ตอนที่ 394. อุบาย "ตีขนดหางพญานาค"
โจโฉยึดเมืองฮันต๋งได้แล้วแปลกประหลาดใจที่เตียวล่อผู้เป็นเจ้าเมืองไม่ทำลายคลังเสบียงอาหารและสมบัติพัสถาน คงหนีไปแต่ตัว จึงมีน้ำใจสงสาร ครั้นยกไปตีเมืองปาต๋งได้อีกโจโฉก็เกลี้ยกล่อมเตียวล่อให้ยอมสวามิภักดิ์ แล้วตั้งเป็นเจ้าเมืองปาต๋ง และปูนบำเหน็จทหารถ้วนหน้ากัน
คงเหลือก็แต่เอียวสงที่ปรึกษาของเตียวล่อซึ่งเป็นคนจำพวก “ข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย” เคยรับสินบนจากโจโฉยุยงเตียวล่อจนเมืองฮันต๋งต้องเสียบังเต๊กและยังขายนายตัวเองด้วยการแจ้งให้โจโฉยกกองทัพไปตีเมืองปาต๋งอีก หลังจากโจโฉตำหนิติเตียนเอียวสงต่อหน้าบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงแล้ว จึงว่าคนขายชาติอย่างเจ้านี้เลี้ยงไว้ก็เปลืองข้าวสุก
โจโฉเอามือทุบโต๊ะที่ว่าราชการดังสนั่น แล้วสั่งให้ทหารคุมตัวเอียวสงขึ้นเกวียนตระเวนประจานรอบเมืองว่าเป็นคนขายเจ้า บ่าวขายนาย เพื่อมิให้คนทั้งปวงเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เมื่อประจานแล้วก็ให้เอาตัวไปประหาร ตัดศีรษะเสียบประจานไว้นอกประตูเมืองให้เป็นเหยื่อแร้งกาต่อไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเมื่อโจโฉปราบปรามแคว้นฮันต๋งได้แล้วก็ได้ปราบปรามหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองฮันต๋งจนราบคาบ เพราะเหตุที่บรรดาหัวเมืองทั้งหลายรวมทั้งเมืองฮันต๋งเป็นแดนทุรกันดารและอยู่ทางตะวันออกของแคว้นเสฉวน จึงเรียกขานดินแดนนี้ว่าตังฉวนหรือแดนกันดารด้านตะวันออก คือแดนกันดารที่อยู่ทางด้านตะวันออกของแคว้นเสฉวนนั่นเอง
หลังจากโจโฉจัดแจงการปกครองเป็นปกติแล้ว จึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงที่เมืองปาต๋ง ปรารภความที่จะยกกองทัพกลับเมืองฮูโต๋เนื่องจากได้เดินทัพออกจากเมืองหลวงเป็นเวลาช้านาน ทหารทั้งปวงได้รับความลำบากเป็นอันมาก และบัดนี้การศึกสงครามทางแคว้นฮันต๋งก็สงบราบคาบแล้ว
บรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงซึ่งห่างบ้านมาแดนไกลล้วนมีความรู้สึกนึกอยากกลับบ้าน ครั้นได้ยินคำโจโฉปรารภดังนั้นจึงมีความยินดีโดยถ้วนหน้ากัน
โจโฉกำหนดแผนการมาแต่เดิมว่าเมื่อตีเมืองฮันต๋งได้แล้ว จะยกกองทัพล่วงไปตีเมืองเสฉวน แต่กลับปรารภความว่าอยากเลิกทัพกลับเมืองหลวง ทำให้ทหารทั้งปวงเข้าใจว่าโจโฉห่วงใยและอาทรต่อความรู้สึกนึกอยากกลับบ้านของเหล่าทหาร ดังนั้นแม้หากการศึกติดพันต่อไปแล้ว โจโฉย่อมต้องสละความสุขในเมืองหลวงมากกว่า เพราะมีฐานะสูงส่งกว่าทหารทั้งปวง เมื่อเหล่าทหารคิดดังนั้นจึงเข้าใจว่ามีหัวอกอย่างเดียวกันทั้งไพร่และนาย โจโฉจึงครองน้ำใจคนด้วยกโลบายดังนี้
ในขณะนั้นสุมาอี้ซึ่งได้เข้ารับราชการในเมืองหลวงและมีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกำลังพลได้อยู่ในที่ประชุมด้วย สุมาอี้เห็นคนทั้งปวงมีท่าทีคิดถึงบ้านอยากจะยกกองทัพกลับเมืองหลวงจึงออกไปคำนับโจโฉกลางที่ประชุมแล้วว่า “เล่าปี่ได้เมืองเสฉวนแล้วขับเล่าเจี้ยงจากเมือง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองเสฉวนนั้นยังไม่ปรกติต่อเล่าปี่ ท่านยกกองทัพมาถึงนี่ก็เป็นทางกันดารอยู่ ซึ่งจะเลิกกองทัพกลับไปนั้นไม่ควร เมื่อไรจึงจะได้ยกมาอีกเล่า ขอให้ไปตีเมืองเสฉวนให้ได้ในครั้งนี้ทีเดียวจึงค่อยยกทัพกลับไป”
