ตอนที่ 396. แผนลับในหีบเล็ก

 เจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบ เดือนเก้า ข้างแรม ขงเบ้งวางกลอุบายตีขนดหางพญานาค ติดสินบนและลวงซุนกวนให้ยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋า ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเมืองหลวง ซุนกวนเห็นแต่ประโยชน์ที่จะได้สองสถาน แต่มองไม่เห็นประโยชน์ที่จะบังเกิดแก่เล่าปี่สองสถานเช่นเดียวกัน จึงงุบเหยื่อที่ขงเบ้งวางไว้แล้วกรีฑาทัพไปตีเมืองหับป๋า โดยกำหนดแผนการเข้าตีเมืองอ้วนเซียซึ่งเป็นฐานเสบียงก่อน

            ลิบองทักท้วงไม่เห็นด้วยกับแผนการสร้างกำแพงดินแล้ว จึงเสนอแผนการยุทธ์ต่อไปว่าควรถือโอกาสที่กองทัพหนุนจากเมืองหับป๋ายังยกมาไม่ถึงทุ่มกำลังเข้าตีหักเอาเมืองอ้วนเซียให้ได้ในคราวเดียว จากนั้นจึงค่อยยกล่วงไปตีเมืองหับป๋า

            ซุนกวนได้ฟังสองขุนพลเสนอความเห็นขัดแย้งกันจึงนิ่งอึ้งไตร่ตรองอยู่เป็นครู่ใหญ่ แล้วกล่าวว่าเราตัดสินใจทำตามความเห็นของลิบอง ให้กองทัพทั้งปวงพักผ่อนหลับนอนแต่หัวค่ำ ให้ตื่นเวลาตีสาม หุงหาอาหารกินให้แล้วเสร็จ พอเวลาตีห้าให้ทุกหน่วยทุกกองยกเข้าตีหักเอาเมืองอ้วนเซียพร้อมกัน

            บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงรับคำสั่งซุนกวนแล้วคำนับลาออกไปถ่ายทอดคำสั่งตามแผนยุทธการที่ซุนกวนได้สั่งการทุกประการ

            ครั้นเวลาใกล้รุ่งกองทัพทั้งปวงของเมืองกังตั๋งจึงยกออกจากค่ายบุกข้ามคูเมือง อ้วนเซียเข้าประชิดกำแพงเมือง และจุดประทัดสัญญาณให้บุกเข้าโจมตีพร้อมกัน ทหารของเมืองกังตั๋งโห่ร้องดังสนั่นพร้อมกัน แล้วพากันกรูเข้าตีเมือง

            สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาการสู้รบว่า ทหารเมืองกังตั๋ง “ยกทหารข้ามคูเมืองเข้าไปโจมตีทำลายประตูแลกำแพงเมือง เสียงฆ้องกลองโห่ร้องอื้ออึงดังแผ่นดินจะถล่มลง ฝ่ายทหารบนเชิงเทินก็เอาเกาทัณฑ์ระดมยิงดังห่าฝน”

            กำเหลงและลิบองซึ่งเป็นกองทัพหน้าของเมืองกังตั๋งในการยุทธ์ครั้งนี้ ได้สั่งการให้ทหารในกองทัพหน้าเอาบันไดและพะองพาดกำแพงเมือง จู่โจมปีนกำแพงเมืองพร้อมกันตลอดแนวทุกด้าน ตัวกำเหลงเองนำทหารปีนขึ้นไปบนพะองที่พาดกับกำแพงด้วยตนเอง พอถึงกลางบันไดกำเหลงก็ใช้โซ่เหวี่ยงไปคล้องกับเสมากำแพง แล้วหน่วงตัวเพื่อดีดตัวเองขึ้นไปบนกำแพงเมือง

