปที่ริมฝั่งทะเล ถึงชายทะเลแล้วนางทอดสายตาไปเบื้องทิศที่เห็นควันไฟยังคงลอยเจือจางอยู่บนอากาศแล้วร้องไห้อาลัยถึงเล่าปี่ ครู่หนึ่งนางก็เอาแส้ม้าเฆี่ยนม้ามุ่งหน้าลงทะเล และจมน้ำหายไปกับคลื่นในยามเช้าของวันนั้น
ความซื่อสัตย์ภักดีต่อผู้เป็นสามีดุจหนึ่งความภักดีแห่งนางสีดาที่มีความรักภักดีต่อพระราม จึงเป็นที่สรรเสริญของคนทั้งปวงตราบเท่าทุกวันนี้
กองทัพเมืองกังตั๋งวางเพลิงเผากองทัพของพระเจ้าเล่าปี่และโจมตีจนกองทัพพระเจ้าเล่าปี่แตกพ่ายยับเยินไปแล้ว ได้เก็บเอาเสื้อผ้า อาวุธ เสบียงอาหารและม้า ตลอดจนจับทหารเมืองเสฉวนเป็นเชลยได้เป็นอันมาก
ทางฝ่ายลกซุนเมื่อได้ทราบว่าพระเจ้าเล่าปี่ตีฝ่าลงไปจากภูเขาได้แล้ว จึงพาทหารไล่ตามพระเจ้าเล่าปี่ต่อไป จนกระทั่งล่วงเข้าถึงตำบลอิปักโป้ “ดูไปเห็นข้างหน้าเป็นรูปคนยืนสะพรั่ง ถืออาวุธอยู่มากมายนัก ก็คิดสงสัย”
ลกซุนมองเห็นข้างหน้าเหมือนมีกองทหารเคลื่อนย้ายแปรขบวนชอบกลนัก ก็เกรงว่าข้าศึกจะซุ่มซ่อนโจมตี จึงสั่งให้ปลงทัพไว้ที่ตำบลอิปักโป้ และสั่งทหารให้ไปสอดแนมว่ามีกองทหารของพระเจ้าเล่าปี่ซุ่มซ่อนอยู่หรือไม่ แล้วให้รีบกลับมารายงาน
พักหนึ่งทหารสอดแนมก็กลับมารายงานว่า ที่เห็นเสมือนหนึ่งกองทหารแปรขบวนนั้นได้เข้าไปตรวจตราในที่ใกล้แล้วไม่เห็นมีผู้คนแม้แต่สักคนเดียว เห็นแต่กองศิลาประมาณแปดสิบเก้าสิบกองวางระเกะระกะอยู่
ลกซุนได้ยินคำรายงานก็ไม่สิ้นสงสัย เพราะภาพที่เห็นด้วยตาก่อนหน้านี้ไม่ใช่ก้อนศิลาเหมือนดังหนึ่งคำรายงาน หากเป็นขบวนทหารที่กำลังแปรขบวนพร้อมที่จะทำศึกอยู่ทุกเมื่อ ลกซุนครุ่นคิดไม่ตก ยิ่งคิดก็ยิ่งแคลงใจสงสัย แต่ครั้นจะยกทหารไปก็เกรงภัยว่าจะถูกซุ่มโจมตี ลกซุนจึงเรียกทหารมาสั่งให้ไปจับตัวชาวบ้านในถิ่นนั้นมาไต่ถาม
ทหารออกไปจับตัวชาวบ้านแปดเก้าคนพาเข้ามาหาลกซุน ลกซุนเห็นเป็นชาวบ้านจึงถามว่า “ที่นี่ผู้ใดมาทำไว้ เหตุผลเป็นประการใด ศิลาเป็นกองกองอยู่ ดูเป็นรูปคนถืออาวุธดังนี้”
ชาวบ้านทั้งนั้นตอบตรงกันว่า เมื่อครั้งที่ขงเบ้งยกกองทัพจากเมืองเกงจิ๋วไปช่วยเล่าปี่ตีเอาเมืองเสฉวนนั้น ได้ยกทหารผ่านมาที่ตำบลนี้ แล้วสั่งให้ทหารขนศิลามากองไว้ ชาวบ้านทั้งปวงล้วนรู้ทั่วกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์นัก ทั้งกลางวันและกลางคืนมักปรากฏเหตุการณ์ที่ทหารจำนวนมากออกมาแปรขบวนราวกับเป็นทหารเทพยดา จะมาจะไปก็ไร้ร่องรอย
