ตอนที่ 466. อภินิหารกวนอู
ศึกเมืองกังตั๋งยกที่สองทำให้พระเจ้าเล่าปี่สูญเสียฮองตงยอดขุนพลผู้เฒ่า แต่กองทัพเมืองกังตั๋งก็ไม่สามารถต้านทานกองทัพของเล่าปี่ได้ การยุทธ์ที่ตำบลจูเต๋งได้ดำเนินไปอย่างดุเดือด ในที่สุดกองทัพของพระเจ้าเล่าปี่โจมตีกองทัพเมืองกังตั๋งแตกพ่ายยับเยิน ทหารเมืองกังตั๋งล้มตายเป็นอันมาก เลือดไหลนองท่วมหลังเท้า
ในขณะที่กองทัพบกเมืองกังตั๋งแตกพ่ายยับเยินนั้น กำเหลงนายทหารเมืองกังตั๋งซึ่งยังคงป่วยด้วยโรคบิด และรักษาตัวอยู่ที่กองทัพเรือ ได้ยินเสียงกองทัพทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันและทราบข่าวว่า กองทัพบกแตกพ่ายแล้ว ก็เกรงว่ากองทัพของพระเจ้าเล่าปี่จะรุกเข้าตีกองทัพเรือจนย่อยยับไปอีกกองทัพหนึ่ง จึงสั่งให้ถอยเรือเข้าเทียบฝั่ง แล้วพาทหารขึ้นจากเรือเพื่อจะหนีกลับไปสมทบกับกองทัพของฮันต๋งและจิวท่าย
ในขณะนั้นสะโมโขเจ้าเมืองลำมันซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางทิศใต้ของเมืองเสฉวน และมาในขบวนทัพของพระเจ้าเล่าปี่ด้วย ได้คุมทหารออกลาดตระเวนเพื่อโจมตีทหารเมืองกังตั๋งซึ่งแตกหนี ครั้นได้พบกับกำเหลงคุมทหารหนีมาตามทางบก จึงสั่งทหารให้ตั้งขบวนพลเกาทัณฑ์เตรียมสกัดไว้
กำเหลงเห็นทหารของชนกลุ่มน้อยแต่งตัวแบบชาวป่าเถื่อนไม่เหมือนกับการแต่งชุดนักรบของทหารเมืองเสฉวนหรือทหารเมืองกังตั๋ง ก็หมิ่นว่าเป็นพวกป่าเถื่อน รบพุ่งไม่เป็น จึงสั่งทหารให้ตีฝ่ากองทัพที่ตั้งสกัดอยู่นั้น
พอกองหน้าของทั้งสองฝ่ายใกล้จะปะทะกัน สะโมโขสั่งให้ขบวนเกาทัณฑ์ระดมยิงด้วยธนูอาบยาพิษตรงไปที่ทหารของกำเหลงราวกับห่าฝน ถูกทหารเมืองกังตั๋งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก แม้ตัวกำเหลงเองก็ถูกเกาทัณฑ์อาบยาพิษที่หน้าผาก หวุดหวิดจะพลัดตกลงจากหลังม้า แต่กำเหลงมีกำลังและชำนาญในการสงคราม จึงรีบชักลูกเกาทัณฑ์ออกจากหน้าผาก เดชะบุญที่เกาทัณฑ์ดอกนั้นถูกยิงมาจากระยะไกล จึงปักเข้าที่หน้าผากไม่ลึกนัก แต่พอกำเหลงดึงเกาทัณฑ์ออกเลือดก็ไหลพุ่ง กำเหลงยังคงชาอยู่ด้วยแผลเกาทัณฑ์ แต่เมื่อเห็นเลือดไหลออกจากหน้าผากก็ตกใจ รีบขับม้าหนีไปทางตำบลอูตี๋
พอย่างเข้าแดนตำบลอูตี๋กำเหลงก็หน้ามืดด้วยพิษเกาทัณฑ์ ทั้งเลือดไหลไม่ยอมหยุด ความชาหายไปแต่ความเจ็บปวดเข้าแทนที่อย่างรุนแรง กำเหลงไม่สามารถขี่ม้าต่อไปได้ จึงลงจากหลังม้าแล้วล้มลง บรรดาทหารซึ่งหนีตามไปได้ช่วยกันพยุงกำเหลงเข้าไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
พอทหารประคองกำเหลงไปนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นพิษเกาทัณฑ์ก็กำเริบกล้า กำเหลงจึงถึงแก่ความตายในที่นั้น บรรดาทหารซึ่งหนีตามกำเหลงไปเหลืออยู่แต่น้อยตัว ไม่สามารถพาศพกำเหลงหนีกลับไปได้ ทั้งเกรงว่าข้าศึกกำลังไล่ติดตามมา จึงรีบหนีกลับไปเมืองกังตั๋ง แล้วทูลรายงานความให้ซุนกวนทราบ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “กาซึ่งทำรังอยู่บนต้นไม้นั้น ลงมาล้อมศพกำเหลงไว้” กำเหลงจึงตายคล้ายกับคนอนาถาที่ตายอยู่ข้างถนน จนซากศพต้องกลายเป็นเหยื่อของแร้งกา ช่างน่าเวทนานัก
