ตอนที่ 397. เสี่ยงบุญวาสนา

กองทัพเมืองกังตั๋งรุกเข้ายึดเมืองอ้วนเซียซึ่งเป็นฐานผลิตเสบียงของเมืองหับป๋าได้อย่างรวดเร็ว แล้วยกกองทัพเข้าประชิดเมืองหับป๋าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ทำให้เตียวเลี้ยวซึ่งเป็นผู้รักษาเมืองต้องกำหนดแผนตั้งรับอยู่ในเมือง ในขณะนั้นโจโฉได้ให้ม้าเร็วส่งแผนการรับศึกโดยบรรจุไว้ในกล่องไม้มามอบแก่เตียวเลี้ยว

            เตียวเลี้ยวและบรรดาแม่ทัพนายกองซึ่งรักษาเมืองหับป๋าปรึกษาพร้อมกันแล้วจึงเปิดหีบไม้ที่โจโฉส่งมา เพื่อจะได้ทราบถึงแผนการที่โจโฉกำหนด พอเปิดหีบก็พบหนังสือฉบับหนึ่งเขียนคำสั่งทางยุทธการ มีเนื้อความสั้น ๆ ว่าถ้ากองทัพเมืองกังตั๋งยกมาตีเมืองหับป๋าให้แบ่งทหารออกเป็นสามกอง โดยให้เตียวเลี้ยวและลิเตียนคุมทหารคนละกองยกออกไปรบกับข้าศึก ส่วนงักจิ้นให้คุมทหารอีกกองหนึ่งรักษาเมืองไว้ให้มั่นคง

            เตียวเลี้ยวทราบความในคำสั่งยุทธการแล้วจึงอ่านคำสั่งนั้นให้บรรดาแม่ทัพนายกองทราบ

            ลิเตียนและงักจิ้นได้ทราบคำสั่งยุทธการแล้วจึงถามเตียวเลี้ยวว่า ซึ่งวุยก๋งมีหนังสือสั่งการมาเช่นนี้ท่านจะคิดอ่านแผนการยุทธ์ประการใด

            เตียวเลี้ยวจึงว่าที่ซุนกวนยกกองทัพมาครั้งนี้เนื่องจากทราบข่าวว่าวุยก๋งยกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋ง จึงกำเริบคิดว่าทหารรักษาเมืองหับป๋าเบาบางคงจะยึดได้โดยง่าย กองทัพเมืองกังตั๋งกำเริบใจดังนี้ จึงชอบที่เราจะโจมตีสั่งสอนให้ท้อถอยลงก่อน เพื่อบำรุงขวัญทหารฝ่ายเราให้ฮึกเหิม ก็จะสามารถตั้งรับกองทัพเมืองกังตั๋งอย่างมั่นใจได้

            ลิเตียนได้ฟังคำเตียวเลี้ยวดังนั้นก็นั่งนิ่ง แต่มีสีหน้าแสดงถึงความไม่เห็นด้วย ส่วนงักจิ้นนั้นทักท้วงว่ากองทัพเมืองกังตั๋งยกมาครั้งนี้ประกอบด้วยกำลังพลเป็นอันมาก ทหารในเมืองเรามีจำนวนน้อยกว่า หากจะยกออกไปทำศึกกับกองทัพเมืองกังตั๋งเห็นจะไม่สามารถเอาชนะทหารเมืองกังตั๋งได้ ซึ่งจะเอาน้อยไปชนะมากนั้นข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย กรณีชอบที่จะตั้งมั่นรับมือข้าศึกอยู่แต่ในเมือง

            เตียวเลี้ยวได้ฟังคำงักจิ้นทักท้วงดังนั้นจึงว่า ตัวเราได้รับความวางใจจากวุยก๋งให้เป็นผู้รักษาเมือง ซึ่งจะตั้งมั่นไม่สู้รบนั้นไม่สมควร การยกเข้าตีข้าศึกก็คือการป้องกันรักษาเมือง หากมัวแต่ตั้งมั่นอยู่ในเมืองทหารฝ่ายเราก็จะเสียน้ำใจ ทหารข้าศึกก็จะฮึกเหิม นานวันไปฝ่ายหนึ่งท้อถอย ฝ่ายหนึ่งฮึกเหิม ย่อมทำให้ฝ่ายที่ท้อถอยกลายเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในที่สุด

