ตอนที่ 459. เตียวหุยสิ้นบุญ
เล่าปี่ไม่ฟังคำทัดทานของขงเบ้งและขุนนางทั้งปวงที่ให้ยกกองทัพไปตีโจผีก่อน แล้วค่อยยกไปตีซุนกวน และถือเอาภารกิจในการล้างแค้นให้แก่กวนอูเป็นสำคัญยิ่งกว่าการอื่นใด จึงเกณฑ์กองทัพใหญ่แปดสิบหมื่นจะยกไปตีเมืองกังตั๋ง จินปิดได้กราบทูลทัดทานก็ถูกสั่งลงโทษ ขงเบ้งสะเทือนใจจึงเข้าไปคุกเข่าต่อหน้าเล่าปี่
ครั้นขงเบ้งถูกเล่าปี่ประคองให้ลุกขึ้นยืนแล้ว จึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูการเห็นว่าเมื่อซุนกวนยกทัพมาครั้งนั้น ดาวประจำตัวกวนอูวิปริต กวนอูจึงเป็นอันตราย ข้าพเจ้าคิดเสียดายกวนอูนัก แต่ข้าพเจ้าเห็นโทษโจผีหนักกว่าที่ทำร้ายแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงเจ็บใจทั้งแผ่นดิน ฝ่ายซุนกวนนั้นเจ็บใจแต่พระองค์ อนึ่งจะทำกับซุนกวนเป็นการเบา ถ้าพระองค์ยกกองทัพไปกำจัดโจผีได้แล้ว ฝ่ายซุนกวนก็จะยอมเข้ามาเป็นข้าพระองค์ ซึ่งคำจินปิดทูลดังนั้นจะเป็นความชั่วหามิได้ ควรจารึกไว้ในแผ่นทอง ขอให้พระองค์ตรึกตรองจงหนัก”
พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังคำขงเบ้งก็รู้สึกขุ่นเคือง สีหน้าเครียดขรึมลงในทันใด ครู่หนึ่งเล่าปี่จึงกล่าวว่า แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้านับถือทำตามคำของกุนซือทุกเรื่องราวไม่เคยขัดใจเลย แต่การครั้งนี้ข้าพเจ้าจำต้องรักษาคำสัตย์ที่ให้ไว้กับกวนอูและเตียวหุย ด้วยเคยสัญญากันไว้ว่าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน จะตายก็ต้องตายด้วยกัน ข้าพเจ้าตัดสินใจเป็นการเด็ดขาดแล้ว มหาอุปราชอย่าได้ทักท้วงให้ขัดใจเลย
วันถัดมาเล่าปี่ออกว่าราชการ ปรารภว่าการเตรียมการทั้งปวงเพื่อจะยกไปตีเมืองกังตั๋งนั้นพร้อมแล้ว จึงให้ขงเบ้งอยู่รักษาเมืองเสฉวน ดูแลขอบขัณฑสีมาและอาณาประชาราษฎรอย่าให้เป็นอันตราย ให้ม้าเฉียว ม้าต้าย และอุยเอี๋ยน ยกกองทัพไปขัดตาทัพโจผีไว้ทางด้านเหนือ ให้ฮองตงเป็นกองทัพหน้า ปองสิบ เตียวหลำ เป็นกองหนุนกองทัพหน้า ให้เตียวหยง เลียวซุน เป็นกองทัพหลัง ให้จูล่งเป็นกองทัพหนุน รับผิดชอบกองเสบียงและการลำเลียงเสบียงสู่แนวหน้าอย่าให้ขัดสน ให้ม้าเลี้ยง และตันจิ๋น เป็นปลัดทัพ ควบคุมบัญชีไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงทั้งปวง เล่าปี่คุมทหารเป็นกองทัพหลวง ให้ห้องกวน เตียวกี เป็นเสนาธิการของกองทัพหลวง ให้เปาเตียวประจำกองทัพหลวง และเมื่อเตียวหุยยกกองทัพมาบรรจบกันแล้วก็ให้สังกัดในกองทัพหลวง
รวมเป็นกำลังพลที่เกณฑ์จากแคว้นจ๊กเจ็ดสิบหมื่น สมทบกับทหารเกณฑ์จากพวกฮวนอีกห้าหมื่น และจากกองทัพของเตียวหุยอีกห้าหมื่น รวมเป็นแปดสิบหมื่น
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วเจ็ดร้อยหกสิบสี่พรรษา เดือนเก้า ขึ้นห้าค่ำ เป็นวันฤกษ์ดี พระเจ้าเล่าปี่แต่งพระองค์สวมเกราะทองคำ พร้อมด้วยเครื่องสงครามสำหรับพระมหากษัตริย์ครบถ้วน ประทับบนรถม้าพระที่นั่ง แล้วสั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองเสฉวน
