ตอนที่ 40. ช่วงชิงชัยชนะโดยไม่ต้องรบ
คำพังเพยที่ว่า “แพ้เป็นพระ ชนะเป็นมาร” เป็นเพียงคำปลอบใจของผู้แพ้ หาใช่เป้าหมายที่แท้จริงของการทำสงครามไม่ เพราะในการสงครามนั้นไม่มีทั้งพระและไม่มีทั้งมาร คงมีแต่ชัยชนะหรือปราชัยเท่านั้น และเป้าหมายที่ช่วงชิงกันก็คือชัยชนะ
คัมภีร์พิชัยสงครามของซุนหวู่ ว่าด้วยยุทโธบายระบุว่า
“หลักการยุทธ์โดยมิพักต้องทำลายเมือง นับว่าเป็นวิธีประเสริฐยิ่ง รองลงมาก็คือหักเอาโดยไม่ต้องทำลายกองพล รองลงมาอีกก็คือการเอาชนะโดยไม่ต้องทำลายกองพัน เลวกว่านั้นก็อย่าให้ถึงต้องทำลายกองร้อยหรือทำลายกระทั่งหมวดหมู่”
“เพราะฉะนั้นการชนะร้อยทั้งร้อยมิใช่วิธีอันประเสริฐแท้ แต่ชนะโดยไม่ต้องรบเลยจึงถือว่าเป็นวิธีอันวิเศษยิ่ง”
แต่การช่วงชิงชัยชนะโดยไม่ต้องรบนั้น ใช่ว่าผู้นำทัพจะกระทำได้ทุกคนไป เพราะการใช้สุดยอดยุทโธบายของขุนพลนี้ย่อมมีแต่ขุนพลผู้มีสติปัญญาเท่านั้นจึงกระทำได้สำเร็จ
อ้วนเสี้ยวคนโฉด หลังจากทำให้กองทัพปฏิวัติต้องปราชัยถึงขนาดต้องสลายตัวอย่างไม่เป็นท่าแล้ว ได้ยกไปตั้งหลักที่เมืองโห้ลาย และ ณ เมืองนี้อ้วนเสี้ยวได้ห้องกีทหารเอกผู้เจนจบพิชัยสงครามมาเป็นที่ปรึกษา ดังนั้นนับแต่ได้ห้องกีมาอยู่ด้วยแล้ว กองทัพของอ้วนเสี้ยวจึงเป็นกองทัพที่ประมาทไม่ได้อีกต่อไป
เนื่องเพราะฝีมือการรบของทหารเอกนั้น อ้วนเสี้ยวมีงันเหลียงและบุนทิวนักรบมีฝีมือสุดยอดเป็นทหารเอกของยุคนั้น ในการวางแผนบัญชาการของกองทัพก็มีห้องกีที่ปรึกษาเป็นเสนาธิการใหญ่ กองทัพของอ้วนเสี้ยวจึงพร้อมสรรพทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นที่สามารถใช้วิธีการรบได้หลายรูปแบบ ผิดกับเมื่อครั้งที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพปฏิวัติ
เมืองโห้ลายเป็นเมืองเล็ก มีดินแดนใกล้กับเมืองกิจิ๋วของฮันฮก และถัดไปจะเป็นเมืองปักเป๋งของกองซุนจ้าน แต่ฐานะของเมืองโห้ลายเป็นเพียงหัวเมืองชั้นจัตวาต่างกับเมืองกิจิ๋ว และเมืองปักเป๋งซึ่งเป็นหัวเมืองเอกทั้งสองเมือง
เพราะเมืองโห้ลายเป็นเมืองเล็ก จึงไม่อุดมสมบูรณ์ ทั้งอาหารก็ขาดแคลน ต่างกับเมืองกิจิ๋วและเมืองปักเป๋ง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ อุดมสมบูรณ์ทั้งอาหารและผู้คน
ดังนั้นเมื่อกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาตั้งที่เมืองโห้ลายได้ไม่ทันนาน กองทัพก็ขาดเสบียงลง
ฝ่ายฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วเป็นคนมีน้ำใจเอื้ออารีต่อผู้คนทั้งปวงโดยไม่เลือกหน้า มีน้ำใจศรัทธาต่ออ้วนเสี้ยวเพราะเห็นว่าเป็นเชื้อสายขุนนางมาหลายชั่วอายุคน ครั้นได้ข่าวว่ากองทัพอ้วนเสี้ยวขาดเสบียง ฮันฮกก็มีน้ำใจสงสารคิดช่วยเหลือ จึงสั่งให้ทหารคุมเสบียงมามอบให้แก่อ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวแทนที่จะคิดถึงพระคุณของคนที่เคารพศรัทธาตัวแล้วมาช่วยเหลือในยามยากกลับคิดหักหลังฮันฮก จะชิงเอาเมืองกิจิ๋วมาครองเสียเอง ดังนั้นอ้วนเสี้ยวจึงปรึกษาด้วยห้องกีว่าเรามาอยู่เมืองโห้ลายนี้เหมือนจระเข้ใหญ่อยู่ในน้ำตื้น จะหันซ้ายขวาประการใดให้ติดขัดไปสิ้น ทั้งเสบียงอาหารก็ไม่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็น้อย ไม่สามารถอาศัยทำการใหญ่ได้ เราจึงหวังจะชิงเอาเมืองกิจิ๋วเพื่อเป็นกำลังสืบไป ท่านจะมีความเห็นคิดอ่านประการใด
