ตอนที่ 41. ยอดกระบี่ในมือพ่อครัว
ฝ่ายกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งรับหนังสือลับของอ้วนเสี้ยวแล้ว ก็จัดเตรียมกองทัพเพื่อจะยกไปตีเมืองกิจิ๋วตามที่ตกลงไว้กับอ้วนเสี้ยว แต่ยังไม่ทันถึงกำหนดเคลื่อนพลก็ได้ข่าวว่าอ้วนเสี้ยวยึดได้เมืองกิจิ๋วแล้ว จึงให้กองซุนอวดผู้น้องไปเมืองกิจิ๋วทวงทรัพย์สินและขอแบ่งเมืองกิจิ๋วครึ่งหนึ่งตามที่อ้วนเสี้ยวได้ให้สัญญาไว้
อ้วนเสี้ยวเมื่อรู้ว่ากองซุนอวดมาทวงสัญญา จึงหาตัวห้องกีมาปรึกษาว่าจะทำประการใดดี ห้องกีจึงว่าข้าพเจ้าได้คาดหมายไว้ก่อนแล้วว่ากองซุนจ้านจะต้องส่งคนมาทวงสัญญา ข้าพเจ้าจะคิดการให้เมืองกิจิ๋วปลอดภัยแล้วจะให้กองทัพเมืองปักเป๋งยกไปรบกับจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะ เป็นทีแล้วเราจะได้ซ้ำเติมเอาภายหลัง ท่านก็จะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง แล้วว่าให้ท่านบอกกองซุนอวดให้กลับไปเชิญกองซุนจ้านมาเจรจากับท่านด้วยตนเองเถิด ท่านหาบิดพลิ้วไม่ กองซุนจ้านมาแล้วจะเตรียมการต้อนรับและทำพิธีส่งมอบทรัพย์สินและเมืองกิจิ๋วให้ครึ่งหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวเห็นชอบกับแผนการของห้องกี จึงออกไปต้อนรับกองซุนอวดในฐานะแขกเมืองคนสำคัญ แล้วแจ้งแก่กองซุนอวดตามคำของห้องกีทุกประการ
กองซุนอวดทวงสัญญาไม่สำเร็จจึงเดินทางกลับ ถึงกลางทางพบกองทหารปักธงแสดงหน่วยสังกัดว่าเป็นทหารของตั๋งโต๊ะเข้ามาล้อมกองซุนอวดไว้ แล้วว่ากองซุนจ้านเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ท่านอัครมหาเสนาบดีตั๋งโต๊ะให้เรามาสังหารพรรคพวกกองซุนจ้านเสียให้สิ้น ว่าแล้วก็เอาเกาทัณฑ์ยิงกองซุนอวดถึงแก่ความตาย แต่แกล้งปล่อยทหารที่ติดตามกองซุนอวดให้หลบหนีกลับไปเมืองปักเป๋ง
กองซุนจ้านฟังรายงานจากทหารที่ติดตามไปกับกองซุนอวด พิเคราะห์เหตุการณ์แล้วเชื่อว่าเป็นแผนการของอ้วนเสี้ยวบิดพลิ้วสัญญา สังหารกองซุนอวดเสียแล้วป้ายผิดไปให้กับตั๋งโต๊ะ หากหลงกลยกกองทัพไปรบด้วยตั๋งโต๊ะก็จะเกิดความเสียหายขึ้นทั้งสองฝ่าย อ้วนเสี้ยวย่อมถือเอาโอกาสนั้นยกกองทัพมายึดเมืองปักเป๋งของเราได้โดยง่าย
กองซุนจ้านจึงโกรธอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก สั่งให้ระดมกองทัพเมืองปักเป๋งยกไปตีเมืองกิจิ๋ว ถึงแม่น้ำพวนโห้นอกเมืองกิจิ๋วก็ให้ตั้งค่ายลงที่เชิงสะพานศิลาข้าม แม่น้ำพวนโห้ ฟากตรงกันข้ามกับเมืองกิจิ๋ว เตรียมการเข้าโจมตีเมืองกิจิ๋วต่อไป
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวทราบข่าวกองซุนจ้านยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่ริมแม่น้ำพวนโห้ ก็ยกทหารออกไปตั้งรับกองทัพกองซุนจ้านที่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำพวนโห้ฟากข้างเมืองกิจิ๋ว แล้วให้ตั้งค่ายมั่นไว้
รุ่งขึ้นกองซุนจ้านยกทหารออกจากค่ายไปถึงเชิงสะพานก็ให้ทหารหยุดอยู่ ตัวกองซุนจ้านขี่ม้าขึ้นไปบนกลางสะพานศิลา ร้องด่าอ้วนเสี้ยวที่บิดพลิ้วสัญญาแล้วยังฆ่ากองซุนอวดผู้น้อง อ้วนเสี้ยวก็ขับม้าออกหน้าทหารด่าตอบกองซุนจ้านหาว่าชุบมือเปิบจะยกเอาสัญญาขึ้นมาทวงไม่ได้ เพราะฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วมีความเมตตาต่ออ้วนเสี้ยว ยกเมืองกิจิ๋วให้อ้วนเสี้ยวด้วยความโง่ของฮันฮกเอง กองซุนจ้านไม่ได้ลงแรง ลงทรัพย์สินในเรื่องนี้แม้แต่น้อย ไม่ชอบที่จะมาทวงเอาทรัพย์สินและเมืองกิจิ๋ว