            จูก๋งยืนบัญชาการรบอยู่ตรงบริเวณที่กำเหลงนำทหารบุกเข้าตี จึงสั่งทหารให้เอาก้อนศิลาและกรวดทรายคั่วสาดซัดใส่ทหารเมืองกังตั๋งเป็นอันมาก กำเหลงสั่งทหารให้ก้มหน้าลงเพื่ออาศัยหมวกเกราะคุ้มกันไม่ให้ถูกกรวดทรายคั่ว แต่ทหารจำนวนมากก็ถูกก้อนศิลาบาดเจ็บพลัดตกบันได บ้างก็ถึงแก่ความตาย

            กำเหลงมิได้ระย่อท้อถอย เห็นจูก๋งยืนบัญชาการดังนั้นจึงดึงโซ่ห่วงลงมาใหม่แล้วซัดไปที่จูก๋ง ถูกจูก๋งล้มลงบนกำแพงเมืองได้รับบาดเจ็บสาหัส ทหารบนกำแพงเมืองเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบวิ่งเข้าไปพยุงจูก๋งเป็นชุลมุน

            ทหารบนกำแพงเมืองที่ห่างออกไปเห็นเหตุการณ์ชุลมุนไม่รู้ความกระจ่างก็ตกใจพากันแตกตื่น กำเหลงจึงสั่งทหารเมืองกังตั๋งให้รีบปีนขึ้นไปบนกำแพงเมือง ทหารเมืองกังตั๋งได้ยินคำสั่งกำเหลงก็โห่ร้องพร้อมกัน แล้วรีบปีนป่ายบันไดขึ้นไปบนกำแพงเมืองได้

            กำเหลงขึ้นไปบนกำแพงเมืองแล้วใช้กระบี่ฆ่าฟันทหารบนกำแพงเมืองบาดเจ็บล้มตายลงเป็นหลายคนจนเข้าไปถึงตัวจูก๋ง ก็ใช้กระบี่ฆ่าฟันทหารที่พยุงจูก๋งบาดเจ็บล้มตายจนหมดสิ้น ในขณะนั้นจูก๋งยังบาดเจ็บอยู่ป้องกันตนเองไม่ได้ จึงถูกกำเหลงเอาทวนแทงถึงแก่ความตาย

            บรรดาทหารเมืองอ้วนเซียเห็นจูก๋งถึงแก่ความตายก็ยอมจำนนแก่กำเหลงแต่โดยดี กำเหลงจึงสั่งให้เปิดประตูเมืองรับทหารเมืองกังตั๋งเข้ามาในเมือง

            เมื่อกองทัพหน้าของเมืองกังตั๋งเข้ายึดเมืองอ้วนเซียได้แล้วก็ปักธงประจำเมืองกังตั๋งขึ้นเหนือกำแพงเมือง ซุนกวนซึ่งคุมกองทัพหลวงเห็นดังนั้นจึงสั่งทหารเมืองกังตั๋งให้ยกหนุนเข้าไปในเมือง และยึดเมืองอ้วนเซียได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดก่อนเวลาสาย

            ทางฝ่ายเตียวเลี้ยวซึ่งรักษาเมืองหับป๋านั้น ครั้นได้รับหนังสือแจ้งความศึกของจูก๋งแล้ว จึงจัดแจงทหารยกออกจากเมืองหับป๋าจะไปช่วยจูก๋งที่เมืองอ้วนเซีย แต่พอเตียวเลี้ยวยกกองทัพมาถึงกลางทางก็ทราบข่าวจากหน่วยสอดแนมว่าเมื่อเวลาเช้าวันนี้กองทัพของ ซุนกวนได้ยกเข้ายึดเมืองอ้วนเซียไว้ได้แล้ว

            เตียวเลี้ยวทราบความดังนั้นก็ตกใจ จึงยกทหารกลับไปเมืองหับป๋า แล้วสั่งทหารทั้งปวงให้เข้มงวดกวดขัน ระมัดระวังรักษาเมืองมิให้ประมาท

            กองทัพเมืองกังตั๋งยึดเมืองอ้วนเซียได้แล้ว ซุนกวนจึงจัดแจงการปกครองให้เป็นปกติสุข และให้เบิกทรัพย์สินจากคลังปูนบำเหน็จแก่ทหารโดยถ้วนหน้ากัน

            รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งซุนกวนจึงให้แต่งโต๊ะเลี้ยงเฉลิมฉลองชัยชนะเพื่อบำรุงขวัญทหาร มีมโหรีบรรเลงและมีการรำฟ้อนตามประเพณีการฉลองชัยของกองทัพ

            ในขณะที่เลี้ยงโต๊ะเสพสุราอยู่นั้น ซุนกวนได้ปรารภว่า “เรามาตีเมืองอ้วนเซียครั้งนี้กำเหลงมีความชอบเป็นอันมากเพราะเข้าเมืองได้ก่อน”

            ว่าแล้วซุนกวนจึงเรียกกำเหลงให้มานั่งดื่มสุราที่โต๊ะใกล้กันซึ่งเป็นโต๊ะสำหรับตำแหน่งที่ขุนนางผู้ใหญ่ พักหนึ่งซุนกวนก็ขอตัวกลับเข้าไปที่ข้างใน ในขณะที่งานเลี้ยงฉลองชัยยังคงดำเนินต่อไป

            ในขณะที่กำเหลงกำลังยินดีในคำชมเชยของซุนกวนนั้น เล่งทองคู่แค้นเก่าของกำเหลงได้เกิดความรู้สึกเขม่นและไม่ชอบใจอย่างรุนแรง เพราะในขณะที่เห็นกำเหลงได้ความชอบ เล่งทองก็หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ที่กำเหลงฆ่าบิดาของตัวในอดีต ความอาฆาตแค้นจึงพลุ่งขึ้นอีกครั้งหนึ่ง เล่งทองจ้องมองไปที่กำเหลงด้วยความอาฆาตแค้น

            เล่งทองจ้องอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นกล่าวกับเพื่อนนายทหารว่า งานเฉลิมฉลองชัยครั้งนี้ดูแต่สตรีรำฟ้อนแล้วเหมือนขาดความสมบูรณ์ ข้าพเจ้าจะออกไปรำกระบี่ให้เป็นขวัญตาแก่ท่านทั้งหลาย

            ว่าแล้วเล่งทองก็ชักกระบี่ออกร่ายรำ และฉวัดเฉวียนเข้าไปใกล้กำเหลง

            กำเหลงเห็นเล่งทองรำกระบี่ในลักษณะดังนั้นก็รู้ทัน จึงคิดว่าเล่งทองแสร้งรำกระบี่กรายเข้ามาใกล้ตัวเราดังนี้เพราะมีใจพยาบาทด้วยความเก่าเรื่องบิดา หากแม้นไม่คิดอ่านป้องกันตัวก็อาจถูกเล่งทองสังหารได้โดยง่าย

            กำเหลงคิดดังนั้นแล้วจึงลุกขึ้นยืนและกล่าวด้วยเสียงอันดังว่าซึ่งเล่งทองรำกระบี่แต่ผู้เดียวครั้งนี้ไม่งามพร้อม ชอบที่ข้าพเจ้าจะรำศาสตราให้เป็นคู่จึงจะดูงามสม ตัวข้าพเจ้านี้ชำนาญทวนสองเล่ม ดังนั้นจะร่ายรำทวนคู่ให้เป็นขวัญตาแก่คนทั้งปวง

            กำเหลงกล่าวแล้วก็ชักทวนคู่ออกไปร่ายรำ แม้ว่าจะเป็นกระบวนท่าร่ายรำที่งดงามสง่า แต่ท่วงท่าการกรีดกรายเพลงทวนที่สอดคล้องกับเสียงดนตรีนั้นกลับเป็นกระบวนท่าทวนที่ปกป้องคุ้มครองตัวกำเหลงจากปลายกระบี่ของเล่งทองซึ่งจ้องฉกฉวัดเฉวียนหมายปลิดวิญญาณตนทุกครั้งครา

