ตอนที่ 399. ต้นแบบสงครามจรยุทธ์
ในขณะที่ซุนกวนตระเตรียมกองทัพเพื่อจะยกไปแก้แค้นเตียวเลี้ยวให้หายความอัปยศนั้น โจโฉก็ได้ยาตราทัพสี่สิบหมื่นจากเมืองฮันต๋งไปป้องกันรักษาเมืองหับป๋า และดำเนินยุทธวิธีเชิงรุกโดยยกกองทัพไปตั้งที่ชายแดนเมืองหับป๋ากับแดนเมืองกังตั๋ง ทำให้ซุนกวนต้องรีบยกกองทัพไปสกัดกองทัพโจโฉโดยมีเล่งทองเป็นกองทัพหน้า
ทางฝ่ายซุนกวนเมื่อให้เล่งทองเป็นกองทัพหน้ายกไปโจมตีตัดกำลังกองทัพโจโฉแล้วยังไม่วางใจ ด้วยเกรงว่าเล่งทองเป็นคนเจ้าอารมณ์ อาจพลาดพลั้งเสียทีแก่ข้าศึก จึงให้ลิบองคุมทหารเป็นกองหนุนยกตามไปช่วยเล่งทอง
ลิบองยกทหารไปถึงกลางทางก็สวนกับเล่งทอง จึงพากันกลับมาที่ค่ายยี่สู แล้วรายงานความทั้งปวงให้ซุนกวนทราบ
ซุนกวนทราบรายงานแล้วแม้จะรู้สึกผิดหวังในใจลึกแต่มิได้ว่ากล่าวประการใด กำเหลงเห็นดังนั้นจึงคำนับซุนกวนแล้วว่าท่านได้อนุญาตให้เล่งทองยกทหารไปทำการตามที่อาสาแล้ว ดังนั้นการโจมตีตัดกำลังกองทัพโจโฉระลอกต่อไปข้าพเจ้าจึงขออาสา โดยจะขอทหารแต่เพียงหนึ่งร้อยนายยกไปจู่โจมค่ายของโจโฉในคืนวันนี้ หากแม้นสูญเสียทหารแม้แต่สักคนหนึ่ง สูญเสียม้าแม้แต่สักตัวหนึ่ง ก็อย่าได้ให้ความชอบสิ่งใดแก่ข้าพเจ้าเลย
ซุนกวนกำลังอึ้งอยู่กับรายงานการศึกยกแรกของเล่งทอง ครั้นได้ฟังคำอาสาของกำเหลงก็รู้สึกชื่นใจ เพราะน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ทั้งซุนกวนเองก็เคยประจักษ์ฝีมือของกำเหลงมาแต่ก่อน
ดังนั้นซุนกวนจึงอนุญาตให้กำเหลงคุมทหารเมืองกังตั๋งจำนวนหนึ่งร้อยนายตามที่กำเหลงร้องขอเพื่อยกไปโจมตีตัดกำลังกองทัพโจโฉในคืนวันนี้ ซุนกวนตระหนักดีว่าการจู่โจมในเวลากลางคืนด้วยกองกำลังขนาดเล็กนับเป็นการยุทธ์แบบใหม่ในยุคนั้น ดังนั้นซุนกวนจึงสั่งให้คัดสรรแต่เฉพาะทหารมีฝีมือดี มีประสบการณ์ในการรบไม่น้อยกว่าสามปี และให้รางวัลสุราห้าสิบไห เนื้อแพะอีกสิบชั่งแก่กำเหลงเพื่อเลี้ยงบำรุงขวัญทหารก่อนที่จะยกไปทำการศึก
การจัดกำลังและแนวความคิดเรื่องการยุทธ์ของกำเหลงที่อาสาซุนกวนนำกำลังทหารแต่เพียงหนึ่งร้อยนายเข้าจู่โจมตัดกำลังกองทัพโจโฉในเวลากลางคืน คือต้นแบบของสงครามจรยุทธ์ ที่ได้พัฒนาจนมีความสำคัญทั้งในระดับยุทธศาสตร์ ระดับยุทธวิธี และการยุทธ์ในระยะสองพันปีถัดมา โดยเหมาเจ๋อตงประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประพันธ์สรรนิพนธ์สำคัญในเรื่องนี้คือ ปัญหายุทธศาสตร์ในสงครามจรยุทธ์ของจีน เพื่อชี้นำปฏิบัติการทางทหารของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ทั้งในฐานะยุทธศาสตร์ ฐานะทางยุทธวิธี ฐานะทางการยุทธ์และรูปแบบทางการรบนานาประการ ความคิดของกำเหลงในยุคสามก๊กเป็นเพียงการก่อกำเนิดขึ้นของรูปแบบสงครามจรยุทธ์ คือจรแล้วยุทธ์ ยุทธ์แล้วจร สลับกันไป สงครามชนิดนี้สามารถใช้กำลังขนาดเล็กเข้าจู่โจมทำลายกำลังขนาดใหญ่ได้ โดยมีเป้าหมายคือการบั่นทอนตัดกำลังกองทัพขนาดใหญ่ให้อ่อนด้อยลงอย่างเป็นขั้นตอน แล้วจู่โจมทำลายด้วยสงครามแบบแผนในภายหลัง ในการศึกครั้งนี้โจโฉยกกองทัพใหญ่กำลังพลถึงสี่สิบหมื่น ดังนั้นฝ่ายกังตั๋งจึงต้องใช้ยุทธวิธีตัดกำลังเพื่อให้อ่อนแอลง การจู่โจมของเล่งทองในเวลากลางวันแทบจะกล่าวได้ว่าไม่ได้ผล เพราะเป็นการเอากำลังน้อยเข้าต่อสู้กับกำลังมากซึ่งหน้าในสงครามแบบแผน ต่างกับวิธีของกำเหลงซึ่งใช้หลักการของสงครามจรยุทธ์ คือจรไปยุทธ์ ยุทธ์แล้วค่อยจรหนี
กำเหลงรับคำสั่งซุนกวนแล้วคำนับลา และสั่งทหารที่ติดตามให้ขนสุราและเนื้อแพะไปที่ค่ายทหาร รับเอาทหารฝีมือดีที่ซุนกวนสั่งคัดเลือกไว้ให้จำนวนหนึ่งร้อยคน แล้วพาทหารเหล่านั้นไปที่ลานฝึกทหาร
กำเหลงได้แจ้งให้ทหารเหล่านั้นรับทราบภารกิจว่าในคืนวันนี้จะยกไปโจมตีปล้นค่ายของโจโฉ เป็นการศึกครั้งสำคัญที่ต้องการข่มขวัญและทำลายข้าศึก จึงขอให้ทหารทุกคนเตรียมกายเตรียมใจให้พร้อมและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย เพื่อปกป้องกังตั๋ง ขับไล่ศัตรู
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันโห่ร้องแล้วกล่าวพร้อมกันว่า ปกป้องกังตั๋ง ขับไล่ศัตรู
กำเหลงเห็นทหารมีขวัญกำลังใจดียิ่งจึงเอาขันเงินตักสุราดื่มต่อหน้าทหารรวดเดียวถึงสองขัน แล้วประกาศว่าเพื่อศักดิ์ศรีของชายชาติทหารและเพื่อชัยชนะของพวกเรา ขอให้ทุกคนได้ดื่มกินให้เป็นที่สำราญ แล้วจะได้รีบยกไปโจมตีค่ายของโจโฉ
ว่าแล้วกำเหลงจึงสั่งให้ทหารเอาสุราและเนื้อแพะแจกจ่ายแก่ทหารทั้งร้อยคนอย่างทั่วถึงกัน ในระหว่างนั้นกำเหลงก็กล่าวปลุกระดมขวัญกำลังใจทหาร พร้อมทั้งชี้ว่าการที่ทหารจำนวนมากชนะทหารจำนวนน้อยใคร ๆ ก็ทำได้ การที่ทหารซึ่งเข้มแข็งกว่าเอาชนะทหารซึ่งอ่อนแอกว่าใคร ๆ ก็ทำได้ ในค่ำคืนวันนี้เราจะใช้ทหารจำนวนน้อยแต่มีจิตใจเปี่ยมด้วยความวีระกล้าหาญเข้าโจมตีทำลายทหารจำนวนมาก เพื่อให้เป็นเกียรติประวัติไว้ในสงครามสืบไป
บรรดาทหารเหล่านั้นต่างโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม จนเวลาย่างเข้าปลายยามแรก กำเหลงจึงให้ทหารตั้งขบวนพร้อมด้วยม้าและศาสตราวุธทั้งปวง และให้เอาขนห่านป่าซึ่งสะท้อนแสงพอเห็นได้ในเวลากลางคืนปักไว้ที่หมวกเป็นสำคัญ
กำเหลงขี่ม้าถือทวนยืนม้าอยู่หน้าทหารทั้งปวงเป็นที่สง่าน่าเกรงขาม จนกระทั่งถึงปลายยามแรกได้เวลาฤกษ์ดี กำเหลงจึงสั่งเคลื่อนพลเลียบไปตามแนวเขา เห็นค่ายหลวงของโจโฉตั้งเป็นสง่าอยู่ในท่ามกลางค่ายทหารทั้งปวง มีค่ายบริวารเรียงรายอยู่โดยรอบทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
กำเหลงสั่งทหารให้แบ่งเป็นสามกอง กองละสามสิบคนสองกอง อีกกองหนึ่งสี่สิบคน ทหารกองละสามสิบคนให้กระจายเข้าจู่โจมใช้ธนูเพลิงเผาค่ายบริวาร กองสี่สิบคนให้ทำหน้าที่จู่โจมใช้ธนูเพลิงเผาค่ายของโจโฉ เมื่อยิงธนูเพลิงแล้วให้คอยสกัดยิงทหารโจโฉที่แตกพล่านนั้น แต่มิให้ปะทะซึ่งหน้า
