ตอนที่ 393. เก็งกำไรความชอบ
หลังจากโจโฉวางอุบาย “ขุดบ่อล่อปลา” จับตัวบังเต๊กแม่ทัพใหญ่ของเมืองฮันต๋งและเกลี้ยกล่อมให้บังเต๊กสวามิภักดิ์แล้ว จึงกรีฑาทัพเข้าประชิดเมืองฮันต๋ง และโจมตีเมืองพร้อมกันทั้งสามด้าน ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันตั้งแต่เช้าจนใกล้ค่ำ เตียวล่อก็เห็นว่าจะไม่สามารถรักษาเมืองฮันต๋งเอาไว้ได้
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ยินคำปรารภของเตียวล่อว่าจะไม่สามารถรักษาเมืองฮันต๋งเอาไว้ได้ก็พากันเสียน้ำใจ
เตียวโอยซึ่งเป็นญาติของเตียวล่อจึงเสนอว่า “อันจะป้องกันไว้นั้นเห็นจะไม่ได้ ขอให้เผาเมืองเสีย อย่าให้โจโฉได้ทรัพย์สิ่งของแลเสบียง ท่านจึงพาครอบครัวแลทหารหนีไปอยู่เมืองปาต๋ง”
ข้อเสนอของเตียวโอยก็คือข้อเสนออย่างเดียวกันกับแต่ต่อซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงในครั้งที่เล่าปี่ยกกองทัพเข้าตีเมืองเสฉวน คือให้เผาทำลายข้าวของเสบียงเสียทั้งสิ้น ซึ่งเป็นแผนที่โหดเหี้ยมอำมหิต เพราะ “เมืองนี้ข้าครองไม่ได้ เอ็งก็ครองไม่ได้” เข้าทำนองผู้ครองแก้วมณีอันมีค่า เมื่อไม่สามารถรักษาไว้ได้ แทนที่จะมอบแก่ผู้อื่นก็ทำลายให้วายวอดไป
เอียวสงได้ฟังความเห็นของเตียวโอยดังนั้นก็ตกใจ รีบทักท้วงกับเตียวล่อว่า “อันจะทำตามคำเตียวโอยนั้นไม่ควร ถึงมาตรว่าจะไปอยู่เมืองปาต๋งก็ไม่พ้นโจโฉ ขอท่านออกไปนบนอบโจโฉโดยดีก็จะพ้นภัย”
เอียวสงยังคงทำหน้าที่ยุเตียวล่อให้สวามิภักดิ์กับโจโฉ นอกเหนือจากที่ได้ตกลงกับทหารของโจโฉไว้ เป็นการทำงานแถมจากที่รับสินบนในครั้งนั้น แต่ในใจของเอียวสงคงตั้งความหวังว่าเคยทำความชอบไว้กับโจโฉ หากแม้นเตียวล่อเข้าสวามิภักดิ์ โจโฉได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแคว้นฮันต๋งแล้ว ตัวเองก็จะพลอยได้รับผลประโยชน์ความชอบด้วย โดยนัยยะเช่นนี้การเสนอความเห็นของเอียวสงจึงไม่ใช่การทำงานแถม แต่เป็นการเก็งกำไรความชอบล่วงหน้า ซึ่งนักเก็งกำไรทั้งหลายต้องได้อายตาม ๆ กัน
เตียวล่อได้ฟังที่ปรึกษาทั้งสองโต้เถียงกันดังนั้นก็ไม่สามารถตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งได้ ประกอบทั้งการศึกคุกคามใกล้ตัวนัก เตียวล่อจึงปรารภว่า “เมื่อเดิมเราคิดตั้งตัวนั้น หวังจะบำรุงอาณาประชาราษฎร บัดนี้มีกรรมเป็นเหตุมาจวนตัวเข้าดังนี้ ครั้นจะเผาทรัพย์สิ่งของแลเสบียงอาหารสำหรับเมืองเสียก็ไม่ควร เราจำจะพากันหนีไปให้พ้นภัย”
เตียวล่อสร้างตัวด้วยค่ายกครูจากข้าวสาร จึงมีความหวงแหนข้าวของเสบียงอาหารอย่างลึกซึ้ง ไม่อาจตัดใจทำลายคลังเสบียงอาหารและทรัพย์สินได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีแก่จิตใจที่จะต่อสู้กับโจโฉจึงคิดหนีไปให้พ้นภัย
เตียวล่อคิดดังนั้นแล้วยังห่วงหาอาทรคลังเสบียงอาหารและสิ่งของทั้งปวง จึงสั่งทหารคนสนิทให้ปิดประตูคลังเสบียงและคลังพัสดุทุกแห่งไว้อย่างแน่นหนา ลั่นดานใส่กุญแจและแต่งทหารควบคุมรักษาไว้อย่างมั่นคง