เมื่อซุนกวนทราบความแล้วก็ร้องไห้รักกำเหลงเป็นอันมาก แล้วสั่งให้ทหารซึ่งนำความไปทูลรายงานนั้นนำทางให้ทหารอีกกองหนึ่งมารับศพกำเหลง แล้วนำศพไปฝังไว้ในเมืองที่ตำบลอูตี๋ และให้ปลูกศาลเทพารักษ์สำหรับเป็นที่สถิตของดวงวิญญาณกำเหลงไว้ข้างสุสานนั้น
ทางฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่เมื่อได้รับชัยชนะอย่างงดงามในการศึกยกที่สองแล้วก็มีความยินดีเป็นอันมาก รับสั่งให้ชุมนุมกองทัพเพื่อสำรวจกำลังนายและพลทหารว่าบาดเจ็บเสียหายล้มตายประการใด ปรากฏว่า “ตรวจตราดูก็เห็นทหารทั้งปวงพร้อมหน้าอยู่สิ้น แต่กวนหินนั้นหายไป”
พระเจ้าเล่าปี่ไม่เห็นกวนหินในที่ชุมนุมพล ก็ทรงวิตกว่ากวนหินอาจเป็นอันตรายหรือเสียทีแก่ข้าศึก จึงรับสั่งตั้งให้เตียวเปาเป็นแม่กอง จัดกำลังทหารถึงสิบสายเพื่อติดตามหากวนหิน
ทางฝ่ายกวนหินนั้น เมื่อกองทัพของพระเจ้าเล่าปี่ปะทะกับกองทัพของฮันต๋ง จิวท่าย กวนหินก็ได้คุมทหารเข้าโจมตีกองทัพเมืองกังตั๋ง เห็นพัวเจี้ยงถือง้าวนิลนาคะของกวนอูก็จำได้ ความแค้นพยาบาทก็ยิ่งประดังขึ้น กวนหินจึงชักม้าเข้ารบกับพัวเจี้ยง เพราะสำคัญว่าพัวเจี้ยงผู้นี้ต้องมีส่วนสำคัญในการสังหารบิดา
พัวเจี้ยงเห็นกวนหินเป็นนายทหารหนุ่มจึงชักม้าเข้ารบกับกวนหิน พอเข้ามาเผชิญหน้ากัน กวนหินก็แสร้งถามว่าง้าวในมือของท่านนี้ได้แต่ใดมา พัวเจี้ยงจึงตอบว่าเจ้าไม่รู้จักหรือนี่คือง้าวประจำตัวของกวนอู ซึ่งกวนอูมีฝีมือลือชา เราก็ฆ่าเสียแล้ว บัดนี้ถึงทีตายของเจ้าแล้ว
กวนหินได้ยินดังนั้นก็โกรธ ชักม้าเข้ารบกับพัวเจี้ยงอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ไม่ถึงห้าเพลง พัวเจี้ยงเห็นกวนหินมีกำลังฝีมือเข้มแข็งนัก เห็นจะต้านทานไม่ได้จึงชักม้าผละหนี กวนหินเห็นได้ทีจึงไล่ตามพัวเจี้ยงไปหวังจะแก้แค้นให้กับบิดาให้จงได้
พัวเจี้ยงเห็นกวนหินไล่ตามกระชั้นชิดเข้ามาก็ชักม้าหนีเข้าป่าลัดเลาะไประหว่างซอกเขา พอดีเป็นเวลาค่ำกวนหินไล่ตามไปไม่ทัน ต่างคนจึงต่างพลัดหลง กวนหินเห็นว่าจะตามพัวเจี้ยงไปไม่ทันแล้ว จึงขี่ม้าจะกลับไปค่ายแต่หลงทาง “ชักม้าเดินตลบวนเวียนไปตามแสงเดือน”
กวนหินหลงทางอยู่จนถึงเวลาเที่ยงคืนก็ไปถึงเนินเขา เห็นบ้านชาวนาปลูกอยู่ที่เนินเขาหลังหนึ่ง จึงลงจากหลังม้าเดินเข้าไปเคาะประตูเรียกเจ้าของบ้าน ครู่หนึ่งก็เห็นผู้เฒ่าเจ้าของบ้านเปิดประตู ในมือถือตะเกียง เยี่ยมหน้าออกมาจากประตูบ้าน แล้วถามว่าดึกดื่นป่านฉะนี้ พ่อหนุ่มมาเคาะประตูเรียกด้วยประสงค์สิ่งใดหรือ
กวนหินจึงว่า ข้าพเจ้าไล่ตามศัตรูมาแต่หลงป่า จึงดั้นด้นค้นหาจนล่วงมาถึงบ้านท่านผู้เฒ่านี้แล้ว ไม่มีที่อื่นพอจะพักพิงและอากาศก็หนาวเหน็บ จึงหวังความเมตตาท่านผู้เฒ่าขอพักอาศัยสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าแล้วจะรีบไป