เจ้ากรมกำลังพลซึ่งแม้ตำแหน่งจะไม่เล็กแต่ก็มิใช่ตำแหน่งใหญ่ หากแต่ความซึ่งสุมาอี้ได้เสนอครั้งนี้ลึกซึ้งหลักแหลมและใหญ่หลวงนัก เพราะได้อ่านสถานการณ์ในแคว้นเสฉวนได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าถึงแม้เล่าปี่จะได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแคว้น เสฉวนแล้วแต่อำนาจรัฐนั้นยังไม่เข้มแข็ง ยังไม่มีเสถียรภาพ เพราะยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะสร้างความเชื่อมั่นและความมีเสถียรภาพให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคง ในสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่กองทัพเมืองหลวงจะยกเข้าโจมตีแคว้นเสฉวน แต่สิ่งหนึ่งซึ่งสุมาอี้คาดคิดไม่ถึงก็คือเล่าปี่ในวันนี้ไม่ใช่เล่าปี่คนตัวเปล่าเหมือนเมื่อครั้งระเหเร่ร่อนในครั้งก่อนไม่ หากเป็นเล่าปี่ที่มีพญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋งยืนเคียงข้างเป็นกุนซือแล้ว สุมาอี้จึงได้เสนอในลักษณะดังนี้
โจโฉได้ยินคำสุมาอี้ดังนั้นก็สะดุ้งใจ คิดว่าสุมาอี้ผู้นี้ล่วงรู้ความคิดเรา จึงจ้องหน้ามาที่สุมาอี้ เห็นหน้าสุมาอี้คลับคล้ายคลับคลาเป็นสุนัขจิ้งจอก อุดมด้วยเล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงล้ำลึกนักก็ทำทีทอดถอนใจใหญ่ แล้วว่าอันธรรมดาวิสัยคนนั้นไม่รู้จักพอ ได้คืบแล้วสิอยากได้ศอก ได้ศอกแล้วก็อยากได้วาอีก เราได้เมืองฮันต๋งแล้วยังจะคิดไปตีเมืองเสฉวนอันยิ่งทุรกันดารซ้ำอีกเล่า ความไม่รู้จักพอดังนี้มีแต่จะเดือดร้อนแก่ทหารและอาณาประชาราษฎรทั้งปวง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายความตอนนี้ว่า “อันธรรมดาคนนี้เดิมคิดว่าจะหาแต่หนึ่ง ครั้นได้หนึ่งแล้วก็คิดกำเริบจะหาสองต่อขึ้นไปเพราะโลภ แต่ได้เมืองฮันต๋งแล้วยังมิหนำจะซ้ำไปตีเอาเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นทางกันดารอีกเล่า”
คำพูดของโจโฉดังกล่าวราวกับเป็นคำของพระสงฆ์ทรงศีลแสดงธรรม หากมองแต่ผิวเผินก็อาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องรำพึงรำพันตำหนิติเตียนตัวเองว่าเป็นคนโลภไม่รู้จักพอ แต่ความจริงกลายเป็นเรื่องที่โจโฉกล่าวความเพื่อกระทบต่อสุมาอี้โดยเฉพาะ ว่าเป็นคนโลภไม่รู้จักพอ ทั้ง ๆ ที่ใจจริงของโจโฉก็ต้องการตีเมืองเสฉวนมาแต่ต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโจโฉมีความไม่ไว้วางใจสุมาอี้มาตั้งแต่ครั้งที่สุมาอี้ยังมีตำแหน่งน้อย ๆ นั้นแล้ว
เล่าหัวซึ่งเป็นที่ปรึกษาเห็นโจโฉยังไม่มีท่าทีว่าจะตกลงใจตามข้อเสนอของสุมาอี้จึงเสริมข้อเสนอของสุมาอี้ว่า ความเห็นของสุมาอี้นั้นสอดคล้องต้องด้วยสถานการณ์ เพราะหากละไว้เนิ่นช้าไปเล่าปี่ก็จะเกลี้ยกล่อมผู้คนให้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทั้งขงเบ้งก็มีสติปัญญา ย่อมคิดอ่านปรับปรุงสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพและบ้านเมือง ส่วนทหารเอกเล่าก็มีเป็นอันมาก หากไม่ยกไปทำการในครั้งนี้แล้วสืบไปเบื้องหน้าการที่จะคิดปราบปรามเล่าปี่ย่อมขัดสน
โจโฉได้ฟังคำเล่าหัวแล้วยังคงทำทีส่ายศีรษะ แล้วกล่าวว่า “เรายกกองทัพมานี้ทางก็กันดารนัก ประการหนึ่งได้เมืองฮันต๋งนี้ทแกล้วทหารก็ยังอิดโรยอยู่ ซึ่งจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนนั้นเรายังไม่เห็นด้วย”