ครั้นเวลาสองยามเศษเตียวล่อจึงคุมครอบครัวและพรรคพวกคนสนิทหนีออกจากประตูเมืองฮันต๋งทางด้านทิศใต้ซึ่งมิได้ถูกกองทัพเว่ยปิดล้อม แล้วรีบหนีไปที่เมืองปาต๋ง
เวลาใกล้รุ่งทหารสอดแนมของโจโฉทราบข่าวว่าเตียวล่อพาครอบครัวพรรคพวกหนีไปทางเมืองปาต๋งแล้ว จึงเข้าไปรายงานความให้โจโฉทราบ และขอดำริว่าจะจัดแจงแต่งกองทัพไล่ตามเตียวล่อหรือไม่
โจโฉทราบรายงานแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก สั่งไม่ให้ติดตามเตียวล่อ และให้กองทัพทั้งปวงเตรียมพร้อมที่จะยาตราทัพเข้าเมืองฮันต๋ง
พอพระอาทิตย์อุทัยท้องฟ้าสว่างโจโฉจึงสั่งให้เคลื่อนทัพยาตราเข้าไปในเมืองฮันต๋ง ตรงไปที่ศาลาว่าราชการ จัดแจงการปกครองบ้านเมืองมิให้ระส่ำระสาย แล้วไต่ถามขุนนางเมืองฮันต๋งว่าคลังเสบียงอาหารและสมบัติของเมืองฮันต๋งนี้มีอยู่เท่าใด
ขุนนางเมืองฮันต๋งได้รายงานพร้อมกันว่าเตียวล่อเป็นผู้หวงแหนคลังเสบียงและสมบัติพัสถาน ถึงแม้จะหนีก็หนีไปแต่ตัว เสบียงอาหารและทรัพย์สมบัติของเมืองฮันต๋งนั้นเตียวล่อได้ปิดคลัง ลั่นดานใส่กุญแจและให้ทหารเฝ้าไว้อย่างแน่นหนา
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะตั้งแต่เป็นทหารทำสงครามมาแต่น้อยจนมาถึงบั้นปลายของชีวิตแล้วก็ยังไม่เคยประสบพบเห็นว่าเจ้าเมืองหรือแม่ทัพนายกองคนใดไม่คิดอ่านต่อสู้แล้ว ยังคงคิดถนอมรักษาเสบียงและทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้ข้าศึกเหมือนเตียวล่อผู้นี้
โจโฉจึงพาทหารไปตรวจคลังเสบียงและทรัพย์สินของเมืองฮันต๋ง ก็สมคำขุนนางทั้งปวง เพราะคลังต่าง ๆ ได้ถูกลั่นดานใส่กุญแจและมีเวรยามเฝ้ารักษาอย่างแข็งขัน โจโฉสั่งทหารที่รักษาการณ์ให้เปิดประตูคลังและยุ้งฉางทั้งปวง ก็เห็นเสบียงและสมบัติพัสถานเป็นจำนวนมากจัดเก็บอยู่อย่างเป็นระเบียบและครบครัน
โจโฉเห็นดังนั้นก็รู้สึกสงสารเตียวล่อเจ้าเมืองแปลกประหลาดผู้นี้ จึงยืนตรองความคิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่าเตียวล่อผู้นี้มีน้ำใจเมตตาต่ออาณาประชาราษฎร ไม่ตั้งอยู่ในความเบียดเบียนผู้อื่น แม้พ่ายแพ้ในการสงครามก็ยอมลำบากหนีไปแต่ตัว โจโฉคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารทั้งปวงไม่ให้ทำอันตรายแก่ชาวเมืองและทหารเมืองฮันต๋ง
หลังจากออกคำสั่งแล้วโจโฉจึงออกมาที่ศาลาว่าราชการ สั่งอาลักษณ์ให้แต่งหนังสือถึงเตียวล่อฉบับหนึ่งว่า เรายกกองทัพมาภาคตะวันตกครั้งนี้หวังจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้คิดเบียดเบียนหรือทำร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใด ดังนั้นจึงให้ท่านกลับมาอ่อนน้อมต่อเราแต่โดยดี ก็จะมีความสุขสืบไป
ครั้นแต่งหนังสือเสร็จแล้วโจโฉจึงสั่งให้ทหารถือหนังสือไปให้เตียวล่อที่เมืองปาต๋ง
เตียวล่อรับหนังสือของโจโฉมาอ่าน ทราบความแล้วจึงปรึกษากับเตียวโอยและ เอียวสงว่าจะทำประการใดดี