ห้องกีฟังข้อปรึกษาแล้วจึงว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านว่าเมืองโห้ลายนี้ไม่สามารถเป็นฐานกำลังให้เราทำการใหญ่ได้สืบไป เมืองกิจิ๋วเป็นหัวเมืองเอก อุดมสมบูรณ์ทั้งเสบียงอาหารและผู้คน หากท่านได้ครองเมืองกิจิ๋วแล้วย่อมสามารถใช้เป็นฐานตั้งตัวทำการใหญ่ได้
ว่าแล้วห้องกีจึงได้เสนอแผนการต่อไปว่าข้าพเจ้าได้คิดกลอุบาย “หลอกเสือแล้วกินวัว” ไว้ก่อนแล้ว ถ้าหากท่านเต็มใจด้วยความคิดข้าพเจ้าแล้วเมืองกิจิ๋วก็จะเป็นสิทธิแก่ท่าน
อ้วนเสี้ยวดีใจยิ่งนักถามว่ากลอุบาย “หลอกเสือแล้วกินวัว” ของท่านเป็นประการใด
ห้องกีจึงว่าขอให้ท่านมีหนังสือลับไปถึงกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งให้ยกกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋ว ให้สัญญาว่าถ้าได้เมืองกิจิ๋วแล้วจะแบ่งทรัพย์สินและเมืองกิจิ๋วให้กองซุนจ้านครึ่งหนึ่ง
ถ้าหากกองซุนจ้านยกมาตีเมืองกิจิ๋วแล้ว ฮันฮกเจ้าเมืองย่อมคิดว่าเคยทำคุณไว้แก่เราคงจะหวังพึ่งเราได้ และขอให้ยกกองทัพไปช่วยเราจะได้ถือโอกาสนั้นยึดเมืองกิจิ๋วได้โดยง่าย แต่ถ้าหากฮันฮกคิดสู้กับกองซุนจ้านเพียงลำพัง เราก็จะยกกองทัพตีกระหนาบเข้าไปอีกด้านหนึ่งก็จะยึดเมืองกิจิ๋วได้โดยง่ายเช่นเดียวกัน
และว่ากองซุนจ้านนั้นเป็นคนหุนหันพลันแล่น เห็นแก่ได้ ไม่รู้จักใช้คน แต่คิดการใหญ่ เมื่อเห็นหนังสือของท่านแล้วคงจะกระทำการตามคำท่าน
อ้วนเสี้ยวฟังคำห้องกีแล้ว เห็นด้วยกับแผนการที่เสนอ จึงสั่งให้ทหารถือหนังสือลับไปถึงกองซุนจ้าน ณ เมืองปักเป๋ง ตามแผนการของห้องกีนั้น
กองซุนจ้านได้รับหนังสือของอ้วนเสี้ยวแล้วก็มีความยินดีด้วยเห็นว่าเมืองกิจิ๋วเป็นเมืองใหญ่และอุดมสมบูรณ์ ถ้าหากได้เมืองกิจิ๋วมาผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองปักเป๋งแล้วก็จะเป็นฐานกำลังทำการใหญ่สืบไป จึงมีหนังสือแจ้งกำหนดวันที่จะยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋วให้ทหารนั้นถือกลับไปให้อ้วนเสี้ยว
เมื่อทราบกำหนดวันที่กองทัพเมืองปักเป๋งจะยกกองทัพเข้าตีเมืองกิจิ๋วแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงให้หาห้องกีมาปรึกษาว่าจะทำประการใดต่อไป ห้องกีเดินแผนต่อไปว่าขอให้ท่านมีหนังสือลับไปถึงฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วว่ากองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งมีหนังสือมาปรึกษาเราว่าจะยกกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋วตามวันที่กำหนด และขอให้เรายกทัพตีกระหนาบอีกด้านหนึ่ง แต่เราเห็นว่าฮันฮกเป็นผู้มีพระคุณ ได้ช่วยเหลือส่งเสบียงให้ในยามยาก ไม่สามารถคิดหักหลังฮันฮกผู้มีพระคุณได้ จึงแจ้งมาให้ฮันฮกทราบแล้วเตรียมการรับศึกเมืองปักเป๋งให้พร้อมเถิด