ลกซุนได้ฟังคำชาวบ้านก็จ้องมองตาชาวบ้านทั้งนั้นเพื่อหาพิรุธร่องรอยว่าถูกเสี้ยมสอนทำเป็นอุบายมาหลอกลวงหรือไม่ แต่เห็นสายตาชาวบ้านล้วนซื่อตรง ไม่มีแอบแฝงด้วยเล่ห์เหลี่ยมประการใด ลกซุนก็ยิ่งสงสัย แล้วสั่งให้ปล่อยชาวบ้านทั้งนั้นกลับไป
เมื่อชาวบ้านกลับออกไปแล้ว ลกซุนจึงเรียกทหารองครักษ์สามสิบคนขี่ม้าพากันไปที่กองศิลานั้น หวังจะดูให้ประจักษ์แก่ตาว่ามีเหตุผลกลนัยประการใดจึงเป็นดังนั้น เมื่อไปถึงลกซุนจึงลงจากม้าพาทหารเดินเข้าไปใกล้กองศิลา พิเคราะห์ดูโดยรอบเห็นตั้งวางเป็นตำแหน่งแปลกประหลาดชอบกลยิ่งนัก
ลกซุนยืนพินิจพิจารณาอยู่เป็นครู่ใหญ่ ไม่เห็นมีร่องรอยทหารซุ่มซ่อนก็แหงนหน้าขึ้นหัวเราะแล้วว่า “ขงเบ้งแกล้งทำกลอุบายลวงไว้ให้คนกลัว”
กล่าวแล้วลกซุนก็พาทหารองครักษ์เดินเข้าไปในระหว่างกองศิลา สังเกตดูศิลาแต่ละกองก็เห็นว่าเป็นศิลาธรรมดาแต่ตำแหน่งที่จัดวางนั้นดูแปลกประหลาด ลกซุนจึงพา ทหารองครักษ์เดินตรวจดูกองศิลาเพื่อหาเลศนัยอยู่จนกระทั่งถึงเวลาบ่าย ทหารองครักษ์เห็นว่าเป็นเวลาอันควรแก่การแล้ว จึงเตือนลกซุนให้กลับไปค่าย
ลกซุนเห็นด้วย แต่ในทันใดนั้นก็ “บังเกิดพายุพัดหนัก แล้วได้ยินเสียงเหมือนชักกระบี่ออกจากฝัก ศิลาก็กระทบกันเป็นประกาย ทรายก็ปลิวขึ้นมืดคลุ้ม แล้วเห็นเป็นคนยืนถืออาวุธยืนขวางหน้าแลล้อมไว้มากมาย ไม่เห็นทางที่จะออกไปได้”
ลกซุนเห็นดังนั้นก็ตกใจ ชักกระบี่ออกฟาดฟันป้องกันตัว บรรดาทหารองครักษ์ได้เข้ามาล้อมพิทักษ์ลกซุนไว้แล้วชักกระบี่ฟาดฟันต่อสู้กับทหารซึ่งรุกล้อมเข้ามานั้น ยิ่งฟาดยิ่งฟันก็กระทบแต่ก้อนหิน ประกายไฟที่กระบี่กระทบกับหินกระจายเป็นระยะๆ
ลกซุนและทหารวิ่งหนีไปทางโน้นบ้างทางนี้บ้าง แต่ไม่ว่าจะวิ่งไปทางไหนก็เหมือนกับมีทหารรุมล้อมรุกไล่คล้ายกับเงาตามตัว ลกซุนและทหารองครักษ์ได้ต่อสู้กับทหารที่เห็นนั้นตลอดทั้งคืนก็สิ้นกำลังลง ต่างคนต่างทรุดตัวลงนั่งสิ้นอาลัยตายอยาก แม้ฟ้าสว่างแล้วก็ได้ยินเสียงเหมือนคนกำลังเคลื่อนย้ายแปรขบวนจะเข้าจับกุมตัว ลกซุนและทหารได้แต่หวาดหวั่นพรั่นพรึง จะหนีออกไปทางไหนก็ไม่ได้ จึงนั่งรอความตายอยู่ในที่นั้น