โจโฉไม่ชอบหน้าสุมาอี้จึงไม่ฟังความเห็นสุมาอี้ แต่ในขณะเดียวกันวิสัยของผู้นำคนอย่างโจโฉก็ตรองการเห็นอย่างเดียวกับที่สุมาอี้เห็นว่าหากไม่โจมตีเมืองเสฉวนในครั้งนี้แล้ว ละนานช้าไว้เล่าปี่ ขงเบ้ง ก็จะเกลี้ยกล่อมผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และเมื่อมีเสถียรภาพเกิดขึ้นแล้วย่อมยากที่จะตีเมืองเสฉวนได้ แต่ในทางการทหารนั้นโจโฉมีความรู้ข้อมูลดีกว่าใครว่าในการศึกเมืองฮันต๋งครั้งนี้แม้ว่าจะได้ชัยชนะแต่ทหารก็บอบช้ำอิดโรย ไม่อาจรุกรบต่อไปได้ ถึงแม้คิดจะเข้าตีเมืองเสฉวนก็ยังคงต้องปรับปรุงกองทัพอีกระยะเวลาหนึ่ง
โจโฉจึงตอบตัดสินใจว่าไม่เห็นด้วยที่จะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน แต่ไม่ออกคำสั่งให้เลิกทัพกลับเมืองฮูโต๋ กลับสั่งบรรดาแม่ทัพนายกองให้เร่งฝึกปรือทหารซ่องสุมผู้คนและเสบียงให้พร้อมบริบูรณ์ และชุมนุมกองทัพอยู่ที่เมืองปาต๋งนั้นต่อไป
ข่าวคราวที่โจโฉยึดแคว้นฮันต๋งได้แล้วซ่องสุมผู้คนชุมนุมกองทัพอยู่ที่เมืองปาต๋งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว บรรดาราษฎรในแคว้นเสฉวนทราบความแล้วก็ประหวั่นพรั่นพรึงหวาดเกรงว่ากองทัพโจโฉอาจยกล่วงเข้าตีแคว้นเสฉวน ดังนั้นจึงเกิดความระส่ำระสายขึ้นโดยทั่วไป
เล่าปี่ได้รับรายงานถึงสถานการณ์ทั้งปวงแล้วจึงเชิญขงเบ้งมาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใดจึงจะบำรุงน้ำใจชาวเมืองให้เป็นปกติดังเดิม ตลอดจนขับไล่กองทัพโจโฉให้ออกไปจากแคว้นฮันต๋ง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่าการที่โจโฉปลงกองทัพไว้ที่แดนปาต๋งก็เพราะว่าหลังจากผ่านสงครามเมืองฮันต๋งแล้ว แม้ว่าจะได้ชัยชนะแต่ทหารของโจโฉก็ถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารที่เหลือก็อ่อนล้าอิดโรย ขวัญกำลังใจก็อ่อนด้อย ต่างคนต่างอยากกลับบ้าน แม้เสบียงอาหารเล่าก็พร่องลง โจโฉปลงทัพไว้ดังนี้หวังซ่องสุมเสบียงอาหารและผู้คน พร้อมแล้วจึงจะยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวน ซึ่งอาจจะเป็นเวลาช่วงปีหน้าหลังจากฤดูหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจ แต่ยังกังวลด้วยขวัญกำลังใจอาณาประชาราษฎรที่ไม่เป็นปกติสุข จึงปรึกษากับขงเบ้งต่อไปว่าซึ่งจะรอให้กองทัพโจโฉเข้มแข็งแล้วยกมาตีเมืองเรานั้นราษฎรทั้งปวงก็จะไม่มีความสุข ขอให้กุนซือคิดอ่านขับไล่กองทัพโจโฉออกจากแคว้นฮันต๋งด้วยเถิด
ขงเบ้งจึงว่าความประการนี้ข้าพเจ้าก็คำนึงอยู่ ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย ข้าพเจ้าจะทำอุบาย “ตีขนดหางพญานาค” มิให้โจโฉตั้งอยู่เมืองฮันต๋งได้อีกต่อไป
เล่าปี่จึงถามว่ากุนซือจะคิดอ่านประการใด
ขงเบ้งกล่าวสืบไปว่า “โจโฉนั้นเกรงซุนกวนอยู่ จึงให้แฮหัวตุ้นกับเตียวเลี้ยวอยู่รักษาเมืองหับป๋า เมื่อโจโฉยกมาตีเมืองฮันต๋งนี้ก็เอาแฮหัวตุ้นมาด้วย ขอให้แต่งผู้มีสติปัญญาไปว่ากล่าวแก่ซุนกวนว่า ท่านจะให้เมืองกังแฮ เมืองเตียงสา เมืองฮุยเอี๋ยง แล้วยุยงให้ซุนกวนยกมาตีเมืองหับป๋า โจโฉรู้ก็จะเป็นกังวลหลัง เลิกทัพกลับไปช่วยกันเป็นมั่นคง”
ตามแผนการเดิมของขงเบ้งนั้นต้องการให้กองทัพของโจโฉสู้รบกับกองทัพของเตียวล่อจนเพลี่ยงพล้ำอ่อนลงก่อนแล้วจึงค่อยซ้ำเติม เพราะมุ่งหมายจะถนอมกำลังทหารเมืองเสฉวนไว้มิให้บอบช้ำด้วยการสงคราม โดยคาดคะเนว่าโจโฉกรีฑาทัพมาแต่เมืองหลวงเป็นทางไกล ตั้งอยู่ในแดนฮันต๋งนานไม่ได้ ถึงชนะก็ต้องยกทัพกลับไปเมืองหลวง ทำให้เกิดช่องว่างแห่งอำนาจขึ้นในแคว้นฮันต๋ง ถึงโอกาสนั้นกองทัพเสฉวนจะยกเข้าตีเมืองฮันต๋งก็คงจะทำการได้โดยสะดวก