สถานการณ์ศึกสามเส้าที่ต่างฝ่ายต่างคิดอ่านวางแผนให้อีกสองเส้าทำศึกสงครามทำลายล้างกัน โดยฝ่ายเมืองกังตั๋งวางอุบายให้เล่าปี่ยกกองทัพไปตีแคว้นเว่ย แล้วจะนั่งดูเล่นจากนั้นจึงค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลัง ทางฝ่ายแคว้นเว่ยก็ต้องการให้เล่าปี่ยกไปตีเมืองกังตั๋ง แล้วจะนั่งดูเล่น จากนั้นจึงค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลัง ซึ่งล้วนหวังให้เล่าปี่ย่อยยับไปก่อนทั้งสิ้น แต่ขงเบ้งนั้นแจ้งในสุดยอดกลอุบาย จึงต้องการให้เล่าปี่งดความแค้นไว้ชั่วคราว ผูกมิตรกับซุนกวนไว้ก่อน แล้วยกไปปราบแคว้นเว่ย เมื่อปราบโจผีได้แล้วซุนกวนก็จะยอมจำนนไปเอง ซึ่งเป็นแผนการยุทธ์ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สามซึ่งวางไว้แต่เดิม แต่เล่าปี่ไม่เชื่อฟัง และถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เล่าปี่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของขงเบ้งนับแต่ออกจากเขาโงลังกั๋งจนถึงบัดนี้ สภาพดังกล่าวจึงเท่ากับเล่าปี่ตกอยู่ในบ่วงกลของแคว้นเว่ย และย่อมต้องเป็นภาระอันหนักอึ้งแก่ขงเบ้งในภายภาคหน้า ที่จะแก้ไขสถานการณ์เพื่อรักษาแคว้นจ๊กให้ดำรงคงอยู่ต่อไป
กองทัพกำลังพลเจ็ดสิบห้าหมื่นของเล่าปี่ยาตราออกจากแคว้นจ๊กอย่างอึกทึกครึกโครมประดุจฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย ด้วยหมายจะเหยียบเมืองกังตั๋งให้จมลงในพระมหาสมุทร ล้างแค้นให้กับกวนอูผู้เป็นน้องร่วมสาบาน
ทางฝ่ายเตียวหุยเมื่อกลับไปถึงเมืองลองจิ๋ว ก็สั่งการให้จัดแจงกองทัพ โดยกำหนดให้จัดหา “ศัสตราวุธ แลม้าขาว ธงขาว เครื่องนุ่งห่มขาว ให้พร้อมในสามวัน” เพื่อให้กองทัพเป็นกองทัพไว้ทุกข์ ที่ยกไปเพื่อทำการล้างแค้นให้แก่กวนอูผู้พี่ร่วมน้ำสาบาน
ฝ่ายฮอมเกียงและเตียวตัดสองนายทหารผู้รับผิดชอบฝ่ายพลาธิการ ได้ทราบคำสั่งก็ตกใจ จึงเข้าไปหาเตียวหุยแล้วว่า ซึ่งท่านสั่งให้เตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ ม้าและเครื่องนุ่งห่มล้วนสีขาวสำหรับกองทัพให้ทันภายในสามวันนั้นเป็นการด่วนเกินไป ไม่อาจจัดหาได้ตามกำหนด ขอให้ท่านขยายเวลาให้เนิ่นออกไปอีกสักหน่อยหนึ่ง
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดใส่สองนายทหารว่าการยกกองทัพไปแก้แค้นให้กับกวนอูเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน พวกเจ้าทั้งสองคนจะเหนี่ยวรั้งให้เสียการไปหรือ ว่าแล้วจึงสั่งให้ทหารจับตัวฮอมเกียงและเตียวตัดไปมัดกับต้นไม้ แล้วให้ลงโทษโบยคนละห้าสิบที
ฮอมเกียงและเตียวตัดถูกโบยตีด้วยคำทักท้วงเพียงเท่านั้น เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจเป็นอันมาก ทั้งได้รับความอัปยศอดสูแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา จึงผูกพยาบาทอยู่ในใจ ครั้นโบยเสร็จ ฮอมเกียงและเตียวตัดก็ทรุดอยู่กับที่ เลือดไหลโทรมกาย กระอักเลือดออกมาจากปาก
พอทหารพยุงตัวฮอมเกียงและเตียวตัดให้ลุกขึ้น เตียวหุยก็สั่งนายทหารทั้งสองว่า เวลาสามวันที่กำหนดไว้นั้นยังช้าเกินไป ให้เจ้าทั้งสองคนไปจัดหาของที่ต้องการให้แล้วเสร็จในวันพรุ่งนี้ ถ้าจัดหาไม่ทันในเวลากำหนด เราจะตัดศีรษะเจ้าทั้งสองคนเสีย