ทหารหน่วยจู่โจมของกำเหลงทั้งร้อยคนรับคำสั่งแล้วกระจายกำลังออกปฏิบัติการตามคำสั่งอย่างเงียบกริบ ขณะนั้นเป็นเดือนสิบอากาศเริ่มหนาวเย็น ทหารของเมืองหลวงกำลังพักผ่อนนอนหลับด้วยความอ่อนล้าอิดโรย พอถึงปลายยามสองค่ายหลวงของโจโฉและค่ายบริวารทั้งสองด้านก็ถูกยิงด้วยธนูเพลิงพร้อมกัน
ธนูเพลิงถูกระดมยิงไปยังค่ายต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ไฟติดขึ้นที่ค่ายหลวงและค่ายต่าง ๆ เป็นหลายแห่ง สายลมในยามดึกพัดแรง เร่งให้ไฟลุกไหม้โชติช่วงอย่างรวดเร็ว ทหารของกำเหลงซึ่งอยู่ข้างนอกได้โห่ร้องข่มขวัญและวิ่งสลับกันไปมา ในขณะที่ทหารรักษาการณ์และทหารในค่ายของโจโฉรู้ว่าถูกโจมตีแต่มิรู้ว่าข้าศึกมีจำนวนมากหรือน้อยจึงพากันแตกตื่นตกใจเกิดชุลมุนกันขึ้น
ทหารของโจโฉแตกตื่นวิ่งออกจากค่ายเป็นอลหม่าน จึงถูกทหารของกำเหลงใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทหารของโจโฉเห็นเพื่อนทหารถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์แต่ไม่รู้ว่ายิงมาจากทิศใดก็ยิ่งตกใจ พากันวิ่งหนีเหยียบกันเองตายเป็นจำนวนมาก
โจโฉตื่นขึ้นมาในกลางดึกเห็นแสงเพลิงไหม้ค่ายสว่างไสวและได้ยินเสียงทหารโห่ร้องปนกับเสียงทหารวิ่งหนีแตกตื่นก็ตกใจ รีบสวมเสื้อแต่ไม่ทันใส่เกราะ ทหารองครักษ์ที่ดูแลความปลอดภัยของโจโฉจึงรีบมาเชิญโจโฉไปขึ้นม้าขับหนีออกจากค่าย
กำเหลงนำทหารโจมตีทหารโจโฉอยู่หนึ่งชั่วยามเศษ เห็นค่ายทหารของโจโฉถูกเพลิงไหม้เป็นจำนวนมาก และเห็นทหารซึ่งยกมาทำการสำเร็จตามแผนการก็มีความยินดี ครั้นสังเกตเห็นโจโฉแลทหารพากันหนีออกจากค่ายไปแล้ว กำเหลงจึงให้สัญญาณระดมพลเพื่อจะถอนกำลังกลับไปค่าย
ทหารเมืองกังตั๋งประสบชัยชนะในการจู่โจมแบบกองโจรอย่างงดงาม ต่างเริงร่าในชัยชนะ ครั้นมาถึงจุดชุมนุมพลแล้วต่างคนต่างแสดงความยินดีต่อกันและกัน กำเหลงสำรวจพลเห็นไม่มีผู้ใดบาดเจ็บล้มตาย ยังคงอยู่ครบทั้งคนและม้าก็มีความยินดี จึงสั่งเคลื่อนพลกลับ
ในขณะที่กำเหลงชุมนุมพลเพื่อเตรียมถอนกำลังกลับนั้น โจโฉซึ่งหนีออกจากค่ายได้จุดพลุสัญญาณเพื่อระดมพลของทหารฝ่ายเมืองหลวง บรรดาทหารของโจโฉทราบสัญญาณแล้วจึงพากันไปชุมนุมพลอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในขณะที่โจโฉกำลังระดมพลอยู่นั้น หน่วยสอดแนมก็มารายงานว่าทหารเมืองกังตั๋งซึ่งยกมาทำการครั้งนี้มีจำนวนไม่มากนัก ขณะนี้กำลังชุมนุมพลอยู่ ไม่แน่ว่าจะถอยกลับหรือจะยกไปที่ใด
โจโฉฟังรายงานแล้วคิดว่าทหารเมืองกังตั๋งหากมีจำนวนน้อยไหนเลยจะกล้ามาจู่โจม คงเป็นอุบายของซุนกวนใช้หน่วยล่อเข้าจู่โจมเพื่อลวงให้เรายกไปตามตีแล้วซุ่มโจมตีในภายหลัง โจโฉคิดดังนั้นแล้วก็หัวเราะ แล้วสั่งทหารให้ตั้งค่ายขึ้นใหม่ให้แล้วเสร็จภายในคืนวันนั้น
ฝ่ายกำเหลงขณะที่พาทหารกลับไปหาซุนกวนนั้น ครั้นเวลาใกล้สว่างได้สวนทางกับจิวท่ายคุมทหารหนึ่งพันยกสวนมา กำเหลงจึงเข้าไปทักทายแล้วไต่ถามว่าท่านจะยกทหารไปที่ใด
