ตอนที่ 400. น้ำมิตรจากความเป็นศัตรู

ซุนกวนกำหนดยุทโธบายโจมตีตัดกำลังกองทัพของโจโฉในการรับมือกับกองทัพสี่สิบหมื่นที่โจโฉยกลงใต้ในครั้งนี้ และได้อนุญาตให้กำเหลงปฏิบัติการรบแบบกองโจรหรือทำสงครามจรยุทธ์ในเวลากลางคืน ผลปรากฏว่าสามารถได้รับชัยชนะอย่างงดงาม จนซุนกวนต้องเปิดเผยความในใจที่รักในฝีมือให้กำเหลงทราบ

            ซุนกวนได้กล่าวสืบไปว่า เรารักและห่วงใยท่านเป็นอันมาก จึงได้ให้จิวท่ายคุมทหารยกหนุนไปช่วย การที่ท่านได้รับชัยชนะกลับมาในครั้งนี้โดยมิได้เสียทหารและม้า นับเป็นความชอบอันยิ่งใหญ่ในสงครามครั้งนี้

            ว่าแล้วซุนกวนจึงสั่งให้เอาดาบอย่างดีจำนวนหนึ่งร้อยเล่มและแพรอย่างดีพันพับมามอบแก่กำเหลงเพื่อบำเหน็จแก่ทหาร กำเหลงรับของบำเหน็จทั้งปวงจากซุนกวนแล้วจึงให้ทหารขนเอาของบำเหน็จเหล่านั้นไปแจกจ่ายแก่ทหารทั้งร้อยคนอย่างทั่วถึงกัน

            ซุนกวนได้ทราบความซึ่งกำเหลงได้ของบำเหน็จแล้วมิได้เก็บเอาไว้เป็นสมบัติส่วนตัว แต่ให้แจกจ่ายแก่ทหารผู้ใต้บังคับบัญชาดังนั้นก็มีความยินดี รำพึงขึ้นในใจว่า “โจโฉนั้นได้เตียวเลี้ยวไว้เป็นทหารเอก เราก็ได้กำเหลงไว้เป็นทหารเอก พอจะสู้กับเตียวเลี้ยวได้”

            ฝ่ายโจโฉคุมทหารสร้างค่ายใหม่จนถึงสว่างก็แล้วเสร็จ จึงสั่งให้เตียวเลี้ยว ลิเตียน และงักจิ้น คุมทหารสามพันยกไปท้ารบกับซุนกวนเพื่อลองกำลังศึก ในขณะที่ได้สั่งทหารที่ค่ายให้เตรียมพร้อม

            เตียวเลี้ยว ลิเตียน และงักจิ้นรับคำสั่งโจโฉแล้วจึงคุมทหารยกไปที่หน้าค่ายของซุนกวน แล้วร้องท้าทายให้ซุนกวนยกทหารออกมารบกันให้ประจักษ์ฝีมือ

            เล่งทองทราบว่ากองทัพเมืองฮูโต๋ยกมาท้ารบดังนั้นก็คิดว่าตัวเราเป็นอริอยู่กับกำเหลง บัดนี้กำเหลงทำการมีความชอบ ได้รับปูนบำเหน็จเป็นอันมาก ในครั้งนี้ควรที่เราจะได้อาสาออกไปรบศึกเพื่อสร้างความชอบให้ปรากฏไว้ จะได้ไม่น้อยหน้าแก่กำเหลง

            เล่งทองคิดดังนั้นแล้วจึงเข้าไปขออาสากับซุนกวนว่าจะขอนำทหารออกไปโจมตีกองทหารของเตียวเลี้ยวให้แตกพ่ายไปจงได้

            ซุนกวนได้ฟังดังนั้นจึงอนุญาตและสั่งให้จัดทหารห้าพันให้เล่งทองยกไปรบกับเตียวเลี้ยว

            เล่งทองคำนับลาซุนกวนออกไปจัดแจงทหาร แล้วยกออกจากค่ายตรงไปที่กองทหารของเตียวเลี้ยว ในขณะเดียวกันนั้นซุนกวนและกำเหลงก็ได้คุมทหารยกหนุนตามเล่งทองไปด้วย

