ตอนที่ 392. อุบาย "ขุดบ่อล่อปลา"
เตียวล่อได้เกลี้ยกล่อมบังเต๊กนายทหารเอกของม้าเฉียวซึ่งอาศัยอยู่ที่เมืองฮันต๋งให้นำทหารยกไปสกัดกองทัพเมืองฮูโต๋ โจโฉทราบว่าบังเต๊กนำทัพออกมารบก็ใคร่ได้ตัวบังเต๊กไว้ใช้ จึงวางอุบายเพื่อจะจับตัวบังเต๊ก โดยหวังว่าเมื่อบังเต๊กยอมสวามิภักดิ์แล้วก็จะได้เมืองฮันต๋งโดยง่าย
ในขณะที่ทหารเมืองฮันต๋งกำลังกินโต๊ะเสพสุราฉลองชัยชนะกันอย่างเอิกเกริกนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้นทั้งสามด้าน และธนูเพลิงก็ถูกยิงเข้ามาดุจห่าฝน แสงเพลิงไหม้ค่ายลุกสว่างไสว ได้ยินเสียงทหารกองทัพเว่ยโห่ร้องก้องกระหึ่ม จู่โจมรุกใกล้เข้ามาจากทั้งสามด้าน ยกเว้นก็แต่ด้านทิศใต้ที่จะไปเมืองฮันต๋งทางเดียวเท่านั้น
ทหารเมืองฮันต๋งเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ พากันแตกตื่นวิ่งหนีออกไปทางด้านทิศใต้ บังเต๊กและบรรดาแม่ทัพนายกองเห็นทหารเสียขวัญแตกตื่นไม่อาจต้านทานกองทัพของโจโฉได้จึงพาทหารหนีออกจากค่ายทางด้านทิศใต้กลับไปทางเมืองฮันต๋ง ทหารของโจโฉได้ไล่ตามฆ่าฟันทหารของเมืองฮันต๋งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ในขณะที่บังเต๊กพาทหารหนีกลับไปเมืองฮันต๋งนั้น สายลับของโจโฉที่แอบแฝงเข้ามาในกองทัพก็แปลกปลอมเป็นทหารของเมืองฮันต๋งติดตามไปด้วย และพอเข้าเขตเมืองฮันต๋งก็รีบปลีกตัวไปหาเอียวสงถึงที่บ้านพัก
ครั้นพบเอียวสงแล้วจึงได้แจ้งความทั้งปวงซึ่งโจโฉได้ใช้มา พร้อมทั้งมอบแผ่นทองและแผ่นเงินให้กับเอียวสง แล้วว่า “บัดนี้โจโฉผู้เป็นวุยก๋งรู้ข่าวว่าท่านมีสติปัญญา เป็นที่ชอบอัชฌาสัยกับเตียวล่อ ให้ท่านช่วยคิดอ่านยุยงให้เตียวล่อมีความสงสัยบังเต๊ก แลไมตรีท่านกับวุยก๋งจะได้มีต่อกันสืบไป”
นับเป็นการเจรจาทางธุรกิจการเมืองและติดสินบนตอบแทนที่ชัดเจนตรงไปตรงมายิ่งนัก ปรากฏการณ์ดังนี้ย่อมเป็นหลักฐานอันชัดเจนว่าพฤติกรรมของเอียวสงผู้เป็นที่ปรึกษาของเตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อลือชากระฉ่อนทั้งหัวเมืองใกล้ไกล ดังนั้นเมื่อผู้ใดจะมาติดสินบาทคาดสินบนก็สามารถเจรจาว่ากล่าวได้อย่างตรงไปตรงมา มิพักต้องอ้อมค้อมถนอมกิริยามารยาทหรือเสียเวลาแม้แต่น้อย ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองที่มีคนแวดล้อมข้างตัวเป็นอย่างเอียวสงนี้ จึงไม่เพียงแต่จะหูหนวกตาบอดคนเดียวเท่านั้น ยังจะทำให้บ้านเมืองและราษฎรพินาศล่มจมอีกด้วย
เอียวสงได้รับแผ่นเงินแผ่นทองเป็นอันมากก็มีความยินดี เรียกคนใช้ในบ้านให้รีบเก็บแผ่นทองและแผ่นเงินเอาไปไว้ที่ข้างในแล้วกล่าวกับทหารของโจโฉว่า “การสิ่งนี้อย่าได้วิตกเลย เราจะคิดอ่านว่ากล่าวกับเตียวล่อ”