จิวท่ายจึงว่าซุนกวนมีความเป็นห่วงเกรงว่าท่านจะเป็นอันตราย จึงให้ข้าพเจ้ายกทหารหนุนมาช่วย และมาสวนทางกันดังนี้
กำเหลงจึงรายงานความซึ่งได้จู่โจมเผาค่ายของโจโฉให้จิวท่ายฟังทุกประการ แล้วสองนายทหารเอกก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน จิวท่ายได้สรรเสริญความกล้าหาญของกำเหลงเป็นอันมาก จากนั้นจึงพากันยกทหารกลับ และให้ม้าเร็วรีบล่วงหน้าไปรายงานความให้ซุนกวนทราบก่อน
ในวันนั้นซุนกวนตื่นแต่ยังไม่สว่างเพราะกังวลด้วยการศึกซึ่งกำเหลงได้อาสาไปโจมตีค่ายโจโฉ และแม้จะได้ให้จิวท่ายยกทหารหนุนไปช่วยซุนกวนก็ยังไม่วางใจ ครั้นได้ทราบว่ามีม้าเร็วมาส่งข่าวจากทางด้านกำเหลง ซุนกวนจึงให้ม้าเร็วเข้ามารายงานข่าว
พอซุนกวนทราบรายงานการศึกว่ากำเหลงทำการได้ชัยชนะแก่ข้าศึกก็มีความยินดี รีบแต่งตัวพาทหารออกไปต้อนรับกำเหลงถึงนอกค่าย ครั้นเห็นกำเหลงและจิวท่ายพา ทหารเข้ามาใกล้ ซุนกวนจึงให้ทหารตีฆ้องกลองและม้าล่อกึกก้องฉลองชัยชนะ
กำเหลงเห็นซุนกวนออกมาต้อนรับดังนั้นก็มีความยินดี จึงรีบลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปคุกเข่าคำนับซุนกวน
ซุนกวนเห็นดังนั้นก็รีบลงจากหลังม้า เข้าไปพยุงกำเหลงให้ลุกขึ้น แล้วชวนขึ้นม้ากลับไปที่ค่าย
พอไปถึงค่ายซุนกวนจึงกล่าวกับกำเหลงว่า เราได้ฟังรายงานการทำศึกของท่านแล้ว นับเป็นชัยชนะอย่างงดงามของเมืองกังตั๋งเรา พอแก้ความอัปยศจากศึกครั้งก่อนได้บ้าง เหตุการณ์ในคืนวันนี้ “ทำให้อ้ายศัตรูเฒ่าตกใจเสียทหารเป็นอันมาก ตัวเรามิใช่จะไม่รักท่านนั้นหามิได้ แต่คิดว่าจะให้ทหารทั้งปวงปรากฏฝีมือท่านไว้ เราก็ได้ให้จิวท่ายคุมทหารหนุนไปช่วย”
ความอันซุนกวนกล่าวกับกำเหลงครั้งนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความในใจของซุนกวนที่มีต่อกำเหลง และไม่เคยกล่าวความนี้มาก่อนเลย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาซุนกวนได้ปฏิบัติในลักษณะที่เอาอกเอาใจเล่งทองผู้บุตรของเล่งโฉ อดีตนายทหารเอกเมืองกังตั๋งคล้ายกับว่ากำเหลงเป็นคนนอก ไม่อยู่ในความสนใจใส่ใจของซุนกวน การทั้งนี้เนื่องจาก ซุนกวนยึดมั่นใน “คนเก่า เพื่อนเก่า ข้าเก่า” ยิ่งกว่า “คนใหม่ เพื่อนใหม่ ข้าใหม่” อันเล่งโฉนั้นเป็นทหารเอกเมืองกังตั๋งมาแต่ครั้งซุนเกี๋ยน ถูกกำเหลงซึ่งขณะนั้นเป็นทหารเอกของหองจอสังหารในยุทธนาวีที่อ่าวกังแฮ ครั้นกำเหลงเข้าสวามิภักดิ์กับซุนกวนแล้ว ความอาฆาตในใจของเล่งทองด้วยเรื่องกำเหลงสังหารบิดาก็ยังไม่เสื่อมสิ้นไป และทุกครั้งที่มีเหตุการณ์วิวาท ซุนกวนก็ได้แสดงท่าทีที่ปกป้องเข้าข้างเล่งทองตลอดมา จนซุนกวนเองก็สำนึกว่าไม่เป็นการยุติธรรม จึงได้ระบายความในใจแก่กำเหลงว่าน้ำใจแท้นั้นใช่ว่าจะไม่รัก
หากเป็นความรักที่ต้องการให้คนทั้งปวงได้ประจักษ์ด้วยว่าเป็นความรักในผลงานและฝีไม้ลายมืออย่างแท้จริง มิใช่รักเพราะความใกล้ชิดหรือความเป็นญาติสนิทแต่ประการใด.