ด่ากันไปด่ากันมา อ้วนเสี้ยวโกรธสั่งบุนทิวทหารเอกให้ไปฆ่ากองซุนจ้านเสีย บุนทิวจึงขับม้าขึ้นไปบนสะพานศิลา กองซุนจ้านเห็นดังนั้นจึงถอยลงจากเชิงสะพานมาอยู่ที่พื้นดิน ครั้นบุนทิวมาถึงจึงเข้ารบด้วยที่เชิงสะพานศิลานั้น
กองซุนจ้านรบกับบุนทิวได้สิบเพลง ก็รับบุนทิวไว้ไม่อยู่จึงชักม้าหนีเข้ามาในกองทหาร สั่งให้ทหารเอกสี่คนเข้าล้อมเพื่อจะสังหารบุนทิวเสีย
สี่ทหารเอกของกองซุนจ้านเข้าปะทะด้วยบุนทิวเพียงเพลงแรก บุนทิวก็ปลิดชีพทหารเอกกองซุนจ้านเสียคนหนึ่ง อีกสามคนที่เหลือกลัวบุนทิวจึงชักม้าหนี แต่บุนทิวขับม้ากลับมาไล่ตามกองซุนจ้าน ฆ่าทหารกองซุนจ้านจนแตกฮือไปทั้งกอง
กองซุนจ้านตกใจกลัวจึงขับม้าหนีอย่างไม่คิดชีวิต จนอาวุธและหมวกเกราะหลุดร่วงไปสิ้น มาถึงเชิงเขาลูกหนึ่งม้าที่กองซุนจ้านขี่สะดุดก้อนหินล้มลง กองซุนจ้านจึงพลัดตกจากหลังม้า
บุนทิวขับม้าไล่ตามกองซุนจ้านไปเห็นเช่นนั้นจึงเงื้อทวนจะแทง กองซุนจ้านสิ้นทางรอดจึงพริ้มตาลงด้วยความกลัวรอความตาย พลันได้ยินเสียง “เปร๊ง” ดังสนั่น กองซุนจ้านลืมตาขึ้นเห็นทวนบุนทิวกระดอนไกลจากกายตัว จึงฉวยโอกาสนั้นรีบวิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ในหลืบเขา
เสียงทวนปะทะกันดังสนั่น ทั้งไม่เห็นบุนทิวไล่ตามมา กองซุนจ้านจึงออกมาแอบดูที่หลืบเขานั้น เห็นชายคนหนึ่ง “สูงหกศอก หน้าผากและคิ้วใหญ่ ตาโต” ใบหน้าคมสันผ่องใส ในชุดแต่งกายแบบชาวป่า ในมือถือทวนยาวสิบเอ็ดศอกเศษกำลังขี่ม้าร่ายทวนต่อสู้อยู่กับบุนทิว
กองซุนจ้านรำลึกเหตุการณ์สุดวิกฤติเมื่อครู่แล้ว คิดอยู่ในใจว่าหากมิใช่ชาวป่าผู้นี้ใช้ทวนปัดทวนบุนทิวได้ทันการแล้ว ตัวเราคงเดินทางไปเยือนยมโลกแล้วเป็นแน่ เสียงทวนประกันดังสนั่นเป็นระยะ ทำให้กองซุนจ้านต้องกลับมาให้ความสนใจเขม้นมองการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่ออีกครั้งหนึ่ง
เห็นชายผู้นั้นมีเพลงทวนแคล่วคล่องว่องไว กรายทวนแต่ละทีราวอสุนีบาต มีพลังหนักหน่วง เสียงทวนกรีดอากาศดัง “วื้อ วื้อ” ราวพยัคฆ์คำราม ทวนประทวนแต่ละที ทวนที่บุนทิวถือกระดอนไปอีกด้านหนึ่ง รูปการณ์น่าที่จะสังหาร บุนทิวได้ในชั่วไม่เกินสิบเพลง
แต่เพลงทวนผ่านไปเพลงแล้วเพลงเล่าก็ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ กองซุนจ้านเป็นผู้บัญชาการทหารม้าของเมืองปักเป๋งอยู่ด้วย มีความสันทัดในเชิงม้า พิเคราะห์ดูจึงเห็นปัญหาใหญ่ของชายผู้นั้นว่าอยู่ที่ม้าซึ่งขับขี่เข้ารบด้วยบุนทิวนั้นหาใช่ม้าศึกไม่ เป็นแต่เพียงม้าแกลบที่ผอมโซตัวหนึ่ง จะชักไปซ้ายขวาเดินหน้าหรือเลี้ยวกลับดูเคอะเขินไปสิ้น ทั้งมีอาการตื่นกลัวยามเข้าใกล้ม้าศึกของบุนทิวแต่ละที ฝีเท้าม้าก็ชะลอลง ผงะออกห่าง ทำให้จังหวะทวนผิดพลาดทั้งกระบวนแทงและกระบวนฟัน หากไม่มีฝีมือบังคับม้าชั้นเชิงครูแล้ว สถานการณ์คงย่ำแย่กว่านี้นัก