            เตียวเลี้ยวกล่าวสืบไปว่า วุยก๋งมีหนังสือกำหนดแผนยุทธการชัดเจนแล้ว หากจะนิ่งเฉยอยู่ก็จะขัดคำสั่งวุยก๋ง ดังนั้นถึงมาตรแม้นว่าผู้ใดจะไม่ฟังคำสั่งเรา ก็ขอให้ผู้นั้นอยู่รักษาเมือง ตัวเราแต่ผู้เดียวจะยกทหารออกไปต่อกรกับข้าศึก

            ลิเตียนกับงักจิ้นได้ยินคำเตียวเลี้ยวขุ่นเคืองและอ้างเอาหนังสือของโจโฉเป็นหลักในการปฏิบัติการยุทธ์ ดังนั้นจึงกล่าวพร้อมกันว่า “ถ้าฉะนั้นตัวเราร่วมสุขทุกข์ผิดชอบด้วยกัน เราจะขอออกไปด้วย จะให้แต่ทหารอยู่รักษาเมือง”

            เตียวเลี้ยวได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าการศึกยกแรกนี้มีความสำคัญมาก จะต้องทำการด้วยความระมัดระวังเพื่อให้ได้รับชัยชนะให้จงได้ ในเวลายามสามวันนี้ให้ลิเตียนคุมทหารหนึ่งพันออกไปทางประตูเมืองด้านตะวันออก แล้ววกอ้อมไปทำลายสะพานเสียวเกียวซึ่งอยู่ข้างทิศใต้ของตัวเมืองเสีย อย่าให้ข้าศึกใช้สะพานนี้ข้ามไปมาหากันได้อีกต่อไป เมื่อทำลายสะพานแล้วก็ให้คุมทหารซุ่มอยู่ในป่าบริเวณสะพาน  เสียวเกียว คอยสกัดโจมตีกองทัพของซุนกวนในเวลาสายพรุ่งนี้

            ลิเตียนได้ฟังคำสั่งของเตียวเลี้ยวดังนั้นก็มองหน้าเตียวเลี้ยวเพราะยังไม่เข้าใจถึงแผนการยุทธ์ทั้งหมดโดยกระจ่าง เตียวเลี้ยวจึงกล่าวสืบไปอีกว่าในวันพรุ่งนี้เวลาเช้าตัวเรากับงักจิ้นจะคุมทหารออกไปตีกองทัพซุนกวน โดยจะแบ่งทหารออกเป็นสองกอง ให้งักจิ้นคุมกองหนึ่งและตัวเราเองคุมอีกกองหนึ่ง

            เตียวเลี้ยวหันไปทางงักจิ้นแล้วสั่งว่า ให้ท่านคุมทหารเป็นกองล่อ ยกไปล่อกองทัพซุนกวนมาทางด้านทิศตะวันออกของตัวเมือง ตัวเราจะคุมทหารอีกกองหนึ่งไปซุ่มไว้ในป่า เมื่อกองทัพซุนกวนยกมาแล้วก็จะตีกระหนาบเข้ามาพร้อมกัน เห็นจะได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองกังตั๋งในครั้งนี้

            สามทหารเอกของโจโฉปรึกษาแผนการยุทธ์เสร็จสิ้นแล้ว ลิเตียนและงักจิ้นจึงคำนับลาเตียวเลี้ยวออกไปจัดแจงทหาร ในขณะที่เตียวเลี้ยวก็เรียกนายทหารคนสนิทเข้ามาสั่งการให้จัดแจงทหารตามแผนการยุทธ์ทุกประการ

            ครั้นเวลายามสามลิเตียนก็คุมทหารออกไปรื้อสะพานเสียวเกียวซึ่งอยู่ข้างทิศใต้ของเมืองหับป๋าและซุ่มทหารคอยทีอยู่ในป่า พอเวลาใกล้รุ่งเตียวเลี้ยวก็ยกทหารออกไปซุ่มในป่าตามจุดซุ่มที่กำหนด

            แสงอรุณยามเช้าทอทาบฟากฟ้าเบื้องบูรพาทิศแล้ว งักจิ้นจึงคุมทหารออกจากเมืองหับป๋าตรงไปที่กองหน้าของกองทัพเมืองกังตั๋ง