ทางฝ่ายซุนกวนเมื่อให้เล่งทองเป็นกองทัพหน้ายกไปโจมตีตัดกำลังกองทัพโจโฉแล้วยังไม่วางใจ ด้วยเกรงว่าเล่งทองเป็นคนเจ้าอารมณ์ อาจพลาดพลั้งเสียทีแก่ข้าศึก จึงให้ลิบองคุมทหารเป็นกองหนุนยกตามไปช่วยเล่งทอง
ลิบองยกทหารไปถึงกลางทางก็สวนกับเล่งทอง จึงพากันกลับมาที่ค่ายยี่สู แล้วรายงานความทั้งปวงให้ซุนกวนทราบ
ซุนกวนทราบรายงานแล้วแม้จะรู้สึกผิดหวังในใจลึกแต่มิได้ว่ากล่าวประการใด กำเหลงเห็นดังนั้นจึงคำนับซุนกวนแล้วว่าท่านได้อนุญาตให้เล่งทองยกทหารไปทำการตามที่อาสาแล้ว ดังนั้นการโจมตีตัดกำลังกองทัพโจโฉระลอกต่อไปข้าพเจ้าจึงขออาสา โดยจะขอทหารแต่เพียงหนึ่งร้อยนายยกไปจู่โจมค่ายของโจโฉในคืนวันนี้ หากแม้นสูญเสียทหารแม้แต่สักคนหนึ่ง สูญเสียม้าแม้แต่สักตัวหนึ่ง ก็อย่าได้ให้ความชอบสิ่งใดแก่ข้าพเจ้าเลย
ซุนกวนกำลังอึ้งอยู่กับรายงานการศึกยกแรกของเล่งทอง ครั้นได้ฟังคำอาสาของกำเหลงก็รู้สึกชื่นใจ เพราะน้ำเสียงหนักแน่นเด็ดเดี่ยว ทั้งซุนกวนเองก็เคยประจักษ์ฝีมือของกำเหลงมาแต่ก่อน
ดังนั้นซุนกวนจึงอนุญาตให้กำเหลงคุมทหารเมืองกังตั๋งจำนวนหนึ่งร้อยนายตามที่กำเหลงร้องขอเพื่อยกไปโจมตีตัดกำลังกองทัพโจโฉในคืนวันนี้ ซุนกวนตระหนักดีว่าการจู่โจมในเวลากลางคืนด้วยกองกำลังขนาดเล็กนับเป็นการยุทธ์แบบใหม่ในยุคนั้น ดังนั้นซุนกวนจึงสั่งให้คัดสรรแต่เฉพาะทหารมีฝีมือดี มีประสบการณ์ในการรบไม่น้อยกว่าสามปี และให้รางวัลสุราห้าสิบไห เนื้อแพะอีกสิบชั่งแก่กำเหลงเพื่อเลี้ยงบำรุงขวัญทหารก่อนที่จะยกไปทำการศึก
การจัดกำลังและแนวความคิดเรื่องการยุทธ์ของกำเหลงที่อาสาซุนกวนนำกำลังทหารแต่เพียงหนึ่งร้อยนายเข้าจู่โจมตัดกำลังกองทัพโจโฉในเวลากลางคืน คือต้นแบบของสงครามจรยุทธ์ ที่ได้พัฒนาจนมีความสำคัญทั้งในระดับยุทธศาสตร์ ระดับยุทธวิธี และการยุทธ์ในระยะสองพันปีถัดมา โดยเหมาเจ๋อตงประธานพรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ประพันธ์สรรนิพนธ์สำคัญในเรื่องนี้คือ ปัญหายุทธศาสตร์ในสงครามจรยุทธ์ของจีน เพื่อชี้นำปฏิบัติการทางทหารของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน ทั้งในฐานะยุทธศาสตร์ ฐานะทางยุทธวิธี ฐานะทางการยุทธ์และรูปแบบทางการรบนานาประการ ความคิดของกำเหลงในยุคสามก๊กเป็นเพียงการก่อกำเนิดขึ้นของรูปแบบสงครามจรยุทธ์ คือจรแล้วยุทธ์ ยุทธ์แล้วจร สลับกันไป สงครามชนิดนี้สามารถใช้กำลังขนาดเล็กเข้าจู่โจมทำลายกำลังขนาดใหญ่ได้ โดยมีเป้าหมายคือการบั่นทอนตัดกำลังกองทัพขนาดใหญ่ให้อ่อนด้อยลงอย่างเป็นขั้นตอน แล้วจู่โจมทำลายด้วยสงครามแบบแผนในภายหลัง ในการศึกครั้งนี้โจโฉยกกองทัพใหญ่กำลังพลถึงสี่สิบหมื่น ดังนั้นฝ่ายกังตั๋งจึงต้องใช้ยุทธวิธีตัดกำลังเพื่อให้อ่อนแอลง การจู่โจมของเล่งทองในเวลากลางวันแทบจะกล่าวได้ว่าไม่ได้ผล เพราะเป็นการเอากำลังน้อยเข้าต่อสู้กับกำลังมากซึ่งหน้าในสงครามแบบแผน ต่างกับวิธีของกำเหลงซึ่งใช้หลักการของสงครามจรยุทธ์ คือจรไปยุทธ์ ยุทธ์แล้วค่อยจรหนี