ฮันฮกได้รับหนังสือของอ้วนเสี้ยวก็ตกใจ คิดว่ากองซุนจ้านคงจะยกทหารมาเป็นอันมาก และกองซุนจ้านนั้นเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็จะมาช่วยกองซุนจ้านเป็นแน่แท้ ตัวเราเคยเห็นฝีมือทหารเอกของเล่าปี่มาแล้ว ยากจะหาทหารเอกคนใดในแผ่นดินเข้ารับมือได้ กองทัพเมืองกิจิ๋วเห็นจะสู้กองทัพเมืองปักเป๋งไม่ได้จึงมีความวิตกยิ่งนัก
ฮันฮกจึงเรียกประชุมขุนนางกรมการเมืองกิจิ๋ว แจ้งความตามหนังสือของ อ้วนเสี้ยวให้ทุกคนทราบแล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
บรรดาขุนนางและกรมการเมืองกิจิ๋วส่วนใหญ่เห็นว่ากองทัพเมืองปักเป๋งซึ่งจะยกมาครั้งนี้คงเป็นกองทัพใหญ่ ลำพังกองทัพเมืองกิจิ๋วย่อมรับมือกองทัพเมืองปักเป๋งไม่ได้ ตัวท่านเจ้าเมืองเคยทำคุณไว้กับอ้วนเสี้ยว ทั้งอ้วนเสี้ยวก็เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าหลายชั่วอายุคน มีผู้คนนับถือเป็นอันมาก ทั้งยังมีงันเหลียง บุนทิว เป็นทหารเอก หากได้เชิญอ้วนเสี้ยวมาช่วยรบกับกองทัพเมืองปักเป๋งแล้ว เราก็จะสามารถป้องกันรักษาเมืองกิจิ๋วเอาไว้ได้
แต่เก๋งบูขุนนางของเมืองกิจิ๋วซึ่งเป็นที่ปรึกษาของฮันฮกกลับไม่เห็นด้วยแล้วว่า “อ้วนเสี้ยวนั้นเป็นคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะท่านให้ส่งเสบียง อุปมาเหมือนทารก ถ้ามารดามิให้นมกินแล้ว ทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมืองเหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ ฝูงเนื้อทั้งปวงก็จะมีอันตรายเป็นมั่นคง”
ความเห็นของเก๋งบูที่ปรึกษาคนนี้แหลมคม และอ่านแผนการของอ้วนเสี้ยวทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงแทนที่จะเห็นว่ากองซุนจ้านเป็นศัตรูและเป็นตัวอันตรายต่อเมืองกิจิ๋ว กลับเห็นว่าอ้วนเสี้ยวต่างหากที่เป็นศัตรูร้าย จะไว้วางใจให้ยกเข้ามาช่วยรักษาเมืองไม่ได้เป็นอันขาด ทั้งได้เสนอความเห็นในการบั่นทอนกำลังของอ้วนเสี้ยวลงด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการไม่ส่งเสบียงให้ ดั่งนี้แล้วกองทัพของอ้วนเสี้ยวก็จะสิ้นกำลังไปเอง
แต่ฮันฮกถึงคราวจะวินาศแทนที่จะฟังคำของที่ปรึกษาผู้ภักดีดังแต่ก่อน กลับมีความเห็นวิปริต เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ตัดสินใจเชิญอ้วนเสี้ยวยกกองทัพเข้ามารักษาเมืองกิจิ๋ว
เมื่อตัดสินใจแล้วจึงมีหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวขอความช่วยเหลือให้อ้วนเสี้ยวยกกองทัพเข้ามาช่วยป้องกันเมืองกิจิ๋ว เก๋งบูที่ปรึกษาเสียใจยิ่งนักที่ฮันฮกไม่ฟังคำจึงขอลาออกจากตำแหน่ง ขุนนางเมืองกิจิ๋วอีกสามสิบคนซึ่งเคยเห็นความคิดของเก๋งบูถูกต้องแม่นยำมาแต่ก่อนก็เชื่อตามแล้วขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางเมืองกิจิ๋วไปพร้อมกัน
การตัดสินใจของฮันฮกในครั้งนี้คล้ายกับการตัดสินใจของโฮจิ๋นที่ให้เรียกกองทัพตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวง ดังนั้นชะตากรรมที่ฮ่องเต้ ขุนนางและราษฎรได้ประสบจากการเรียกกองทัพตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวงเป็นประการใด ชะตากรรมของฮันฮก ขุนนางและราษฎรเมืองกิจิ๋วย่อมต้องประสบคล้ายคลึงกันประการนั้น