ในสถานการณ์ขณะนี้โจโฉได้เมืองฮันต๋งแล้วก็จริงแต่กำลังทหารก็อ่อนล้าอิดโรยลง ถึงขนาดนี้แล้วขงเบ้งก็ยังคงดำเนินยุทโธบายถนอมกำลังทหารเสฉวนไว้ต่อไป เพราะหากยกกองทัพเข้าโจมตีกองทัพของโจโฉ ถึงแม้นจะได้ชัยชนะ ความตายและความเสียหายแก่ทหารก็จะเกิดขึ้นเป็นอันมาก กองทัพของโจโฉและกองทัพของเล่าปี่ย่อมอ่อนแอลง ทำให้ซุนกวนซึ่งซ่องสุมกำลังผู้คนสดชื่นอยู่ในภาคใต้กำเริบใจได้ และหากซุนกวนกำเริบใจขึ้นเมื่อใดก็จะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วและรุกขึ้นเหนือซึ่งไม่เป็นผลดี ดังนั้นยุทโธบายที่ล้ำเลิศที่สุดก็คือการทำลายศักยภาพศักยสงครามของทั้งกองทัพโจโฉและกองทัพซุนกวนให้อ่อนแรงลงทั้งสองฝ่าย ในขณะที่ต้องดำรงความเข้มแข็งเกรียงไกรของกองทัพเล่าปี่ไว้เพื่อช่วงชิงซ้ำเติมในภายหลัง ประโยชน์สูงสุดก็จะบังเกิดแก่กองทัพของเล่าปี่ แต่ความยากลำบากอยู่ตรงที่จะทำประการใดจึงจะเกิดสงครามระหว่างซุนกวนกับโจโฉ
ในประการนี้ขงเบ้งรู้ดีว่าเมืองหับป๋านั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเมืองหลวง ดังนั้นโจโฉจึงตั้งให้เตียวเลี้ยวซึ่งเป็นยอดทหารเสือพร้อมด้วยทหารอีกหลายสิบหมื่นรักษาจุดยุทธศาสตร์นี้ หากซุนกวนตีเมืองหับป๋าได้แล้วก็สามารถกรีฑาทัพรุกเข้าตีเมืองหลวงได้โดยสะดวก เมืองหับป๋าจึงดุจดั่งขนดหางพญานาค ที่ถ้าหากถูกตีแล้วพญานาคก็ต้องทุ่มเทกำลังเข้าต่อสู้ป้องกันจนสุดชีวิต นั่นคือการก่อสถานการณ์บังคับให้โจโฉจำเป็นต้องรบและจำเป็นต้องถอนทัพจากแคว้นฮันต๋งลงไปรบกับซุนกวนที่เมืองหับป๋า
อุบาย “ตีขนดหางพญานาค” คือการเข้าตีในจุดที่คัมภีร์พิชัยสงครามระบุว่าเป็นจุดที่ข้าศึกจำเป็นต้องรบป้องกันนั่นเอง ทำให้ข้าศึกต้องรบตามที่เรากำหนด ไม่ใช่เราถูกข้าศึกกำหนดให้จำต้องรบ
การที่อยู่ดี ๆ ซุนกวนจะยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋าย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นขงเบ้งจึงกำหนดการตามคัมภีร์พิชัยสงคราม เพื่อลวงและยุให้ซุนกวนยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋าให้จงได้ นั่นคือการลวงล่อด้วยอามิส และสิ่งที่ซุนกวนปรารถนาสูงสุดก็คือเมืองเกงจิ๋ว ดังนั้นขงเบ้งจึงกำหนดเอาสามหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋ว คือเมืองกังแฮ เมืองเตียงสา และเมืองฮุยเอี๋ยง เป็นสินบนยั่วยุน้ำใจซุนกวน แต่ในส่วนความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเมืองหับป๋านั้นขงเบ้งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง เพราะรู้ดีว่าซุนกวนย่อมเห็นประโยชน์จากการยึดเมืองหับป๋าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์เป็นอย่างดียิ่งกว่าใคร
ด้วยอามิสและด้วยล่อให้เห็นประโยชน์โดยไม่ต้องพูดในลักษณะดังนี้ จึงมีพลังอำนาจที่เพียงพอต่อการทำให้ยอดคนแห่งกังตั๋งต้องถลำเข้าสู่บ่วงกล ยอมตนเป็นเครื่องมือของเล่าปี่ ยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋าแล้วพร่ากำลังของทั้งกองทัพซุนกวนและกองทัพโจโฉให้อ่อนแอลง อันเป็นการเพิ่มพูนศักยะสงครามของกองทัพเล่าปี่ให้มีความเหนือกว่า ซึ่งคุ้มค่ากว่าสามหัวเมืองย่อยนัก.