กำเหลงรับคำสั่งซุนกวนแล้วคำนับลา และสั่งทหารที่ติดตามให้ขนสุราและเนื้อแพะไปที่ค่ายทหาร รับเอาทหารฝีมือดีที่ซุนกวนสั่งคัดเลือกไว้ให้จำนวนหนึ่งร้อยคน แล้วพาทหารเหล่านั้นไปที่ลานฝึกทหาร
กำเหลงได้แจ้งให้ทหารเหล่านั้นรับทราบภารกิจว่าในคืนวันนี้จะยกไปโจมตีปล้นค่ายของโจโฉ เป็นการศึกครั้งสำคัญที่ต้องการข่มขวัญและทำลายข้าศึก จึงขอให้ทหารทุกคนเตรียมกายเตรียมใจให้พร้อมและปฏิบัติหน้าที่ด้วยความกล้าหาญ ไม่กลัวเจ็บ ไม่กลัวตาย เพื่อปกป้องกังตั๋ง ขับไล่ศัตรู
ทหารทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็พากันโห่ร้องแล้วกล่าวพร้อมกันว่า ปกป้องกังตั๋ง ขับไล่ศัตรู
กำเหลงเห็นทหารมีขวัญกำลังใจดียิ่งจึงเอาขันเงินตักสุราดื่มต่อหน้าทหารรวดเดียวถึงสองขัน แล้วประกาศว่าเพื่อศักดิ์ศรีของชายชาติทหารและเพื่อชัยชนะของพวกเรา ขอให้ทุกคนได้ดื่มกินให้เป็นที่สำราญ แล้วจะได้รีบยกไปโจมตีค่ายของโจโฉ
ว่าแล้วกำเหลงจึงสั่งให้ทหารเอาสุราและเนื้อแพะแจกจ่ายแก่ทหารทั้งร้อยคนอย่างทั่วถึงกัน ในระหว่างนั้นกำเหลงก็กล่าวปลุกระดมขวัญกำลังใจทหาร พร้อมทั้งชี้ว่าการที่ทหารจำนวนมากชนะทหารจำนวนน้อยใคร ๆ ก็ทำได้ การที่ทหารซึ่งเข้มแข็งกว่าเอาชนะทหารซึ่งอ่อนแอกว่าใคร ๆ ก็ทำได้ ในค่ำคืนวันนี้เราจะใช้ทหารจำนวนน้อยแต่มีจิตใจเปี่ยมด้วยความวีระกล้าหาญเข้าโจมตีทำลายทหารจำนวนมาก เพื่อให้เป็นเกียรติประวัติไว้ในสงครามสืบไป
บรรดาทหารเหล่านั้นต่างโห่ร้องด้วยความฮึกเหิม จนเวลาย่างเข้าปลายยามแรก กำเหลงจึงให้ทหารตั้งขบวนพร้อมด้วยม้าและศาสตราวุธทั้งปวง และให้เอาขนห่านป่าซึ่งสะท้อนแสงพอเห็นได้ในเวลากลางคืนปักไว้ที่หมวกเป็นสำคัญ
กำเหลงขี่ม้าถือทวนยืนม้าอยู่หน้าทหารทั้งปวงเป็นที่สง่าน่าเกรงขาม จนกระทั่งถึงปลายยามแรกได้เวลาฤกษ์ดี กำเหลงจึงสั่งเคลื่อนพลเลียบไปตามแนวเขา เห็นค่ายหลวงของโจโฉตั้งเป็นสง่าอยู่ในท่ามกลางค่ายทหารทั้งปวง มีค่ายบริวารเรียงรายอยู่โดยรอบทั้งด้านซ้ายและด้านขวา
กำเหลงสั่งทหารให้แบ่งเป็นสามกอง กองละสามสิบคนสองกอง อีกกองหนึ่งสี่สิบคน ทหารกองละสามสิบคนให้กระจายเข้าจู่โจมใช้ธนูเพลิงเผาค่ายบริวาร กองสี่สิบคนให้ทำหน้าที่จู่โจมใช้ธนูเพลิงเผาค่ายของโจโฉ เมื่อยิงธนูเพลิงแล้วให้คอยสกัดยิงทหารโจโฉที่แตกพล่านนั้น แต่มิให้ปะทะซึ่งหน้า
ทหารหน่วยจู่โจมของกำเหลงทั้งร้อยคนรับคำสั่งแล้วกระจายกำลังออกปฏิบัติการตามคำสั่งอย่างเงียบกริบ ขณะนั้นเป็นเดือนสิบอากาศเริ่มหนาวเย็น ทหารของเมืองหลวงกำลังพักผ่อนนอนหลับด้วยความอ่อนล้าอิดโรย พอถึงปลายยามสองค่ายหลวงของโจโฉและค่ายบริวารทั้งสองด้านก็ถูกยิงด้วยธนูเพลิงพร้อมกัน