            ฝ่ายลิบองเห็นกำเหลงและเล่งทองร่ายรำศาสตราวุธในลักษณะดังนั้นก็รู้ทันว่าสองนายทหารเมืองกังตั๋งคิดอ่านจะทำร้ายกันและกัน หากปล่อยทอดเวลาให้เนิ่นนานจะต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดพลาดพลั้งเป็นอันตรายได้ จำจะต้องขัดขวางมิให้เกิดเหตุร้ายขึ้น

            ลิบองคิดดังนั้นจึงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่าการรำศาสตราวุธแต่เพียงคู่ดูเหมือนคล้ายจะต่อสู้ทำร้ายกัน ทำให้งานสังสรรค์ฉลองชัยไม่เป็นที่รื่นเริง ดังนั้นเพื่อให้การรำศาสตรางามพร้อมและเย็นตาแก่ท่านทั้งปวง ตัวข้าพเจ้าชำนาญในการใช้เขนจะขอรำเขนให้ท่านทั้งปวงได้วิพากษ์วิจารณ์

            ลิบองกล่าวแล้วก็ถือเขนออกไปร่ายรำตามทำนองและจังหวะของดนตรี แล้วเยื้องย้ายเข้าไปขวางอยู่ท่ามกลางกำเหลงและเล่งทอง

            ทุกครั้งคราที่เล่งทองและกำเหลงร่ายรำเพลงศาสตราวุธในลักษณะที่จะทำร้ายกัน  ลิบองก็รำเขนเข้าขวางกั้นไว้ทุกครั้งไป แต่เล่งทองและกำเหลงกลับไม่ละความพยายาม ยังคงคิดที่จะทำร้ายกันและกันอยู่

            อาการรำร่ายเช่นนี้ทหารเมืองกังตั๋งที่นั่งร่วมอยู่ในงานเลี้ยงมองดูก็รู้นัย นายทหารผู้หนึ่งจึงรีบเข้าไปรายงานให้ซุนกวนทราบ

            ซุนกวนทราบความก็ตกใจ เกรงว่าเล่งทองและกำเหลงจะต่อสู้ทำร้ายกันและกัน จึงรีบเดินไปที่เกิดเหตุ ก็เห็นเล่งทอง กำเหลง และลิบอง ร่ายรำอาวุธอยู่เป็นสามเส้า โดยลิบองร่ายรำเขนอยู่ตรงกลางเป็นทีขวางมิให้ทั้งสองฝ่ายทำร้ายกัน

            ซุนกวนเห็นดังนั้นก็ยืนทำหน้าบึ้งตึง บรรดาทหารทั้งปวงเห็นซุนกวนออกมาจึงคำนับพร้อมกัน เล่งทอง กำเหลง และลิบอง เห็นซุนกวนมาก็ตกใจ ต่างคนต่างวางอาวุธแล้วตรงเข้าไปคุกเข่าคำนับซุนกวน

            ซุนกวนเห็นสามนายทหารคุกเข่าคำนับดังนั้น จึงกล่าวเน้นกับเล่งทองว่า “การซึ่งท่านพยาบาทกำเหลงนั้นเราก็ได้ขอเสียแต่ครั้งก่อนแล้ว เหตุใดจึงมาทำครั้งนี้อีกเล่า”

            เล่งทองได้ยินคำซุนกวนก็หวนนึกถึงเรื่องที่ซุนกวนเคยขอร้องให้ยุติข้อพิพาทบาดหมางในครั้งก่อน และได้รับปากไว้กับซุนกวนแล้ว ในขณะที่อีกความรู้สึกหนึ่งยังคงพยาบาทอาฆาตแค้นกำเหลง ความรู้สึกสองอย่างประดังเข้ามาพร้อมกันดังนี้ เล่งทองไม่รู้ที่จะตอบซุนกวนประการใด จึงได้แต่ก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น

            ซุนกวนเห็นเล่งทองตกอยู่ในอาการเช่นนั้นก็เข้าใจความรู้สึกนึกคิดของผู้ใต้บังคับบัญชาเป็นอย่างดี จึงมีความคิดสงสารเล่งทองเป็นอันมาก