อ้วนเสี้ยวได้รับหนังสือของฮันฮกแล้วเห็นการเป็นไปตามแผนการของ ห้องกีก็มีความยินดียิ่งนักจึงออกคำสั่งให้ยกกองทัพทั้งสิ้นออกจากเมืองโห้ลายไปเมืองกิจิ๋ว
ฝ่ายเก๋งบูที่ปรึกษากับเพื่อนขุนนางอีกคนหนึ่ง แม้ว่าจะลาออกจากราชการแล้วแต่ยังคงห่วงหาอาทรเมืองกิจิ๋วและราษฎรเป็นอันมาก ครั้นทราบข่าวอ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาเมืองกิจิ๋วตามหนังสือของฮันฮกแล้ว จึงคิดการจะร่วมกันสังหารอ้วนเสี้ยวเสียก่อนที่จะเข้าเมือง คิดอ่านร่วมกันแล้วก็พากันไปยืนแอบอยู่ที่ประตูเมืองกิจิ๋ว
ครั้นอ้วนเสี้ยวจะเข้าประตูเมือง เก๋งบูและเพื่อนขุนนางนั้นก็ชักกระบี่จะฟันอ้วนเสี้ยว แต่งันเหลียง บุนทิว สองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวซึ่งเดินตามมาด้วยเห็นเหตุการณ์จึงชักกระบี่วิ่งเข้าไปรับกระบี่ของสองขุนนางเมืองกิจิ๋ว แล้วฟันสองขุนนางถึงแก่ความตายที่ประตูเมืองนั้น
อ้วนเสี้ยวคนโฉด ณ บัดนี้ได้ห้องกีมาเป็นที่ปรึกษาจึงกลายเป็นอสรพิษร้ายและกำลังกรายเข้าประตูเมืองกิจิ๋ว พร้อมแล้วที่จะกัดฮันฮกผู้มีพระคุณของตน
อ้วนเสี้ยวเมื่อเข้าประตูเมืองกิจิ๋วแล้ว ฮันฮกได้ออกไปต้อนรับขับสู้อย่างสมเกียรติ แล้วเชิญอ้วนเสี้ยวไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อปรึกษาราชการ โดยหารู้ไม่ว่ากำลังอุ้มกอดอสรพิษร้ายไว้กับอก
เมื่ออ้วนเสี้ยวพร้อมทหารเอกและทหารติดตามเข้าไปถึงจวนเจ้าเมืองแล้ว ก็ขึ้นนั่งบนที่ว่าราชการของเจ้าเมือง ปล่อยให้ฮันฮกเจ้าเมืองยืนอยู่ข้างล่างแล้วออกคำสั่งถอดฮันฮกเสียจากที่เจ้าเมือง และให้ถอดขุนนางกรมการเมืองทั้งปวงออกจากตำแหน่งเสียทั้งสิ้น
แล้วอ้วนเสี้ยวจึงตั้งตนเองเป็นเจ้าเมืองแทน และตั้งเตียนห้อง โจสิว เคาสิว และห้องกี ที่มาด้วยกันจากเมืองโห้ลายให้เป็นขุนนางเมืองกิจิ๋ว ตั้งงันเหลียง บุนทิว เป็นทหารเอกของเมืองกิจิ๋ว ยึดอำนาจเมืองกิจิ๋วเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ภายในวันเดียวนั้น
ฮันฮกเมื่อถูกถอดออกจากตำแหน่งแล้วก็เสียใจนักที่คิดผิดเชื่อและวางใจคนผิดมาคิดว่าถ้าจะอยู่เมืองกิจิ๋วต่อไปคงจะถูกอ้วนเสี้ยวฆ่าเสียเป็นแน่ จึงทิ้งบุตร ภรรยาและครอบครัวหนีไปอยู่เมืองตันลิวแต่ผู้เดียว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนในมงคลสามสิบแปดข้อแรกว่าอย่าคบคนพาล “การไม่คบคนพาลเป็นมงคลสูงสุด” เมื่อปฏิบัติตามมงคลนี้แล้วย่อมไม่แพ้ในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง
การไม่ปฏิบัติตามมงคลข้อนี้ย่อมตั้งอยู่ในฐานะที่พ่ายแพ้ทุกเมื่อ ย่อมถึงซึ่งความวิบัติในที่ทั้งปวง ฮันฮกเมื่อหลงเชื่อและคบคนพาลเช่นอ้วนเสี้ยวจึงต้องรับผลแห่งการกระทำของตน เสียทั้งเมือง และพลัดพรากจากครอบครัว ดั้นด้นไปแต่เดียวดาย
อ้วนเสี้ยวใช้กลอุบายหลอกเสือกองซุนจ้าน แล้วกินวัวฮันฮก ช่วงชิงชัยชนะยึดเมืองกิจิ๋วได้โดยไม่ต้องรบ แม้นับเป็นชัยชนะอันวิเศษแต่ชัยชนะเช่นนี้ย่อมเป็นชัยชนะที่เกิดแต่การหักหลังผู้มีพระคุณตัว จึงเป็นชัยชนะที่ย่อมต้องแฝงไว้ซึ่งความปราชัยควบคู่กันไป นั่นคือความปราชัยในด้านชื่อเสียงเกียรติยศที่ตระกูล “อ้วน” ได้สั่งสมมาหลายชั่วอายุคนจนหมดสิ้น.