ธนูเพลิงถูกระดมยิงไปยังค่ายต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว ไฟติดขึ้นที่ค่ายหลวงและค่ายต่าง ๆ เป็นหลายแห่ง สายลมในยามดึกพัดแรง เร่งให้ไฟลุกไหม้โชติช่วงอย่างรวดเร็ว ทหารของกำเหลงซึ่งอยู่ข้างนอกได้โห่ร้องข่มขวัญและวิ่งสลับกันไปมา ในขณะที่ทหารรักษาการณ์และทหารในค่ายของโจโฉรู้ว่าถูกโจมตีแต่มิรู้ว่าข้าศึกมีจำนวนมากหรือน้อยจึงพากันแตกตื่นตกใจเกิดชุลมุนกันขึ้น
ทหารของโจโฉแตกตื่นวิ่งออกจากค่ายเป็นอลหม่าน จึงถูกทหารของกำเหลงใช้เกาทัณฑ์ระดมยิงบาดเจ็บล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ทหารของโจโฉเห็นเพื่อนทหารถูกยิงด้วยเกาทัณฑ์แต่ไม่รู้ว่ายิงมาจากทิศใดก็ยิ่งตกใจ พากันวิ่งหนีเหยียบกันเองตายเป็นจำนวนมาก
โจโฉตื่นขึ้นมาในกลางดึกเห็นแสงเพลิงไหม้ค่ายสว่างไสวและได้ยินเสียงทหารโห่ร้องปนกับเสียงทหารวิ่งหนีแตกตื่นก็ตกใจ รีบสวมเสื้อแต่ไม่ทันใส่เกราะ ทหารองครักษ์ที่ดูแลความปลอดภัยของโจโฉจึงรีบมาเชิญโจโฉไปขึ้นม้าขับหนีออกจากค่าย
กำเหลงนำทหารโจมตีทหารโจโฉอยู่หนึ่งชั่วยามเศษ เห็นค่ายทหารของโจโฉถูกเพลิงไหม้เป็นจำนวนมาก และเห็นทหารซึ่งยกมาทำการสำเร็จตามแผนการก็มีความยินดี ครั้นสังเกตเห็นโจโฉแลทหารพากันหนีออกจากค่ายไปแล้ว กำเหลงจึงให้สัญญาณระดมพลเพื่อจะถอนกำลังกลับไปค่าย
ทหารเมืองกังตั๋งประสบชัยชนะในการจู่โจมแบบกองโจรอย่างงดงาม ต่างเริงร่าในชัยชนะ ครั้นมาถึงจุดชุมนุมพลแล้วต่างคนต่างแสดงความยินดีต่อกันและกัน กำเหลงสำรวจพลเห็นไม่มีผู้ใดบาดเจ็บล้มตาย ยังคงอยู่ครบทั้งคนและม้าก็มีความยินดี จึงสั่งเคลื่อนพลกลับ
ในขณะที่กำเหลงชุมนุมพลเพื่อเตรียมถอนกำลังกลับนั้น โจโฉซึ่งหนีออกจากค่ายได้จุดพลุสัญญาณเพื่อระดมพลของทหารฝ่ายเมืองหลวง บรรดาทหารของโจโฉทราบสัญญาณแล้วจึงพากันไปชุมนุมพลอย่างพร้อมเพรียงกัน
ในขณะที่โจโฉกำลังระดมพลอยู่นั้น หน่วยสอดแนมก็มารายงานว่าทหารเมืองกังตั๋งซึ่งยกมาทำการครั้งนี้มีจำนวนไม่มากนัก ขณะนี้กำลังชุมนุมพลอยู่ ไม่แน่ว่าจะถอยกลับหรือจะยกไปที่ใด
โจโฉฟังรายงานแล้วคิดว่าทหารเมืองกังตั๋งหากมีจำนวนน้อยไหนเลยจะกล้ามาจู่โจม คงเป็นอุบายของซุนกวนใช้หน่วยล่อเข้าจู่โจมเพื่อลวงให้เรายกไปตามตีแล้วซุ่มโจมตีในภายหลัง โจโฉคิดดังนั้นแล้วก็หัวเราะ แล้วสั่งทหารให้ตั้งค่ายขึ้นใหม่ให้แล้วเสร็จภายในคืนวันนั้น
ฝ่ายกำเหลงขณะที่พาทหารกลับไปหาซุนกวนนั้น ครั้นเวลาใกล้สว่างได้สวนทางกับจิวท่ายคุมทหารหนึ่งพันยกสวนมา กำเหลงจึงเข้าไปทักทายแล้วไต่ถามว่าท่านจะยกทหารไปที่ใด
จิวท่ายจึงว่าซุนกวนมีความเป็นห่วงเกรงว่าท่านจะเป็นอันตราย จึงให้ข้าพเจ้ายกทหารหนุนมาช่วย และมาสวนทางกันดังนี้
