ตอนที่ 398. มัศยาหลงเหยื่อ
ในศึกยกแรกระหว่างกองทัพเมืองหับป๋าที่บัญชาโดยเตียวเลี้ยวกับกองทัพเมืองกังตั๋งที่บัญชาโดยซุนกวน ณ แดนเมืองหับป๋านั้น ปรากฏผลว่ากองทัพเมืองกังตั๋งปราชัยอย่างยับเยิน จนซุนกวนต้องเลิกทัพถอยกลับไปตั้งค่ายอยู่ที่เมืองยี่สู ในขณะที่กิตติศัพท์ของการปราชัยครั้งนี้ทำให้กองทัพเมืองกังตั๋งได้รับความอัปยศและเสื่อมเสียเป็นอันมาก
ซุนกวนตั้งค่ายที่เมืองยี่สูเสร็จแล้ว ให้คุมแค้นเตียวเลี้ยวเป็นอันมาก กิตติศัพท์ซึ่งดูหมิ่นถิ่นแคลนจากการปราชัยในครั้งนี้ทำให้ซุนกวนเกิดความอัปยศและคิดอ่านจะยกกองทัพไปล้างแค้นเตียวเลี้ยวอีกครั้งหนึ่ง
ซุนกวนคิดดังนั้นแล้วจึงมีหนังสือไปถึงโลซก เล่าความศึกและความอัปยศให้โลซกทราบ แล้วให้โลซกเร่งเกณฑ์ทหารยกมาสมทบเพื่อจะยกไปแก้แค้นเตียวเลี้ยวต่อไป
ทางฝ่ายเตียวเลี้ยวเมื่อได้ชัยชนะแก่กองทัพของซุนกวนแล้ว จึงยกทัพกลับเข้าเมืองหับป๋า ให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารเป็นอันมาก และแต่งโต๊ะเลี้ยงอาหารฉลองชัยเป็นเวลาสามวันสามคืน
เสร็จจากงานเลี้ยงฉลองชัยแล้วเตียวเลี้ยวจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงแล้วปรารภว่า ซุนกวนเป็นคนทระนงในศักดิ์และศรี เสียทีปราชัยกลับไปครั้งนี้คงจะได้รับความอัปยศ เห็นจะคิดยกกองทัพใหญ่มาแก้แค้นเราเป็นมั่นคง
เตียวเลี้ยวกล่าวต่อไปว่า หากซุนกวนยกกองทัพมาครั้งนี้คงใหญ่หลวงเกินกำลังที่ทหารในเมืองหับป๋าจะรับมือได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ชอบที่จะแจ้งวุยก๋งให้ยกกองทัพหนุนมาช่วย ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ เตียวเลี้ยวจึงแต่งหนังสือรายงานความศึกและขอให้โจโฉยกกองทัพมาช่วยเพื่อเตรียมรับมือกับกองทัพใหญ่ของเมืองกังตั๋งเป็นการด่วน เสร็จแล้วจึงให้ซิแท่ถือหนังสือรีบไปมอบให้แก่โจโฉที่เมืองฮันต๋งโดยให้เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
ฝ่ายโจโฉชุมนุมพลอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ซ่องสุมเสบียงอาหารไว้เป็นอันมาก คิดว่าหลังจากฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้วก็จะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน แต่ครั้นได้ทราบความจากหนังสือของเตียวเลี้ยวแล้ว โจโฉก็คิดว่าในขณะที่ทางภาคตะวันตกอยู่ในฤดูหนาว อากาศหนาวเหน็บ แต่ทางภาคใต้อากาศเย็นเป็นที่สบาย ซุนกวนได้รับความอัปยศครั้งนี้เห็นจะไม่ยอมเลิกรา คงจะยกกองทัพใหญ่เพื่อเหยียบเมืองหับป๋าให้ราบเป็นหน้ากอง กอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวเมืองกังตั๋งให้กลับคืนมา หากแม้นซุนกวนได้เมืองหับป๋าแล้วก็จะยกล่วงไปตีเอาเมืองฮูโต๋เราก็จะขัดสน
โจโฉคิดดังนั้นจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
เล่าหัวซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่า “ซึ่งจะยกไปรบเมืองเสฉวนนั้นยังไม่ได้ก่อน ด้วยเล่าปี่จัดแจงทหารเตรียมไว้หวังจะป้องกันเมืองเสฉวนมิให้เป็นอันตราย อันเมืองหับป๋านั้นก็เป็นเมืองใหญ่ แม้ท่านจะละเสีย ซุนกวนยกกองทัพมาตีได้ก็จะร้อนถึงเมืองฮูโต๋ ขอให้ท่านยกไปช่วยเมืองหับป๋าจึงจะควร”