เตียวโอยจึงว่า โจโฉนี้มากด้วยเล่ห์อุบาย การที่มีหนังสือมาเกลี้ยกล่อมครั้งนี้เกลือกจะเป็นการลวงให้กลับไปเมืองฮันต๋งแล้วจับตัวทำร้าย จึงควรที่จะตั้งมั่นอยู่ที่เมืองปาต๋ง รักษาเมืองไว้ให้มั่นคง แม้โจโฉยกทัพมาก็จะพอคิดอ่านป้องกันแก้ไขรักษาตัวให้ปลอดภัยได้
เตียวล่อได้ฟังคำน้องชายดังนั้นก็คล้อยตาม เอียวสงเห็นสองพี่น้องเออออห่อหมกเป็นอันดีจึงไม่ทักท้วงแต่ประการใด ครั้นลาเตียวล่อกลับที่พักแล้ว เอียวสงจึงแต่งหนังสือให้คนสนิทลอบถือไปให้แก่โจโฉที่เมืองฮันต๋ง
โจโฉได้รับหนังสือของเอียวสงก็รู้สึกประหลาดใจ แต่จำได้ว่าเคยคิดอ่านติดสินบนเอียวสงให้ยุยงเตียวล่อจนเป็นเหตุให้บังเต๊กได้มาสวามิภักดิ์ คิดดังนั้นแล้วโจโฉก็รู้สึกขุ่นเคืองเนื่องจากมีอัธยาศัยเคียดแค้นชิงชังคนจำพวก “ข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย สานุศิษย์คิดล้างครู”
โจโฉเปิดหนังสือของเอียวสงออกอ่านดูเป็นเนื้อความว่า ข้าพเจ้าเอียวสงขอคำนับมายังท่านอัครมหาเสนาบดี ซึ่งเตียวล่อยังแข็งขืนไม่ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีนั้นเป็นเพราะเตียวล่อเชื่อฟังเตียวโอยผู้น้อง จึงขอให้วุยก๋งยกกองทัพไปตีเมืองปาต๋ง ข้าพเจ้าจะเป็นไส้ศึกอยู่ในเมือง การคงจะสำเร็จเป็นมั่นคง
โจโฉทราบความในหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี สั่งการให้กองทัพทั้งปวงเตรียมพร้อม ครั้นเวลาฤกษ์ดีจึงยกทัพออกจากเมืองฮันต๋งตรงไปที่เมืองปาต๋ง
เตียวล่อทราบข่าวศึกก็มีความวิตกเป็นอันมาก รีบเรียกเตียวโอยมาปรึกษาว่าจะรับมือกับกองทัพโจโฉประการใด เตียวโอยได้ฟังดังนั้นก็ฝืนใจอาสาคุมทหารออกไปรบกับโจโฉ เตียวล่อก็อนุญาตตามที่น้องชายอาสา
เตียวโอยคุมทหารออกจากประตูเมืองปาต๋งไปได้ครู่หนึ่ง โจโฉทราบความว่าทหารเมืองปาต๋งยกออกมารบ จึงสั่งให้เคาทูจัดแจงทหารยกออกไปรบกับเตียวโอย
การต่อสู้ด้วยฝีมือทหารเอกระหว่างเคาทูกับเตียวโอยดำเนินไปได้เพียงห้าเพลง เคาทูก็เอาทวนแทงเตียวโอยตกม้าตาย ทหารเมืองปาต๋งเห็นตัวนายถึงแก่ความตายก็ตกใจ แตกตื่นวิ่งหนีกลับเข้าไปในเมืองปาต๋งแล้วรายงานความให้เตียวล่อทราบ
เตียวล่อทราบว่าน้องชายถึงแก่ความตายก็ตกใจ จึงสั่งทหารทั้งปวงให้ขึ้นประจำที่บนเชิงเทิน รักษาค่ายคูประตูหอรบและกำแพงเมืองไว้ให้มั่นคง
เอียวสงเห็นเตียวล่อทำการดังนั้นก็รู้ว่าเตียวล่อคิดจะตั้งหลักรักษาเมืองโดยไม่ยกออกรบ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นการศึกก็จะยืดเยื้อต่อไป ความชอบที่ตั้งความปรารถนาไว้ก็จะยืดเยื้อตามไปด้วย
คิดดังนั้นแล้วเอียวสงจึงเข้าไปหาเตียวล่อแล้วว่ากองทัพโจโฉยกมาเป็นทางไกล อ่อนล้าอิดโรยนัก ถ้าหากท่านยกกองทัพออกไปต่อสู้คงจะได้ชัยชนะโดยง่าย ทั้งจะมีชื่อเสียงจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าจะรักษาเมืองไว้รอท่านกลับมาพร้อมชัยชนะ
เตียวล่อถึงยามนี้แล้วยังมิได้สำนึกว่าเลี้ยงอสรพิษไว้ข้างตัว ได้ฟังคำล่อลวงของเอียวสงดังนั้นหัวใจก็พองโต ใคร่ได้เป็นวีรบุรุษสงคราม และเห็นจริงตามคำเอียวสงว่ากองทัพโจโฉเดินทัพมาแต่ทางไกล หากยกไปโจมตีคงจะได้ชัยชนะ