ฮอมเกียงและเตียวตัดถูกพยุงมาคำนับเตียวหุย ในขณะที่ในใจโกรธแค้นชิงชังเป็นอันมาก ใคร่จะกินเลือดกินเนื้อเตียวหุยเสียให้ได้ แต่ด้วยความเกรงอาญาจึงจำต้องรับคำแล้วบอกลาเตียวหุย ให้ทหารพยุงกลับไปที่กองทหาร
เมื่อถึงกองทหารอันเป็นที่พักแล้ว ฮอมเกียงและเตียวตัดจึงปรึกษากันว่า เตียวหุยเป็นคนดุร้าย แรงด้วยโทสะและโมหะอันมืดมน “โกรธขึ้นมาแล้วเหมือนไฟไหม้” วันนี้เพียงแค่เราทักท้วงว่าเตรียมการไม่ทัน ก็ลงทัณฑ์ตีเราแทบถึงแก่ความตาย หากวันพรุ่งนี้จัดหาสิ่งของที่ต้องการไม่ทันแล้ว เตียวหุยคงจะฆ่าเราทั้งสองคนเป็นแน่แท้ แลการซึ่งสั่งให้จัดหานั้นล้วนเป็นสีขาว จะหาได้ง่ายเสียเมื่อใด เห็นทีเราสองคนจะต้องตายในคราวนี้
เตียวตัดจึงว่า ลูกผู้ชายเข้าตาอับจนแล้วต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ไยจะรอให้เตียวหุยฆ่าเราก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะต้องหาโอกาสฆ่าเตียวหุยเสียก่อน จึงจะรอดจากอันตราย
ฮอมเกียงจึงว่า ขอเพียงได้มีโอกาสได้เข้าใกล้ไอ้เตียวหุยเท่านั้น ข้าพเจ้าจะลอบฆ่ามันเอง แล้วเอาศีรษะไปถวายพระเจ้าซุนกวน ดังนี้แล้วก็จะมีความชอบ พระเจ้าซุนกวนย่อมจะเลี้ยงดูเราให้เป็นสุขสืบไป
เตียวตัดจึงว่า ซึ่งจะเข้าไปใกล้ตัวเตียวหุยนั้นยากลำบากนัก เว้นแต่บุญของเรายังไม่สิ้น เตียวหุยเสพสุราเมาแล้วออกมานอนอยู่ที่ว่าราชการดังแต่ก่อน ก็จะเปิดโอกาสให้ท่านเข้าไปใกล้ตัวได้ แต่ถ้ากรรมมาถึงก็สุดแท้แต่เวรและกรรม
ฮอมเกียงและเตียวตัดปรึกษากันดังนั้นแล้ว จึงวางแผนว่าในค่ำคืนวันนี้จะลอบเข้าไปที่จวนของเตียวหุย ถ้าหากเตียวหุยเมาสุรานอนหลับก็จะถือโอกาสนั้นฆ่าเตียวหุยเสียแล้วตัดหัวเอาไปถวายแก่พระเจ้าซุนกวน แต่ถ้าเตียวหุยไม่ดื่มสุราเป็นปกติอยู่ ก็จะลอบหนีไปหาซุนกวนในเวลากลางคืนนั้น
ฝ่ายเตียวหุยหลังจากคาดคั้นกำชับให้ฮอมเกียงและเตียวตัดจัดหาสิ่งของให้แล้วเสร็จในวันรุ่งขึ้น พอค่ำลงก็รู้สึกรุ่มร้อนใจเป็นที่รำคาญยิ่งนัก ปรารภกับทหารคนสนิทว่าเราเดือดร้อนรำคาญฉะนี้ มิรู้มีมาแต่เหตุสิ่งไร ทหารนั้นจึงว่าเป็นเพราะท่านคำนึงถึงกวนอู เร่งร้อนจะยกไปแก้แค้นแก่ชาวเมืองกังตั๋ง จึงเป็นดังนี้
เตียวหุยเห็นยังไม่สิ้นความรำคาญ จึงให้ทหารเอาสุรามาดื่ม และเรียกให้ทหารในจวนมาร่วมดื่มสุราด้วยกัน จนเวลาผ่านไปใกล้สองยามเตียวหุยเสพสุรามากเกินไป จึงเมามายไม่รู้สึกตัว หลังจากทหารได้แยกย้ายกลับไปที่พักแล้ว เตียวหุยก็ยังคงเมาสุรานอนหลับอยู่ในที่ว่าราชการนั้น
ฝ่ายฮอมเกียงและเตียวตัดพอค่ำลงก็พากันไปแอบด้อมมองดูเหตุการณ์บนที่ว่าราชการ เห็นมีการเลี้ยงสุรากันเป็นที่อึกทึก ก็นึกว่าการที่คิดไว้จะสำเร็จ จึงตั้งตาคอยเป็นนานสองนาน จนเวลาใกล้สองยามเห็นเหตุการณ์ค่อยเงียบสงบลง ทั้งฮอมเกียงและเตียวตัดจึงเอากระบี่ซ่อนไว้ในเสื้อ แล้วพากันเดินไปที่ประตูจวน ทหารรักษาการณ์ด้านหน้าจวนเห็นเป็นฮอมเกียงและเตียวตัดก็มิได้สงสัย
ฮอมเกียงและเตียวตัดหารือกันว่าเมื่อขึ้นไปบนที่ว่าราชการแล้วถ้าหากเตียวหุยเมาหลับอยู่ก็จะตัดหัวเตียวหุยเอาไปถวายพระเจ้าซุนกวน แต่ถ้าหากเตียวหุยยังไม่หลับก็จะแสร้งทำทีเป็นว่ามาขอปรึกษาด้วยการจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหาร
ครั้นซักซ้อมกันเป็นอันดีแล้ว จึงเดินเข้าไปในห้องว่าราชการ เห็นเตียวหุยนอนบนตั่ง ลืมตาอยู่ และหนวดก็ยังกระดิกเหมือนยังตื่น สองนายทหารจึงชวนกันหยุด พิจารณาเหตุการณ์ว่าเป็นประการใด พอครู่หนึ่งได้ยินเสียงกรนก็รู้ว่าเตียวหุยหลับสนิท เป็นแต่นอนลืมตาคล้ายประหนึ่งว่ายังตื่นอยู่
ฮอมเกียงและเตียวตัดข่มใจให้เกิดความกล้าหาญ แล้วพากันเดินเข้าไปที่เตียวหุยนอนหลับอยู่นั้น “คนหนึ่งเอากระบี่แทงเข้าที่ซอกคอ คนหนึ่งแทงเข้าที่ท้อง เตียวหุยร้องได้คำเดียวก็ตาย”
เตียวหุยลืมคำกำชับสั่งสอนของเล่าปี่ที่มิให้ดื่มสุราว่าอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ยังคงเสพสุราในวาระสำคัญที่ใกล้จะเคลื่อนทัพใหญ่ไปแก้แค้นให้กับผู้พี่ร่วมสาบาน นับว่าเป็นการตั้งอยู่ในความประมาท เพราะสุรานั้นเป็นเครื่องทำลายสติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ ในการคุ้มกันรักษาตัวหรือในการปฏิบัติการใด ๆ มิให้ผิดพลาดวิปริต และไม่เปิดช่องให้อบายมุขทั้งปวงเข้าครอบงำทำลายตนได้ เตียวหุยตั้งอยู่ในความประมาทดังนี้ ทั้งที่มีฝีมือกำลังอันกล้าแข็ง เป็นที่ยำเกรงแก่คนทั้งปวง แต่ต้องตกตายด้วยน้ำมือของทหารที่ไร้ฝีมือ ในขณะที่มีอายุเพียงห้าสิบปีเท่านั้น ทั้งยังเป็นการทำให้ฤกษ์ชัยในการยกกองทัพของเล่าปี่ไปตีเมืองกังตั๋งต้องเสียไปด้วย
ฮอมเกียงและเตียวตัดได้ตัดศีรษะเตียวหุยห่อผ้าไว้ แล้วลอบหนีออกมาจากที่ว่าราชการ กลับไปชวนพรรคพวกอีกสามสิบคนหนีไปเมืองกังตั๋งตั้งแต่คืนวันนั้น
พอวันรุ่งขึ้นงอปั้นนายทหารเมืองลองจิ๋วขึ้นไปบนที่ว่าราชการแต่เช้า เห็นเตียวหุยนอนตายไร้ศีรษะอยู่บนตั่งในห้องว่าราชการ จึงออกมาสอบถามยามรักษาการณ์ ทราบความแล้วก็รู้ว่าฮอมเกียงและเตียวตัดฆ่าเตียวหุย แล้วตัดศีรษะหนีไปหาซุนกวน จึงสั่งทหารให้ไล่ตามตามทางที่จะไปยังเมืองกังตั๋ง แต่ตามไม่ทัน
ครั้นทหารกลับมารายงานความให้ทราบแล้ว งอปั้นจึงแต่งหนังสือให้ทหารรีบนำเข้าไปเมืองเสฉวนเพื่อกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าปี่ทรงทราบ และแจ้งให้เตียวเปาบุตรเตียวหุยแต่งการศพของเตียวหุยตามประเพณี
ครั้นแต่งการพิธีศพของเตียวหุยเสร็จสิ้นแล้ว งอปั้นจึงให้เตียวเซียน้องชายของเตียวหุยอยู่รักษาเมืองลองจิ๋ว ส่วนงอปั้นและเตียวเปาคุมทหารห้าหมื่นยกไปเมืองเสฉวน
ทางฝ่ายขงเบ้ง ครั้นส่งเสด็จพระเจ้าเล่าปี่จนกองทัพหลวงเคลื่อนออกจากประตูเมืองเสฉวนแล้ว ก็กลับเข้ามาในเมือง บรรดาขุนนางที่ตามเสด็จก็พากันตามขงเบ้งกลับเข้าเมืองพร้อม ๆ กัน แต่ละคนเหมือนมีความในใจที่ไม่อาจพูดจา ขงเบ้งเห็นอาการคนทั้งนั้นก็รู้ที จึงพาขุนนางทั้งปวงไปที่ว่าราชการ และชิงปรารภเสียเองว่า “พระเจ้าเล่าปี่ยกทัพไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่เต็มใจเลย ได้ทูลห้ามปรามเป็นหลายครั้งก็ไม่ฟัง”
กล่าวแล้วขงเบ้งก็ร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงสงสัยจึงถามว่า มหาอุปราชร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งไร ขงเบ้งจึงว่า เราร้องไห้เพราะคิดถึงหวดเจ้ง ถ้าหากหวดเจ้งยังไม่ตายและกราบบังคมทูลทัดทาน เห็นพระเจ้าเล่าปี่จะทรงเกรงใจเชื่อฟัง.