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงกำหนดแผนการทางยุทธศาสตร์ที่จะเลิกทัพจากเมืองฮันต๋งเพื่อไปช่วยเตียวเลี้ยวรักษาเมืองหับป๋า
อุบาย “ตีขนดหางพญานาค” ของขงเบ้งได้สำแดงประสิทธิผลแล้ว โดยเล่าปี่เสียหัวเมืองโทสามหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋ว คือเมืองเตียงสา เมืองกังแฮ และเมืองฮุยเอี๋ยง แก่ซุนกวน ในขณะที่ซุนกวนกลับสูญเสียทหารเป็นอันมากและปราชัยแก่กองทัพของเตียวเลี้ยวอย่างย่อยยับ กระทบต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของทหารแดนใต้เป็นอันมาก จนซุนกวนต้องเตรียมกองทัพใหญ่เพื่อยกไปแก้แค้นกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ในการศึกครั้งนั้นทหารเมืองหับป๋าของโจโฉก็สูญเสียเป็นจำนวนมาก และกดดันจนกองทัพของโจโฉไม่อาจตั้งอยู่ที่เมืองฮันต๋งได้อีกต่อไป จำเป็นจะต้องเลิกทัพกลับไปป้องกันรักษาเมืองหับป๋าไว้ เพราะหากแม้นเสียเมืองหับป๋าแล้วก็จะกระทบไปถึงเมือง ฮูโต๋ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของโจโฉ ดังนั้นแผนการทางยุทธศาสตร์ของโจโฉที่จะยึดครองภาคตะวันตกจึงถูกทำลายลง และเมืองเสฉวนก็พ้นภัยจากสงครามโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองกำลังทหารและงบประมาณในการทำศึกกับโจโฉ และเป็นผลให้กองทัพของเล่าปี่ได้รับการบำรุงจนเข้มแข็งและพร้อมรบตามเป้าหมายทุกประการ
โจโฉกำหนดแผนยุทธศาสตร์ที่จะเลิกทัพจากเมืองฮันต๋งแล้วแต่ยังกังวลใจด้วยเล่าปี่ว่าจะยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋งตลบหลัง ดังนั้นโจโฉจึงจำเป็นต้องคิดอ่านแผนการเพื่อรักษาเมืองฮันต๋งต่อไป
โจโฉได้กล่าวกับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง กำหนดแผนการทางการยุทธ์เพื่อป้องกันรักษาเมืองฮันต๋งจากกองทัพของเล่าปี่ไว้ที่จุดยุทธศาสตร์สองจุด โดยโจโฉได้กำหนดว่า “เขาเตงกุนสันกับเขาบองเทาเหงียม สองตำบลนี้เป็นปากทางเมืองฮันต๋ง ให้แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารอยู่รักษาเขาเตงกุนสัน ให้เตียวคับอยู่รักษาปากทาง ณ เขาบองเทาเหงียม”
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยและสรรเสริญความคิดของโจโฉเป็นอันมาก
โจโฉได้กำชับแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับว่าให้รักษาจุดยุทธศาสตร์ทั้งสองนี้ไว้ให้ได้เท่านั้น เมืองฮันต๋งก็จะไม่มีอันตรายใด ๆ และหากแม้นเล่าปี่ยกกองทัพมาหนักเบาประการใดก็ให้รีบรายงานความให้ทราบโดยพลัน
แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับคำนับรับคำสั่งของโจโฉ และปฏิญาณว่าจะรักษาเมืองสองตำบลนี้ไว้ให้ปลอดภัย โจโฉเห็นการทั้งปวงพร้อมแล้วจึงยกทหารสี่สิบหมื่นออกจากเมืองฮันต๋ง เดินทัพตรงไปที่เมืองหับป๋า