คงเหลือก็แต่เอียวสงที่ปรึกษาของเตียวล่อซึ่งเป็นคนจำพวก “ข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย” เคยรับสินบนจากโจโฉยุยงเตียวล่อจนเมืองฮันต๋งต้องเสียบังเต๊กและยังขายนายตัวเองด้วยการแจ้งให้โจโฉยกกองทัพไปตีเมืองปาต๋งอีก หลังจากโจโฉตำหนิติเตียนเอียวสงต่อหน้าบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงแล้ว จึงว่าคนขายชาติอย่างเจ้านี้เลี้ยงไว้ก็เปลืองข้าวสุก
โจโฉเอามือทุบโต๊ะที่ว่าราชการดังสนั่น แล้วสั่งให้ทหารคุมตัวเอียวสงขึ้นเกวียนตระเวนประจานรอบเมืองว่าเป็นคนขายเจ้า บ่าวขายนาย เพื่อมิให้คนทั้งปวงเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เมื่อประจานแล้วก็ให้เอาตัวไปประหาร ตัดศีรษะเสียบประจานไว้นอกประตูเมืองให้เป็นเหยื่อแร้งกาต่อไป
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่าเมื่อโจโฉปราบปรามแคว้นฮันต๋งได้แล้วก็ได้ปราบปรามหัวเมืองทั้งปวงที่ขึ้นต่อเมืองฮันต๋งจนราบคาบ เพราะเหตุที่บรรดาหัวเมืองทั้งหลายรวมทั้งเมืองฮันต๋งเป็นแดนทุรกันดารและอยู่ทางตะวันออกของแคว้นเสฉวน จึงเรียกขานดินแดนนี้ว่าตังฉวนหรือแดนกันดารด้านตะวันออก คือแดนกันดารที่อยู่ทางด้านตะวันออกของแคว้นเสฉวนนั่นเอง
หลังจากโจโฉจัดแจงการปกครองเป็นปกติแล้ว จึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงที่เมืองปาต๋ง ปรารภความที่จะยกกองทัพกลับเมืองฮูโต๋เนื่องจากได้เดินทัพออกจากเมืองหลวงเป็นเวลาช้านาน ทหารทั้งปวงได้รับความลำบากเป็นอันมาก และบัดนี้การศึกสงครามทางแคว้นฮันต๋งก็สงบราบคาบแล้ว
บรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวงซึ่งห่างบ้านมาแดนไกลล้วนมีความรู้สึกนึกอยากกลับบ้าน ครั้นได้ยินคำโจโฉปรารภดังนั้นจึงมีความยินดีโดยถ้วนหน้ากัน
โจโฉกำหนดแผนการมาแต่เดิมว่าเมื่อตีเมืองฮันต๋งได้แล้ว จะยกกองทัพล่วงไปตีเมืองเสฉวน แต่กลับปรารภความว่าอยากเลิกทัพกลับเมืองหลวง ทำให้ทหารทั้งปวงเข้าใจว่าโจโฉห่วงใยและอาทรต่อความรู้สึกนึกอยากกลับบ้านของเหล่าทหาร ดังนั้นแม้หากการศึกติดพันต่อไปแล้ว โจโฉย่อมต้องสละความสุขในเมืองหลวงมากกว่า เพราะมีฐานะสูงส่งกว่าทหารทั้งปวง เมื่อเหล่าทหารคิดดังนั้นจึงเข้าใจว่ามีหัวอกอย่างเดียวกันทั้งไพร่และนาย โจโฉจึงครองน้ำใจคนด้วยกโลบายดังนี้
ในขณะนั้นสุมาอี้ซึ่งได้เข้ารับราชการในเมืองหลวงและมีตำแหน่งเป็นเจ้ากรมกำลังพลได้อยู่ในที่ประชุมด้วย สุมาอี้เห็นคนทั้งปวงมีท่าทีคิดถึงบ้านอยากจะยกกองทัพกลับเมืองหลวงจึงออกไปคำนับโจโฉกลางที่ประชุมแล้วว่า “เล่าปี่ได้เมืองเสฉวนแล้วขับเล่าเจี้ยงจากเมือง อาณาประชาราษฎรทั้งปวงซึ่งอยู่ในเมืองเสฉวนนั้นยังไม่ปรกติต่อเล่าปี่ ท่านยกกองทัพมาถึงนี่ก็เป็นทางกันดารอยู่ ซึ่งจะเลิกกองทัพกลับไปนั้นไม่ควร เมื่อไรจึงจะได้ยกมาอีกเล่า ขอให้ไปตีเมืองเสฉวนให้ได้ในครั้งนี้ทีเดียวจึงค่อยยกทัพกลับไป”