ครั้นขงเบ้งถูกเล่าปี่ประคองให้ลุกขึ้นยืนแล้ว จึงกราบทูลว่า “ข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูการเห็นว่าเมื่อซุนกวนยกทัพมาครั้งนั้น ดาวประจำตัวกวนอูวิปริต กวนอูจึงเป็นอันตราย ข้าพเจ้าคิดเสียดายกวนอูนัก แต่ข้าพเจ้าเห็นโทษโจผีหนักกว่าที่ทำร้ายแก่พระเจ้าเหี้ยนเต้ ขุนนางแลราษฎรทั้งปวงเจ็บใจทั้งแผ่นดิน ฝ่ายซุนกวนนั้นเจ็บใจแต่พระองค์ อนึ่งจะทำกับซุนกวนเป็นการเบา ถ้าพระองค์ยกกองทัพไปกำจัดโจผีได้แล้ว ฝ่ายซุนกวนก็จะยอมเข้ามาเป็นข้าพระองค์ ซึ่งคำจินปิดทูลดังนั้นจะเป็นความชั่วหามิได้ ควรจารึกไว้ในแผ่นทอง ขอให้พระองค์ตรึกตรองจงหนัก”
พระเจ้าเล่าปี่ได้ฟังคำขงเบ้งก็รู้สึกขุ่นเคือง สีหน้าเครียดขรึมลงในทันใด ครู่หนึ่งเล่าปี่จึงกล่าวว่า แต่ไหนแต่ไรมาข้าพเจ้านับถือทำตามคำของกุนซือทุกเรื่องราวไม่เคยขัดใจเลย แต่การครั้งนี้ข้าพเจ้าจำต้องรักษาคำสัตย์ที่ให้ไว้กับกวนอูและเตียวหุย ด้วยเคยสัญญากันไว้ว่าจะอยู่ก็อยู่ด้วยกัน จะตายก็ต้องตายด้วยกัน ข้าพเจ้าตัดสินใจเป็นการเด็ดขาดแล้ว มหาอุปราชอย่าได้ทักท้วงให้ขัดใจเลย
วันถัดมาเล่าปี่ออกว่าราชการ ปรารภว่าการเตรียมการทั้งปวงเพื่อจะยกไปตีเมืองกังตั๋งนั้นพร้อมแล้ว จึงให้ขงเบ้งอยู่รักษาเมืองเสฉวน ดูแลขอบขัณฑสีมาและอาณาประชาราษฎรอย่าให้เป็นอันตราย ให้ม้าเฉียว ม้าต้าย และอุยเอี๋ยน ยกกองทัพไปขัดตาทัพโจผีไว้ทางด้านเหนือ ให้ฮองตงเป็นกองทัพหน้า ปองสิบ เตียวหลำ เป็นกองหนุนกองทัพหน้า ให้เตียวหยง เลียวซุน เป็นกองทัพหลัง ให้จูล่งเป็นกองทัพหนุน รับผิดชอบกองเสบียงและการลำเลียงเสบียงสู่แนวหน้าอย่าให้ขัดสน ให้ม้าเลี้ยง และตันจิ๋น เป็นปลัดทัพ ควบคุมบัญชีไพร่พล อาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงทั้งปวง เล่าปี่คุมทหารเป็นกองทัพหลวง ให้ห้องกวน เตียวกี เป็นเสนาธิการของกองทัพหลวง ให้เปาเตียวประจำกองทัพหลวง และเมื่อเตียวหุยยกกองทัพมาบรรจบกันแล้วก็ให้สังกัดในกองทัพหลวง
รวมเป็นกำลังพลที่เกณฑ์จากแคว้นจ๊กเจ็ดสิบหมื่น สมทบกับทหารเกณฑ์จากพวกฮวนอีกห้าหมื่น และจากกองทัพของเตียวหุยอีกห้าหมื่น รวมเป็นแปดสิบหมื่น
พระพุทธศาสนายุกาลล่วงแล้วเจ็ดร้อยหกสิบสี่พรรษา เดือนเก้า ขึ้นห้าค่ำ เป็นวันฤกษ์ดี พระเจ้าเล่าปี่แต่งพระองค์สวมเกราะทองคำ พร้อมด้วยเครื่องสงครามสำหรับพระมหากษัตริย์ครบถ้วน ประทับบนรถม้าพระที่นั่ง แล้วสั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองเสฉวน
สถานการณ์ศึกสามเส้าที่ต่างฝ่ายต่างคิดอ่านวางแผนให้อีกสองเส้าทำศึกสงครามทำลายล้างกัน โดยฝ่ายเมืองกังตั๋งวางอุบายให้เล่าปี่ยกกองทัพไปตีแคว้นเว่ย แล้วจะนั่งดูเล่นจากนั้นจึงค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลัง ทางฝ่ายแคว้นเว่ยก็ต้องการให้เล่าปี่ยกไปตีเมืองกังตั๋ง แล้วจะนั่งดูเล่น จากนั้นจึงค่อยซ้ำเติมเอาในภายหลัง ซึ่งล้วนหวังให้เล่าปี่ย่อยยับไปก่อนทั้งสิ้น