ฝ่ายเตียวเลี้ยว งักจิ้น และลิเตียน ครั้นทราบว่าโจโฉยกกองทัพลงมาที่เมืองหับป๋าก็มีความยินดี รีบพาทหารออกไปต้อนรับถึงชายแดนและรายงานความศึกทั้งปวงให้โจโฉทราบอีกครั้งหนึ่ง
โจโฉทราบความทั้งปวงแล้วจึงว่า ซึ่งจะตั้งรับกองทัพเมืองกังตั๋งอยู่ที่เมืองหับป๋านั้น ราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อนเพราะกองทัพเมืองกังตั๋งยกมารุกราน ดังนั้นการศึกครั้งนี้ชอบที่จะเป็นศึกเชิงรุก
โจโฉกล่าวดังนั้นแล้วจึงสั่งให้เคลื่นกองทัพตรงไปที่ชายแดนเมืองหับป๋า ซึ่งเป็นแดนต่อแดนกับชายแดนเมืองกังตั๋ง และให้ทหารทั้งปวงตั้งค่ายมั่นไว้ที่ชายแดนนั้น
ฝ่ายซุนกวนเตรียมซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองยี่สูรอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกกองทัพไปแก้แค้นเตียวเลี้ยว แต่ยังไม่ทันที่จะยกกองทัพก็ได้รับข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าบัดนี้โจโฉยกกองทัพใหญ่พลสี่สิบหมื่นมาตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ชายแดนเมืองหับป๋าที่ต่อแดนกับเมืองกังตั๋ง
ซุนกวนได้ทราบรายงานดังนั้นก็ตกใจ เพราะคาดคิดไม่ถึงว่าโจโฉจะเคลื่อนทัพหนุนลงมาช่วยเมืองหับป๋าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งบัดนี้กองทัพเมืองหลวงก็ยกมาประชิดถึงชายแดนแล้ว จำเป็นที่จะต้องเร่งคิดอ่านป้องกันรักษาแดนเมืองกังตั๋งมิให้เป็นอันตราย
ศึกเผชิญหน้าระหว่างแคว้นกังตั๋งกับแคว้นเว่ยกำลังจะระเบิดขึ้น โดยที่ทั้งสองฝ่ายหารู้ไม่ว่าได้ตกอยู่ในค่ายกลอุบาย “ตีขนดหางพญานาค” ของขงเบ้ง เหมือนกับมัศยากำลังหลงกินเหยื่อของชาวประมง และเป็นการเปิดโอกาสให้เล่าปี่ ขงเบ้ง ได้ซ่องสุมกำลังเติบใหญ่แข็งกล้าขึ้นในภาคตะวันตก โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการช่วงชิงเข้ายึดเมืองฮันต๋งในยามที่ปลอดจากกองทัพใหญ่ของโจโฉคุ้มกัน ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสอันงดงามยิ่งของกองทัพเมืองเสฉวน และบรรยากาศในเมืองเสฉวนยามนี้ก็ปรากฏว่าขงเบ้งกำลังอิ่มเอมเปรมใจกับความสำเร็จของแผนอุบายดังกล่าว และกำลังรอคอยเพื่อกุมโอกาสที่จะกรีฑาทัพเข้ายึดเมืองฮันต๋งอยู่ทุกลมหายใจ
ซุนกวนตระหนักดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ตังสิดและชีเซ่งคุมเรือรบห้าสิบลำพร้อมทหารและอาวุธเต็มอัตราศึก ยกไปตั้งขัดตาทัพกองทัพเมืองฮูโต๋ที่ปากน้ำยี่สู ให้ตันบูคุมทหารเป็นกองลาดตระเวนอยู่ตามชายทะเล ติดตามความเคลื่อนไหวของกองทัพเมืองฮูโต๋อย่าให้คลาดสายตา
ชีเซ่ง ตังสิด และตันบู รับคำสั่งซุนกวนแล้วคำนับลากลับออกไปจัดแจงทหารและยกไปปฏิบัติการตามคำสั่งตั้งแต่เพลานั้น
พอสามนายทหารออกไปแล้วเตียวเจียวจึงกล่าวกับซุนกวนว่า “โจโฉพึ่งยกมาถึงเห็นทหารยังอิดโรยอยู่ ขอให้แต่งทหารไปโจมตีให้ทหารโจโฉถอยกำลังลงแล้วจะได้ทำการต่อไป”