ลกซุนมองหาทางเข้า-ออกก็ไม่เห็นทาง เห็นเป็นป่าทึบรกชัฏ มีหน้าผาอยู่โดยรอบ ยิ่งคราใดมีสายลมพัดกล้ามาก็รู้สึกคล้ายกับทหารกองหนึ่งแปรขบวนรุกตรงเข้ามาหา ลกซุนและทหารจึงได้แต่ขวัญผวาหวาดหวั่นพรั่นพรึง คลานหนีไปตามซอกหินเป็นที่น่าเวทนานัก
ลกซุนและทหารซมซานจะหนีออกจากที่นั้นจนสิ้นความคิดแล้ว ลกซุนจึงปรารภว่า “ทีนี้เราตายด้วยความคิดขงเบ้งจริงแล้ว”
ลกซุนกล่าวสิ้นคำลงก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “ท่านจะใคร่ออกไปให้พ้นจากที่นี่หรือ”
ลกซุนและทหารองครักษ์เหลียวไปมองทางต้นเสียง เห็นชายชราผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นอย่างไร้ร่องรอย ชายนั้นเดินมาอยู่ตรงหน้าลกซุนแล้วเอามือลูบหนวด พลางจ้องมองลกซุนด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู
ลกซุนเห็นชายชราก็สำคัญว่าเป็นเทพยดา เพราะไม่รู้ว่ามีอายุอานามสักเท่าใด แต่ผ่องใสกระปรี้กระเปร่ายิ่งนัก ลกซุนและทหารองครักษ์จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วอ้อนวอนชายชรานั้นว่าขอท่านได้เมตตาช่วยพาพวกข้าพเจ้าออกไปจากที่นี่เถิด
ชายชรานั้นจึงกล่าวว่า พวกเจ้าจงตามเราอย่าให้ห่าง เราจะพาพวกเจ้าออกไปจากที่นี่เอง ว่าแล้วชายชรานั้นก็ก้าวเดินเยื้องย่างซ้ายขวาวกหน้าวนหลังพาลกซุนและทหารองครักษ์ออกไป
พอออกพ้นมาจากที่นั้นแล้วลกซุนและทหารองครักษ์จึงคุกเข่าคำนับขอบคุณชายชรานั้นอีกครั้งหนึ่ง แล้วถามว่าท่านผู้อาวุโสเป็นใคร มีถิ่นฐานอยู่ที่ใด จึงได้มาพบข้าพเจ้าในที่แห่งนี้ ช่วยบอกข้าพเจ้าเอาบุญเถิด
ชายชรานั้นจึงว่าตัวเรานี้ชื่อว่าอุยสิง่าน เป็นพ่อตาของขงเบ้ง เมื่อครั้งที่ขงเบ้งลูกเขยเราจะพาทหารไปเมืองเสฉวน ได้แวะมาถึงตำบลนี้ แล้วตั้งค่ายกลศิลานี้ขึ้น “มีประตูอยู่แปดประตู มีฤทธิ์มีเดชต่าง ๆ กัน ไม่รู้ที่จะพรรณนาฤทธิ์ให้ท่านฟังแล้ว แม้มีทหารไว้สิบหมื่นก็ไม่เท่า แต่เมื่อขงเบ้งจะไปนั้นสั่งเราไว้ว่า อยู่ข้างหลังนี้จะมีทหารใหญ่เมือง กังตั๋งหลงเข้ามา แล้วอย่าให้เราชักพาออกมา นี่เราเห็นก็เอ็นดูจึงชักพาออกมาหวังจะเอาบุญ”