แต่ขงเบ้งนั้นแจ้งในสุดยอดกลอุบาย จึงต้องการให้เล่าปี่งดความแค้นไว้ชั่วคราว ผูกมิตรกับซุนกวนไว้ก่อน แล้วยกไปปราบแคว้นเว่ย เมื่อปราบโจผีได้แล้วซุนกวนก็จะยอมจำนนไปเอง ซึ่งเป็นแผนการยุทธ์ที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์สามก๊กขั้นที่สามซึ่งวางไว้แต่เดิม แต่เล่าปี่ไม่เชื่อฟัง และถือได้ว่าเป็นครั้งแรกที่เล่าปี่ไม่ปฏิบัติตามคำแนะนำของขงเบ้งนับแต่ออกจากเขาโงลังกั๋งจนถึงบัดนี้ สภาพดังกล่าวจึงเท่ากับเล่าปี่ตกอยู่ในบ่วงกลของแคว้นเว่ย และย่อมต้องเป็นภาระอันหนักอึ้งแก่ขงเบ้งในภายภาคหน้า ที่จะแก้ไขสถานการณ์เพื่อรักษาแคว้นจ๊กให้ดำรงคงอยู่ต่อไป
กองทัพกำลังพลเจ็ดสิบห้าหมื่นของเล่าปี่ยาตราออกจากแคว้นจ๊กอย่างอึกทึกครึกโครมประดุจฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย ด้วยหมายจะเหยียบเมืองกังตั๋งให้จมลงในพระมหาสมุทร ล้างแค้นให้กับกวนอูผู้เป็นน้องร่วมสาบาน
ทางฝ่ายเตียวหุยเมื่อกลับไปถึงเมืองลองจิ๋ว ก็สั่งการให้จัดแจงกองทัพ โดยกำหนดให้จัดหา “ศัสตราวุธ แลม้าขาว ธงขาว เครื่องนุ่งห่มขาว ให้พร้อมในสามวัน” เพื่อให้กองทัพเป็นกองทัพไว้ทุกข์ ที่ยกไปเพื่อทำการล้างแค้นให้แก่กวนอูผู้พี่ร่วมน้ำสาบาน
ฝ่ายฮอมเกียงและเตียวตัดสองนายทหารผู้รับผิดชอบฝ่ายพลาธิการ ได้ทราบคำสั่งก็ตกใจ จึงเข้าไปหาเตียวหุยแล้วว่า ซึ่งท่านสั่งให้เตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ ม้าและเครื่องนุ่งห่มล้วนสีขาวสำหรับกองทัพให้ทันภายในสามวันนั้นเป็นการด่วนเกินไป ไม่อาจจัดหาได้ตามกำหนด ขอให้ท่านขยายเวลาให้เนิ่นออกไปอีกสักหน่อยหนึ่ง
เตียวหุยได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ตวาดใส่สองนายทหารว่าการยกกองทัพไปแก้แค้นให้กับกวนอูเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน พวกเจ้าทั้งสองคนจะเหนี่ยวรั้งให้เสียการไปหรือ ว่าแล้วจึงสั่งให้ทหารจับตัวฮอมเกียงและเตียวตัดไปมัดกับต้นไม้ แล้วให้ลงโทษโบยคนละห้าสิบที
ฮอมเกียงและเตียวตัดถูกโบยตีด้วยคำทักท้วงเพียงเท่านั้น เจ็บทั้งกายเจ็บทั้งใจเป็นอันมาก ทั้งได้รับความอัปยศอดสูแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา จึงผูกพยาบาทอยู่ในใจ ครั้นโบยเสร็จ ฮอมเกียงและเตียวตัดก็ทรุดอยู่กับที่ เลือดไหลโทรมกาย กระอักเลือดออกมาจากปาก
พอทหารพยุงตัวฮอมเกียงและเตียวตัดให้ลุกขึ้น เตียวหุยก็สั่งนายทหารทั้งสองว่า เวลาสามวันที่กำหนดไว้นั้นยังช้าเกินไป ให้เจ้าทั้งสองคนไปจัดหาของที่ต้องการให้แล้วเสร็จในวันพรุ่งนี้ ถ้าจัดหาไม่ทันในเวลากำหนด เราจะตัดศีรษะเจ้าทั้งสองคนเสีย
ฮอมเกียงและเตียวตัดถูกพยุงมาคำนับเตียวหุย ในขณะที่ในใจโกรธแค้นชิงชังเป็นอันมาก ใคร่จะกินเลือดกินเนื้อเตียวหุยเสียให้ได้ แต่ด้วยความเกรงอาญาจึงจำต้องรับคำแล้วบอกลาเตียวหุย ให้ทหารพยุงกลับไปที่กองทหาร