ทหารของโจโฉเห็นการสำเร็จดังประสงค์ตามที่รับคำสั่งมาก็มีความยินดี รีบคำนับลาเตียวล่อแล้วกลับไปรายงานความให้โจโฉทราบทุกประการ
เอียวสงรับสินบนของโจโฉแล้วจึงรีบเข้าไปหาเตียวล่อก่อนบังเต๊ก คำนับเตียวล่อแล้วจึงว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าซึ่งท่านใช้ให้บังเต๊กนำทหารไปสกัดกองทัพโจโฉไว้ในครั้งนี้ บังเต๊กยกทหารเข้าตีค่ายโจโฉได้หลายค่าย ยึดทรัพย์สินเงินทองข้าวของไว้ได้เป็นอันมาก แล้วบังเต๊กมีใจโลภใคร่ได้ทรัพย์สินนั้นไว้เป็นของตน จึงเกรงว่าหากทำศึกเนิ่นช้าไปท่านก็จะรู้ว่าได้ทรัพย์สินไว้ จึงแกล้งทำเป็นเสียทีทิ้งค่ายหนีโจโฉมา โดยบังเต๊กหวังเอาอามิสที่ปิดบังจากสินศึกเป็นสมบัติตัว ทำให้ท่านเสียราชการศึก
เตียวล่อได้ฟังคำเอียวสงก็ลังเลสงสัย เพราะเนื้อความที่เอียวสงกล่าวนั้นเป็นรายละเอียดของการสงคราม หากไร้มูลความจริงก็ยากที่จะอ้างเอ่ยได้ แต่การที่บังเต๊กจะตีค่ายโจโฉได้จริงหรือไม่นั้น จะฟังจากเอียวสงข้างเดียวย่อมไม่ชอบ เตียวล่อลังเลสงสัยดังนี้จึงนิ่งอึ้งมิได้ว่ากล่าวประการใด
ฝ่ายบังเต๊กเมื่อกลับถึงเมืองฮันต๋งแล้วได้ตรงไปบ้านพักก่อน เก็บศาสตราวุธ เสื้อเกราะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงออกมาหาเตียวล่อ
เตียวล่อกำลังลังเลสงสัยอยู่ เหลือบตามองไปที่ด้านหน้าจวนเห็นบังเต๊กเดินเข้ามา ก็ไม่พอใจ ครั้นบังเต๊กคำนับตามธรรมเนียมแล้วเตียวล่อจึงถามว่าท่านไปทำการศึกครั้งนี้เหตุไฉนจึงแตกหนีมา
บังเต๊กจึงรายงานความซึ่งได้ทำศึกกับกองทัพโจโฉจนกระทั่งตีได้ค่ายของโจโฉแล้วจึงจัดงานเฉลิมฉลองชัยเพื่อบำรุงขวัญทหาร แต่ถูกโจโฉโจมตีในเวลากลางคืนจึงเสียทีแตกหนีมา และเห็นเป็นการร้อนจึงนำข้าวของเครื่องใช้ไปเก็บที่บ้านก่อน แล้วรีบรุดมารายงานความให้ท่านทราบ
เตียวล่อฟังรายงานจากบังเต๊กเห็นสมกับความที่เอียวสงได้กล่าวมาแต่ก่อน เพราะฟังได้ว่าบังเต๊กตีได้ค่ายของโจโฉจริงย่อมจะได้ทรัพย์สิ่งสินเป็นอันมาก แต่บังเต๊กกลับไม่รายงานถึงสินศึกแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำหลังจากแตกพ่ายมาแล้วยังกลับไปบ้านพักก่อนอ้างว่าเอาข้าวของไปเก็บ ชะรอยจะเอาสินศึกไปเก็บที่บ้านสมกับคำของเอียวสง
เตียวล่อคิดดังนั้นก็โกรธเป็นอันมาก สั่งทหารให้จับตัวบังเต๊กเอาไปประหารชีวิต