ผู้เฒ่านั้นจึงเชิญกวนหินเข้าไปในบ้าน กวนหินคำนับขอบคุณแล้วเดินตามหลังผู้เฒ่าเข้าไปในบ้าน ผู้เฒ่าเกรงว่ากวนหินจะกลัวความมืดจึงเอาตะเกียงไปวางบนโต๊ะใกล้ผนัง ส่วนตัวผู้เฒ่าเดินเข้าไปในครัว หวังจะหาอาหารมาเลี้ยงดูกวนหิน
กวนหินมองตามหลังผู้เฒ่าจนหายเข้าไปในครัวแล้ว แสงสว่างของตะเกียงกระทบกับผนัง เห็นรูปวาดยอดขุนพลผู้หนึ่งหน้าแดงดุจผลพุทราสุก หนวดมีสีดำเป็นใยคล้ายใยไหมยาวถึงอก มือข้างขวาลูบหนวดดูสง่าน่าเกรงขามนัก ข้างซ้ายมือยอดขุนพลผู้นั้นเป็นขุนพลหนุ่มยืนถือตราตำแหน่งเจ้าเมือง ทางขวาเป็นขุนพลในวัยกลางคน หน้าตาดุดันหนวดเคราดำ ในมือถือง้าวนิลนาคะ เบื้องหน้ารูปนั้นมีกระถางปักธูปและที่ปักเทียนบูชา ก็รู้ว่าเป็นภาพของกวนอูผู้บิดาพร้อมกับกวนเป๋งและจิวฉอง กวนหินจึงก้มลงกราบภาพนั้นแล้วร้องไห้
กวนหินนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าภาพนั้นด้วยอาการนิ่งสงบ ครู่หนึ่งผู้เฒ่าก็ถือชามข้าวออกมาจากในครัว เห็นกวนหินในลักษณาการดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามว่าไฉนท่านเห็นภาพนี้แล้วจึงต้องกราบและร้องไห้ด้วยเล่า
กวนหินจึงว่า คนในภาพนี้คือกวนอูบิดาข้าพเจ้า ผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึง จ้องหน้าพิเคราะห์ดูกวนหินกับกวนอูเห็นคล้ายคลึงกัน ต่างกันก็แต่ใบหน้าสีแดงและสีขาวเท่านั้น จึงรีบวางชามข้าวลงข้างหน้ากวนหินแล้วคุกเข่าลงคำนับ
กวนหินจึงถามว่า เพราะเหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงเขียนรูปบิดาข้าพเจ้าไว้บูชาดังนี้ ผู้เฒ่านั้นจึงว่า “รูปคนนี้เมื่อท่านยังเป็นอยู่นั้นย่อมเลื่องลือนับถือท่านทุกแห่ง ครั้นท่านตายแล้วก็เป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์นัก ข้าพเจ้าแลชาวบ้านในจังหวัดนี้นับถือนัก จึงเขียนรูปมาไว้บูชาทุกเรือน”
ครั้นได้ทักทายไต่ถามความกันเป็นที่เข้าใจแล้ว ผู้เฒ่านั้นจึงเชิญให้กวนหินกินข้าว ส่วนผู้เฒ่าก็ออกไปด้านนอกบ้านอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะเอาม้ากวนหินไปผูกไว้ที่คอกม้า
ผู้เฒ่าเอาม้ากวนหินไปผูกเสร็จกำลังจะเดินกลับเข้าประตูเรือน ก็ได้ยินเสียงคนขี่ม้าตรงเข้ามาหา ผู้เฒ่าเห็นแขกแปลกหน้ามาถึงเรือนอีกคนหนึ่งก็สงสัย จึงถามว่าดึกดื่นป่านนี้แล้วท่านมาที่บ้านนี้ด้วยธุระสิ่งใด
คนผู้มาใหม่ตอบว่า เราชื่อพัวเจี้ยงเป็นนายทหารเมืองกังตั๋ง เดินทางผ่านมาเป็นเวลาดึกดื่น จึงขออาศัยท่านพักแรมสักคืนหนึ่ง วันพรุ่งนี้จะได้รีบเดินทางต่อไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่า “พัวเจี้ยงหนีกวนหินไป ครั้นเวลาดึกแล้วก็ขี่ม้าเล็ดลอดเที่ยวหาทาง เป็นกรรมของพัวเจี้ยงที่จะตายจึงเผอิญให้มาบ้านตาแก่ที่กวนหินอาศัย”
กวนหินกินข้าวอยู่ในเรือนเสร็จพอดี ครั้นได้ยินเสียงคนมาเยือนอีกคนหนึ่งก็ตั้งใจเงี่ยหูฟัง พอได้ยินว่าเป็นพัวเจี้ยงก็คว้าดาบวิ่งออกไปหา เห็นพัวเจี้ยงยืนกับผู้เฒ่าเจ้าของบ้านก็ตวาดว่า อ้ายทหารเมืองกังตั๋งเดนตาย มึงจะหนีไปไหนพ้น