            ทหารของทั้งสองฝ่ายได้ตั้งขบวนประจันหน้ากันมีระยะห่างกันเพียงสามเส้น เล่งทองขี่ม้าออกไปหน้าทหารตรงไปที่หน้าขบวนแถวของทหารเว่ย เห็นลิเตียนและงักจิ้นยืนม้ากระหนาบข้างเตียวเลี้ยวอยู่ เล่งทองจึงร้องท้าให้ออกมารบกัน

            เตียวเลี้ยวเห็นเล่งทองเป็นแต่เพียงนายทหารไม่ใช่ตัวแม่ทัพ จึงสั่งให้งักจิ้นออกไปรบกับเล่งทอง

            เสียงกลองศึกของทั้งสองฝ่ายดังขึ้นก้องกระหึ่มลานรบ งักจิ้นได้ชักม้าปราดออกไปหาเล่งทอง ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันบนหลังม้าเป็นสามารถ

            ทางฝ่ายโจโฉได้เตรียมพร้อมทหารอยู่ที่ค่าย แต่พอเตียวเลี้ยวยกทหารไปได้ครู่เดียว โจโฉก็คุมทหารยกหนุนตามเตียวเลี้ยวไป

            โจโฉยกทหารหนุนไปถึงสนามรบ ในขณะที่งักจิ้นและเล่งทองกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด จนผ่านพ้นไปถึงเพลงที่ห้าสิบ โจโฉเห็นการรบติดพันดังนั้นจึงกระซิบสั่งโจฮิวให้เอาเกาทัณฑ์ลอบยิงเล่งทอง

            โจฮิวรับคำสั่งโจโฉแล้วก็ขี่ม้าเลี่ยงออกมาด้านข้าง พอจังหวะเหมาะหวังผลในการยิงเกาทัณฑ์แล้วโจฮิวจึงยิ่งเกาทัณฑ์ไปที่เล่งทอง แต่เนื่องจากการรบบนหลังม้าเป็นไปอย่างรวดเร็ว เกาทัณฑ์ซึ่งโจฮิวยิงไปนั้นจึงพลาดไปถูกม้าที่เล่งทองขี่ ม้านั้นได้รับความเจ็บปวดจึงตกใจ สะบัดจนเล่งทองพลัดจากหลังม้าตกลงมาอยู่กับพื้น

            งักจิ้นเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าปรี่เข้าไปและเงื้อทวนจะแทงเล่งทอง

            ในขณะนั้นกำเหลงยืนม้าสังเกตการณ์อยู่ข้างซุนกวน และจับตาความเคลื่อนไหวอยู่ที่โจโฉมิได้คลาดสายตา เพราะรู้ดีว่าการบัญชาการทั้งปวงในการศึกครั้งนี้อยู่ที่ตัวคนซึ่งใส่เสื้อคลุมสีแดงภายใต้สัปทนผู้นี้ ครั้นกำเหลงเห็นโจโฉกระซิบกระซาบกับโจฮิวแล้วโจฮิวปลีกตัวออกไปเตรียมเกาทัณฑ์ไว้ก็พรั่นใจ คิดว่าโจฮิวคงคิดร้ายหมายลอบสังหารเล่งทองเพื่อช่วยเหลืองักจิ้น

            ดังนั้นกำเหลงจึงเตรียมเกาทัณฑ์พร้อมไว้ในมือบ้าง ในระยะฉุกเฉินที่งักจิ้นขี่ม้าปรี่เข้ามาจะเอาทวนแทงเล่งทองนั้น กำเหลงจึงเล็งเกาทัณฑ์แล้วยิงไปที่งักจิ้น ถูกหน้าผากของงักจิ้นพลัดตกลงจากหลังม้า แต่เดชะบุญที่งักจิ้นสวมหมวกเกราะ คมเกาทัณฑ์ปะทะกับหมวกเกราะ แม้จะทะลุหมวกเกราะไปได้ก็อ่อนแรง จึงทำให้งักจิ้นเป็นแต่ได้รับบาดเจ็บสาหัส