เงียมเภาซึ่งเป็นที่ปรึกษาเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปคุกเข่าคำนับเตียวล่อแล้วว่า บัดนี้การศึกประชิดอยู่ ท่านจะประหารนายทหารเอกนั้นไม่สมควร บังเต๊กทำการได้ชัยครั้งหนึ่ง ปราชัยครั้งหนึ่ง ผิดชอบกลบเกลื่อนกันไป จึงควรที่ท่านจะงดโทษบังเต๊กไว้ครั้งหนึ่งก่อน
เตียวล่อได้ฟังคำเงียมเภาก็โลเลตามคำท้วงจึงกล่าวกับบังเต๊กว่า เราเห็นแก่เงียมเภาจึงงดโทษตายให้ตัวครั้งหนึ่ง วันพรุ่งนี้จะให้ยกทหารออกไปรบกับโจโฉ หากแม้นเสียทีกลับมาเราก็จะตัดศีรษะเสีย
บังเต๊กไม่รู้ความนัยที่เตียวล่อถูกเอียวสงยุยงจนความคิดวิปริตฟั่นเฟือนไป ครั้นได้ฟังคำเตียวล่อก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะถึงแม้จะทำการสงครามประการใดผลได้ก็มีแต่เสมอตัวหรือไม่ก็ถึงตาย แต่เมื่ออยู่เฉพาะหน้าบังเต๊กก็จำใจต้องรับคำ แล้วคำนับลาเตียวล่อออกไปจัดแจงทหารเตรียมพร้อมไว้
ทางฝ่ายโจโฉครั้นยกกองทัพมาประชิดเมืองฮันต๋งแล้ว จึงคิดอ่านอุบายขุดบ่อล่อปลาหวังจะจับตัวบังเต๊ก ดังนั้นพอตกเวลากลางคืนโจโฉจึงเรียกแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเข้ามาสั่งการเป็นความลับถึงในค่ายพักว่าในวันพรุ่งนี้เราจะจับตัวบังเต๊กให้ได้ ให้พวกท่านคุมทหารคนละกองแยกไปตั้งซุ่มอยู่สองข้างเนินเขาทางด้านขวาของค่าย และให้ขุดหลุมไว้บนเนินเขา เอาดินกลบปากหลุมไว้อย่าให้เป็นที่สงสัย ในวันพรุ่งนี้จะล่อให้บังเต๊กตกลงไปในหลุมนั้น เมื่อบังเต๊กพลัดตกลงไปในหลุมแล้วให้พวกท่านพา ทหารออกไปจับตัวบังเต๊ก และอย่าให้เป็นอันตรายได้
แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับรับคำสั่งโจโฉแล้วคำนับลาออกไปจัดแจงทหารยกไปทำการตามคำสั่งของโจโฉตั้งแต่คืนวันนั้น แล้วคุมทหารซุ่มคอยทีตามแผนอุบายของโจโฉทุกประการ
ครั้นวันรุ่งขึ้นโจโฉจึงจัดทหารคนสนิทเพียงสิบสี่สิบห้าคนขึ้นไปอยู่บนเนินเขาด้านหลังหลุมซึ่งขุดไว้นั้น และสั่งให้จัดแจงทหารอีกสามกองยกเข้าตีเมืองฮันต๋ง
เตียวล่อทราบข่าวว่ากองทัพเว่ยจะยกเข้าโจมตีเมือง จึงสั่งให้บังเต๊กยกทหารออกไปรบสกัดไว้ พอบังเต๊กคุมทหารยกออกนอกประตูเมือง เคาทูได้ขี่ม้านำทหารมาสกัดไว้
ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันบนหลังม้าเป็นสามารถ หลังจากเพลงรบผ่านไปได้สามสิบเพลงเคาทูทำเป็นต่อสู้ฝีมือบังเต๊กไม่ได้ จึงชักม้าผละหนีไปที่เนินเขาซึ่งโจโฉได้วางอุบายซุ่มทหารและขุดหลุมล่อบังเต๊กไว้นั้น
บังเต๊กไม่รู้กลศึกเข้าใจว่าได้ทีจึงขี่ม้าไล่ตามเคาทูไปจนกระทั่งถึงเนินเขา ก็ได้ยินเสียงคนร้องมาจากข้างบนว่า “อันเมืองฮันต๋งนั้นเหมือนอยู่ในเงื้อมมือเรา เตียวล่อนั้นเหมือนลูกไก่ เราจะหักเข้าตีเอาเมือง ตัวบังเต๊กก็จะพลอยตายเสียด้วย จงเร่งคิดอ่านเข้ามานบนอบเราโดยดีจะได้พ้นความตาย”