คัมภีร์พิชัยสงครามของซุนหวู่ ว่าด้วยยุทโธบายระบุว่า
“หลักการยุทธ์โดยมิพักต้องทำลายเมือง นับว่าเป็นวิธีประเสริฐยิ่ง รองลงมาก็คือหักเอาโดยไม่ต้องทำลายกองพล รองลงมาอีกก็คือการเอาชนะโดยไม่ต้องทำลายกองพัน เลวกว่านั้นก็อย่าให้ถึงต้องทำลายกองร้อยหรือทำลายกระทั่งหมวดหมู่”
“เพราะฉะนั้นการชนะร้อยทั้งร้อยมิใช่วิธีอันประเสริฐแท้ แต่ชนะโดยไม่ต้องรบเลยจึงถือว่าเป็นวิธีอันวิเศษยิ่ง”
แต่การช่วงชิงชัยชนะโดยไม่ต้องรบนั้น ใช่ว่าผู้นำทัพจะกระทำได้ทุกคนไป เพราะการใช้สุดยอดยุทโธบายของขุนพลนี้ย่อมมีแต่ขุนพลผู้มีสติปัญญาเท่านั้นจึงกระทำได้สำเร็จ
อ้วนเสี้ยวคนโฉด หลังจากทำให้กองทัพปฏิวัติต้องปราชัยถึงขนาดต้องสลายตัวอย่างไม่เป็นท่าแล้ว ได้ยกไปตั้งหลักที่เมืองโห้ลาย และ ณ เมืองนี้อ้วนเสี้ยวได้ห้องกีทหารเอกผู้เจนจบพิชัยสงครามมาเป็นที่ปรึกษา ดังนั้นนับแต่ได้ห้องกีมาอยู่ด้วยแล้ว กองทัพของอ้วนเสี้ยวจึงเป็นกองทัพที่ประมาทไม่ได้อีกต่อไป
เนื่องเพราะฝีมือการรบของทหารเอกนั้น อ้วนเสี้ยวมีงันเหลียงและบุนทิวนักรบมีฝีมือสุดยอดเป็นทหารเอกของยุคนั้น ในการวางแผนบัญชาการของกองทัพก็มีห้องกีที่ปรึกษาเป็นเสนาธิการใหญ่ กองทัพของอ้วนเสี้ยวจึงพร้อมสรรพทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋นที่สามารถใช้วิธีการรบได้หลายรูปแบบ ผิดกับเมื่อครั้งที่เป็นผู้บัญชาการใหญ่ของกองทัพปฏิวัติ
เมืองโห้ลายเป็นเมืองเล็ก มีดินแดนใกล้กับเมืองกิจิ๋วของฮันฮก และถัดไปจะเป็นเมืองปักเป๋งของกองซุนจ้าน แต่ฐานะของเมืองโห้ลายเป็นเพียงหัวเมืองชั้นจัตวาต่างกับเมืองกิจิ๋ว และเมืองปักเป๋งซึ่งเป็นหัวเมืองเอกทั้งสองเมือง
เพราะเมืองโห้ลายเป็นเมืองเล็ก จึงไม่อุดมสมบูรณ์ ทั้งอาหารก็ขาดแคลน ต่างกับเมืองกิจิ๋วและเมืองปักเป๋ง ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ อุดมสมบูรณ์ทั้งอาหารและผู้คน
ดังนั้นเมื่อกองทัพอ้วนเสี้ยวยกมาตั้งที่เมืองโห้ลายได้ไม่ทันนาน กองทัพก็ขาดเสบียงลง
ฝ่ายฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วเป็นคนมีน้ำใจเอื้ออารีต่อผู้คนทั้งปวงโดยไม่เลือกหน้า มีน้ำใจศรัทธาต่ออ้วนเสี้ยวเพราะเห็นว่าเป็นเชื้อสายขุนนางมาหลายชั่วอายุคน ครั้นได้ข่าวว่ากองทัพอ้วนเสี้ยวขาดเสบียง ฮันฮกก็มีน้ำใจสงสารคิดช่วยเหลือ จึงสั่งให้ทหารคุมเสบียงมามอบให้แก่อ้วนเสี้ยว
อ้วนเสี้ยวแทนที่จะคิดถึงพระคุณของคนที่เคารพศรัทธาตัวแล้วมาช่วยเหลือในยามยากกลับคิดหักหลังฮันฮก จะชิงเอาเมืองกิจิ๋วมาครองเสียเอง ดังนั้นอ้วนเสี้ยวจึงปรึกษาด้วยห้องกีว่าเรามาอยู่เมืองโห้ลายนี้เหมือนจระเข้ใหญ่อยู่ในน้ำตื้น จะหันซ้ายขวาประการใดให้ติดขัดไปสิ้น ทั้งเสบียงอาหารก็ไม่อุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็น้อย ไม่สามารถอาศัยทำการใหญ่ได้ เราจึงหวังจะชิงเอาเมืองกิจิ๋วเพื่อเป็นกำลังสืบไป ท่านจะมีความเห็นคิดอ่านประการใด