เตียวล่อจึงตั้งให้เอียวสงเป็นผู้รักษาเมือง แล้วจัดแจงทหารสิ้นทั้งเมืองยกออกไปท้ารบกับกองทัพของโจโฉ
เตียวล่อคุมกองทัพออกพ้นประตูเมืองไปเพียงสามเส้น เหลียวกลับมามองดูข้างหลังปรากฏว่าทหารกองหลังและบางส่วนของกองหน้าได้แอบหนีกลับเข้าไปในเมืองเพราะความกลัวทหารของโจโฉ จนเหลือทหารที่ติดตามเตียวล่อไปไม่กี่คน
เตียวล่อเห็นดังนั้นก็ตกใจ หน้าซีดเผือด ชักม้าจะพาทหารกลับเข้าเมืองบ้าง แต่ทันใดนั้นทหารม้าของโจโฉได้จู่โจมบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว เตียวล่อพาทหารหนีเข้าไปจนใกล้ถึงกำแพงเมือง โจโฉก็คุมทหารไล่ตามเข้าไปอย่างกระชั้นชิด
เอียวสงยืนสังเกตการณ์อยู่บนเชิงเทิน เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงสั่งให้นายประตูปิดประตูเมืองเสีย เตียวล่อพาทหารหนีมาถึงประตูเมือง เห็นประตูเมืองปิดอยู่เข้าไม่ได้ก็ตกใจ เหลียวหลังกลับไปเห็นทหารโจโฉล้อมไว้ทุกด้าน
น้ำใจโจโฉยังมีความสงสารต่อเตียวล่อ เห็นเตียวล่ออับจนดังนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า “ตัวท่านจะถึงแก่ความตายครั้งนี้แล้ว แม้เข้ามานบนอบเราโดยดีเราก็จะไว้ชีวิต”
เตียวล่อได้ยินดังนั้นจึงลงจากหลังม้า วางอาวุธไว้กับพื้น ตรงเข้าไปคำนับโจโฉ แล้วว่าข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีที่ไว้ชีวิต กล่าวแล้วเตียวล่อก็ก้มศีรษะร้องไห้อยู่กับพื้น
โจโฉเห็นดังนั้นก็ยิ่งสงสาร จึงเข้ามาประคองเตียวล่อให้ลุกขึ้นแล้วสั่งทหารให้เอาม้ามาให้เตียวล่อขี่และพาไปที่ประตูเมือง เอียวสงเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ทหารเปิดประตูเมืองต้อนรับ
เตียวล่อนำโจโฉไปที่ศาลาว่าราชการ แล้วเชิญโจโฉขึ้นนั่งบนที่ว่าราชการ ยอมนอบน้อมมอบเมืองปาต๋งให้แก่โจโฉ
โจโฉมีความยินดีเป็นอันมาก จึงแต่งตั้งให้เตียวล่อเป็นเจ้าเมืองปาต๋ง และแต่งตั้งให้ขุนนางข้าราชการทั้งปวงดำรงตำแหน่งเดิม จากนั้นจึงให้เบิกทรัพย์สินจากคลังเอามาแจกจ่ายปูนบำเหน็จความชอบแก่ทหารเป็นอันมาก
วันหนึ่งโจโฉออกนั่งว่าราชการ เห็นเอียวสงยืนอยู่ตามตำแหน่ง โจโฉนึกขึ้นได้ว่าไอ้คนผู้นี้เป็นคนประเภทข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย เป็นขุนนางขายชาติขายแผ่นดิน ความโกรธก็พลุ่งประดังขึ้น โจโฉให้รู้สึกปวดศีรษะ หน้านิ่ว คิ้วขมวด แล้วชี้มือไปที่เอียวสง ร้องเรียกเอียวสงด้วยเสียงอันดัง
เอียวสงเข้าใจว่าโจโฉรำลึกถึงความชอบของตนได้ก็มีความยินดี รีบออกไปคำนับแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเอียวสงขอคำนับวุยก๋ง
โจโฉได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธ กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ตัวนี้เป็นคนโลภ หากตัญญูต่อนายมิได้ เห็นแก่ลาภสักการ ควรหรือเอาใจออกหากเตียวล่อ แม้เราจะเลี้ยงตัวไว้สืบไป ก็จะเอาใจเผื่อแผ่แก่ข้าศึกศัตรู”.
บรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงได้ยินคำปรารภของเตียวล่อว่าจะไม่สามารถรักษาเมืองฮันต๋งเอาไว้ได้ก็พากันเสียน้ำใจ
เตียวโอยซึ่งเป็นญาติของเตียวล่อจึงเสนอว่า “อันจะป้องกันไว้นั้นเห็นจะไม่ได้ ขอให้เผาเมืองเสีย อย่าให้โจโฉได้ทรัพย์สิ่งของแลเสบียง ท่านจึงพาครอบครัวแลทหารหนีไปอยู่เมืองปาต๋ง”
ข้อเสนอของเตียวโอยก็คือข้อเสนออย่างเดียวกันกับแต่ต่อซึ่งเป็นที่ปรึกษาของเล่าเจี้ยงในครั้งที่เล่าปี่ยกกองทัพเข้าตีเมืองเสฉวน คือให้เผาทำลายข้าวของเสบียงเสียทั้งสิ้น ซึ่งเป็นแผนที่โหดเหี้ยมอำมหิต เพราะ “เมืองนี้ข้าครองไม่ได้ เอ็งก็ครองไม่ได้” เข้าทำนองผู้ครองแก้วมณีอันมีค่า เมื่อไม่สามารถรักษาไว้ได้ แทนที่จะมอบแก่ผู้อื่นก็ทำลายให้วายวอดไป
เอียวสงได้ฟังความเห็นของเตียวโอยดังนั้นก็ตกใจ รีบทักท้วงกับเตียวล่อว่า “อันจะทำตามคำเตียวโอยนั้นไม่ควร ถึงมาตรว่าจะไปอยู่เมืองปาต๋งก็ไม่พ้นโจโฉ ขอท่านออกไปนบนอบโจโฉโดยดีก็จะพ้นภัย”
เอียวสงยังคงทำหน้าที่ยุเตียวล่อให้สวามิภักดิ์กับโจโฉ นอกเหนือจากที่ได้ตกลงกับทหารของโจโฉไว้ เป็นการทำงานแถมจากที่รับสินบนในครั้งนั้น แต่ในใจของเอียวสงคงตั้งความหวังว่าเคยทำความชอบไว้กับโจโฉ หากแม้นเตียวล่อเข้าสวามิภักดิ์ โจโฉได้ครองอำนาจเป็นใหญ่ในแคว้นฮันต๋งแล้ว ตัวเองก็จะพลอยได้รับผลประโยชน์ความชอบด้วย โดยนัยยะเช่นนี้การเสนอความเห็นของเอียวสงจึงไม่ใช่การทำงานแถม แต่เป็นการเก็งกำไรความชอบล่วงหน้า ซึ่งนักเก็งกำไรทั้งหลายต้องได้อายตาม ๆ กัน
เตียวล่อได้ฟังที่ปรึกษาทั้งสองโต้เถียงกันดังนั้นก็ไม่สามารถตัดสินใจเลือกทางใดทางหนึ่งได้ ประกอบทั้งการศึกคุกคามใกล้ตัวนัก เตียวล่อจึงปรารภว่า “เมื่อเดิมเราคิดตั้งตัวนั้น หวังจะบำรุงอาณาประชาราษฎร บัดนี้มีกรรมเป็นเหตุมาจวนตัวเข้าดังนี้ ครั้นจะเผาทรัพย์สิ่งของแลเสบียงอาหารสำหรับเมืองเสียก็ไม่ควร เราจำจะพากันหนีไปให้พ้นภัย”
เตียวล่อสร้างตัวด้วยค่ายกครูจากข้าวสาร จึงมีความหวงแหนข้าวของเสบียงอาหารอย่างลึกซึ้ง ไม่อาจตัดใจทำลายคลังเสบียงอาหารและทรัพย์สินได้ แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีแก่จิตใจที่จะต่อสู้กับโจโฉจึงคิดหนีไปให้พ้นภัย
เตียวล่อคิดดังนั้นแล้วยังห่วงหาอาทรคลังเสบียงอาหารและสิ่งของทั้งปวง จึงสั่งทหารคนสนิทให้ปิดประตูคลังเสบียงและคลังพัสดุทุกแห่งไว้อย่างแน่นหนา ลั่นดานใส่กุญแจและแต่งทหารควบคุมรักษาไว้อย่างมั่นคง
ครั้นเวลาสองยามเศษเตียวล่อจึงคุมครอบครัวและพรรคพวกคนสนิทหนีออกจากประตูเมืองฮันต๋งทางด้านทิศใต้ซึ่งมิได้ถูกกองทัพเว่ยปิดล้อม แล้วรีบหนีไปที่เมืองปาต๋ง
เวลาใกล้รุ่งทหารสอดแนมของโจโฉทราบข่าวว่าเตียวล่อพาครอบครัวพรรคพวกหนีไปทางเมืองปาต๋งแล้ว จึงเข้าไปรายงานความให้โจโฉทราบ และขอดำริว่าจะจัดแจงแต่งกองทัพไล่ตามเตียวล่อหรือไม่