เจ้ากรมกำลังพลซึ่งแม้ตำแหน่งจะไม่เล็กแต่ก็มิใช่ตำแหน่งใหญ่ หากแต่ความซึ่งสุมาอี้ได้เสนอครั้งนี้ลึกซึ้งหลักแหลมและใหญ่หลวงนัก เพราะได้อ่านสถานการณ์ในแคว้นเสฉวนได้อย่างทะลุปรุโปร่งว่าถึงแม้เล่าปี่จะได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแคว้น เสฉวนแล้วแต่อำนาจรัฐนั้นยังไม่เข้มแข็ง ยังไม่มีเสถียรภาพ เพราะยังต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะสร้างความเชื่อมั่นและความมีเสถียรภาพให้เกิดขึ้นอย่างมั่นคง ในสถานการณ์เช่นนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่กองทัพเมืองหลวงจะยกเข้าโจมตีแคว้นเสฉวน แต่สิ่งหนึ่งซึ่งสุมาอี้คาดคิดไม่ถึงก็คือเล่าปี่ในวันนี้ไม่ใช่เล่าปี่คนตัวเปล่าเหมือนเมื่อครั้งระเหเร่ร่อนในครั้งก่อนไม่ หากเป็นเล่าปี่ที่มีพญามังกรแห่งเขาโงลังกั๋งยืนเคียงข้างเป็นกุนซือแล้ว สุมาอี้จึงได้เสนอในลักษณะดังนี้
โจโฉได้ยินคำสุมาอี้ดังนั้นก็สะดุ้งใจ คิดว่าสุมาอี้ผู้นี้ล่วงรู้ความคิดเรา จึงจ้องหน้ามาที่สุมาอี้ เห็นหน้าสุมาอี้คลับคล้ายคลับคลาเป็นสุนัขจิ้งจอก อุดมด้วยเล่ห์เหลี่ยมพลิกแพลงล้ำลึกนักก็ทำทีทอดถอนใจใหญ่ แล้วว่าอันธรรมดาวิสัยคนนั้นไม่รู้จักพอ ได้คืบแล้วสิอยากได้ศอก ได้ศอกแล้วก็อยากได้วาอีก เราได้เมืองฮันต๋งแล้วยังจะคิดไปตีเมืองเสฉวนอันยิ่งทุรกันดารซ้ำอีกเล่า ความไม่รู้จักพอดังนี้มีแต่จะเดือดร้อนแก่ทหารและอาณาประชาราษฎรทั้งปวง
สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) บรรยายความตอนนี้ว่า “อันธรรมดาคนนี้เดิมคิดว่าจะหาแต่หนึ่ง ครั้นได้หนึ่งแล้วก็คิดกำเริบจะหาสองต่อขึ้นไปเพราะโลภ แต่ได้เมืองฮันต๋งแล้วยังมิหนำจะซ้ำไปตีเอาเมืองเสฉวน ซึ่งเป็นทางกันดารอีกเล่า”
คำพูดของโจโฉดังกล่าวราวกับเป็นคำของพระสงฆ์ทรงศีลแสดงธรรม หากมองแต่ผิวเผินก็อาจเข้าใจว่าเป็นเรื่องรำพึงรำพันตำหนิติเตียนตัวเองว่าเป็นคนโลภไม่รู้จักพอ แต่ความจริงกลายเป็นเรื่องที่โจโฉกล่าวความเพื่อกระทบต่อสุมาอี้โดยเฉพาะ ว่าเป็นคนโลภไม่รู้จักพอ ทั้ง ๆ ที่ใจจริงของโจโฉก็ต้องการตีเมืองเสฉวนมาแต่ต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโจโฉมีความไม่ไว้วางใจสุมาอี้มาตั้งแต่ครั้งที่สุมาอี้ยังมีตำแหน่งน้อย ๆ นั้นแล้ว
เล่าหัวซึ่งเป็นที่ปรึกษาเห็นโจโฉยังไม่มีท่าทีว่าจะตกลงใจตามข้อเสนอของสุมาอี้จึงเสริมข้อเสนอของสุมาอี้ว่า ความเห็นของสุมาอี้นั้นสอดคล้องต้องด้วยสถานการณ์ เพราะหากละไว้เนิ่นช้าไปเล่าปี่ก็จะเกลี้ยกล่อมผู้คนให้มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ทั้งขงเบ้งก็มีสติปัญญา ย่อมคิดอ่านปรับปรุงสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพและบ้านเมือง ส่วนทหารเอกเล่าก็มีเป็นอันมาก หากไม่ยกไปทำการในครั้งนี้แล้วสืบไปเบื้องหน้าการที่จะคิดปราบปรามเล่าปี่ย่อมขัดสน
โจโฉได้ฟังคำเล่าหัวแล้วยังคงทำทีส่ายศีรษะ แล้วกล่าวว่า “เรายกกองทัพมานี้ทางก็กันดารนัก ประการหนึ่งได้เมืองฮันต๋งนี้ทแกล้วทหารก็ยังอิดโรยอยู่ ซึ่งจะยกไปตีเอาเมืองเสฉวนนั้นเรายังไม่เห็นด้วย”