พัวเจี้ยงได้ยินเสียงตวาดก็เบนหน้าไปมอง เห็นเป็นกวนหินก็ตกใจรีบหันหลังวิ่งหนี เห็นกวนอูรูปร่างสูงใหญ่ ถือง้าวยืนขวางทางอยู่ก็ยิ่งตกใจ วิ่งหลีกไปอีกทางหนึ่งสะดุดกับก้อนหินแล้วล้มลง กวนหินวิ่งตามไปทันจึงเอาดาบฟันพัวเจี้ยงถึงแก่ความตาย แล้วหยิบเอาง้าวนิลนาคะของกวนอูขึ้นมาลูบคลำด้วยความรำลึกถึงผู้บิดา ความโกรธพยาบาทก็พลุ่งพล่านอีกครั้งหนึ่ง
กวนหินจึงเอาดาบกรีดผ่าหน้าอกของพัวเจี้ยงตลอดมาถึงท้อง “เชือดเอาตับหัวใจพัวเจี้ยง” แล้วควักตับและหัวใจนั้นถือเข้าไปในเรือนวางไว้ที่เบื้องหน้าภาพของกวนอู จุดธูปเทียนบูชาเซ่นไหว้แล้ว เอาสุรามาราดที่หน้าภาพ พลางกล่าวว่าลูกได้สังหารพัวเจี้ยงแก้แค้นแทนบิดาแล้ว
ครู่หนึ่งเสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วบอกอรุณดังแว่วมา ขอบฟ้าด้านตะวันออกเริ่มสว่างขึ้น กวนหินจึงบอกขอบคุณผู้เฒ่าเจ้าของบ้าน คำนับลาแล้วขี่ม้าพาศีรษะพัวเจี้ยงกลับไป ผู้เฒ่าเจ้าของบ้านเกรงอาญาว่าจะเป็นโทษฐานร่วมสังหารนายทหารเมืองกังตั๋ง จึงรีบเอาศพของพัวเจี้ยงและตับหัวใจไปฝังไว้พร้อมกันที่แนวป่าข้างเรือนนั้น
กวนหินหิ้วศีรษะของพัวเจี้ยงไปที่ม้า เอาผมผูกกับข้างอานม้า แล้วขี่ม้าจะกลับไปค่าย พอตกสายก็สวนกับม้าต๋งนายทหารเมืองกังตั๋งซึ่งพาทหารสองร้อยแตกหนีมา ม้าต๋งเห็นศีรษะของพัวเจี้ยงก็โกรธ ทั้งเห็นกวนหินขี่ม้ามาแต่ผู้เดียว จึงสั่งทหารให้เข้าล้อมจับกวนหิน
กวนหินแม้ตัวผู้เดียว ทั้งได้อดนอนตลอดทั้งคืนแต่มิได้ระย่อท้อถอย กลับฮึกเหิมด้วยแรงปิติที่ได้สังหารพัวเจี้ยงล้างแค้นให้กับบิดา จึงชักม้าเข้ารบกับทหารของม้าต๋งอย่างฮึกห้าวเหิมหาญ
ทหารของม้าต๋งมีจำนวนมากกว่าได้พากันรุมล้อมและโห่ร้องข่มขวัญไม่ขาดระยะ ในขณะนั้นเตียวเปาขี่ม้าพาทหารออกตามหากวนหิน ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องจึงเร่งม้าพา ทหารตามมาที่ต้นเสียง เห็นกวนหินถูกล้อมอยู่จึงสั่งทหารให้จู่โจมเข้าช่วยกวนหิน
ม้าต๋งคุมทหารให้ล้อมจับกวนหินอยู่ด้วยความหวังว่าจะสามารถจับเป็นกวนหินได้ แต่พอเห็นกองทหารยกหนุนมาช่วยก็ตกใจจึงพาทหารหนี เตียวเปาไล่ตามตีไปตลอดทาง เห็นว่าไม่ทันแล้วจึงกลับมาหากวนหิน แล้วพากันกลับไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่
พระเจ้าเล่าปี่ทราบความจากกวนหินทุกประการแล้วทรง “สรรเสริญกวนอูว่าน้องเราไม่เสียทีที่รักกัน แต่ตายแล้วยังอุตส่าห์ตามมาช่วย”
พระเจ้าเล่าปี่สั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงฉลองชัยให้กับบรรดาทหารทั้งปวง และให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารเป็นอันมาก
ทางฝ่ายฮันต๋งและจิวท่ายหลังจากแตกพ่ายยับเยินแล้ว จึงพาทหารที่หนีตามไปตั้งหลักอยู่ในป่า แล้วกระจายกำลังออกไปเกลี้ยกล่อมบรรดาทหารที่แตกทัพให้กลับมารวมตัวกันใหม่ และตั้งเวรยามรักษาการณ์ตลอดทั้งวันทั้งคืน เผื่อพระเจ้าเล่าปี่ยกทัพติดตามมาจะได้หลบหนีทันท่วงที
ทางฝ่ายม้าต๋งเมื่อพาทหารหนีเตียวเปาแล้ว เกรงว่าเตียวเปาจะไล่ตามมาทัน จึงพาทหารหนีเข้าไปในป่า และไปพบกับกองทหารของฮันต๋งและจิวท่าย.