กำเหลงจึงรายงานความซึ่งได้จู่โจมเผาค่ายของโจโฉให้จิวท่ายฟังทุกประการ แล้วสองนายทหารเอกก็หัวเราะขึ้นพร้อมกัน จิวท่ายได้สรรเสริญความกล้าหาญของกำเหลงเป็นอันมาก จากนั้นจึงพากันยกทหารกลับ และให้ม้าเร็วรีบล่วงหน้าไปรายงานความให้ซุนกวนทราบก่อน
ในวันนั้นซุนกวนตื่นแต่ยังไม่สว่างเพราะกังวลด้วยการศึกซึ่งกำเหลงได้อาสาไปโจมตีค่ายโจโฉ และแม้จะได้ให้จิวท่ายยกทหารหนุนไปช่วยซุนกวนก็ยังไม่วางใจ ครั้นได้ทราบว่ามีม้าเร็วมาส่งข่าวจากทางด้านกำเหลง ซุนกวนจึงให้ม้าเร็วเข้ามารายงานข่าว
พอซุนกวนทราบรายงานการศึกว่ากำเหลงทำการได้ชัยชนะแก่ข้าศึกก็มีความยินดี รีบแต่งตัวพาทหารออกไปต้อนรับกำเหลงถึงนอกค่าย ครั้นเห็นกำเหลงและจิวท่ายพา ทหารเข้ามาใกล้ ซุนกวนจึงให้ทหารตีฆ้องกลองและม้าล่อกึกก้องฉลองชัยชนะ
กำเหลงเห็นซุนกวนออกมาต้อนรับดังนั้นก็มีความยินดี จึงรีบลงจากหลังม้าแล้วเข้าไปคุกเข่าคำนับซุนกวน
ซุนกวนเห็นดังนั้นก็รีบลงจากหลังม้า เข้าไปพยุงกำเหลงให้ลุกขึ้น แล้วชวนขึ้นม้ากลับไปที่ค่าย
พอไปถึงค่ายซุนกวนจึงกล่าวกับกำเหลงว่า เราได้ฟังรายงานการทำศึกของท่านแล้ว นับเป็นชัยชนะอย่างงดงามของเมืองกังตั๋งเรา พอแก้ความอัปยศจากศึกครั้งก่อนได้บ้าง เหตุการณ์ในคืนวันนี้ “ทำให้อ้ายศัตรูเฒ่าตกใจเสียทหารเป็นอันมาก ตัวเรามิใช่จะไม่รักท่านนั้นหามิได้ แต่คิดว่าจะให้ทหารทั้งปวงปรากฏฝีมือท่านไว้ เราก็ได้ให้จิวท่ายคุมทหารหนุนไปช่วย”
ความอันซุนกวนกล่าวกับกำเหลงครั้งนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นความในใจของซุนกวนที่มีต่อกำเหลง และไม่เคยกล่าวความนี้มาก่อนเลย เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาซุนกวนได้ปฏิบัติในลักษณะที่เอาอกเอาใจเล่งทองผู้บุตรของเล่งโฉ อดีตนายทหารเอกเมืองกังตั๋งคล้ายกับว่ากำเหลงเป็นคนนอก ไม่อยู่ในความสนใจใส่ใจของซุนกวน การทั้งนี้เนื่องจาก ซุนกวนยึดมั่นใน “คนเก่า เพื่อนเก่า ข้าเก่า” ยิ่งกว่า “คนใหม่ เพื่อนใหม่ ข้าใหม่” อันเล่งโฉนั้นเป็นทหารเอกเมืองกังตั๋งมาแต่ครั้งซุนเกี๋ยน ถูกกำเหลงซึ่งขณะนั้นเป็นทหารเอกของหองจอสังหารในยุทธนาวีที่อ่าวกังแฮ ครั้นกำเหลงเข้าสวามิภักดิ์กับซุนกวนแล้ว ความอาฆาตในใจของเล่งทองด้วยเรื่องกำเหลงสังหารบิดาก็ยังไม่เสื่อมสิ้นไป และทุกครั้งที่มีเหตุการณ์วิวาท ซุนกวนก็ได้แสดงท่าทีที่ปกป้องเข้าข้างเล่งทองตลอดมา จนซุนกวนเองก็สำนึกว่าไม่เป็นการยุติธรรม จึงได้ระบายความในใจแก่กำเหลงว่าน้ำใจแท้นั้นใช่ว่าจะไม่รัก
หากเป็นความรักที่ต้องการให้คนทั้งปวงได้ประจักษ์ด้วยว่าเป็นความรักในผลงานและฝีไม้ลายมืออย่างแท้จริง มิใช่รักเพราะความใกล้ชิดหรือความเป็นญาติสนิทแต่ประการใด.