เมื่อถึงกองทหารอันเป็นที่พักแล้ว ฮอมเกียงและเตียวตัดจึงปรึกษากันว่า เตียวหุยเป็นคนดุร้าย แรงด้วยโทสะและโมหะอันมืดมน “โกรธขึ้นมาแล้วเหมือนไฟไหม้” วันนี้เพียงแค่เราทักท้วงว่าเตรียมการไม่ทัน ก็ลงทัณฑ์ตีเราแทบถึงแก่ความตาย หากวันพรุ่งนี้จัดหาสิ่งของที่ต้องการไม่ทันแล้ว เตียวหุยคงจะฆ่าเราทั้งสองคนเป็นแน่แท้ แลการซึ่งสั่งให้จัดหานั้นล้วนเป็นสีขาว จะหาได้ง่ายเสียเมื่อใด เห็นทีเราสองคนจะต้องตายในคราวนี้
เตียวตัดจึงว่า ลูกผู้ชายเข้าตาอับจนแล้วต้องดิ้นรนเอาตัวรอด ไยจะรอให้เตียวหุยฆ่าเราก่อน ข้าพเจ้าเห็นว่าจะต้องหาโอกาสฆ่าเตียวหุยเสียก่อน จึงจะรอดจากอันตราย
ฮอมเกียงจึงว่า ขอเพียงได้มีโอกาสได้เข้าใกล้ไอ้เตียวหุยเท่านั้น ข้าพเจ้าจะลอบฆ่ามันเอง แล้วเอาศีรษะไปถวายพระเจ้าซุนกวน ดังนี้แล้วก็จะมีความชอบ พระเจ้าซุนกวนย่อมจะเลี้ยงดูเราให้เป็นสุขสืบไป
เตียวตัดจึงว่า ซึ่งจะเข้าไปใกล้ตัวเตียวหุยนั้นยากลำบากนัก เว้นแต่บุญของเรายังไม่สิ้น เตียวหุยเสพสุราเมาแล้วออกมานอนอยู่ที่ว่าราชการดังแต่ก่อน ก็จะเปิดโอกาสให้ท่านเข้าไปใกล้ตัวได้ แต่ถ้ากรรมมาถึงก็สุดแท้แต่เวรและกรรม
ฮอมเกียงและเตียวตัดปรึกษากันดังนั้นแล้ว จึงวางแผนว่าในค่ำคืนวันนี้จะลอบเข้าไปที่จวนของเตียวหุย ถ้าหากเตียวหุยเมาสุรานอนหลับก็จะถือโอกาสนั้นฆ่าเตียวหุยเสียแล้วตัดหัวเอาไปถวายแก่พระเจ้าซุนกวน แต่ถ้าเตียวหุยไม่ดื่มสุราเป็นปกติอยู่ ก็จะลอบหนีไปหาซุนกวนในเวลากลางคืนนั้น
ฝ่ายเตียวหุยหลังจากคาดคั้นกำชับให้ฮอมเกียงและเตียวตัดจัดหาสิ่งของให้แล้วเสร็จในวันรุ่งขึ้น พอค่ำลงก็รู้สึกรุ่มร้อนใจเป็นที่รำคาญยิ่งนัก ปรารภกับทหารคนสนิทว่าเราเดือดร้อนรำคาญฉะนี้ มิรู้มีมาแต่เหตุสิ่งไร ทหารนั้นจึงว่าเป็นเพราะท่านคำนึงถึงกวนอู เร่งร้อนจะยกไปแก้แค้นแก่ชาวเมืองกังตั๋ง จึงเป็นดังนี้
เตียวหุยเห็นยังไม่สิ้นความรำคาญ จึงให้ทหารเอาสุรามาดื่ม และเรียกให้ทหารในจวนมาร่วมดื่มสุราด้วยกัน จนเวลาผ่านไปใกล้สองยามเตียวหุยเสพสุรามากเกินไป จึงเมามายไม่รู้สึกตัว หลังจากทหารได้แยกย้ายกลับไปที่พักแล้ว เตียวหุยก็ยังคงเมาสุรานอนหลับอยู่ในที่ว่าราชการนั้น
ฝ่ายฮอมเกียงและเตียวตัดพอค่ำลงก็พากันไปแอบด้อมมองดูเหตุการณ์บนที่ว่าราชการ เห็นมีการเลี้ยงสุรากันเป็นที่อึกทึก ก็นึกว่าการที่คิดไว้จะสำเร็จ จึงตั้งตาคอยเป็นนานสองนาน จนเวลาใกล้สองยามเห็นเหตุการณ์ค่อยเงียบสงบลง ทั้งฮอมเกียงและเตียวตัดจึงเอากระบี่ซ่อนไว้ในเสื้อ แล้วพากันเดินไปที่ประตูจวน ทหารรักษาการณ์ด้านหน้าจวนเห็นเป็นฮอมเกียงและเตียวตัดก็มิได้สงสัย
ฮอมเกียงและเตียวตัดหารือกันว่าเมื่อขึ้นไปบนที่ว่าราชการแล้วถ้าหากเตียวหุยเมาหลับอยู่ก็จะตัดหัวเตียวหุยเอาไปถวายพระเจ้าซุนกวน แต่ถ้าหากเตียวหุยยังไม่หลับก็จะแสร้งทำทีเป็นว่ามาขอปรึกษาด้วยการจัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์และเสบียงอาหาร