ในขณะที่กองทัพบกเมืองกังตั๋งแตกพ่ายยับเยินนั้น กำเหลงนายทหารเมืองกังตั๋งซึ่งยังคงป่วยด้วยโรคบิด และรักษาตัวอยู่ที่กองทัพเรือ ได้ยินเสียงกองทัพทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันและทราบข่าวว่า กองทัพบกแตกพ่ายแล้ว ก็เกรงว่ากองทัพของพระเจ้าเล่าปี่จะรุกเข้าตีกองทัพเรือจนย่อยยับไปอีกกองทัพหนึ่ง จึงสั่งให้ถอยเรือเข้าเทียบฝั่ง แล้วพาทหารขึ้นจากเรือเพื่อจะหนีกลับไปสมทบกับกองทัพของฮันต๋งและจิวท่าย
ในขณะนั้นสะโมโขเจ้าเมืองลำมันซึ่งเป็นชนกลุ่มน้อยทางทิศใต้ของเมืองเสฉวน และมาในขบวนทัพของพระเจ้าเล่าปี่ด้วย ได้คุมทหารออกลาดตระเวนเพื่อโจมตีทหารเมืองกังตั๋งซึ่งแตกหนี ครั้นได้พบกับกำเหลงคุมทหารหนีมาตามทางบก จึงสั่งทหารให้ตั้งขบวนพลเกาทัณฑ์เตรียมสกัดไว้
กำเหลงเห็นทหารของชนกลุ่มน้อยแต่งตัวแบบชาวป่าเถื่อนไม่เหมือนกับการแต่งชุดนักรบของทหารเมืองเสฉวนหรือทหารเมืองกังตั๋ง ก็หมิ่นว่าเป็นพวกป่าเถื่อน รบพุ่งไม่เป็น จึงสั่งทหารให้ตีฝ่ากองทัพที่ตั้งสกัดอยู่นั้น
พอกองหน้าของทั้งสองฝ่ายใกล้จะปะทะกัน สะโมโขสั่งให้ขบวนเกาทัณฑ์ระดมยิงด้วยธนูอาบยาพิษตรงไปที่ทหารของกำเหลงราวกับห่าฝน ถูกทหารเมืองกังตั๋งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก แม้ตัวกำเหลงเองก็ถูกเกาทัณฑ์อาบยาพิษที่หน้าผาก หวุดหวิดจะพลัดตกลงจากหลังม้า แต่กำเหลงมีกำลังและชำนาญในการสงคราม จึงรีบชักลูกเกาทัณฑ์ออกจากหน้าผาก เดชะบุญที่เกาทัณฑ์ดอกนั้นถูกยิงมาจากระยะไกล จึงปักเข้าที่หน้าผากไม่ลึกนัก แต่พอกำเหลงดึงเกาทัณฑ์ออกเลือดก็ไหลพุ่ง กำเหลงยังคงชาอยู่ด้วยแผลเกาทัณฑ์ แต่เมื่อเห็นเลือดไหลออกจากหน้าผากก็ตกใจ รีบขับม้าหนีไปทางตำบลอูตี๋
พอย่างเข้าแดนตำบลอูตี๋กำเหลงก็หน้ามืดด้วยพิษเกาทัณฑ์ ทั้งเลือดไหลไม่ยอมหยุด ความชาหายไปแต่ความเจ็บปวดเข้าแทนที่อย่างรุนแรง กำเหลงไม่สามารถขี่ม้าต่อไปได้ จึงลงจากหลังม้าแล้วล้มลง บรรดาทหารซึ่งหนีตามไปได้ช่วยกันพยุงกำเหลงเข้าไปนั่งพักที่ใต้ต้นไม้ใหญ่
พอทหารประคองกำเหลงไปนั่งพิงอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่นั้นพิษเกาทัณฑ์ก็กำเริบกล้า กำเหลงจึงถึงแก่ความตายในที่นั้น บรรดาทหารซึ่งหนีตามกำเหลงไปเหลืออยู่แต่น้อยตัว ไม่สามารถพาศพกำเหลงหนีกลับไปได้ ทั้งเกรงว่าข้าศึกกำลังไล่ติดตามมา จึงรีบหนีกลับไปเมืองกังตั๋ง แล้วทูลรายงานความให้ซุนกวนทราบ
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า “กาซึ่งทำรังอยู่บนต้นไม้นั้น ลงมาล้อมศพกำเหลงไว้” กำเหลงจึงตายคล้ายกับคนอนาถาที่ตายอยู่ข้างถนน จนซากศพต้องกลายเป็นเหยื่อของแร้งกา ช่างน่าเวทนานัก
เมื่อซุนกวนทราบความแล้วก็ร้องไห้รักกำเหลงเป็นอันมาก แล้วสั่งให้ทหารซึ่งนำความไปทูลรายงานนั้นนำทางให้ทหารอีกกองหนึ่งมารับศพกำเหลง แล้วนำศพไปฝังไว้ในเมืองที่ตำบลอูตี๋ และให้ปลูกศาลเทพารักษ์สำหรับเป็นที่สถิตของดวงวิญญาณกำเหลงไว้ข้างสุสานนั้น