            ทหารของทั้งสองฝ่ายเห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงกรูกันเข้าไปช่วยพวกของตัวและรบป้องกันพานักรบของแต่ละฝ่ายออกจากลานรบ โจโฉและซุนกวนเห็นเหตุการณ์ชุลมุนดังนั้น จึงต่างฝ่ายต่างให้ตีระฆังสัญญาณถอยทัพแล้วกลับไปที่ค่าย

            ซุนกวนกลับไปถึงค่ายแล้วเรียกกำเหลงและเล่งทองเข้ามาพร้อมกัน และกล่าวกับเล่งทองว่าในขณะที่ท่านถูกเกาทัณฑ์พลัดตกลงจากหลังม้า และงักจิ้นจะเอาทวนแทงท่านนั้น กำเหลงเป็นผู้ยิงเกาทัณฑ์ไปที่งักจิ้น ทำให้งักจิ้นพลัดตกลงจากหลังม้า ท่านจึงรอดตาย

            เล่งทองรอดจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิดแต่ไม่รู่ว่าเป็นผู้ใดยิงเกาทัณฑ์ไปช่วยเหลือ ครั้นได้ฟังจากซุนกวนดังนั้นเล่งทองจึงตรงเข้าไปคำนับกำเหลงแล้วว่า “ท่านช่วยแก้เราไว้ครั้งนี้คุณท่านหาที่สุดมิได้ ซึ่งเราคิดพยาบาทท่านมาแต่ก่อนนั้นเราขออภัยเถิด แต่นี้สืบไปภายหน้าเราจะได้ตั้งใจประนอมต่อท่าน”

            กำเหลงได้ยินคำเล่งทองดังนั้นในใจก็นึกสรรเสริญว่าสมเป็นชายชาติทหาร สมศักดิ์ศรีของลูกทหารเสือเมืองกังตั๋งที่รู้จักจำแนกแยกแยะบุญคุณและความแค้น รู้จักยึดมั่นในคุณธรรมน้ำมิตร ไม่เหมือนกับพวกนักการเมืองในยุคผลาญชาติที่มัวแต่แก่งแย่งทำลายล้างกันโดยไม่คำนึงถึงความเป็นตายของบ้านเมืองและราษฎร ไม่คำนึงถึงคุณธรรมน้ำมิตรและไม่คำนึงถึงศีลธรรมและจริยธรรมใด ๆ

            กำเหลงจึงมีน้ำใจนึกเคารพเล่งทอง ต่างฝ่ายต่างสิ้นความกินแหนงแคลงใจลง ความเป็นอริและพยาบาทที่ดำรงดำเนินมาช้านานจึงหมดสิ้น กำเหลงจึงชวนเล่งทองเป็นเพื่อนร่วมสาบานกัน เล่งทองได้ฟังคำชวนของกำเหลงก็มีความยินดี

            ดังนั้นทั้งกำเหลงและเล่งทองจึงได้คุกเข่าลงตรงหน้าซุนกวนสาบานเป็นเพื่อนร่วมชีวิต ร่วมเป็นร่วมตายกันสืบไป

            ทางฝ่ายโจโฉเมื่อกลับไปถึงค่ายก็สั่งให้หมอมารักษาบาดแผลของงักจิ้น และเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรึกษาถึงแผนการยุทธ์ว่าจะทำการประการใดจึงจะเอาชัยชนะต่อกองทัพเมืองกังตั๋งได้

            โจโฉได้ปรารภกับบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่า เมื่อได้พิจารณาการยุทธ์ที่ผ่านมาแล้วเห็นได้ชัดว่ากองทัพเมืองกังตั๋งกำลังใช้ยุทธวิธีโจมตีบั่นทอนกำลัง และไม่กล้ายกกองทัพทำศึกใหญ่ต่อกัน อันเป็นการเผยให้เห็นถึงจุดอ่อนของกองทัพเมืองกังตั๋งว่าไม่กล้าทำสงครามแบบแผนซึ่งหน้ากับกองทัพของเรา

            โจโฉกล่าวสืบไปว่า การซึ่งจะเอาชนะกองทัพเมืองกังตั๋งได้นั้นจะต้องทำการรบแตกหัก ดังนั้นจึงออกคำสั่งทางยุทธการ “ให้เตียวเลี้ยวกับลิเตียนคุมทหารคนละหมื่นยกแยกกันไปริมชายทะเลเป็นสองทาง ให้ซิหลงกับบังเต๊กคุมทหารกองละหมื่นยกแยกกันไปริมเนินเขาเป็นสองทาง”