โจโฉทราบรายงานแล้วมีความยินดีเป็นอันมาก สั่งไม่ให้ติดตามเตียวล่อ และให้กองทัพทั้งปวงเตรียมพร้อมที่จะยาตราทัพเข้าเมืองฮันต๋ง
พอพระอาทิตย์อุทัยท้องฟ้าสว่างโจโฉจึงสั่งให้เคลื่อนทัพยาตราเข้าไปในเมืองฮันต๋ง ตรงไปที่ศาลาว่าราชการ จัดแจงการปกครองบ้านเมืองมิให้ระส่ำระสาย แล้วไต่ถามขุนนางเมืองฮันต๋งว่าคลังเสบียงอาหารและสมบัติของเมืองฮันต๋งนี้มีอยู่เท่าใด
ขุนนางเมืองฮันต๋งได้รายงานพร้อมกันว่าเตียวล่อเป็นผู้หวงแหนคลังเสบียงและสมบัติพัสถาน ถึงแม้จะหนีก็หนีไปแต่ตัว เสบียงอาหารและทรัพย์สมบัติของเมืองฮันต๋งนั้นเตียวล่อได้ปิดคลัง ลั่นดานใส่กุญแจและให้ทหารเฝ้าไว้อย่างแน่นหนา
โจโฉได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะตั้งแต่เป็นทหารทำสงครามมาแต่น้อยจนมาถึงบั้นปลายของชีวิตแล้วก็ยังไม่เคยประสบพบเห็นว่าเจ้าเมืองหรือแม่ทัพนายกองคนใดไม่คิดอ่านต่อสู้แล้ว ยังคงคิดถนอมรักษาเสบียงและทรัพย์สมบัติทิ้งไว้ให้ข้าศึกเหมือนเตียวล่อผู้นี้
โจโฉจึงพาทหารไปตรวจคลังเสบียงและทรัพย์สินของเมืองฮันต๋ง ก็สมคำขุนนางทั้งปวง เพราะคลังต่าง ๆ ได้ถูกลั่นดานใส่กุญแจและมีเวรยามเฝ้ารักษาอย่างแข็งขัน โจโฉสั่งทหารที่รักษาการณ์ให้เปิดประตูคลังและยุ้งฉางทั้งปวง ก็เห็นเสบียงและสมบัติพัสถานเป็นจำนวนมากจัดเก็บอยู่อย่างเป็นระเบียบและครบครัน
โจโฉเห็นดังนั้นก็รู้สึกสงสารเตียวล่อเจ้าเมืองแปลกประหลาดผู้นี้ จึงยืนตรองความคิดอยู่ครู่หนึ่งและคิดว่าเตียวล่อผู้นี้มีน้ำใจเมตตาต่ออาณาประชาราษฎร ไม่ตั้งอยู่ในความเบียดเบียนผู้อื่น แม้พ่ายแพ้ในการสงครามก็ยอมลำบากหนีไปแต่ตัว โจโฉคิดดังนั้นแล้วจึงสั่งทหารทั้งปวงไม่ให้ทำอันตรายแก่ชาวเมืองและทหารเมืองฮันต๋ง
หลังจากออกคำสั่งแล้วโจโฉจึงออกมาที่ศาลาว่าราชการ สั่งอาลักษณ์ให้แต่งหนังสือถึงเตียวล่อฉบับหนึ่งว่า เรายกกองทัพมาภาคตะวันตกครั้งนี้หวังจะรวบรวมแผ่นดินให้เป็นหนึ่งสนองพระเดชพระคุณพระเจ้าเหี้ยนเต้ มิได้คิดเบียดเบียนหรือทำร้ายต่อผู้หนึ่งผู้ใด ดังนั้นจึงให้ท่านกลับมาอ่อนน้อมต่อเราแต่โดยดี ก็จะมีความสุขสืบไป
ครั้นแต่งหนังสือเสร็จแล้วโจโฉจึงสั่งให้ทหารถือหนังสือไปให้เตียวล่อที่เมืองปาต๋ง
เตียวล่อรับหนังสือของโจโฉมาอ่าน ทราบความแล้วจึงปรึกษากับเตียวโอยและ เอียวสงว่าจะทำประการใดดี
เตียวโอยจึงว่า โจโฉนี้มากด้วยเล่ห์อุบาย การที่มีหนังสือมาเกลี้ยกล่อมครั้งนี้เกลือกจะเป็นการลวงให้กลับไปเมืองฮันต๋งแล้วจับตัวทำร้าย จึงควรที่จะตั้งมั่นอยู่ที่เมืองปาต๋ง รักษาเมืองไว้ให้มั่นคง แม้โจโฉยกทัพมาก็จะพอคิดอ่านป้องกันแก้ไขรักษาตัวให้ปลอดภัยได้