            ฝ่ายกำเหลงและลิบองซึ่งคุมกองทัพหน้าเห็นทหารเมืองหับป๋ายกออกมาจึงคุมทหารออกจากค่ายตรงไปที่กองทัพเมืองหับป๋า

            กำเหลงขี่ม้าตรงเข้าไปหางักจิ้น พอเสียงกลองศึกดังขึ้นทั้งสองฝ่ายก็ชักบังเหียนม้าเข้าต่อสู้กันอย่างดุเดือด พอสิ้นเพลงที่สิบงักจิ้นทำเป็นทานกำลังของกำเหลงไม่ได้ จึงชักม้าออกจากวงรบแล้วพาทหารหนีอ้อมไปทางด้านตะวันออกซึ่งเตียวเลี้ยวคุมทหารซุ่มอยู่ในป่า

            กำเหลงและลิบองเห็นได้ทีจึงพาทหารไล่ตามทหารของงักจิ้นไป ในขณะนั้นซุนกวนเห็นกองทัพหน้าไล่ตามตีทหารเมืองหับป๋า จึงสั่งให้กองทัพหลวงยกหนุนตามไปช่วย

            พอทหารเมืองกังตั๋งไล่ตามตีทหารของงักจิ้นไปถึงทางแยกที่จะวกอ้อมไปทางด้านตะวันออกของเมืองหับป๋า เสียงประทัดก็ดังสนั่นขึ้นจากทั้งสองด้าน และเสียงโห่ร้องของทหารเมืองหับป๋าก็ดังขึ้นพร้อมกัน

            ซุนกวนเห็นทางด้านซ้ายมีกองทหารเป็นจำนวนมากยกออกมาจากในป่า มีธงประจำตัวนายทัพชื่อว่าลิเตียน ส่วนทางด้านขวานั้นก็มีทหารยกออกมาจากป่าเป็นอันมากเช่นเดียวกัน มีธงประจำตัวนายทัพว่าเตียวเลี้ยว

            ซุนกวนและทหารเมืองกังตั๋งรู้ว่าถูกซุ่มโจมตีก็ตกใจ ประกอบกับขณะนั้นเป็นช่วงจังหวะรุกตามตีจึงไม่อาจสั่งการใด ๆ ได้ทัน กองทหารเมืองหับป๋าจากทั้งสองด้านก็รุกโจมตีเข้ามาพร้อมกันอย่างรวดเร็ว ฆ่าฟันทหารเมืองกังตั๋งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารเมืองกังตั๋งต่างแตกตื่นขวัญเสีย พากันหนีกระจัดกระจาย

            ซุนกวนจะสั่งให้กำเหลงและลิบองยกกลับมาช่วยก็ไม่ทันท่วงทีเพราะกำเหลงและลิบองคุมทหารไล่ตามงักจิ้นไปไกลแล้ว ทั้งระหว่างกองทหารของกำเหลงและลิบองก็มีกองทหารของเตียวเลี้ยวสกัดขวางไว้ ซุนกวนเห็นเตียวเลี้ยวขี่ม้าคุมทหารสกัดขวางหน้าอยู่ก็ตกใจ

            เล่งทองซึ่งขี่ม้าอยู่ข้างหน้าของซุนกวนเห็นดังนั้นจึงหันมาร้องบอกแก่ซุนกวนว่า ท่านจงเร่งข้ามสะพานเสียวเกียวทางทิศใต้เมืองไปยังอีกฟากหนึ่งก็จะหนีพ้นจากการติดตามของข้าศึกได้ ข้าพเจ้าจะสกัดทหารของเมืองหับป๋าไม่ให้ไล่ติดตาม ว่าแล้วเล่งทองจึงชักม้าพาทหารรุดไปข้างหน้า