โจโฉไม่ชอบหน้าสุมาอี้จึงไม่ฟังความเห็นสุมาอี้ แต่ในขณะเดียวกันวิสัยของผู้นำคนอย่างโจโฉก็ตรองการเห็นอย่างเดียวกับที่สุมาอี้เห็นว่าหากไม่โจมตีเมืองเสฉวนในครั้งนี้แล้ว ละนานช้าไว้เล่าปี่ ขงเบ้ง ก็จะเกลี้ยกล่อมผู้คนให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว และเมื่อมีเสถียรภาพเกิดขึ้นแล้วย่อมยากที่จะตีเมืองเสฉวนได้ แต่ในทางการทหารนั้นโจโฉมีความรู้ข้อมูลดีกว่าใครว่าในการศึกเมืองฮันต๋งครั้งนี้แม้ว่าจะได้ชัยชนะแต่ทหารก็บอบช้ำอิดโรย ไม่อาจรุกรบต่อไปได้ ถึงแม้คิดจะเข้าตีเมืองเสฉวนก็ยังคงต้องปรับปรุงกองทัพอีกระยะเวลาหนึ่ง
โจโฉจึงตอบตัดสินใจว่าไม่เห็นด้วยที่จะยกกองทัพไปตีเมืองเสฉวน แต่ไม่ออกคำสั่งให้เลิกทัพกลับเมืองฮูโต๋ กลับสั่งบรรดาแม่ทัพนายกองให้เร่งฝึกปรือทหารซ่องสุมผู้คนและเสบียงให้พร้อมบริบูรณ์ และชุมนุมกองทัพอยู่ที่เมืองปาต๋งนั้นต่อไป
ข่าวคราวที่โจโฉยึดแคว้นฮันต๋งได้แล้วซ่องสุมผู้คนชุมนุมกองทัพอยู่ที่เมืองปาต๋งแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว บรรดาราษฎรในแคว้นเสฉวนทราบความแล้วก็ประหวั่นพรั่นพรึงหวาดเกรงว่ากองทัพโจโฉอาจยกล่วงเข้าตีแคว้นเสฉวน ดังนั้นจึงเกิดความระส่ำระสายขึ้นโดยทั่วไป
เล่าปี่ได้รับรายงานถึงสถานการณ์ทั้งปวงแล้วจึงเชิญขงเบ้งมาปรึกษาว่าจะคิดอ่านประการใดจึงจะบำรุงน้ำใจชาวเมืองให้เป็นปกติดังเดิม ตลอดจนขับไล่กองทัพโจโฉให้ออกไปจากแคว้นฮันต๋ง
ขงเบ้งได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วว่าการที่โจโฉปลงกองทัพไว้ที่แดนปาต๋งก็เพราะว่าหลังจากผ่านสงครามเมืองฮันต๋งแล้ว แม้ว่าจะได้ชัยชนะแต่ทหารของโจโฉก็ถูกฆ่าฟันบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก ทหารที่เหลือก็อ่อนล้าอิดโรย ขวัญกำลังใจก็อ่อนด้อย ต่างคนต่างอยากกลับบ้าน แม้เสบียงอาหารเล่าก็พร่องลง โจโฉปลงทัพไว้ดังนี้หวังซ่องสุมเสบียงอาหารและผู้คน พร้อมแล้วจึงจะยกกองทัพมาตีเมืองเสฉวน ซึ่งอาจจะเป็นเวลาช่วงปีหน้าหลังจากฤดูหนาวได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็ค่อยคลายใจ แต่ยังกังวลด้วยขวัญกำลังใจอาณาประชาราษฎรที่ไม่เป็นปกติสุข จึงปรึกษากับขงเบ้งต่อไปว่าซึ่งจะรอให้กองทัพโจโฉเข้มแข็งแล้วยกมาตีเมืองเรานั้นราษฎรทั้งปวงก็จะไม่มีความสุข ขอให้กุนซือคิดอ่านขับไล่กองทัพโจโฉออกจากแคว้นฮันต๋งด้วยเถิด
ขงเบ้งจึงว่าความประการนี้ข้าพเจ้าก็คำนึงอยู่ ท่านอย่าได้ปรารมภ์เลย ข้าพเจ้าจะทำอุบาย “ตีขนดหางพญานาค” มิให้โจโฉตั้งอยู่เมืองฮันต๋งได้อีกต่อไป
เล่าปี่จึงถามว่ากุนซือจะคิดอ่านประการใด
ขงเบ้งกล่าวสืบไปว่า “โจโฉนั้นเกรงซุนกวนอยู่ จึงให้แฮหัวตุ้นกับเตียวเลี้ยวอยู่รักษาเมืองหับป๋า เมื่อโจโฉยกมาตีเมืองฮันต๋งนี้ก็เอาแฮหัวตุ้นมาด้วย ขอให้แต่งผู้มีสติปัญญาไปว่ากล่าวแก่ซุนกวนว่า ท่านจะให้เมืองกังแฮ เมืองเตียงสา เมืองฮุยเอี๋ยง แล้วยุยงให้ซุนกวนยกมาตีเมืองหับป๋า โจโฉรู้ก็จะเป็นกังวลหลัง เลิกทัพกลับไปช่วยกันเป็นมั่นคง”
ตามแผนการเดิมของขงเบ้งนั้นต้องการให้กองทัพของโจโฉสู้รบกับกองทัพของเตียวล่อจนเพลี่ยงพล้ำอ่อนลงก่อนแล้วจึงค่อยซ้ำเติม เพราะมุ่งหมายจะถนอมกำลังทหารเมืองเสฉวนไว้มิให้บอบช้ำด้วยการสงคราม โดยคาดคะเนว่าโจโฉกรีฑาทัพมาแต่เมืองหลวงเป็นทางไกล ตั้งอยู่ในแดนฮันต๋งนานไม่ได้ ถึงชนะก็ต้องยกทัพกลับไปเมืองหลวง ทำให้เกิดช่องว่างแห่งอำนาจขึ้นในแคว้นฮันต๋ง ถึงโอกาสนั้นกองทัพเสฉวนจะยกเข้าตีเมืองฮันต๋งก็คงจะทำการได้โดยสะดวก