            ส่วนตัวโจโฉจะคุมทหารเป็นกองทัพหลวงยกไปทำการพร้อมกันทั้งห้ากอง และกำหนดเวลาวันรุ่งขึ้นเป็นวันปฏิบัติการยุทธ์ครั้งใหญ่

            ตามแผนการยุทธ์ของโจโฉในครั้งนี้เป็นการจัดกำลังรบถึงห้าสาย โดยยกเข้าตีตามชายทะเลสองสาย ยกเข้าตีตามแนวภูเขาสองสาย และโจโฉคุมกองทัพหลวงเข้าตีซึ่งหน้าที่กองทัพหลวงของเมืองกังตั๋ง นับเป็นการทำสงครามแบบแผนครั้งใหญ่ในศึกครั้งนี้

            ครั้นเวลารุ่งขึ้นกองทัพของโจโฉทั้งห้าสายก็เคลื่อนทัพรุกเข้าโจมตีกองทัพเมืองกังตั๋งพร้อมกันทุกด้าน ทหารทั้งสองฝ่ายตามแนวรบต่าง ๆ ได้ต่อสู้รบพุ่งกันเป็นสามารถ

            ทางด้านชายทะเลตังสิดและชีเซ่งซึ่งคุมทหารเรืออยู่ที่ชายทะเล เห็นทหารของลิเตียนยกมาเป็นอันมากก็สั่งทหารให้เตรียมยกพลขึ้นบกจะไปรบกับทหารของโจโฉ แต่ทหารเรือเมืองกังตั๋งรู้ตัวว่ามีจำนวนน้อยจึงไม่กล้าขึ้นบกไปต่อสู้กับทหารของโจโฉซึ่งมีจำนวนมากกว่าได้ ต่างคนต่างไม่ยอมลงจากเรือ

            ชีเซ่งเห็นดังนั้นก็โกรธ ร้องด่าทหารในเรือว่า “ธรรมดาเป็นชาติทหารกินเบี้ยหวัดท่าน ถ้ามีสงครามมาก็ให้ตั้งใจรบพุ่งเป็นสามารถ แลตัวท่านทั้งปวงนี้เห็นแต่ข้าศึกมาก็ให้ตั้งย่อท้อดังนี้ ไม่สมควรเป็นชาติทหาร บัดนี้เราจะขึ้นต่อสู้ด้วยข้าศึก แม้ผู้ใดครั่นคร้ามอยู่เราก็จะตัดศีรษะเสีย”

            ชีเซ่งกล่าวดังนั้นแล้วจึงพาทหารลงจากเรือรบลงไปในเรือน้อยแล้วแจวไปขึ้นฝั่ง ปรากฏว่ามีบรรดาทหารเรือติดตามชีเซ่งไปเพียงประมาณสามร้อยนายเท่านั้น ชีเซ่งก็มิได้ประหวั่นพรั่นพรึง คุมทหารสามร้อยนายขึ้นฝั่งแล้วตรงเข้าตะลุมบอนกับทหารของลิเตียน

            ทางฝ่ายตังสิดยังอยู่บนเรือรบ เห็นทหารเมืองกังตั๋งที่เหลืออยู่บนเรือล้วนขี้ขลาดตาขาวก็โกรธ จึงสั่งให้หน่วยดุริยางค์ตีม้าล่อฆ้องกลองหวังปลุกปลอบขวัญทหาร

            แต่โชคไม่เข้าข้างฝ่ายกังตั๋ง เพราะในขณะที่เสียงม้าล่อฆ้องกลองดังอึงคะนึงอยู่นั้น “ลมพายุใหญ่พัดมา เสียงคลื่นแลระลอกนั้นเอิกเกริก เรือรบทั้งปวงก็จลาจลดังจะล่มลง”