การณ์กลับกลายเป็นว่าม้าที่ชายผู้นั้นขี่ได้ลดทอนอานุภาพเพลงทวนไปเกือบสิ้น ในขณะที่ม้าศึกของบุนทิวแคล่วคล่องว่องไวเริงร่าคะนองนัก และกำลังมิได้ลดหย่อนลงแม้แต่น้อย
ครั้นสิ้นเพลงที่หกสิบ ม้าที่ชายนั้นขี่ก็อ่อนแรงลง ในขณะที่บุนทิวเองก็ปวดล้าไปทั้งสองแขน ง่ามมือที่กุมทวนปวดจนชา มีเลือดไหลซึมที่ง่ามมือจนแทบกุมทวนไว้ไม่ได้ เห็นทีจะรับมือได้อีกต่อไปไม่เกินสิบเพลง
บุนทิวขุนทวนเอกของอ้วนเสี้ยวผู้ไม่เคยยอมเปลืองเวลาในการสังหารศัตรู ครั้นประทวนผ่านไปเพียงนี้แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะเอาชนะได้เลย มิหนำซ้ำกระบวนทวนของชาวป่านิรนามมิได้ล้าลง กลับหลั่งไหลครืนครั่นไม่ขาดสายดุจดั่งน้ำหลากจากยอดผา บุนทิวจึงพรั่นใจนักคิดหาหนทางเอาตัวรอด
ขณะนั้นบุนทิวได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารดังขึ้นมาจากต้นทางที่ไล่ตามกองซุนจ้านมา เหลียวไปดูเห็นเป็นทหารกองซุนจ้านกำลังหนุนเนื่องเข้ามาที่กำลังต่อสู้กันอยู่ก็ตกใจเกรงจะเสียที จึงอาศัยความคล่องตัวและกำลังม้าศึกผละโผนออกจากที่ต่อสู้แล้วหนีกลับไปค่าย
กองซุนจ้านเห็นบุนทิวขับม้าหนีไปแล้ว และเห็นทหารของตัวที่แตกตื่นจากการรบที่เชิงสะพานรวมตัวกันได้แล้วยกตามมาถึง จึงออกมาจากหลืบเขาเดินตรงเข้าไปหาชายชาวป่าผู้นั้น กล่าวว่าท่านมาช่วยชีวิตเราไว้ทันในครั้งนี้เป็นคุณแก่เรานัก ขอถามว่าท่านนี้ชื่อใด
บ้านอยู่แห่งหนตำบลใด
ชายนั้นย่อตัวลงคำนับกองซุนจ้านแล้วว่า ข้าพเจ้านี้ชื่อ “จูล่ง เป็นชาวเสียงสาน”
แล้วว่าเดิมข้าพเจ้าเป็นทหารเลวในกองทัพอ้วนเสี้ยว มีหน้าที่ตรวจเวรยาม ต่อมาข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเป็นคนไร้คุณธรรม ขาดความกตัญญูรู้คุณคน ไว้ตัวถือยศศักดิ์ ไม่มีน้ำใจรักทหาร ข้าพเจ้าจึงได้หนีออกมาแล้วขออาศัยอยู่กับชาวบ้านป่า วันนี้ข้าพเจ้าขี่ม้าจะไปเก็บของป่า ผ่านมาถึงเชิงเขาแห่งนี้เห็นท่านเสียทีอยู่จึงเข้ามาช่วยเอาทวนปัดทวนซึ่งจะแทงนั้นให้ไกลตัวท่าน บุนทิวจึงหันมาเล่นงานจะสังหารข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจึงจำใจต้องต่อสู้
แล้วจูล่งได้หันหน้าไปทางทหารของกองซุนจ้านที่ตามมา ย่อตัวลงคำนับอย่างอ่อนน้อมแล้วกล่าวอย่างถ่อมตัวว่าข้าพเจ้าขอบใจท่านทั้งหลายที่ยกมาช่วยข้าพเจ้าไว้ทันเวลา มิฉะนั้นข้าพเจ้าคงเสียทีเอาชีวิตรอดยากเป็นแน่แท้
กองซุนจ้านและเหล่าทหารที่ตามมานั้นต่างค้อมตัวคารวะตอบจูล่งด้วยความชื่นชมพร้อมกับกล่าวว่าขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ กองซุนจ้านฟังว่าจูล่งหนีอ้วนเสี้ยวมาอาศัยชาวบ้านป่าอยู่และเห็นว่าจูล่งทำคุณแก่ตัว จึงชวนจูล่งมาทำราชการด้วยกันที่เมืองปักเป๋ง
จูล่งรับคำชวนกองซุนจ้านแล้วพากันมาที่ค่าย ณ ริมแม่น้ำพวนโห้ ถึงค่ายแล้วกองซุนจ้านสั่งให้รับจูล่งเข้าเป็นทหารในกองทัพเมืองปักเป๋ง เป็นกองระวังหลัง ดูแลความปลอดภัยของหน่วยเสบียง โดยถือว่าได้ตอบแทนคุณจูล่งที่ได้ช่วยชีวิตไว้
นี่คือความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างกองซุนจ้านกับเล่าปี่ ที่ถึงแม้จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน เพราะเล่าปี่นั้นมองคนออก และวางใจช่วงใช้คนดีมีฝีมือให้มีตำแหน่งหน้าที่สมแก่ความสามารถของคน แต่กองซุนจ้านทั้ง ๆ ที่เห็นฝีมือจูล่งแล้วกลับไม่วางใจใช้สอยมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ มองไม่ออกว่าคนลักษณะแบบจูล่งนั้นคือทหารเสือ ควรแก่ตำแหน่งยอดขุนพลของแผ่นดินด้วยซ้ำไป