แผนการที่เตียวเจียวเสนอแก่ซุนกวนครั้งนี้คือแผนการรบเพื่อตัดกำลังของกองทัพเมืองหลวงลงอย่างเป็นขั้นตอน เมื่อดุลกำลังทางทหารเปลี่ยนแปลงไปแล้วจึงค่อยยกกองทัพเข้าบดขยี้กองทัพเมืองหลวงต่อไป แต่ความคิดของเตียวเจียวดังกล่าวเป็นความคิดเพียงด้านเดียว เพราะมิได้คาดคำนึงไปถึงความคิดของโจโฉว่าจะคิดอ่านเรื่องนี้ประการใด อันโจโฉนั้นชำนาญในการสงคราม เคยตำหนิแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเมื่อครั้งเสียทีแก่กองทัพเมืองฮันต๋งในการศึกชิงด่านเองเปงก๋วนว่า ทั้งแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับร่วมทำศึกกับโจโฉมาช้านาน ควรที่จะรู้ว่ากองทัพซึ่งพึ่งรีบยกไปถึงย่อมอ่อนล้าอิดโรย สิไม่คิดอ่านป้องกันระวังตนจึงประมาทเสียทีแก่ข้าศึก เตียวเจียวไม่คิดว่าโจโฉจะรู้และคิดดังนี้จึงเสนอให้ซุนกวนวางแผนการเข้าโจมตีกองทัพของโจโฉหวังจะได้ชัยชนะจากความคิดข้างเดียวที่ว่ากองทัพโจโฉพึ่งยกมายังอ่อนล้าอิดโรยเท่านั้น
ซุนกวนได้ฟังข้อเสนอของเตียวเจียวก็เห็นชอบ จึงปรารภต่อที่ประชุมว่าจะมีผู้ใดอาสายกกองทัพไปโจมตีกองทัพของโจโฉให้อ่อนล้าอิดโรยลงบ้าง
เล่งทองได้ลุกขึ้นขออาสาว่าขอให้ซุนกวนจัดทหารให้สามพันคนก็จะอาสายกไปโจมตีกองทัพของโจโฉ เอาชัยชนะมามอบแก่กองทัพเมืองกังตั๋งให้จงได้
กำเหลงซึ่งเป็นคู่ปรับของเล่งทอง เห็นเล่งทองอาสาดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับซุนกวนแล้วอาสาบ้างว่าซึ่งการศึกเพียงเท่านี้จะยกทหารไปถึงสามพันนั้นมากนัก ข้าพเจ้าขออาสาเอาแต่ทหารร้อยคนยกไปปล้นค่ายโจโฉให้จงได้
เล่งทองไม่พอใจกำเหลงและอาฆาตพยาบาทกำเหลงเพราะเหตุที่ฆ่าบิดามาแต่ก่อน เพลิงแห่งอาฆาตคุโชนอยู่ตลอดมาแต่สงบระงับอยู่ชั่วคราวก็เพราะซุนกวนได้ไกล่เกลี่ยประนีประนอม ครั้นเล่งทองได้ยินคำกำเหลงในเชิงหมิ่นประมาทดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดใส่กำเหลงด้วยเสียงอันดัง สองนายทหารจึงโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
ซุนกวนเห็นสองนายทหารโต้เถียงกันดังนั้นก็ไม่ค่อยพอใจ และเห็นว่าถ้อยคำของกำเหลงมีลักษณะดูหมิ่นพวกเดียวกันและดูแคลนข้าศึก เป็นหนทางแห่งความปราชัย ซุนกวนจึงกล่าวกับกำเหลงว่าโจโฉยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ซึ่งท่านจะขอเอาทหารแต่ร้อยคนไปโจมตีข้าศึกนั้นเห็นเหลือกำลังนัก การดูหมิ่นข้าศึกเป็นเหตุแห่งความปราชัยของกองทัพดังนี้จึงตัดสินให้เล่งทองยกไปทำการในครั้งนี้
ว่าแล้วซุนกวนจึงสั่งให้เล่งทองเป็นแม่ทัพ ยกทหารสามพันไปโจมตีตัดกำลังกองทัพของโจโฉ
เล่งทองได้ยินคำสั่งของซุนกวนก็ดีใจ และที่ดีใจมากก็คือเข้าใจว่าซุนกวนเห็นความสำคัญของเล่งทองยิ่งกว่ากำเหลง จึงคำนับขอบคุณซุนกวนแล้วออกไปจัดแจงทหารยกไปที่ชายแดนตามคำสั่งของซุนกวนทุกประการ
พอเล่งทองยกทหารไปถึงชายแดนก็พาทหารไปรบกับทหารของโจโฉ
เตียวเลี้ยวเห็นทหารเมืองกังตั๋งยกมาท้ารบ ก็คุมทหารยกไปรบกับเล่งทอง
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเพียงห้าสิบเพลงยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะเป็นเวลาใกล้ค่ำ จึงต่างฝ่ายต่างปลีกตัวออกจากลานรบ เตียวเลี้ยวพาทหารกลับเข้าไปในค่าย ส่วนเล่งทองพาทหารจะกลับไปค่ายยี่สู.