ในสถานการณ์ขณะนี้โจโฉได้เมืองฮันต๋งแล้วก็จริงแต่กำลังทหารก็อ่อนล้าอิดโรยลง ถึงขนาดนี้แล้วขงเบ้งก็ยังคงดำเนินยุทโธบายถนอมกำลังทหารเสฉวนไว้ต่อไป เพราะหากยกกองทัพเข้าโจมตีกองทัพของโจโฉ ถึงแม้นจะได้ชัยชนะ ความตายและความเสียหายแก่ทหารก็จะเกิดขึ้นเป็นอันมาก กองทัพของโจโฉและกองทัพของเล่าปี่ย่อมอ่อนแอลง ทำให้ซุนกวนซึ่งซ่องสุมกำลังผู้คนสดชื่นอยู่ในภาคใต้กำเริบใจได้ และหากซุนกวนกำเริบใจขึ้นเมื่อใดก็จะยกกองทัพไปตีเมืองเกงจิ๋วและรุกขึ้นเหนือซึ่งไม่เป็นผลดี ดังนั้นยุทโธบายที่ล้ำเลิศที่สุดก็คือการทำลายศักยภาพศักยสงครามของทั้งกองทัพโจโฉและกองทัพซุนกวนให้อ่อนแรงลงทั้งสองฝ่าย ในขณะที่ต้องดำรงความเข้มแข็งเกรียงไกรของกองทัพเล่าปี่ไว้เพื่อช่วงชิงซ้ำเติมในภายหลัง ประโยชน์สูงสุดก็จะบังเกิดแก่กองทัพของเล่าปี่ แต่ความยากลำบากอยู่ตรงที่จะทำประการใดจึงจะเกิดสงครามระหว่างซุนกวนกับโจโฉ
ในประการนี้ขงเบ้งรู้ดีว่าเมืองหับป๋านั้นเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเมืองหลวง ดังนั้นโจโฉจึงตั้งให้เตียวเลี้ยวซึ่งเป็นยอดทหารเสือพร้อมด้วยทหารอีกหลายสิบหมื่นรักษาจุดยุทธศาสตร์นี้ หากซุนกวนตีเมืองหับป๋าได้แล้วก็สามารถกรีฑาทัพรุกเข้าตีเมืองหลวงได้โดยสะดวก เมืองหับป๋าจึงดุจดั่งขนดหางพญานาค ที่ถ้าหากถูกตีแล้วพญานาคก็ต้องทุ่มเทกำลังเข้าต่อสู้ป้องกันจนสุดชีวิต นั่นคือการก่อสถานการณ์บังคับให้โจโฉจำเป็นต้องรบและจำเป็นต้องถอนทัพจากแคว้นฮันต๋งลงไปรบกับซุนกวนที่เมืองหับป๋า
อุบาย “ตีขนดหางพญานาค” คือการเข้าตีในจุดที่คัมภีร์พิชัยสงครามระบุว่าเป็นจุดที่ข้าศึกจำเป็นต้องรบป้องกันนั่นเอง ทำให้ข้าศึกต้องรบตามที่เรากำหนด ไม่ใช่เราถูกข้าศึกกำหนดให้จำต้องรบ
การที่อยู่ดี ๆ ซุนกวนจะยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋าย่อมเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดังนั้นขงเบ้งจึงกำหนดการตามคัมภีร์พิชัยสงคราม เพื่อลวงและยุให้ซุนกวนยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋าให้จงได้ นั่นคือการลวงล่อด้วยอามิส และสิ่งที่ซุนกวนปรารถนาสูงสุดก็คือเมืองเกงจิ๋ว ดังนั้นขงเบ้งจึงกำหนดเอาสามหัวเมืองที่ขึ้นต่อเมืองเกงจิ๋ว คือเมืองกังแฮ เมืองเตียงสา และเมืองฮุยเอี๋ยง เป็นสินบนยั่วยุน้ำใจซุนกวน แต่ในส่วนความสำคัญทางยุทธศาสตร์ของเมืองหับป๋านั้นขงเบ้งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง เพราะรู้ดีว่าซุนกวนย่อมเห็นประโยชน์จากการยึดเมืองหับป๋าซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์เป็นอย่างดียิ่งกว่าใคร
ด้วยอามิสและด้วยล่อให้เห็นประโยชน์โดยไม่ต้องพูดในลักษณะดังนี้ จึงมีพลังอำนาจที่เพียงพอต่อการทำให้ยอดคนแห่งกังตั๋งต้องถลำเข้าสู่บ่วงกล ยอมตนเป็นเครื่องมือของเล่าปี่ ยกกองทัพไปตีเมืองหับป๋าแล้วพร่ากำลังของทั้งกองทัพซุนกวนและกองทัพโจโฉให้อ่อนแอลง อันเป็นการเพิ่มพูนศักยะสงครามของกองทัพเล่าปี่ให้มีความเหนือกว่า ซึ่งคุ้มค่ากว่าสามหัวเมืองย่อยนัก.