เตียวล่อได้ฟังคำน้องชายดังนั้นก็คล้อยตาม เอียวสงเห็นสองพี่น้องเออออห่อหมกเป็นอันดีจึงไม่ทักท้วงแต่ประการใด ครั้นลาเตียวล่อกลับที่พักแล้ว เอียวสงจึงแต่งหนังสือให้คนสนิทลอบถือไปให้แก่โจโฉที่เมืองฮันต๋ง
โจโฉได้รับหนังสือของเอียวสงก็รู้สึกประหลาดใจ แต่จำได้ว่าเคยคิดอ่านติดสินบนเอียวสงให้ยุยงเตียวล่อจนเป็นเหตุให้บังเต๊กได้มาสวามิภักดิ์ คิดดังนั้นแล้วโจโฉก็รู้สึกขุ่นเคืองเนื่องจากมีอัธยาศัยเคียดแค้นชิงชังคนจำพวก “ข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย สานุศิษย์คิดล้างครู”
โจโฉเปิดหนังสือของเอียวสงออกอ่านดูเป็นเนื้อความว่า ข้าพเจ้าเอียวสงขอคำนับมายังท่านอัครมหาเสนาบดี ซึ่งเตียวล่อยังแข็งขืนไม่ยอมอ่อนน้อมแต่โดยดีนั้นเป็นเพราะเตียวล่อเชื่อฟังเตียวโอยผู้น้อง จึงขอให้วุยก๋งยกกองทัพไปตีเมืองปาต๋ง ข้าพเจ้าจะเป็นไส้ศึกอยู่ในเมือง การคงจะสำเร็จเป็นมั่นคง
โจโฉทราบความในหนังสือดังนั้นก็มีความยินดี สั่งการให้กองทัพทั้งปวงเตรียมพร้อม ครั้นเวลาฤกษ์ดีจึงยกทัพออกจากเมืองฮันต๋งตรงไปที่เมืองปาต๋ง
เตียวล่อทราบข่าวศึกก็มีความวิตกเป็นอันมาก รีบเรียกเตียวโอยมาปรึกษาว่าจะรับมือกับกองทัพโจโฉประการใด เตียวโอยได้ฟังดังนั้นก็ฝืนใจอาสาคุมทหารออกไปรบกับโจโฉ เตียวล่อก็อนุญาตตามที่น้องชายอาสา
เตียวโอยคุมทหารออกจากประตูเมืองปาต๋งไปได้ครู่หนึ่ง โจโฉทราบความว่าทหารเมืองปาต๋งยกออกมารบ จึงสั่งให้เคาทูจัดแจงทหารยกออกไปรบกับเตียวโอย
การต่อสู้ด้วยฝีมือทหารเอกระหว่างเคาทูกับเตียวโอยดำเนินไปได้เพียงห้าเพลง เคาทูก็เอาทวนแทงเตียวโอยตกม้าตาย ทหารเมืองปาต๋งเห็นตัวนายถึงแก่ความตายก็ตกใจ แตกตื่นวิ่งหนีกลับเข้าไปในเมืองปาต๋งแล้วรายงานความให้เตียวล่อทราบ
เตียวล่อทราบว่าน้องชายถึงแก่ความตายก็ตกใจ จึงสั่งทหารทั้งปวงให้ขึ้นประจำที่บนเชิงเทิน รักษาค่ายคูประตูหอรบและกำแพงเมืองไว้ให้มั่นคง
เอียวสงเห็นเตียวล่อทำการดังนั้นก็รู้ว่าเตียวล่อคิดจะตั้งหลักรักษาเมืองโดยไม่ยกออกรบ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นการศึกก็จะยืดเยื้อต่อไป ความชอบที่ตั้งความปรารถนาไว้ก็จะยืดเยื้อตามไปด้วย
คิดดังนั้นแล้วเอียวสงจึงเข้าไปหาเตียวล่อแล้วว่ากองทัพโจโฉยกมาเป็นทางไกล อ่อนล้าอิดโรยนัก ถ้าหากท่านยกกองทัพออกไปต่อสู้คงจะได้ชัยชนะโดยง่าย ทั้งจะมีชื่อเสียงจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ข้าพเจ้าจะรักษาเมืองไว้รอท่านกลับมาพร้อมชัยชนะ
เตียวล่อถึงยามนี้แล้วยังมิได้สำนึกว่าเลี้ยงอสรพิษไว้ข้างตัว ได้ฟังคำล่อลวงของเอียวสงดังนั้นหัวใจก็พองโต ใคร่ได้เป็นวีรบุรุษสงคราม และเห็นจริงตามคำเอียวสงว่ากองทัพโจโฉเดินทัพมาแต่ทางไกล หากยกไปโจมตีคงจะได้ชัยชนะ
เตียวล่อจึงตั้งให้เอียวสงเป็นผู้รักษาเมือง แล้วจัดแจงทหารสิ้นทั้งเมืองยกออกไปท้ารบกับกองทัพของโจโฉ