ห้องกีฟังข้อปรึกษาแล้วจึงว่าข้าพเจ้าเห็นด้วยกับท่านว่าเมืองโห้ลายนี้ไม่สามารถเป็นฐานกำลังให้เราทำการใหญ่ได้สืบไป เมืองกิจิ๋วเป็นหัวเมืองเอก อุดมสมบูรณ์ทั้งเสบียงอาหารและผู้คน หากท่านได้ครองเมืองกิจิ๋วแล้วย่อมสามารถใช้เป็นฐานตั้งตัวทำการใหญ่ได้
ว่าแล้วห้องกีจึงได้เสนอแผนการต่อไปว่าข้าพเจ้าได้คิดกลอุบาย “หลอกเสือแล้วกินวัว” ไว้ก่อนแล้ว ถ้าหากท่านเต็มใจด้วยความคิดข้าพเจ้าแล้วเมืองกิจิ๋วก็จะเป็นสิทธิแก่ท่าน
อ้วนเสี้ยวดีใจยิ่งนักถามว่ากลอุบาย “หลอกเสือแล้วกินวัว” ของท่านเป็นประการใด
ห้องกีจึงว่าขอให้ท่านมีหนังสือลับไปถึงกองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งให้ยกกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋ว ให้สัญญาว่าถ้าได้เมืองกิจิ๋วแล้วจะแบ่งทรัพย์สินและเมืองกิจิ๋วให้กองซุนจ้านครึ่งหนึ่ง
ถ้าหากกองซุนจ้านยกมาตีเมืองกิจิ๋วแล้ว ฮันฮกเจ้าเมืองย่อมคิดว่าเคยทำคุณไว้แก่เราคงจะหวังพึ่งเราได้ และขอให้ยกกองทัพไปช่วยเราจะได้ถือโอกาสนั้นยึดเมืองกิจิ๋วได้โดยง่าย แต่ถ้าหากฮันฮกคิดสู้กับกองซุนจ้านเพียงลำพัง เราก็จะยกกองทัพตีกระหนาบเข้าไปอีกด้านหนึ่งก็จะยึดเมืองกิจิ๋วได้โดยง่ายเช่นเดียวกัน
และว่ากองซุนจ้านนั้นเป็นคนหุนหันพลันแล่น เห็นแก่ได้ ไม่รู้จักใช้คน แต่คิดการใหญ่ เมื่อเห็นหนังสือของท่านแล้วคงจะกระทำการตามคำท่าน
อ้วนเสี้ยวฟังคำห้องกีแล้ว เห็นด้วยกับแผนการที่เสนอ จึงสั่งให้ทหารถือหนังสือลับไปถึงกองซุนจ้าน ณ เมืองปักเป๋ง ตามแผนการของห้องกีนั้น
กองซุนจ้านได้รับหนังสือของอ้วนเสี้ยวแล้วก็มีความยินดีด้วยเห็นว่าเมืองกิจิ๋วเป็นเมืองใหญ่และอุดมสมบูรณ์ ถ้าหากได้เมืองกิจิ๋วมาผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของเมืองปักเป๋งแล้วก็จะเป็นฐานกำลังทำการใหญ่สืบไป จึงมีหนังสือแจ้งกำหนดวันที่จะยกกองทัพไปตีเมืองกิจิ๋วให้ทหารนั้นถือกลับไปให้อ้วนเสี้ยว
เมื่อทราบกำหนดวันที่กองทัพเมืองปักเป๋งจะยกกองทัพเข้าตีเมืองกิจิ๋วแล้ว อ้วนเสี้ยวจึงให้หาห้องกีมาปรึกษาว่าจะทำประการใดต่อไป ห้องกีเดินแผนต่อไปว่าขอให้ท่านมีหนังสือลับไปถึงฮันฮกเจ้าเมืองกิจิ๋วว่ากองซุนจ้านเจ้าเมืองปักเป๋งมีหนังสือมาปรึกษาเราว่าจะยกกองทัพมาตีเมืองกิจิ๋วตามวันที่กำหนด และขอให้เรายกทัพตีกระหนาบอีกด้านหนึ่ง แต่เราเห็นว่าฮันฮกเป็นผู้มีพระคุณ ได้ช่วยเหลือส่งเสบียงให้ในยามยาก ไม่สามารถคิดหักหลังฮันฮกผู้มีพระคุณได้ จึงแจ้งมาให้ฮันฮกทราบแล้วเตรียมการรับศึกเมืองปักเป๋งให้พร้อมเถิด
ฮันฮกได้รับหนังสือของอ้วนเสี้ยวก็ตกใจ คิดว่ากองซุนจ้านคงจะยกทหารมาเป็นอันมาก และกองซุนจ้านนั้นเป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเล่าปี่ ดังนั้นเล่าปี่ กวนอู เตียวหุยก็จะมาช่วยกองซุนจ้านเป็นแน่แท้ ตัวเราเคยเห็นฝีมือทหารเอกของเล่าปี่มาแล้ว ยากจะหาทหารเอกคนใดในแผ่นดินเข้ารับมือได้ กองทัพเมืองกิจิ๋วเห็นจะสู้กองทัพเมืองปักเป๋งไม่ได้จึงมีความวิตกยิ่งนัก