สามก๊กบางฉบับพรรณนาไปอีกทางหนึ่งว่า ขงเบ้งได้กำชับพ่อตาให้แจ้งแก่ลกซุนว่าวันหนึ่งในภายหน้าจะมีนายทหารคนสำคัญเมืองกังตั๋งหลงเข้ามาในค่ายกลนี้ ปล่อยให้สิ้นกำลังก่อนแล้วค่อยแจ้งความจริงให้ทราบว่าขงเบ้งคะเนสถานการณ์ไว้ก่อนแล้ว แต่เพื่อเห็นแก่ไมตรี จึงให้มาพาออกจากค่ายกลเพื่อกลับไปป้องกันเมืองกังตั๋ง ด้วยกองทัพเว่ยกำลังยกทัพไปตีเมืองกังตั๋ง ลกซุนได้ฟังถึงการหยั่งการเบื้องหน้าก็ศรัทธาเลื่อมใส เฉลียวใจได้คิดว่าหากมัวจะคิดรุกหน้าต่อไป โจผียกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งแล้วก็จะกลับไปป้องกันเมืองไม่ทัน
สามก๊กบางฉบับวิจารณ์ว่า ความจริงค่ายกลเช่นนี้หามีไม่ กรณีเป็นเรื่องที่ขงเบ้งได้คาดการสงครามไว้อย่างถูกต้อง จึงแต่งผู้คนปลอมตัวเป็นชาวบ้าน แสร้งปล่อยข่าวแก่ ลกซุนว่า ขณะนี้กองทัพเว่ยกำลังยกกองทัพจะไปตีเมืองกังตั๋ง ลกซุนได้ฟังชาวบ้านก็เชื่อว่าเป็นความจริง จึงหยุดการไล่ตามพระเจ้าเล่าปี่
ค่ายกลที่ว่านี้จะว่าไม่มีอยู่นั้นก็หามีข้อเท็จจริงใดสนับสนุนไม่ เพราะหลังจากครั้งนี้แล้วยังมีปรากฏว่าขงเบ้งตั้งค่ายกลลวงศัตรูอีก กิตติศัพท์ร่ำลือเรื่องค่ายกลยังคงแพร่หลายทรงจำอยู่ในความเชื่อถือของคนจีนจำนวนมาก เมื่อครั้งที่กิมย้งประพันธ์เรื่องมังกรหยกอันลือลั่น ก็ได้อ้างอิงความรู้เรื่องค่ายกลของขงเบ้งดังกล่าวว่าภูตบูรพาอึ้งเอี๊ยะซือได้เรียนรู้วิชาค่ายกลชนิดนี้ โดยปลูกต้นดอกท้อต่างก้อนศิลาตามตำแหน่งแห่งวิชาค่ายกล แล้วท้าทายจิวแปะทงยอดคนแห่งสำนักช้วนจินก้าให้เข้าไปในดงดอกท้อนั้นว่าหากเข้าไปแล้วออกมาได้ก็จะยอมแพ้ จิวแปะทงแม้เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของแผ่นดิน เข้าไปในค่ายกลดอกท้อแล้วไม่สามารถกลับออกมาได้ ต้องถูกกักขังอยู่ในค่ายกลนั้นเป็นเวลานานหลายปี แม้ในชั้นหลังอึ้งย้งผู้บุตรภูตบูรพาก็ได้รับถ่ายทอดวิชาค่ายกลนี้ และได้ใช้ป้องกันตัวจากปรปักษ์หลายครั้งหลายหน แม้ในวรรณคดีโบราณหลายเรื่องของจีนก็ได้เอ่ยอ้างถึงค่ายกลนี้ ดังนี้แล้วจะว่าไร้ที่มาหรือไม่มีอยู่เสียทีเดียวย่อมไม่ชอบ