            พายุพัดแรงจัด เรือรบเมืองกังตั๋งขวางลำกระแทกกันดังสนั่น เสาใบเรือบางลำโค่นหักสะบั้นลง เรือโคลงเคลงประหนึ่งจะล่ม ทหารที่เหลือบนเรือต่างตกใจกลัวตาย พากันวิ่งไปที่กราบเรือเพื่อจะหนีลงเรือน้อยขึ้นไปบนฝั่ง

            ตังสิดเห็นทหารขี้ขลาดชุลมุนวุ่นวายดังนั้นก็ยิ่งโกรธ ชักกระบี่ออกแล้วไล่ฆ่าฟันทหารเหล่านั้นถึงแก่ความตายเกือบห้าสิบคน แล้วร้องขึ้นด้วยเสียงอันดังด้วยความโกรธว่า “นายเราให้มาขัดทัพอยู่ เกิดลมพายุแต่เพียงนี้ ต่างคนต่างจะหนีขึ้นบก แม้จะขืนขึ้นไปให้ได้ เราจะฟันเสียให้สิ้น”

            ตังสิดกล่าวขาดคำลงลมพายุก็ยิ่งพัดหนัก คลื่นลูกใหญ่สูงเท่าภูเขาถาโถมเข้าใส่กองเรือทั้งปวงซึ่งตังสิดบัญชาอยู่นั้น สมอเรือซึ่งทอดอยู่ได้ขาดสะบั้น และเรือรบได้จมลงเป็นหลายลำ รวมทั้งเรือที่ตังสิดบัญชาการอยู่ก็จมหายไปกับคลื่น ตังสิดดำน้ำออกมาจากใต้ท้องเรือได้แต่ว่ายน้ำอยู่ได้พักใหญ่ก็สิ้นแรงจมน้ำถึงแก่ความตาย บรรดาทหารเรือเมืองกังตั๋งจมน้ำตายในเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นอันมาก

            ส่วนแนวรบทางด้านเนินเขา ตันบูซึ่งคุมทหารลาดตระเวนของเมืองกังตั๋งปะทะกับบังเต๊กซึ่งคุมทหารของโจโฉไปตามแนวเนินเขา ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันเป็นสามารถ และบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            ทางฝ่ายซุนกวนคุมกองทัพหลวงทราบว่ากองทัพเมืองฮูโต๋ยกเข้าตี จึงพาจิวท่ายและทหารเพื่อจะยกหนุนไปช่วยทหารตามแนวรบต่าง ๆ

            พอซุนกวนและจิวท่ายคุมทหารมาถึงชายทะเลก็เห็นชีเซ่งกำลังรบกับลิเตียนอย่างดุเดือด แต่เห็นว่าทหารของชีเซ่งมีจำนวนน้อยกว่าเกรงว่าจะเสียทีแก่ข้าศึก จึงสั่งทหารให้ยกหนุนเข้าช่วยทหารของชีเซ่ง

            ในขณะนั้นเตียวเลี้ยวและซิหลงได้คุมทหารตีฝ่ามาจากแนวชายทะเลและแนวเนินเขายกมาบรรจบกันได้ เห็นซุนกวนคุมทหารยกหนุนช่วยชีเซ่ง จึงสั่งทหารให้ตีกระหนาบล้อมซุนกวนไว้

            ฝ่ายโจโฉคุมกองทัพหลวงสังเกตการณ์อยู่บนเนินเขาเพื่อเตรียมพร้อมเข้าตีกองทัพหลวงของซุนกวน เห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็รู้ว่าการณ์กำลังได้ทีแก่กองทัพเมืองกังตั๋ง จึงสั่งเคาทูให้คุมทหารยกหนุนไปช่วยเตียวเลี้ยวและซิหลง และให้ล้อมจับซุนกวนให้จงได้

            ทหารเมืองกังตั๋งและทหารเมืองหลวงสู้รบกันแบบตะลุมบอนอย่างดุเดือดจน จิวท่ายพลัดหลงกับซุนกวน จิวท่ายเหลียวมาไม่เห็นซุนกวนก็ตกใจ จึงขี่ม้าฝ่าทหารของทั้งสองฝ่ายซึ่งกำลังสู้รบกันเพื่อตามหาซุนกวนจนไปถึงชายทะเลก็ไม่เห็นซุนกวน.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