ฮันฮกจึงเรียกประชุมขุนนางกรมการเมืองกิจิ๋ว แจ้งความตามหนังสือของ อ้วนเสี้ยวให้ทุกคนทราบแล้วปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
บรรดาขุนนางและกรมการเมืองกิจิ๋วส่วนใหญ่เห็นว่ากองทัพเมืองปักเป๋งซึ่งจะยกมาครั้งนี้คงเป็นกองทัพใหญ่ ลำพังกองทัพเมืองกิจิ๋วย่อมรับมือกองทัพเมืองปักเป๋งไม่ได้ ตัวท่านเจ้าเมืองเคยทำคุณไว้กับอ้วนเสี้ยว ทั้งอ้วนเสี้ยวก็เป็นเชื้อสายขุนนางเก่าหลายชั่วอายุคน มีผู้คนนับถือเป็นอันมาก ทั้งยังมีงันเหลียง บุนทิว เป็นทหารเอก หากได้เชิญอ้วนเสี้ยวมาช่วยรบกับกองทัพเมืองปักเป๋งแล้ว เราก็จะสามารถป้องกันรักษาเมืองกิจิ๋วเอาไว้ได้
แต่เก๋งบูขุนนางของเมืองกิจิ๋วซึ่งเป็นที่ปรึกษาของฮันฮกกลับไม่เห็นด้วยแล้วว่า “อ้วนเสี้ยวนั้นเป็นคนสิ้นความคิดอยู่แล้ว ซึ่งได้ตั้งตัวเลี้ยงทหารอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะท่านให้ส่งเสบียง อุปมาเหมือนทารก ถ้ามารดามิให้นมกินแล้ว ทารกนั้นก็จะสิ้นแรงไป ซึ่งท่านจะให้อ้วนเสี้ยวมาช่วยรักษาเมืองเหมือนจับเอาเสือมาปล่อยไว้ในฝูงเนื้อ ฝูงเนื้อทั้งปวงก็จะมีอันตรายเป็นมั่นคง”
ความเห็นของเก๋งบูที่ปรึกษาคนนี้แหลมคม และอ่านแผนการของอ้วนเสี้ยวทะลุปรุโปร่ง ดังนั้นจึงแทนที่จะเห็นว่ากองซุนจ้านเป็นศัตรูและเป็นตัวอันตรายต่อเมืองกิจิ๋ว กลับเห็นว่าอ้วนเสี้ยวต่างหากที่เป็นศัตรูร้าย จะไว้วางใจให้ยกเข้ามาช่วยรักษาเมืองไม่ได้เป็นอันขาด ทั้งได้เสนอความเห็นในการบั่นทอนกำลังของอ้วนเสี้ยวลงด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดคือการไม่ส่งเสบียงให้ ดั่งนี้แล้วกองทัพของอ้วนเสี้ยวก็จะสิ้นกำลังไปเอง
แต่ฮันฮกถึงคราวจะวินาศแทนที่จะฟังคำของที่ปรึกษาผู้ภักดีดังแต่ก่อน กลับมีความเห็นวิปริต เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ตัดสินใจเชิญอ้วนเสี้ยวยกกองทัพเข้ามารักษาเมืองกิจิ๋ว
เมื่อตัดสินใจแล้วจึงมีหนังสือไปถึงอ้วนเสี้ยวขอความช่วยเหลือให้อ้วนเสี้ยวยกกองทัพเข้ามาช่วยป้องกันเมืองกิจิ๋ว เก๋งบูที่ปรึกษาเสียใจยิ่งนักที่ฮันฮกไม่ฟังคำจึงขอลาออกจากตำแหน่ง ขุนนางเมืองกิจิ๋วอีกสามสิบคนซึ่งเคยเห็นความคิดของเก๋งบูถูกต้องแม่นยำมาแต่ก่อนก็เชื่อตามแล้วขอลาออกจากตำแหน่งขุนนางเมืองกิจิ๋วไปพร้อมกัน
การตัดสินใจของฮันฮกในครั้งนี้คล้ายกับการตัดสินใจของโฮจิ๋นที่ให้เรียกกองทัพตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวง ดังนั้นชะตากรรมที่ฮ่องเต้ ขุนนางและราษฎรได้ประสบจากการเรียกกองทัพตั๋งโต๊ะเข้าเมืองหลวงเป็นประการใด ชะตากรรมของฮันฮก ขุนนางและราษฎรเมืองกิจิ๋วย่อมต้องประสบคล้ายคลึงกันประการนั้น
อ้วนเสี้ยวได้รับหนังสือของฮันฮกแล้วเห็นการเป็นไปตามแผนการของ ห้องกีก็มีความยินดียิ่งนักจึงออกคำสั่งให้ยกกองทัพทั้งสิ้นออกจากเมืองโห้ลายไปเมืองกิจิ๋ว