ค่ายกลที่ว่านี้มีชื่อว่า “ค่ายกลพยุหะประตูปราการทองคำแปดทิศ” ซึ่งไม่เพียงแต่ผู้คนที่ใกล้ชิดกับสุมาเต๊กโชเช่นชีซี ขงเบ้ง หรือบังทองจะเรียนรู้เท่านั้น แม้แต่ โจหยินก็รู้วิชาค่ายกลนี้ เป็นแต่ไม่ถึงขั้นล้ำลึก จึงไม่อาจเปล่งอานุภาพได้ดังปรารถนา ดังที่ชีซีได้วิจารณ์ค่ายกลของโจหยินในการสัประยุทธ์ด้วยค่ายกลพยุหะในช่วงที่ชีซีอยู่กับเล่าปี่นั้นแล้ว ค่ายกลพยุหะชนิดนี้ใช้กองทหารตั้งเป็นขบวนพยุหะได้อย่างหนึ่ง ใช้ก้อนศิลาหรือต้นไม้วางตามตำแหน่งค่ายกลได้อีกอย่างหนึ่ง ขบวนพยุหะที่ใช้คนอาจบังคับบัญชาให้ผันแปรพิสดารโดยไม่ต้องอาศัยพลังจักรวาลในธรรมชาติ แต่ขบวนพยุหะที่ใช้ก้อนศิลาหรือต้นไม้ซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจ ต้องอาศัยพลังจักรวาลคือแรงลมอันเป็นวิญญาณธาตุเข้าประกอบ จึงทำให้ค่ายกลนั้นคล้ายประหนึ่งมีชีวิตชีวา ดังที่ลกซุนและองครักษ์ได้ประสบนั้น ค่ายกลนี้มีประตูแปดทิศก็จริง แต่ตำแหน่งที่วางเป็นแปดทิศแปดปูมนั้นย่อมมีปูมกลางอันเป็นปูมแห่งวิญญาณธาตุ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ค่ายกลมีชีวิตชีวา บางตำราจึงว่าการตั้งค่ายกลด้วยก้อนศิลาหรือต้นไม้เรียกว่าวิชาค่าย กลนวภูมิ หรือนพธาตุ
ขงเบ้งเคยแจ้งแก่ม้าเลี้ยงว่าได้จัดวางกองทหารสิบหมื่นไว้สกัดข้าศึกที่จะไล่ตามตีพระเจ้าเล่าปี่เมื่อครั้งที่ม้าเลี้ยงนำแผนที่การตั้งค่ายของพระเจ้าเล่าปี่ไปให้ขงเบ้งตรวจดู นั่นก็คือขงเบ้งได้ประเมินว่าค่ายกลชนิดนี้เมื่อกอปรด้วยพลังจักรวาลแล้ว ก็จะมีศักดานุภาพเท่ากับทหารสิบหมื่นนั่นเอง
ลกซุนได้ฟังคำของพ่อตาขงเบ้งแล้วก็ใคร่ได้เรียนรู้วิชานี้ จึงถามว่า “ความรู้วิชาการเช่นขงเบ้งทำไว้นี้ท่านรู้หรือไม่”
อุยสิง่านจึงตอบว่า วิชาเช่นนี้เราหาได้มีความรู้แต่อย่างใดไม่ ซึ่งนำพาท่านออกมาได้นั้นก็เป็นเพราะขงเบ้งได้บอกวิธีออกจากค่ายกลไว้ให้เท่านั้น
ลกซุนได้ฟังดังนั้นจึงว่า ภูมิวิชาปัญญาคุณของขงเบ้งกว้างขวางล้ำลึกนัก เป็นบุญของข้าพเจ้าที่ขงเบ้งไม่ได้ร่วมมากับกองทัพของพระเจ้าเล่าปี่ มิฉะนั้นข้าพเจ้าย่อมไม่มีวันได้พบหน้าท่านเป็นแน่แท้ กล่าวแล้วลกซุนก็คุกเข่าลงคำนับอุยสิง่านและอำลากลับไปค่าย.