คนแบบกองซุนจ้านนี้จึงไม่สามารถทำการใหญ่ได้ แม้แต่จะรักษาชีวิตตนไว้ก็ยากยิ่งนัก
กองซุนจ้านไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตของชายชาวป่าผู้นี้ว่าในวันข้างหน้าคือยอดขุนพลของอาณาจักรฉู่ส์ เป็นยอดขุนพลที่พญามังกรแห่งเทือกเขามังกรหลับ จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง วางใจมากที่สุดในบรรดาขุนพลทั้งปวงของจ๊กก๊ก
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) กล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างจูล่งกับบุนทิวในครั้งนี้ว่า ต่อสู้กันถึงหกสิบเพลงไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ โดยไม่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับม้าที่ จูล่งขี่จึงทำให้เข้าใจและสงสัยไปได้ว่าฝีมือและเชิงรบของจูล่งจะแค่เพียงเสมอด้วยบุนทิวกระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นหากจะเปรียบเทียบฝีมือจูล่งกับกวนอูแล้ว จะไม่ต่างกันราวฟ้ากับดินดอกหรือ เพราะในภายหน้ากวนอูใช้ง้าวนิลนาคะปลิดศีรษะบุนทิวร่วงลงพื้นในชั่วไม่ถึงสิบเพลงเท่านั้น
ความจริงแล้วการต่อสู้ระหว่างจูล่งกับบุนทิว หากมีม้าศึกเสมอกันก็น่าที่จูล่งจะปลิดศีรษะออกจากบ่าบุนทิวได้ในชั่วไม่เกินสิบเพลงรบ แต่การต่อสู้กลับยืดเยื้อมาจนสิ้นเพลงที่หกสิบยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะนั้น เนื่องจากความด้อยของม้าที่จูล่งขี่ซึ่งเป็นเพียงม้าแกลบผอมโซหาใช่ม้าศึกไม่ จึงกลายเป็นตัวถ่วงรั้งให้เพลงทวนของจูล่งแทบไร้อานุภาพ
แต่กระนั้นทั้งสองแขนและง่ามนิ้วของบุนทิวที่กุมทวนต้องบาดเจ็บและอ่อนล้าจนแทบถือทวนไว้ไม่ไหว
เพราะเหตุที่กองซุนจ้านมองคนไม่ออก จึงสั่งบรรจุจูล่งไว้ในตำแหน่งพลทหารของกองทัพเมืองปักเป๋ง แล้วมอบหน้าที่ให้อยู่กองหลัง ดูแลความปลอดภัยของเสบียงเท่านั้น การใช้คนของกองซุนจ้านจึงเป็นการใช้คนโดยไม่สอดคล้องกับความปรีชาสามารถของคน จูล่งซึ่งเปรียบประดุจดังกระบี่วิเศษจึงเหมือนกับตกอยู่ในมือพ่อครัว และถูกใช้ไปสำหรับหั่นผักปลาเท่านั้น
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเห็นกองทหารของกองซุนจ้านแตกฮือ และบุนทิวไล่ตามกองซุนจ้านไปก็ดีใจยิ่งนัก ตั้งตาคอยว่าอีกเพียงครู่บุนทิวคงหิ้วศีรษะกองซุนจ้านมาเป็นกำนัลแก่ตน ครั้นเห็นบุนทิวกลับมาตัวเปล่าในสภาพอ่อนล้าร่อแร่เช่นนั้นจึงรีบเข้ามารับ บุนทิวแล้วถามว่าเกิดเหตุการณ์ประการใดขึ้น
บุนทิวจึงเล่าความให้อ้วนเสี้ยวฟังทั้งสิ้น แล้วว่าข้าพเจ้าหวิดที่จะได้ศีรษะ กองซุนจ้านมาคำนับท่านอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามีไอ้บ้ามาจากที่ไหนเข้ามาขวางไว้ คนผู้นี้มีเพลงทวนแคล่วคล่องว่องไวจัดจ้านนัก และทหารกองซุนจ้านก็ยกตามไปสมทบ ข้าพเจ้าเกรงจะเสียทีจึงปลีกตัวกลับมาหาท่าน ขออภัยท่านด้วยเถิดที่ทำให้ท่านต้องรอศีรษะกองซุนจ้านเก้ออยู่ดังนี้.