ครั้นซักซ้อมกันเป็นอันดีแล้ว จึงเดินเข้าไปในห้องว่าราชการ เห็นเตียวหุยนอนบนตั่ง ลืมตาอยู่ และหนวดก็ยังกระดิกเหมือนยังตื่น สองนายทหารจึงชวนกันหยุด พิจารณาเหตุการณ์ว่าเป็นประการใด พอครู่หนึ่งได้ยินเสียงกรนก็รู้ว่าเตียวหุยหลับสนิท เป็นแต่นอนลืมตาคล้ายประหนึ่งว่ายังตื่นอยู่
ฮอมเกียงและเตียวตัดข่มใจให้เกิดความกล้าหาญ แล้วพากันเดินเข้าไปที่เตียวหุยนอนหลับอยู่นั้น “คนหนึ่งเอากระบี่แทงเข้าที่ซอกคอ คนหนึ่งแทงเข้าที่ท้อง เตียวหุยร้องได้คำเดียวก็ตาย”
เตียวหุยลืมคำกำชับสั่งสอนของเล่าปี่ที่มิให้ดื่มสุราว่าอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต ยังคงเสพสุราในวาระสำคัญที่ใกล้จะเคลื่อนทัพใหญ่ไปแก้แค้นให้กับผู้พี่ร่วมสาบาน นับว่าเป็นการตั้งอยู่ในความประมาท เพราะสุรานั้นเป็นเครื่องทำลายสติ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ ในการคุ้มกันรักษาตัวหรือในการปฏิบัติการใด ๆ มิให้ผิดพลาดวิปริต และไม่เปิดช่องให้อบายมุขทั้งปวงเข้าครอบงำทำลายตนได้ เตียวหุยตั้งอยู่ในความประมาทดังนี้ ทั้งที่มีฝีมือกำลังอันกล้าแข็ง เป็นที่ยำเกรงแก่คนทั้งปวง แต่ต้องตกตายด้วยน้ำมือของทหารที่ไร้ฝีมือ ในขณะที่มีอายุเพียงห้าสิบปีเท่านั้น ทั้งยังเป็นการทำให้ฤกษ์ชัยในการยกกองทัพของเล่าปี่ไปตีเมืองกังตั๋งต้องเสียไปด้วย
ฮอมเกียงและเตียวตัดได้ตัดศีรษะเตียวหุยห่อผ้าไว้ แล้วลอบหนีออกมาจากที่ว่าราชการ กลับไปชวนพรรคพวกอีกสามสิบคนหนีไปเมืองกังตั๋งตั้งแต่คืนวันนั้น
พอวันรุ่งขึ้นงอปั้นนายทหารเมืองลองจิ๋วขึ้นไปบนที่ว่าราชการแต่เช้า เห็นเตียวหุยนอนตายไร้ศีรษะอยู่บนตั่งในห้องว่าราชการ จึงออกมาสอบถามยามรักษาการณ์ ทราบความแล้วก็รู้ว่าฮอมเกียงและเตียวตัดฆ่าเตียวหุย แล้วตัดศีรษะหนีไปหาซุนกวน จึงสั่งทหารให้ไล่ตามตามทางที่จะไปยังเมืองกังตั๋ง แต่ตามไม่ทัน
ครั้นทหารกลับมารายงานความให้ทราบแล้ว งอปั้นจึงแต่งหนังสือให้ทหารรีบนำเข้าไปเมืองเสฉวนเพื่อกราบบังคมทูลให้พระเจ้าเล่าปี่ทรงทราบ และแจ้งให้เตียวเปาบุตรเตียวหุยแต่งการศพของเตียวหุยตามประเพณี
ครั้นแต่งการพิธีศพของเตียวหุยเสร็จสิ้นแล้ว งอปั้นจึงให้เตียวเซียน้องชายของเตียวหุยอยู่รักษาเมืองลองจิ๋ว ส่วนงอปั้นและเตียวเปาคุมทหารห้าหมื่นยกไปเมืองเสฉวน
ทางฝ่ายขงเบ้ง ครั้นส่งเสด็จพระเจ้าเล่าปี่จนกองทัพหลวงเคลื่อนออกจากประตูเมืองเสฉวนแล้ว ก็กลับเข้ามาในเมือง บรรดาขุนนางที่ตามเสด็จก็พากันตามขงเบ้งกลับเข้าเมืองพร้อม ๆ กัน แต่ละคนเหมือนมีความในใจที่ไม่อาจพูดจา ขงเบ้งเห็นอาการคนทั้งนั้นก็รู้ที จึงพาขุนนางทั้งปวงไปที่ว่าราชการ และชิงปรารภเสียเองว่า “พระเจ้าเล่าปี่ยกทัพไปครั้งนี้ ข้าพเจ้าไม่เต็มใจเลย ได้ทูลห้ามปรามเป็นหลายครั้งก็ไม่ฟัง”
กล่าวแล้วขงเบ้งก็ร้องไห้ ขุนนางทั้งปวงสงสัยจึงถามว่า มหาอุปราชร้องไห้ด้วยเหตุสิ่งไร ขงเบ้งจึงว่า เราร้องไห้เพราะคิดถึงหวดเจ้ง ถ้าหากหวดเจ้งยังไม่ตายและกราบบังคมทูลทัดทาน เห็นพระเจ้าเล่าปี่จะทรงเกรงใจเชื่อฟัง.