ทางฝ่ายพระเจ้าเล่าปี่เมื่อได้รับชัยชนะอย่างงดงามในการศึกยกที่สองแล้วก็มีความยินดีเป็นอันมาก รับสั่งให้ชุมนุมกองทัพเพื่อสำรวจกำลังนายและพลทหารว่าบาดเจ็บเสียหายล้มตายประการใด ปรากฏว่า “ตรวจตราดูก็เห็นทหารทั้งปวงพร้อมหน้าอยู่สิ้น แต่กวนหินนั้นหายไป”
พระเจ้าเล่าปี่ไม่เห็นกวนหินในที่ชุมนุมพล ก็ทรงวิตกว่ากวนหินอาจเป็นอันตรายหรือเสียทีแก่ข้าศึก จึงรับสั่งตั้งให้เตียวเปาเป็นแม่กอง จัดกำลังทหารถึงสิบสายเพื่อติดตามหากวนหิน
ทางฝ่ายกวนหินนั้น เมื่อกองทัพของพระเจ้าเล่าปี่ปะทะกับกองทัพของฮันต๋ง จิวท่าย กวนหินก็ได้คุมทหารเข้าโจมตีกองทัพเมืองกังตั๋ง เห็นพัวเจี้ยงถือง้าวนิลนาคะของกวนอูก็จำได้ ความแค้นพยาบาทก็ยิ่งประดังขึ้น กวนหินจึงชักม้าเข้ารบกับพัวเจี้ยง เพราะสำคัญว่าพัวเจี้ยงผู้นี้ต้องมีส่วนสำคัญในการสังหารบิดา
พัวเจี้ยงเห็นกวนหินเป็นนายทหารหนุ่มจึงชักม้าเข้ารบกับกวนหิน พอเข้ามาเผชิญหน้ากัน กวนหินก็แสร้งถามว่าง้าวในมือของท่านนี้ได้แต่ใดมา พัวเจี้ยงจึงตอบว่าเจ้าไม่รู้จักหรือนี่คือง้าวประจำตัวของกวนอู ซึ่งกวนอูมีฝีมือลือชา เราก็ฆ่าเสียแล้ว บัดนี้ถึงทีตายของเจ้าแล้ว
กวนหินได้ยินดังนั้นก็โกรธ ชักม้าเข้ารบกับพัวเจี้ยงอย่างดุเดือด ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ไม่ถึงห้าเพลง พัวเจี้ยงเห็นกวนหินมีกำลังฝีมือเข้มแข็งนัก เห็นจะต้านทานไม่ได้จึงชักม้าผละหนี กวนหินเห็นได้ทีจึงไล่ตามพัวเจี้ยงไปหวังจะแก้แค้นให้กับบิดาให้จงได้
พัวเจี้ยงเห็นกวนหินไล่ตามกระชั้นชิดเข้ามาก็ชักม้าหนีเข้าป่าลัดเลาะไประหว่างซอกเขา พอดีเป็นเวลาค่ำกวนหินไล่ตามไปไม่ทัน ต่างคนจึงต่างพลัดหลง กวนหินเห็นว่าจะตามพัวเจี้ยงไปไม่ทันแล้ว จึงขี่ม้าจะกลับไปค่ายแต่หลงทาง “ชักม้าเดินตลบวนเวียนไปตามแสงเดือน”
กวนหินหลงทางอยู่จนถึงเวลาเที่ยงคืนก็ไปถึงเนินเขา เห็นบ้านชาวนาปลูกอยู่ที่เนินเขาหลังหนึ่ง จึงลงจากหลังม้าเดินเข้าไปเคาะประตูเรียกเจ้าของบ้าน ครู่หนึ่งก็เห็นผู้เฒ่าเจ้าของบ้านเปิดประตู ในมือถือตะเกียง เยี่ยมหน้าออกมาจากประตูบ้าน แล้วถามว่าดึกดื่นป่านฉะนี้ พ่อหนุ่มมาเคาะประตูเรียกด้วยประสงค์สิ่งใดหรือ
กวนหินจึงว่า ข้าพเจ้าไล่ตามศัตรูมาแต่หลงป่า จึงดั้นด้นค้นหาจนล่วงมาถึงบ้านท่านผู้เฒ่านี้แล้ว ไม่มีที่อื่นพอจะพักพิงและอากาศก็หนาวเหน็บ จึงหวังความเมตตาท่านผู้เฒ่าขอพักอาศัยสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าแล้วจะรีบไป
ผู้เฒ่านั้นจึงเชิญกวนหินเข้าไปในบ้าน กวนหินคำนับขอบคุณแล้วเดินตามหลังผู้เฒ่าเข้าไปในบ้าน ผู้เฒ่าเกรงว่ากวนหินจะกลัวความมืดจึงเอาตะเกียงไปวางบนโต๊ะใกล้ผนัง ส่วนตัวผู้เฒ่าเดินเข้าไปในครัว หวังจะหาอาหารมาเลี้ยงดูกวนหิน