อ้วนเสี้ยวเมื่อรู้ว่ากองซุนอวดมาทวงสัญญา จึงหาตัวห้องกีมาปรึกษาว่าจะทำประการใดดี ห้องกีจึงว่าข้าพเจ้าได้คาดหมายไว้ก่อนแล้วว่ากองซุนจ้านจะต้องส่งคนมาทวงสัญญา ข้าพเจ้าจะคิดการให้เมืองกิจิ๋วปลอดภัยแล้วจะให้กองทัพเมืองปักเป๋งยกไปรบกับจอมทรราชย์ตั๋งโต๊ะ เป็นทีแล้วเราจะได้ซ้ำเติมเอาภายหลัง ท่านก็จะเป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวง แล้วว่าให้ท่านบอกกองซุนอวดให้กลับไปเชิญกองซุนจ้านมาเจรจากับท่านด้วยตนเองเถิด ท่านหาบิดพลิ้วไม่ กองซุนจ้านมาแล้วจะเตรียมการต้อนรับและทำพิธีส่งมอบทรัพย์สินและเมืองกิจิ๋วให้ครึ่งหนึ่ง
อ้วนเสี้ยวเห็นชอบกับแผนการของห้องกี จึงออกไปต้อนรับกองซุนอวดในฐานะแขกเมืองคนสำคัญ แล้วแจ้งแก่กองซุนอวดตามคำของห้องกีทุกประการ
กองซุนอวดทวงสัญญาไม่สำเร็จจึงเดินทางกลับ ถึงกลางทางพบกองทหารปักธงแสดงหน่วยสังกัดว่าเป็นทหารของตั๋งโต๊ะเข้ามาล้อมกองซุนอวดไว้ แล้วว่ากองซุนจ้านเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ท่านอัครมหาเสนาบดีตั๋งโต๊ะให้เรามาสังหารพรรคพวกกองซุนจ้านเสียให้สิ้น ว่าแล้วก็เอาเกาทัณฑ์ยิงกองซุนอวดถึงแก่ความตาย แต่แกล้งปล่อยทหารที่ติดตามกองซุนอวดให้หลบหนีกลับไปเมืองปักเป๋ง
กองซุนจ้านฟังรายงานจากทหารที่ติดตามไปกับกองซุนอวด พิเคราะห์เหตุการณ์แล้วเชื่อว่าเป็นแผนการของอ้วนเสี้ยวบิดพลิ้วสัญญา สังหารกองซุนอวดเสียแล้วป้ายผิดไปให้กับตั๋งโต๊ะ หากหลงกลยกกองทัพไปรบด้วยตั๋งโต๊ะก็จะเกิดความเสียหายขึ้นทั้งสองฝ่าย อ้วนเสี้ยวย่อมถือเอาโอกาสนั้นยกกองทัพมายึดเมืองปักเป๋งของเราได้โดยง่าย
กองซุนจ้านจึงโกรธอ้วนเสี้ยวเป็นอันมาก สั่งให้ระดมกองทัพเมืองปักเป๋งยกไปตีเมืองกิจิ๋ว ถึงแม่น้ำพวนโห้นอกเมืองกิจิ๋วก็ให้ตั้งค่ายลงที่เชิงสะพานศิลาข้าม แม่น้ำพวนโห้ ฟากตรงกันข้ามกับเมืองกิจิ๋ว เตรียมการเข้าโจมตีเมืองกิจิ๋วต่อไป
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวทราบข่าวกองซุนจ้านยกทัพมาตั้งค่ายอยู่ที่ริมแม่น้ำพวนโห้ ก็ยกทหารออกไปตั้งรับกองทัพกองซุนจ้านที่เชิงสะพานข้ามแม่น้ำพวนโห้ฟากข้างเมืองกิจิ๋ว แล้วให้ตั้งค่ายมั่นไว้
รุ่งขึ้นกองซุนจ้านยกทหารออกจากค่ายไปถึงเชิงสะพานก็ให้ทหารหยุดอยู่ ตัวกองซุนจ้านขี่ม้าขึ้นไปบนกลางสะพานศิลา ร้องด่าอ้วนเสี้ยวที่บิดพลิ้วสัญญาแล้วยังฆ่ากองซุนอวดผู้น้อง อ้วนเสี้ยวก็ขับม้าออกหน้าทหารด่าตอบกองซุนจ้านหาว่าชุบมือเปิบจะยกเอาสัญญาขึ้นมาทวงไม่ได้ เพราะฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วมีความเมตตาต่ออ้วนเสี้ยว ยกเมืองกิจิ๋วให้อ้วนเสี้ยวด้วยความโง่ของฮันฮกเอง กองซุนจ้านไม่ได้ลงแรง ลงทรัพย์สินในเรื่องนี้แม้แต่น้อย ไม่ชอบที่จะมาทวงเอาทรัพย์สินและเมืองกิจิ๋ว