ซุนกวนตั้งค่ายที่เมืองยี่สูเสร็จแล้ว ให้คุมแค้นเตียวเลี้ยวเป็นอันมาก กิตติศัพท์ซึ่งดูหมิ่นถิ่นแคลนจากการปราชัยในครั้งนี้ทำให้ซุนกวนเกิดความอัปยศและคิดอ่านจะยกกองทัพไปล้างแค้นเตียวเลี้ยวอีกครั้งหนึ่ง
ซุนกวนคิดดังนั้นแล้วจึงมีหนังสือไปถึงโลซก เล่าความศึกและความอัปยศให้โลซกทราบ แล้วให้โลซกเร่งเกณฑ์ทหารยกมาสมทบเพื่อจะยกไปแก้แค้นเตียวเลี้ยวต่อไป
ทางฝ่ายเตียวเลี้ยวเมื่อได้ชัยชนะแก่กองทัพของซุนกวนแล้ว จึงยกทัพกลับเข้าเมืองหับป๋า ให้ปูนบำเหน็จแก่ทหารเป็นอันมาก และแต่งโต๊ะเลี้ยงอาหารฉลองชัยเป็นเวลาสามวันสามคืน
เสร็จจากงานเลี้ยงฉลองชัยแล้วเตียวเลี้ยวจึงเรียกประชุมแม่ทัพนายกองทั้งปวงแล้วปรารภว่า ซุนกวนเป็นคนทระนงในศักดิ์และศรี เสียทีปราชัยกลับไปครั้งนี้คงจะได้รับความอัปยศ เห็นจะคิดยกกองทัพใหญ่มาแก้แค้นเราเป็นมั่นคง
เตียวเลี้ยวกล่าวต่อไปว่า หากซุนกวนยกกองทัพมาครั้งนี้คงใหญ่หลวงเกินกำลังที่ทหารในเมืองหับป๋าจะรับมือได้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดขึ้น ชอบที่จะแจ้งวุยก๋งให้ยกกองทัพหนุนมาช่วย ท่านทั้งปวงจะเห็นเป็นประการใด
แม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ เตียวเลี้ยวจึงแต่งหนังสือรายงานความศึกและขอให้โจโฉยกกองทัพมาช่วยเพื่อเตรียมรับมือกับกองทัพใหญ่ของเมืองกังตั๋งเป็นการด่วน เสร็จแล้วจึงให้ซิแท่ถือหนังสือรีบไปมอบให้แก่โจโฉที่เมืองฮันต๋งโดยให้เดินทางทั้งกลางวันและกลางคืน
ฝ่ายโจโฉชุมนุมพลอยู่ที่เมืองฮันต๋ง ซ่องสุมเสบียงอาหารไว้เป็นอันมาก คิดว่าหลังจากฤดูหนาวผ่านพ้นไปแล้วก็จะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน แต่ครั้นได้ทราบความจากหนังสือของเตียวเลี้ยวแล้ว โจโฉก็คิดว่าในขณะที่ทางภาคตะวันตกอยู่ในฤดูหนาว อากาศหนาวเหน็บ แต่ทางภาคใต้อากาศเย็นเป็นที่สบาย ซุนกวนได้รับความอัปยศครั้งนี้เห็นจะไม่ยอมเลิกรา คงจะยกกองทัพใหญ่เพื่อเหยียบเมืองหับป๋าให้ราบเป็นหน้ากอง กอบกู้ศักดิ์ศรีของชาวเมืองกังตั๋งให้กลับคืนมา หากแม้นซุนกวนได้เมืองหับป๋าแล้วก็จะยกล่วงไปตีเอาเมืองฮูโต๋เราก็จะขัดสน
โจโฉคิดดังนั้นจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใด
เล่าหัวซึ่งเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่า “ซึ่งจะยกไปรบเมืองเสฉวนนั้นยังไม่ได้ก่อน ด้วยเล่าปี่จัดแจงทหารเตรียมไว้หวังจะป้องกันเมืองเสฉวนมิให้เป็นอันตราย อันเมืองหับป๋านั้นก็เป็นเมืองใหญ่ แม้ท่านจะละเสีย ซุนกวนยกกองทัพมาตีได้ก็จะร้อนถึงเมืองฮูโต๋ ขอให้ท่านยกไปช่วยเมืองหับป๋าจึงจะควร”
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็เห็นชอบ จึงกำหนดแผนการทางยุทธศาสตร์ที่จะเลิกทัพจากเมืองฮันต๋งเพื่อไปช่วยเตียวเลี้ยวรักษาเมืองหับป๋า