            พอดีเตียวเลี้ยวคุมทหารยกมาถึง ทั้งสองฝ่ายจึงต่อสู้ตะลุมบอนกันอย่างดุเดือด

            ฝ่ายซุนกวนพาทหารประมาณสามร้อยคนหนีไปถึงเชิงสะพานเสียวเกียวเห็นสะพานนั้นถูกรื้อขาดอยู่ เหลียวมาทางด้านหลังก็เห็นทหารของเตียวเลี้ยวกำลังโจมตีทหารของเล่งทองซึ่งถอยร่นอย่างไม่เป็นขบวน ซุนกวนมองไปข้างหน้าก็เห็นสะพานที่ขาดอยู่นั้นมีระยะถึงเก้าศอกสิบศอก ทั้งน้ำก็ลึก ซุนกวนจึงยิ่งตกใจคิดว่าชีวิตเราครั้งนี้คงไม่รอดจากน้ำมือข้าศึกเป็นแน่แท้

            ขณะที่ซุนกวนตกใจอยู่นั้นทหารวัยกลางคนผู้หนึ่งซึ่งติดตามซุนกวนมาเป็นเวลาช้านานได้กล่าวกับซุนกวนว่า อันระยะทางข้ามน้ำเก้าศอกสิบศอกนี้หากแม้นวาสนาท่านยังเจิดจ้าอยู่ในแดนกังตั๋งก็อาจข้ามไปได้โดยไม่ลำบากเลย

            ซุนกวนได้ยินดังนั้นจึงหันมามองก็จำได้ว่าเป็นทหารเก่าที่เคยติดตามมาแต่ก่อน มีอายุล่วงวัยกลางคนแล้ว ซุนกวนมีสีหน้าที่ลังเล ทหารนั้นจึงกล่าวสืบไปว่าขอให้ท่านลองเสี่ยงบุญวาสนาถอยม้ามาตั้งหลักให้ห่างจากเชิงสะพานแล้วจึงควบม้าด้วยความเร็ว พอถึงเชิงสะพานก็กระตุ้นม้าให้กระโจนข้ามไป คงจะข้ามถึงอีกฟากหนึ่งได้เป็นมั่นคง

            ทหารนั้นกล่าวขาดคำลงเสียงโห่ของทหารเตียวเลี้ยวก็กระชั้นเข้ามา ซุนกวนไม่มีทางเลือกอื่นใดจึงชักม้าถอยกลับห่างออกมาจากเชิงสะพานแล้วลงแส้ม้าให้ควบไปทางสะพานซึ่งขาดนั้นอย่างรวดเร็ว พอถึงเชิงสะพานซุนกวนก็กระตุ้นม้าให้กระโจนข้ามสะพานซึ่งขาดนั้น

            จะเป็นด้วยแรงวิริยภาพของความกลัวภัย หรือจะเป็นเพราะบุญวาสนาของซุนกวนยังไม่สิ้น ดังนั้นม้าซึ่งซุนกวนขี่จึงกระโจนทะยานข้ามแม่น้ำซึ่งสะพานขาดนั้นไปถึงอีกฝั่งหนึ่งได้ราวปาฏิหาริย์

            ในขณะนั้นชีเซ่งและตังสิดคุมเรือรบลำหนึ่งลาดตระเวนมาตามลำน้ำ เห็นซุนกวนแตกหนีข้ามแม่น้ำจึงสั่งทหารให้จอดเรือและขึ้นไปเชิญซุนกวนให้ลงมาในเรือ

            ทางฝ่ายเล่งทองทำหน้าที่สกัดทหารของเตียวเลี้ยวมิให้ไล่ตามซุนกวน แต่มีกำลังทหารน้อยกว่าและถูกซุ่มโจมตีจึงเสียทีถูกโจมตีถอยร่นมาจนใกล้ถึงเชิงสะพาน ทหารในบังคับบัญชาของเล่งทองถูกทหารของเตียวเลี้ยวฆ่าฟันบาดเจ็บจนหมดสิ้น ตัวเล่งทองเองก็ถูกอาวุธทั่วทั้งตัวบาดเจ็บสาหัส จึงขับม้าหนีไปถึงเชิงสะพานเสียวเกียว

            ในขณะเดียวกันนั้นเองกำเหลงและลิบองซึ่งไล่ตามตีงักจิ้นล้ำเกินห่างมาจาก ซุนกวนเป็นอันมาก เห็นทหารของงักจิ้นหนีหายเข้าไปในป่าจนหมดสิ้นก็ประหลาดใจ และได้ยินเสียงทหารโห่ร้องอื้ออึงอยู่ทางด้านหลังก็คาดว่าต้องกลอุบายของทหารเมืองหับป๋า จึงเกรงว่าซุนกวนจะเป็นอันตราย