ด่ากันไปด่ากันมา อ้วนเสี้ยวโกรธสั่งบุนทิวทหารเอกให้ไปฆ่ากองซุนจ้านเสีย บุนทิวจึงขับม้าขึ้นไปบนสะพานศิลา กองซุนจ้านเห็นดังนั้นจึงถอยลงจากเชิงสะพานมาอยู่ที่พื้นดิน ครั้นบุนทิวมาถึงจึงเข้ารบด้วยที่เชิงสะพานศิลานั้น
กองซุนจ้านรบกับบุนทิวได้สิบเพลง ก็รับบุนทิวไว้ไม่อยู่จึงชักม้าหนีเข้ามาในกองทหาร สั่งให้ทหารเอกสี่คนเข้าล้อมเพื่อจะสังหารบุนทิวเสีย
สี่ทหารเอกของกองซุนจ้านเข้าปะทะด้วยบุนทิวเพียงเพลงแรก บุนทิวก็ปลิดชีพทหารเอกกองซุนจ้านเสียคนหนึ่ง อีกสามคนที่เหลือกลัวบุนทิวจึงชักม้าหนี แต่บุนทิวขับม้ากลับมาไล่ตามกองซุนจ้าน ฆ่าทหารกองซุนจ้านจนแตกฮือไปทั้งกอง
กองซุนจ้านตกใจกลัวจึงขับม้าหนีอย่างไม่คิดชีวิต จนอาวุธและหมวกเกราะหลุดร่วงไปสิ้น มาถึงเชิงเขาลูกหนึ่งม้าที่กองซุนจ้านขี่สะดุดก้อนหินล้มลง กองซุนจ้านจึงพลัดตกจากหลังม้า
บุนทิวขับม้าไล่ตามกองซุนจ้านไปเห็นเช่นนั้นจึงเงื้อทวนจะแทง กองซุนจ้านสิ้นทางรอดจึงพริ้มตาลงด้วยความกลัวรอความตาย พลันได้ยินเสียง “เปร๊ง” ดังสนั่น กองซุนจ้านลืมตาขึ้นเห็นทวนบุนทิวกระดอนไกลจากกายตัว จึงฉวยโอกาสนั้นรีบวิ่งหนีเข้าไปหลบอยู่ในหลืบเขา
เสียงทวนปะทะกันดังสนั่น ทั้งไม่เห็นบุนทิวไล่ตามมา กองซุนจ้านจึงออกมาแอบดูที่หลืบเขานั้น เห็นชายคนหนึ่ง “สูงหกศอก หน้าผากและคิ้วใหญ่ ตาโต” ใบหน้าคมสันผ่องใส ในชุดแต่งกายแบบชาวป่า ในมือถือทวนยาวสิบเอ็ดศอกเศษกำลังขี่ม้าร่ายทวนต่อสู้อยู่กับบุนทิว
กองซุนจ้านรำลึกเหตุการณ์สุดวิกฤติเมื่อครู่แล้ว คิดอยู่ในใจว่าหากมิใช่ชาวป่าผู้นี้ใช้ทวนปัดทวนบุนทิวได้ทันการแล้ว ตัวเราคงเดินทางไปเยือนยมโลกแล้วเป็นแน่ เสียงทวนประกันดังสนั่นเป็นระยะ ทำให้กองซุนจ้านต้องกลับมาให้ความสนใจเขม้นมองการต่อสู้อย่างใจจดใจจ่ออีกครั้งหนึ่ง
เห็นชายผู้นั้นมีเพลงทวนแคล่วคล่องว่องไว กรายทวนแต่ละทีราวอสุนีบาต มีพลังหนักหน่วง เสียงทวนกรีดอากาศดัง “วื้อ วื้อ” ราวพยัคฆ์คำราม ทวนประทวนแต่ละที ทวนที่บุนทิวถือกระดอนไปอีกด้านหนึ่ง รูปการณ์น่าที่จะสังหาร บุนทิวได้ในชั่วไม่เกินสิบเพลง
แต่เพลงทวนผ่านไปเพลงแล้วเพลงเล่าก็ยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ กองซุนจ้านเป็นผู้บัญชาการทหารม้าของเมืองปักเป๋งอยู่ด้วย มีความสันทัดในเชิงม้า พิเคราะห์ดูจึงเห็นปัญหาใหญ่ของชายผู้นั้นว่าอยู่ที่ม้าซึ่งขับขี่เข้ารบด้วยบุนทิวนั้นหาใช่ม้าศึกไม่ เป็นแต่เพียงม้าแกลบที่ผอมโซตัวหนึ่ง จะชักไปซ้ายขวาเดินหน้าหรือเลี้ยวกลับดูเคอะเขินไปสิ้น ทั้งมีอาการตื่นกลัวยามเข้าใกล้ม้าศึกของบุนทิวแต่ละที ฝีเท้าม้าก็ชะลอลง ผงะออกห่าง ทำให้จังหวะทวนผิดพลาดทั้งกระบวนแทงและกระบวนฟัน หากไม่มีฝีมือบังคับม้าชั้นเชิงครูแล้ว สถานการณ์คงย่ำแย่กว่านี้นัก
การณ์กลับกลายเป็นว่าม้าที่ชายผู้นั้นขี่ได้ลดทอนอานุภาพเพลงทวนไปเกือบสิ้น ในขณะที่ม้าศึกของบุนทิวแคล่วคล่องว่องไวเริงร่าคะนองนัก และกำลังมิได้ลดหย่อนลงแม้แต่น้อย