อุบาย “ตีขนดหางพญานาค” ของขงเบ้งได้สำแดงประสิทธิผลแล้ว โดยเล่าปี่เสียหัวเมืองโทสามหัวเมืองซึ่งขึ้นแก่เมืองเกงจิ๋ว คือเมืองเตียงสา เมืองกังแฮ และเมืองฮุยเอี๋ยง แก่ซุนกวน ในขณะที่ซุนกวนกลับสูญเสียทหารเป็นอันมากและปราชัยแก่กองทัพของเตียวเลี้ยวอย่างย่อยยับ กระทบต่อเกียรติและศักดิ์ศรีของทหารแดนใต้เป็นอันมาก จนซุนกวนต้องเตรียมกองทัพใหญ่เพื่อยกไปแก้แค้นกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ในการศึกครั้งนั้นทหารเมืองหับป๋าของโจโฉก็สูญเสียเป็นจำนวนมาก และกดดันจนกองทัพของโจโฉไม่อาจตั้งอยู่ที่เมืองฮันต๋งได้อีกต่อไป จำเป็นจะต้องเลิกทัพกลับไปป้องกันรักษาเมืองหับป๋าไว้ เพราะหากแม้นเสียเมืองหับป๋าแล้วก็จะกระทบไปถึงเมือง ฮูโต๋ซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของโจโฉ ดังนั้นแผนการทางยุทธศาสตร์ของโจโฉที่จะยึดครองภาคตะวันตกจึงถูกทำลายลง และเมืองเสฉวนก็พ้นภัยจากสงครามโดยไม่ต้องสิ้นเปลืองกำลังทหารและงบประมาณในการทำศึกกับโจโฉ และเป็นผลให้กองทัพของเล่าปี่ได้รับการบำรุงจนเข้มแข็งและพร้อมรบตามเป้าหมายทุกประการ
โจโฉกำหนดแผนยุทธศาสตร์ที่จะเลิกทัพจากเมืองฮันต๋งแล้วแต่ยังกังวลใจด้วยเล่าปี่ว่าจะยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋งตลบหลัง ดังนั้นโจโฉจึงจำเป็นต้องคิดอ่านแผนการเพื่อรักษาเมืองฮันต๋งต่อไป
โจโฉได้กล่าวกับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกอง กำหนดแผนการทางการยุทธ์เพื่อป้องกันรักษาเมืองฮันต๋งจากกองทัพของเล่าปี่ไว้ที่จุดยุทธศาสตร์สองจุด โดยโจโฉได้กำหนดว่า “เขาเตงกุนสันกับเขาบองเทาเหงียม สองตำบลนี้เป็นปากทางเมืองฮันต๋ง ให้แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารอยู่รักษาเขาเตงกุนสัน ให้เตียวคับอยู่รักษาปากทาง ณ เขาบองเทาเหงียม”
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วยและสรรเสริญความคิดของโจโฉเป็นอันมาก
โจโฉได้กำชับแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับว่าให้รักษาจุดยุทธศาสตร์ทั้งสองนี้ไว้ให้ได้เท่านั้น เมืองฮันต๋งก็จะไม่มีอันตรายใด ๆ และหากแม้นเล่าปี่ยกกองทัพมาหนักเบาประการใดก็ให้รีบรายงานความให้ทราบโดยพลัน
แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับคำนับรับคำสั่งของโจโฉ และปฏิญาณว่าจะรักษาเมืองสองตำบลนี้ไว้ให้ปลอดภัย โจโฉเห็นการทั้งปวงพร้อมแล้วจึงยกทหารสี่สิบหมื่นออกจากเมืองฮันต๋ง เดินทัพตรงไปที่เมืองหับป๋า
ฝ่ายเตียวเลี้ยว งักจิ้น และลิเตียน ครั้นทราบว่าโจโฉยกกองทัพลงมาที่เมืองหับป๋าก็มีความยินดี รีบพาทหารออกไปต้อนรับถึงชายแดนและรายงานความศึกทั้งปวงให้โจโฉทราบอีกครั้งหนึ่ง