            ซุนกวนมองไปที่กำเหลง กำเหลงเห็นซุนกวนมองมาดังนั้นก็ก้มหน้าแสดงอาการเสียใจเพราะรำลึกถึงความหนหลังที่ได้สังหารบิดาของเล่งทอง แต่กลับต้องมาอยู่ภายใต้ร่มธงชัยของนายคนเดียวกัน

            ซุนกวนอ่านความรู้สึกของกำเหลงได้กระจ่าง จึงกล่าวปลอบใจเล่งทองว่า “ท่านกับกำเหลงเหมือนหนึ่งปลาข้องเดียวกัน จงตั้งใจประนอมทำราชการด้วยกันให้ปรกติเถิด”

            เล่งทองได้ฟังคำซุนกวนดังนั้นก็น้อมรับโดยดุษณี แต่มิได้เอ่ยปากประการใดเพราะความอัดอั้นตันใจในบุญคุณความแค้นระหว่างบิดากับผู้เป็นนายนั้นประดังเข้ามาพร้อมกันในหัวอก แล้วเล่งทองก็ร้องไห้รักบิดา

            ซุนกวนเห็นทหารทั้งปวงเป็นปรกติแล้วจึงสั่งให้ยุติงานเลี้ยง และให้ทหารทุกกรมกองเตรียมพร้อมที่จะยกไปตีเมืองหับป๋าในวันรุ่งขึ้น

            ครั้นรุ่งขึ้นซุนกวนจึงสั่งให้เคลื่อนทัพออกจากเมืองอ้วนเซียตรงไปที่เมืองหับป๋า แล้วให้ตั้งค่ายประชิดเมืองหับป๋าไว้

            เตียวเลี้ยวขึ้นไปตรวจการอยู่บนเชิงเทินของกำแพงเมืองหับป๋า เห็นกองทัพเมือง กังตั๋งยกมาตั้งค่ายประชิดดังนั้นก็เร่งกวดขันทหารทั้งปวงให้เตรียมการรับมือกับการจู่โจมหักเข้าตีเมือง ครั้นเห็นทหารทั้งปวงเตรียมการพร้อมเพรียงแล้ว เตียวเลี้ยวจึงลงไปที่ศาลาว่าราชการ

            พอไปถึงก็มีทหารรักษาการณ์มารายงานว่า โจโฉได้ให้ทหารถือหีบไม้กล่องน้อยมาจากแคว้นฮันต๋ง กำชับให้ส่งถึงมือเตียวเลี้ยวจงได้

            เตียวเลี้ยวทราบรายงานดังนั้นก็ประหลาดใจ ให้ทหารที่มาจากโจโฉเข้ามาพบ แล้วรับเอาหีบไม้ของโจโฉมาดู ปรากฏมีหนังสือปิดผนึกไว้ที่หลังกล่องว่าวุยก๋งกำชับมาถึงเตียวเลี้ยวว่าถ้าข้าศึกยกกองทัพมาย่ำยีเมืองหับป๋าและขัดสนในการสงคราม ก็ให้เตียวเลี้ยวเปิดดูเนื้อความในหีบไม้กล่องน้อยนี้ และให้ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

            เตียวเลี้ยวทราบความในหนังสือที่ปิดผนึกไว้หลังกล่องแล้ว เอากล่องไม้นั้นวางไว้บนที่ว่าราชการ แล้วลงมาคุกเข่าคำนับเพื่อแสดงความคารวะต่อโจโฉ บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงเห็นเตียวเลี้ยวทำการดังนั้นก็คุกเข่าคำนับตามพร้อมกัน

            แล้วเตียวเลี้ยวจึงปรึกษากับลิเตียนและงักจิ้นว่าซึ่งกองทัพเมืองกังตั๋งยกมาล้อมเมืองหับป๋าไว้ในครั้งนี้จะคิดอ่านการสงครามประการใด ต่างคนต่างออกความเห็นไปคนละทาง หาข้อยุติมิได้ เตียวเลี้ยวจึงว่าเมื่อความเห็นไม่ลงกัน ขัดสนดังนี้แล้ว จำจะต้องเปิดหีบไม้ของวุยก๋ง.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