ครั้นสิ้นเพลงที่หกสิบ ม้าที่ชายนั้นขี่ก็อ่อนแรงลง ในขณะที่บุนทิวเองก็ปวดล้าไปทั้งสองแขน ง่ามมือที่กุมทวนปวดจนชา มีเลือดไหลซึมที่ง่ามมือจนแทบกุมทวนไว้ไม่ได้ เห็นทีจะรับมือได้อีกต่อไปไม่เกินสิบเพลง
บุนทิวขุนทวนเอกของอ้วนเสี้ยวผู้ไม่เคยยอมเปลืองเวลาในการสังหารศัตรู ครั้นประทวนผ่านไปเพียงนี้แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะเอาชนะได้เลย มิหนำซ้ำกระบวนทวนของชาวป่านิรนามมิได้ล้าลง กลับหลั่งไหลครืนครั่นไม่ขาดสายดุจดั่งน้ำหลากจากยอดผา บุนทิวจึงพรั่นใจนักคิดหาหนทางเอาตัวรอด
ขณะนั้นบุนทิวได้ยินเสียงโห่ร้องของทหารดังขึ้นมาจากต้นทางที่ไล่ตามกองซุนจ้านมา เหลียวไปดูเห็นเป็นทหารกองซุนจ้านกำลังหนุนเนื่องเข้ามาที่กำลังต่อสู้กันอยู่ก็ตกใจเกรงจะเสียที จึงอาศัยความคล่องตัวและกำลังม้าศึกผละโผนออกจากที่ต่อสู้แล้วหนีกลับไปค่าย
กองซุนจ้านเห็นบุนทิวขับม้าหนีไปแล้ว และเห็นทหารของตัวที่แตกตื่นจากการรบที่เชิงสะพานรวมตัวกันได้แล้วยกตามมาถึง จึงออกมาจากหลืบเขาเดินตรงเข้าไปหาชายชาวป่าผู้นั้น กล่าวว่าท่านมาช่วยชีวิตเราไว้ทันในครั้งนี้เป็นคุณแก่เรานัก ขอถามว่าท่านนี้ชื่อใด
บ้านอยู่แห่งหนตำบลใด
ชายนั้นย่อตัวลงคำนับกองซุนจ้านแล้วว่า ข้าพเจ้านี้ชื่อ “จูล่ง เป็นชาวเสียงสาน”
แล้วว่าเดิมข้าพเจ้าเป็นทหารเลวในกองทัพอ้วนเสี้ยว มีหน้าที่ตรวจเวรยาม ต่อมาข้าพเจ้าเห็นว่าอ้วนเสี้ยวเป็นคนไร้คุณธรรม ขาดความกตัญญูรู้คุณคน ไว้ตัวถือยศศักดิ์ ไม่มีน้ำใจรักทหาร ข้าพเจ้าจึงได้หนีออกมาแล้วขออาศัยอยู่กับชาวบ้านป่า วันนี้ข้าพเจ้าขี่ม้าจะไปเก็บของป่า ผ่านมาถึงเชิงเขาแห่งนี้เห็นท่านเสียทีอยู่จึงเข้ามาช่วยเอาทวนปัดทวนซึ่งจะแทงนั้นให้ไกลตัวท่าน บุนทิวจึงหันมาเล่นงานจะสังหารข้าพเจ้าเสีย ข้าพเจ้าจึงจำใจต้องต่อสู้
แล้วจูล่งได้หันหน้าไปทางทหารของกองซุนจ้านที่ตามมา ย่อตัวลงคำนับอย่างอ่อนน้อมแล้วกล่าวอย่างถ่อมตัวว่าข้าพเจ้าขอบใจท่านทั้งหลายที่ยกมาช่วยข้าพเจ้าไว้ทันเวลา มิฉะนั้นข้าพเจ้าคงเสียทีเอาชีวิตรอดยากเป็นแน่แท้
กองซุนจ้านและเหล่าทหารที่ตามมานั้นต่างค้อมตัวคารวะตอบจูล่งด้วยความชื่นชมพร้อมกับกล่าวว่าขอบคุณท่านที่ช่วยเหลือ กองซุนจ้านฟังว่าจูล่งหนีอ้วนเสี้ยวมาอาศัยชาวบ้านป่าอยู่และเห็นว่าจูล่งทำคุณแก่ตัว จึงชวนจูล่งมาทำราชการด้วยกันที่เมืองปักเป๋ง
จูล่งรับคำชวนกองซุนจ้านแล้วพากันมาที่ค่าย ณ ริมแม่น้ำพวนโห้ ถึงค่ายแล้วกองซุนจ้านสั่งให้รับจูล่งเข้าเป็นทหารในกองทัพเมืองปักเป๋ง เป็นกองระวังหลัง ดูแลความปลอดภัยของหน่วยเสบียง โดยถือว่าได้ตอบแทนคุณจูล่งที่ได้ช่วยชีวิตไว้