โจโฉทราบความทั้งปวงแล้วจึงว่า ซึ่งจะตั้งรับกองทัพเมืองกังตั๋งอยู่ที่เมืองหับป๋านั้น ราษฎรทั้งปวงจะได้ความเดือดร้อนเพราะกองทัพเมืองกังตั๋งยกมารุกราน ดังนั้นการศึกครั้งนี้ชอบที่จะเป็นศึกเชิงรุก
โจโฉกล่าวดังนั้นแล้วจึงสั่งให้เคลื่นกองทัพตรงไปที่ชายแดนเมืองหับป๋า ซึ่งเป็นแดนต่อแดนกับชายแดนเมืองกังตั๋ง และให้ทหารทั้งปวงตั้งค่ายมั่นไว้ที่ชายแดนนั้น
ฝ่ายซุนกวนเตรียมซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองยี่สูรอวันฤกษ์ดีแล้วจะยกกองทัพไปแก้แค้นเตียวเลี้ยว แต่ยังไม่ทันที่จะยกกองทัพก็ได้รับข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าบัดนี้โจโฉยกกองทัพใหญ่พลสี่สิบหมื่นมาตั้งค่ายมั่นอยู่ที่ชายแดนเมืองหับป๋าที่ต่อแดนกับเมืองกังตั๋ง
ซุนกวนได้ทราบรายงานดังนั้นก็ตกใจ เพราะคาดคิดไม่ถึงว่าโจโฉจะเคลื่อนทัพหนุนลงมาช่วยเมืองหับป๋าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งบัดนี้กองทัพเมืองหลวงก็ยกมาประชิดถึงชายแดนแล้ว จำเป็นที่จะต้องเร่งคิดอ่านป้องกันรักษาแดนเมืองกังตั๋งมิให้เป็นอันตราย
ศึกเผชิญหน้าระหว่างแคว้นกังตั๋งกับแคว้นเว่ยกำลังจะระเบิดขึ้น โดยที่ทั้งสองฝ่ายหารู้ไม่ว่าได้ตกอยู่ในค่ายกลอุบาย “ตีขนดหางพญานาค” ของขงเบ้ง เหมือนกับมัศยากำลังหลงกินเหยื่อของชาวประมง และเป็นการเปิดโอกาสให้เล่าปี่ ขงเบ้ง ได้ซ่องสุมกำลังเติบใหญ่แข็งกล้าขึ้นในภาคตะวันตก โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการช่วงชิงเข้ายึดเมืองฮันต๋งในยามที่ปลอดจากกองทัพใหญ่ของโจโฉคุ้มกัน ซึ่งนับว่าเป็นโอกาสอันงดงามยิ่งของกองทัพเมืองเสฉวน และบรรยากาศในเมืองเสฉวนยามนี้ก็ปรากฏว่าขงเบ้งกำลังอิ่มเอมเปรมใจกับความสำเร็จของแผนอุบายดังกล่าว และกำลังรอคอยเพื่อกุมโอกาสที่จะกรีฑาทัพเข้ายึดเมืองฮันต๋งอยู่ทุกลมหายใจ
ซุนกวนตระหนักดังนั้นแล้วจึงสั่งให้ตังสิดและชีเซ่งคุมเรือรบห้าสิบลำพร้อมทหารและอาวุธเต็มอัตราศึก ยกไปตั้งขัดตาทัพกองทัพเมืองฮูโต๋ที่ปากน้ำยี่สู ให้ตันบูคุมทหารเป็นกองลาดตระเวนอยู่ตามชายทะเล ติดตามความเคลื่อนไหวของกองทัพเมืองฮูโต๋อย่าให้คลาดสายตา
ชีเซ่ง ตังสิด และตันบู รับคำสั่งซุนกวนแล้วคำนับลากลับออกไปจัดแจงทหารและยกไปปฏิบัติการตามคำสั่งตั้งแต่เพลานั้น
พอสามนายทหารออกไปแล้วเตียวเจียวจึงกล่าวกับซุนกวนว่า “โจโฉพึ่งยกมาถึงเห็นทหารยังอิดโรยอยู่ ขอให้แต่งทหารไปโจมตีให้ทหารโจโฉถอยกำลังลงแล้วจะได้ทำการต่อไป”