ฝ่ายเก๋งบูที่ปรึกษากับเพื่อนขุนนางอีกคนหนึ่ง แม้ว่าจะลาออกจากราชการแล้วแต่ยังคงห่วงหาอาทรเมืองกิจิ๋วและราษฎรเป็นอันมาก ครั้นทราบข่าวอ้วนเสี้ยวยกกองทัพมาเมืองกิจิ๋วตามหนังสือของฮันฮกแล้ว จึงคิดการจะร่วมกันสังหารอ้วนเสี้ยวเสียก่อนที่จะเข้าเมือง คิดอ่านร่วมกันแล้วก็พากันไปยืนแอบอยู่ที่ประตูเมืองกิจิ๋ว
ครั้นอ้วนเสี้ยวจะเข้าประตูเมือง เก๋งบูและเพื่อนขุนนางนั้นก็ชักกระบี่จะฟันอ้วนเสี้ยว แต่งันเหลียง บุนทิว สองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวซึ่งเดินตามมาด้วยเห็นเหตุการณ์จึงชักกระบี่วิ่งเข้าไปรับกระบี่ของสองขุนนางเมืองกิจิ๋ว แล้วฟันสองขุนนางถึงแก่ความตายที่ประตูเมืองนั้น
อ้วนเสี้ยวคนโฉด ณ บัดนี้ได้ห้องกีมาเป็นที่ปรึกษาจึงกลายเป็นอสรพิษร้ายและกำลังกรายเข้าประตูเมืองกิจิ๋ว พร้อมแล้วที่จะกัดฮันฮกผู้มีพระคุณของตน
อ้วนเสี้ยวเมื่อเข้าประตูเมืองกิจิ๋วแล้ว ฮันฮกได้ออกไปต้อนรับขับสู้อย่างสมเกียรติ แล้วเชิญอ้วนเสี้ยวไปที่จวนเจ้าเมืองเพื่อปรึกษาราชการ โดยหารู้ไม่ว่ากำลังอุ้มกอดอสรพิษร้ายไว้กับอก
เมื่ออ้วนเสี้ยวพร้อมทหารเอกและทหารติดตามเข้าไปถึงจวนเจ้าเมืองแล้ว ก็ขึ้นนั่งบนที่ว่าราชการของเจ้าเมือง ปล่อยให้ฮันฮกเจ้าเมืองยืนอยู่ข้างล่างแล้วออกคำสั่งถอดฮันฮกเสียจากที่เจ้าเมือง และให้ถอดขุนนางกรมการเมืองทั้งปวงออกจากตำแหน่งเสียทั้งสิ้น
แล้วอ้วนเสี้ยวจึงตั้งตนเองเป็นเจ้าเมืองแทน และตั้งเตียนห้อง โจสิว เคาสิว และห้องกี ที่มาด้วยกันจากเมืองโห้ลายให้เป็นขุนนางเมืองกิจิ๋ว ตั้งงันเหลียง บุนทิว เป็นทหารเอกของเมืองกิจิ๋ว ยึดอำนาจเมืองกิจิ๋วเบ็ดเสร็จสมบูรณ์ภายในวันเดียวนั้น
ฮันฮกเมื่อถูกถอดออกจากตำแหน่งแล้วก็เสียใจนักที่คิดผิดเชื่อและวางใจคนผิดมาคิดว่าถ้าจะอยู่เมืองกิจิ๋วต่อไปคงจะถูกอ้วนเสี้ยวฆ่าเสียเป็นแน่ จึงทิ้งบุตร ภรรยาและครอบครัวหนีไปอยู่เมืองตันลิวแต่ผู้เดียว
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสสอนในมงคลสามสิบแปดข้อแรกว่าอย่าคบคนพาล “การไม่คบคนพาลเป็นมงคลสูงสุด” เมื่อปฏิบัติตามมงคลนี้แล้วย่อมไม่แพ้ในที่ทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทั้งปวง
การไม่ปฏิบัติตามมงคลข้อนี้ย่อมตั้งอยู่ในฐานะที่พ่ายแพ้ทุกเมื่อ ย่อมถึงซึ่งความวิบัติในที่ทั้งปวง ฮันฮกเมื่อหลงเชื่อและคบคนพาลเช่นอ้วนเสี้ยวจึงต้องรับผลแห่งการกระทำของตน เสียทั้งเมือง และพลัดพรากจากครอบครัว ดั้นด้นไปแต่เดียวดาย
อ้วนเสี้ยวใช้กลอุบายหลอกเสือกองซุนจ้าน แล้วกินวัวฮันฮก ช่วงชิงชัยชนะยึดเมืองกิจิ๋วได้โดยไม่ต้องรบ แม้นับเป็นชัยชนะอันวิเศษแต่ชัยชนะเช่นนี้ย่อมเป็นชัยชนะที่เกิดแต่การหักหลังผู้มีพระคุณตัว จึงเป็นชัยชนะที่ย่อมต้องแฝงไว้ซึ่งความปราชัยควบคู่กันไป นั่นคือความปราชัยในด้านชื่อเสียงเกียรติยศที่ตระกูล “อ้วน” ได้สั่งสมมาหลายชั่วอายุคนจนหมดสิ้น.