เตียวล่อคุมกองทัพออกพ้นประตูเมืองไปเพียงสามเส้น เหลียวกลับมามองดูข้างหลังปรากฏว่าทหารกองหลังและบางส่วนของกองหน้าได้แอบหนีกลับเข้าไปในเมืองเพราะความกลัวทหารของโจโฉ จนเหลือทหารที่ติดตามเตียวล่อไปไม่กี่คน
เตียวล่อเห็นดังนั้นก็ตกใจ หน้าซีดเผือด ชักม้าจะพาทหารกลับเข้าเมืองบ้าง แต่ทันใดนั้นทหารม้าของโจโฉได้จู่โจมบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว เตียวล่อพาทหารหนีเข้าไปจนใกล้ถึงกำแพงเมือง โจโฉก็คุมทหารไล่ตามเข้าไปอย่างกระชั้นชิด
เอียวสงยืนสังเกตการณ์อยู่บนเชิงเทิน เห็นเหตุการณ์ดังนั้นจึงสั่งให้นายประตูปิดประตูเมืองเสีย เตียวล่อพาทหารหนีมาถึงประตูเมือง เห็นประตูเมืองปิดอยู่เข้าไม่ได้ก็ตกใจ เหลียวหลังกลับไปเห็นทหารโจโฉล้อมไว้ทุกด้าน
น้ำใจโจโฉยังมีความสงสารต่อเตียวล่อ เห็นเตียวล่ออับจนดังนั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า “ตัวท่านจะถึงแก่ความตายครั้งนี้แล้ว แม้เข้ามานบนอบเราโดยดีเราก็จะไว้ชีวิต”
เตียวล่อได้ยินดังนั้นจึงลงจากหลังม้า วางอาวุธไว้กับพื้น ตรงเข้าไปคำนับโจโฉ แล้วว่าข้าพเจ้าขอขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีที่ไว้ชีวิต กล่าวแล้วเตียวล่อก็ก้มศีรษะร้องไห้อยู่กับพื้น
โจโฉเห็นดังนั้นก็ยิ่งสงสาร จึงเข้ามาประคองเตียวล่อให้ลุกขึ้นแล้วสั่งทหารให้เอาม้ามาให้เตียวล่อขี่และพาไปที่ประตูเมือง เอียวสงเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ทหารเปิดประตูเมืองต้อนรับ
เตียวล่อนำโจโฉไปที่ศาลาว่าราชการ แล้วเชิญโจโฉขึ้นนั่งบนที่ว่าราชการ ยอมนอบน้อมมอบเมืองปาต๋งให้แก่โจโฉ
โจโฉมีความยินดีเป็นอันมาก จึงแต่งตั้งให้เตียวล่อเป็นเจ้าเมืองปาต๋ง และแต่งตั้งให้ขุนนางข้าราชการทั้งปวงดำรงตำแหน่งเดิม จากนั้นจึงให้เบิกทรัพย์สินจากคลังเอามาแจกจ่ายปูนบำเหน็จความชอบแก่ทหารเป็นอันมาก
วันหนึ่งโจโฉออกนั่งว่าราชการ เห็นเอียวสงยืนอยู่ตามตำแหน่ง โจโฉนึกขึ้นได้ว่าไอ้คนผู้นี้เป็นคนประเภทข้าขายเจ้า บ่าวขายนาย เป็นขุนนางขายชาติขายแผ่นดิน ความโกรธก็พลุ่งประดังขึ้น โจโฉให้รู้สึกปวดศีรษะ หน้านิ่ว คิ้วขมวด แล้วชี้มือไปที่เอียวสง ร้องเรียกเอียวสงด้วยเสียงอันดัง
เอียวสงเข้าใจว่าโจโฉรำลึกถึงความชอบของตนได้ก็มีความยินดี รีบออกไปคำนับแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าเอียวสงขอคำนับวุยก๋ง
โจโฉได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธ กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า “ตัวนี้เป็นคนโลภ หากตัญญูต่อนายมิได้ เห็นแก่ลาภสักการ ควรหรือเอาใจออกหากเตียวล่อ แม้เราจะเลี้ยงตัวไว้สืบไป ก็จะเอาใจเผื่อแผ่แก่ข้าศึกศัตรู”.