นี่คือความแตกต่างอย่างสำคัญระหว่างกองซุนจ้านกับเล่าปี่ ที่ถึงแม้จะเป็นศิษย์สำนักเดียวกัน เพราะเล่าปี่นั้นมองคนออก และวางใจช่วงใช้คนดีมีฝีมือให้มีตำแหน่งหน้าที่สมแก่ความสามารถของคน แต่กองซุนจ้านทั้ง ๆ ที่เห็นฝีมือจูล่งแล้วกลับไม่วางใจใช้สอยมอบหมายหน้าที่สำคัญให้ มองไม่ออกว่าคนลักษณะแบบจูล่งนั้นคือทหารเสือ ควรแก่ตำแหน่งยอดขุนพลของแผ่นดินด้วยซ้ำไป
คนแบบกองซุนจ้านนี้จึงไม่สามารถทำการใหญ่ได้ แม้แต่จะรักษาชีวิตตนไว้ก็ยากยิ่งนัก
กองซุนจ้านไม่มีโอกาสได้เห็นอนาคตของชายชาวป่าผู้นี้ว่าในวันข้างหน้าคือยอดขุนพลของอาณาจักรฉู่ส์ เป็นยอดขุนพลที่พญามังกรแห่งเทือกเขามังกรหลับ จูกัดเหลียง-ขงเบ้ง วางใจมากที่สุดในบรรดาขุนพลทั้งปวงของจ๊กก๊ก
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) กล่าวถึงการต่อสู้ระหว่างจูล่งกับบุนทิวในครั้งนี้ว่า ต่อสู้กันถึงหกสิบเพลงไม่ปรากฏผลแพ้ชนะ โดยไม่มีข้อสังเกตเกี่ยวกับม้าที่ จูล่งขี่จึงทำให้เข้าใจและสงสัยไปได้ว่าฝีมือและเชิงรบของจูล่งจะแค่เพียงเสมอด้วยบุนทิวกระนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นหากจะเปรียบเทียบฝีมือจูล่งกับกวนอูแล้ว จะไม่ต่างกันราวฟ้ากับดินดอกหรือ เพราะในภายหน้ากวนอูใช้ง้าวนิลนาคะปลิดศีรษะบุนทิวร่วงลงพื้นในชั่วไม่ถึงสิบเพลงเท่านั้น
ความจริงแล้วการต่อสู้ระหว่างจูล่งกับบุนทิว หากมีม้าศึกเสมอกันก็น่าที่จูล่งจะปลิดศีรษะออกจากบ่าบุนทิวได้ในชั่วไม่เกินสิบเพลงรบ แต่การต่อสู้กลับยืดเยื้อมาจนสิ้นเพลงที่หกสิบยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะนั้น เนื่องจากความด้อยของม้าที่จูล่งขี่ซึ่งเป็นเพียงม้าแกลบผอมโซหาใช่ม้าศึกไม่ จึงกลายเป็นตัวถ่วงรั้งให้เพลงทวนของจูล่งแทบไร้อานุภาพ
แต่กระนั้นทั้งสองแขนและง่ามนิ้วของบุนทิวที่กุมทวนต้องบาดเจ็บและอ่อนล้าจนแทบถือทวนไว้ไม่ไหว
เพราะเหตุที่กองซุนจ้านมองคนไม่ออก จึงสั่งบรรจุจูล่งไว้ในตำแหน่งพลทหารของกองทัพเมืองปักเป๋ง แล้วมอบหน้าที่ให้อยู่กองหลัง ดูแลความปลอดภัยของเสบียงเท่านั้น การใช้คนของกองซุนจ้านจึงเป็นการใช้คนโดยไม่สอดคล้องกับความปรีชาสามารถของคน จูล่งซึ่งเปรียบประดุจดังกระบี่วิเศษจึงเหมือนกับตกอยู่ในมือพ่อครัว และถูกใช้ไปสำหรับหั่นผักปลาเท่านั้น
ฝ่ายอ้วนเสี้ยวเห็นกองทหารของกองซุนจ้านแตกฮือ และบุนทิวไล่ตามกองซุนจ้านไปก็ดีใจยิ่งนัก ตั้งตาคอยว่าอีกเพียงครู่บุนทิวคงหิ้วศีรษะกองซุนจ้านมาเป็นกำนัลแก่ตน ครั้นเห็นบุนทิวกลับมาตัวเปล่าในสภาพอ่อนล้าร่อแร่เช่นนั้นจึงรีบเข้ามารับ บุนทิวแล้วถามว่าเกิดเหตุการณ์ประการใดขึ้น
บุนทิวจึงเล่าความให้อ้วนเสี้ยวฟังทั้งสิ้น แล้วว่าข้าพเจ้าหวิดที่จะได้ศีรษะ กองซุนจ้านมาคำนับท่านอยู่แล้ว แต่ไม่รู้ว่ามีไอ้บ้ามาจากที่ไหนเข้ามาขวางไว้ คนผู้นี้มีเพลงทวนแคล่วคล่องว่องไวจัดจ้านนัก และทหารกองซุนจ้านก็ยกตามไปสมทบ ข้าพเจ้าเกรงจะเสียทีจึงปลีกตัวกลับมาหาท่าน ขออภัยท่านด้วยเถิดที่ทำให้ท่านต้องรอศีรษะกองซุนจ้านเก้ออยู่ดังนี้.