แผนการที่เตียวเจียวเสนอแก่ซุนกวนครั้งนี้คือแผนการรบเพื่อตัดกำลังของกองทัพเมืองหลวงลงอย่างเป็นขั้นตอน เมื่อดุลกำลังทางทหารเปลี่ยนแปลงไปแล้วจึงค่อยยกกองทัพเข้าบดขยี้กองทัพเมืองหลวงต่อไป แต่ความคิดของเตียวเจียวดังกล่าวเป็นความคิดเพียงด้านเดียว เพราะมิได้คาดคำนึงไปถึงความคิดของโจโฉว่าจะคิดอ่านเรื่องนี้ประการใด อันโจโฉนั้นชำนาญในการสงคราม เคยตำหนิแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเมื่อครั้งเสียทีแก่กองทัพเมืองฮันต๋งในการศึกชิงด่านเองเปงก๋วนว่า ทั้งแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับร่วมทำศึกกับโจโฉมาช้านาน ควรที่จะรู้ว่ากองทัพซึ่งพึ่งรีบยกไปถึงย่อมอ่อนล้าอิดโรย สิไม่คิดอ่านป้องกันระวังตนจึงประมาทเสียทีแก่ข้าศึก เตียวเจียวไม่คิดว่าโจโฉจะรู้และคิดดังนี้จึงเสนอให้ซุนกวนวางแผนการเข้าโจมตีกองทัพของโจโฉหวังจะได้ชัยชนะจากความคิดข้างเดียวที่ว่ากองทัพโจโฉพึ่งยกมายังอ่อนล้าอิดโรยเท่านั้น
ซุนกวนได้ฟังข้อเสนอของเตียวเจียวก็เห็นชอบ จึงปรารภต่อที่ประชุมว่าจะมีผู้ใดอาสายกกองทัพไปโจมตีกองทัพของโจโฉให้อ่อนล้าอิดโรยลงบ้าง
เล่งทองได้ลุกขึ้นขออาสาว่าขอให้ซุนกวนจัดทหารให้สามพันคนก็จะอาสายกไปโจมตีกองทัพของโจโฉ เอาชัยชนะมามอบแก่กองทัพเมืองกังตั๋งให้จงได้
กำเหลงซึ่งเป็นคู่ปรับของเล่งทอง เห็นเล่งทองอาสาดังนั้นก็ลุกขึ้นคำนับซุนกวนแล้วอาสาบ้างว่าซึ่งการศึกเพียงเท่านี้จะยกทหารไปถึงสามพันนั้นมากนัก ข้าพเจ้าขออาสาเอาแต่ทหารร้อยคนยกไปปล้นค่ายโจโฉให้จงได้
เล่งทองไม่พอใจกำเหลงและอาฆาตพยาบาทกำเหลงเพราะเหตุที่ฆ่าบิดามาแต่ก่อน เพลิงแห่งอาฆาตคุโชนอยู่ตลอดมาแต่สงบระงับอยู่ชั่วคราวก็เพราะซุนกวนได้ไกล่เกลี่ยประนีประนอม ครั้นเล่งทองได้ยินคำกำเหลงในเชิงหมิ่นประมาทดังนั้นก็โกรธ จึงตวาดใส่กำเหลงด้วยเสียงอันดัง สองนายทหารจึงโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
ซุนกวนเห็นสองนายทหารโต้เถียงกันดังนั้นก็ไม่ค่อยพอใจ และเห็นว่าถ้อยคำของกำเหลงมีลักษณะดูหมิ่นพวกเดียวกันและดูแคลนข้าศึก เป็นหนทางแห่งความปราชัย ซุนกวนจึงกล่าวกับกำเหลงว่าโจโฉยกมาครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก ซึ่งท่านจะขอเอาทหารแต่ร้อยคนไปโจมตีข้าศึกนั้นเห็นเหลือกำลังนัก การดูหมิ่นข้าศึกเป็นเหตุแห่งความปราชัยของกองทัพดังนี้จึงตัดสินให้เล่งทองยกไปทำการในครั้งนี้
ว่าแล้วซุนกวนจึงสั่งให้เล่งทองเป็นแม่ทัพ ยกทหารสามพันไปโจมตีตัดกำลังกองทัพของโจโฉ
เล่งทองได้ยินคำสั่งของซุนกวนก็ดีใจ และที่ดีใจมากก็คือเข้าใจว่าซุนกวนเห็นความสำคัญของเล่งทองยิ่งกว่ากำเหลง จึงคำนับขอบคุณซุนกวนแล้วออกไปจัดแจงทหารยกไปที่ชายแดนตามคำสั่งของซุนกวนทุกประการ
พอเล่งทองยกทหารไปถึงชายแดนก็พาทหารไปรบกับทหารของโจโฉ
เตียวเลี้ยวเห็นทหารเมืองกังตั๋งยกมาท้ารบ ก็คุมทหารยกไปรบกับเล่งทอง
ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันเพียงห้าสิบเพลงยังไม่ปรากฏผลแพ้ชนะเป็นเวลาใกล้ค่ำ จึงต่างฝ่ายต่างปลีกตัวออกจากลานรบ เตียวเลี้ยวพาทหารกลับเข้าไปในค่าย ส่วนเล่งทองพาทหารจะกลับไปค่ายยี่สู.