กวนหินมองตามหลังผู้เฒ่าจนหายเข้าไปในครัวแล้ว แสงสว่างของตะเกียงกระทบกับผนัง เห็นรูปวาดยอดขุนพลผู้หนึ่งหน้าแดงดุจผลพุทราสุก หนวดมีสีดำเป็นใยคล้ายใยไหมยาวถึงอก มือข้างขวาลูบหนวดดูสง่าน่าเกรงขามนัก ข้างซ้ายมือยอดขุนพลผู้นั้นเป็นขุนพลหนุ่มยืนถือตราตำแหน่งเจ้าเมือง ทางขวาเป็นขุนพลในวัยกลางคน หน้าตาดุดันหนวดเคราดำ ในมือถือง้าวนิลนาคะ เบื้องหน้ารูปนั้นมีกระถางปักธูปและที่ปักเทียนบูชา ก็รู้ว่าเป็นภาพของกวนอูผู้บิดาพร้อมกับกวนเป๋งและจิวฉอง กวนหินจึงก้มลงกราบภาพนั้นแล้วร้องไห้
กวนหินนั่งคุกเข่าลงเบื้องหน้าภาพนั้นด้วยอาการนิ่งสงบ ครู่หนึ่งผู้เฒ่าก็ถือชามข้าวออกมาจากในครัว เห็นกวนหินในลักษณาการดังนั้นก็ประหลาดใจ จึงถามว่าไฉนท่านเห็นภาพนี้แล้วจึงต้องกราบและร้องไห้ด้วยเล่า
กวนหินจึงว่า คนในภาพนี้คือกวนอูบิดาข้าพเจ้า ผู้เฒ่าได้ฟังดังนั้นก็ตกตะลึง จ้องหน้าพิเคราะห์ดูกวนหินกับกวนอูเห็นคล้ายคลึงกัน ต่างกันก็แต่ใบหน้าสีแดงและสีขาวเท่านั้น จึงรีบวางชามข้าวลงข้างหน้ากวนหินแล้วคุกเข่าลงคำนับ
กวนหินจึงถามว่า เพราะเหตุใดท่านผู้เฒ่าจึงเขียนรูปบิดาข้าพเจ้าไว้บูชาดังนี้ ผู้เฒ่านั้นจึงว่า “รูปคนนี้เมื่อท่านยังเป็นอยู่นั้นย่อมเลื่องลือนับถือท่านทุกแห่ง ครั้นท่านตายแล้วก็เป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์นัก ข้าพเจ้าแลชาวบ้านในจังหวัดนี้นับถือนัก จึงเขียนรูปมาไว้บูชาทุกเรือน”
ครั้นได้ทักทายไต่ถามความกันเป็นที่เข้าใจแล้ว ผู้เฒ่านั้นจึงเชิญให้กวนหินกินข้าว ส่วนผู้เฒ่าก็ออกไปด้านนอกบ้านอีกครั้งหนึ่งเพื่อจะเอาม้ากวนหินไปผูกไว้ที่คอกม้า
ผู้เฒ่าเอาม้ากวนหินไปผูกเสร็จกำลังจะเดินกลับเข้าประตูเรือน ก็ได้ยินเสียงคนขี่ม้าตรงเข้ามาหา ผู้เฒ่าเห็นแขกแปลกหน้ามาถึงเรือนอีกคนหนึ่งก็สงสัย จึงถามว่าดึกดื่นป่านนี้แล้วท่านมาที่บ้านนี้ด้วยธุระสิ่งใด
คนผู้มาใหม่ตอบว่า เราชื่อพัวเจี้ยงเป็นนายทหารเมืองกังตั๋ง เดินทางผ่านมาเป็นเวลาดึกดื่น จึงขออาศัยท่านพักแรมสักคืนหนึ่ง วันพรุ่งนี้จะได้รีบเดินทางต่อไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาว่า “พัวเจี้ยงหนีกวนหินไป ครั้นเวลาดึกแล้วก็ขี่ม้าเล็ดลอดเที่ยวหาทาง เป็นกรรมของพัวเจี้ยงที่จะตายจึงเผอิญให้มาบ้านตาแก่ที่กวนหินอาศัย”
กวนหินกินข้าวอยู่ในเรือนเสร็จพอดี ครั้นได้ยินเสียงคนมาเยือนอีกคนหนึ่งก็ตั้งใจเงี่ยหูฟัง พอได้ยินว่าเป็นพัวเจี้ยงก็คว้าดาบวิ่งออกไปหา เห็นพัวเจี้ยงยืนกับผู้เฒ่าเจ้าของบ้านก็ตวาดว่า อ้ายทหารเมืองกังตั๋งเดนตาย มึงจะหนีไปไหนพ้น