            กำเหลงและลิบองคิดดังนั้นจึงคุมทหารย้อนกลับลงมาด้านทิศใต้หวังจะช่วยซุนกวน จึงปะทะกับทหารของลิเตียนซึ่งสกัดขวางทางอยู่ กำเหลงและลิบองเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าพาทหารตีฝ่าเข้าไปในแนวสกัดของลิเตียน

            ในขณะนั้นงักจิ้นเห็นทหารเมืองกังตั๋งรู้สึกตัวและคุมกำลังถอยกลับ จึงสั่งทหารทั้งปวงให้คุมขบวนกันไล่ตามตี และตีกระหนาบหลังทหารของลิบองและกำเหลงซึ่งกำลังเผชิญหน้าอยู่กับทหารของลิเตียน

            ทหารเมืองกังตั๋งของกำเหลงและลิบองตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของทหารเมืองหับป๋าทั้งด้านหน้าและด้านหลังจึงพากันแตกตื่นตกใจ คุมกันไม่ติด และถูกทหารเมืองหับป๋าฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก

            กำเหลงและลิบองเหลือทหารอยู่เพียงสี่สิบห้าสิบคนเห็นจะต้านทหารเมืองหับป๋าไม่ได้ จึงขี่ม้าตีฝ่าวงล้อมออกไปทางสะพานเสียวเกียว ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่เล่งทองก็ขี่ม้าหนีไปถึงเชิงสะพาน ทหารเมืองกังตั๋งเห็นทหารเมืองหับป๋ารุกไล่ตามมา มิรู้ที่จะทำประการใดจึงพากันกระโดดหนีลงไปในน้ำ ซุนกวนอยู่บนเรือรบของชีเซ่งเห็นทหารเมืองกังตั๋งเสียทีกระโดดหนีลงน้ำดังนั้น จึงให้ถอยเรือรบเข้าไปรับเอาทหารเมืองกังตั๋งขึ้นมาบนเรือ

            เตียวเลี้ยวและทหารเมืองหับป๋าไล่ตามตีทหารเมืองกังตั๋งมาถึงเชิงสะพานเห็นทหารเมืองกังตั๋งหนีลงไปในน้ำและถูกรับขึ้นไปบนเรือรบ ไม่อาจไล่ติดตามต่อไปได้ เตียวเลี้ยวจึงสั่งทหารให้ร้องเยาะเย้ยซุนกวนเป็นหยาบช้า แล้วโห่ร้องขึ้นพร้อมกัน

            ซุนกวนเห็นทหารเมืองหับป๋าไล่ตามมาถึงเชิงสะพาน จึงสั่งให้ชีเซ่งออกเรือไปทางปากน้ำยี่สูปลายแดนเมืองกังตั๋ง แล้วสั่งให้ตั้งค่ายอยู่ที่เมืองยี่สูนั้น

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้พรรณนาสถานการณ์ในยามที่ซุนกวนปราชัยแก่เตียวเลี้ยวในครั้งนี้ว่า เป็นการปราชัยอย่างย่อยยับ ทำลายขวัญทหารและชาวเมืองจนไม่มีเหลือ “ทหารแลชาวเมืองกังตั๋งกลัวฝีมือเตียวเลี้ยวเป็นอันมาก ถ้าเด็กร้องไห้มีผู้ขู่ออกชื่อเตียวเลี้ยว เด็กนั้นก็กลัวนิ่งอยู่”

            ความปราชัยของซุนกวนในครั้งนี้เป็นความอัปยศที่ฝังตรึงใจของชาวแดนใต้ว่าชาวภาคใต้ไม่ใช่นักรบ หากเหมาะกับอาชีพพ่อค้าตั้งแต่บัดนั้นมา และถือเป็นความอัปยศครั้งสำคัญที่สุดในชีวิตของซุนกวน.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ปัญหาและเฉลยธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันพฤหัสบดี ที่ ๑๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวินัยบัญญัติ นักธรรมชั้นเอก สอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๕๔๓ วันเสาร์ ที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๓