พัวเจี้ยงได้ยินเสียงตวาดก็เบนหน้าไปมอง เห็นเป็นกวนหินก็ตกใจรีบหันหลังวิ่งหนี เห็นกวนอูรูปร่างสูงใหญ่ ถือง้าวยืนขวางทางอยู่ก็ยิ่งตกใจ วิ่งหลีกไปอีกทางหนึ่งสะดุดกับก้อนหินแล้วล้มลง กวนหินวิ่งตามไปทันจึงเอาดาบฟันพัวเจี้ยงถึงแก่ความตาย แล้วหยิบเอาง้าวนิลนาคะของกวนอูขึ้นมาลูบคลำด้วยความรำลึกถึงผู้บิดา ความโกรธพยาบาทก็พลุ่งพล่านอีกครั้งหนึ่ง
กวนหินจึงเอาดาบกรีดผ่าหน้าอกของพัวเจี้ยงตลอดมาถึงท้อง “เชือดเอาตับหัวใจพัวเจี้ยง” แล้วควักตับและหัวใจนั้นถือเข้าไปในเรือนวางไว้ที่เบื้องหน้าภาพของกวนอู จุดธูปเทียนบูชาเซ่นไหว้แล้ว เอาสุรามาราดที่หน้าภาพ พลางกล่าวว่าลูกได้สังหารพัวเจี้ยงแก้แค้นแทนบิดาแล้ว
ครู่หนึ่งเสียงไก่ขันเจื้อยแจ้วบอกอรุณดังแว่วมา ขอบฟ้าด้านตะวันออกเริ่มสว่างขึ้น กวนหินจึงบอกขอบคุณผู้เฒ่าเจ้าของบ้าน คำนับลาแล้วขี่ม้าพาศีรษะพัวเจี้ยงกลับไป ผู้เฒ่าเจ้าของบ้านเกรงอาญาว่าจะเป็นโทษฐานร่วมสังหารนายทหารเมืองกังตั๋ง จึงรีบเอาศพของพัวเจี้ยงและตับหัวใจไปฝังไว้พร้อมกันที่แนวป่าข้างเรือนนั้น
กวนหินหิ้วศีรษะของพัวเจี้ยงไปที่ม้า เอาผมผูกกับข้างอานม้า แล้วขี่ม้าจะกลับไปค่าย พอตกสายก็สวนกับม้าต๋งนายทหารเมืองกังตั๋งซึ่งพาทหารสองร้อยแตกหนีมา ม้าต๋งเห็นศีรษะของพัวเจี้ยงก็โกรธ ทั้งเห็นกวนหินขี่ม้ามาแต่ผู้เดียว จึงสั่งทหารให้เข้าล้อมจับกวนหิน
กวนหินแม้ตัวผู้เดียว ทั้งได้อดนอนตลอดทั้งคืนแต่มิได้ระย่อท้อถอย กลับฮึกเหิมด้วยแรงปิติที่ได้สังหารพัวเจี้ยงล้างแค้นให้กับบิดา จึงชักม้าเข้ารบกับทหารของม้าต๋งอย่างฮึกห้าวเหิมหาญ
ทหารของม้าต๋งมีจำนวนมากกว่าได้พากันรุมล้อมและโห่ร้องข่มขวัญไม่ขาดระยะ ในขณะนั้นเตียวเปาขี่ม้าพาทหารออกตามหากวนหิน ได้ยินเสียงทหารโห่ร้องจึงเร่งม้าพา ทหารตามมาที่ต้นเสียง เห็นกวนหินถูกล้อมอยู่จึงสั่งทหารให้จู่โจมเข้าช่วยกวนหิน
ม้าต๋งคุมทหารให้ล้อมจับกวนหินอยู่ด้วยความหวังว่าจะสามารถจับเป็นกวนหินได้ แต่พอเห็นกองทหารยกหนุนมาช่วยก็ตกใจจึงพาทหารหนี เตียวเปาไล่ตามตีไปตลอดทาง เห็นว่าไม่ทันแล้วจึงกลับมาหากวนหิน แล้วพากันกลับไปเฝ้าพระเจ้าเล่าปี่
พระเจ้าเล่าปี่ทราบความจากกวนหินทุกประการแล้วทรง “สรรเสริญกวนอูว่าน้องเราไม่เสียทีที่รักกัน แต่ตายแล้วยังอุตส่าห์ตามมาช่วย”
พระเจ้าเล่าปี่สั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงฉลองชัยให้กับบรรดาทหารทั้งปวง และให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารเป็นอันมาก
ทางฝ่ายฮันต๋งและจิวท่ายหลังจากแตกพ่ายยับเยินแล้ว จึงพาทหารที่หนีตามไปตั้งหลักอยู่ในป่า แล้วกระจายกำลังออกไปเกลี้ยกล่อมบรรดาทหารที่แตกทัพให้กลับมารวมตัวกันใหม่ และตั้งเวรยามรักษาการณ์ตลอดทั้งวันทั้งคืน เผื่อพระเจ้าเล่าปี่ยกทัพติดตามมาจะได้หลบหนีทันท่วงที
ทางฝ่ายม้าต๋งเมื่อพาทหารหนีเตียวเปาแล้ว เกรงว่าเตียวเปาจะไล่ตามมาทัน จึงพาทหารหนีเข้าไปในป่า และไปพบกับกองทหารของฮันต๋งและจิวท่าย.