บังเต๊กได้ยินเสียงทรงไว้ซึ่งอำนาจก็ประหลาดใจ ละสายตาจากเคาทูแล้วมองไปข้างบน เห็นโจโฉใส่เสื้อคลุมสีแดงยืนม้าอยู่ภายใต้สัปทน มีทหารแวดล้อมเพียงสิบสี่สิบห้าคน ก็คิดว่าถึงแม้นเราไล่ตามไปจับเคาทูได้ หรือแม้จับทหารโจโฉได้สักร้อยพันก็จะได้ความชอบไม่เท่ากับจับโจโฉได้เพียงคนเดียว
บังเต๊กคิดเห็นแต่ทางจะได้โดยลืมคำนึงไปว่าวิสัยคนที่เป็นจอมทัพไฉนเลยจะมายืนม้าท้าทายข้าศึกอยู่ในลักษณะเช่นนี้ ดังนั้นบังเต๊กจึงมิได้ระแวงสงสัย คิดแต่จะจับตัวโจโฉไปมอบแก่เตียวล่อเป็นบำเหน็จความชอบ และชักบังเหียนม้าให้วิ่งไปที่โจโฉยืนม้าอยู่
สายตาบังเต๊กจ้องจับเขม้นอยู่ที่โจโฉ แต่พอขี่ม้าเข้าไปใกล้จะถึงตัวโจโฉในทันใดนั้น ทั้งบังเต๊กและม้าซึ่งขี่ก็ถลำคะมำหน้าตกลงไปในหลุมซึ่งโจโฉขุดล่อไว้ เสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น ทหารของโจโฉกลุ้มรุมเข้ามาจากทุกทิศทาง ช่วยกันจับตัว บังเต๊กไว้ได้ แล้วเอาเชือกมัดนำไปมอบให้แก่โจโฉ
โจโฉเห็นกลอุบายบรรลุผลสำเร็จก็มีความยินดี ยืนม้าดูเหตุการณ์ด้วยความปรีดาปราโมทย์เป็นอันมาก ครั้นเห็นทหารมัดตัวบังเต๊กพามามอบที่ตรงหน้าก็ยกมือขวาเป็นทีว่าให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่แล้วสงบถ้อยคำไว้
จากนั้นโจโฉจึงมองไปที่หน้าบังเต๊ก เห็นก้มหน้าสงบนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะอาละวาด หรือประพฤติในทางปรปักษ์ ก็รู้ทีว่าบังเต๊กยอมสยบอยู่ภายในใจแล้ว จึงลงจากหลังม้าเข้าไปแก้มัดให้บังเต๊ก
แล้วถามว่า “ตัวท่านจะยอมอยู่ด้วยเราหรือ เราจะไว้ชีวิต”
บังเต๊กได้ยินคำโจโฉดังนั้นก็คิดว่าโจโฉนี้สมเป็นผู้นำคน มิได้มีความพยาบาทต่อทหารของข้าศึก มีความเปิดเผย องอาจกล้าหาญมิได้ยำเกรงอันตรายจึงกล้าแก้มัดเราโดยที่ยังไม่รู้ว่าเราจะพร้อมใจอยู่ด้วยหรือไม่ ต่างกับเตียวล่ออย่างลิบลับ เพราะเตียวล่อนั้นเป็นคนใจเบา ไร้ความคิด ไม่รู้ผิดแลชอบ แม้นเราจะอยู่กับเตียวล่อต่อไปก็จะได้รับอันตราย ควรที่จะอยู่กับโจโฉจึงจะได้รับความสุขสืบไป
บังเต๊กคำนึงดังนั้นแล้วจึงว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าศึก ท่านจับได้ไม่ฆ่าเสียนั้นคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าขออยู่ทำราชการสนองคุณท่านไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต”
โจโฉได้ฟังคำบังเต๊กดังนั้นก็มีความยินดี สั่งทหารให้จัดม้าให้บังเต๊กขี่ตัวหนึ่ง แล้วจึงพาทหารทั้งปวงกลับเข้าไปที่ค่าย และให้แต่งโต๊ะเลี้ยงรับขวัญบังเต๊กเป็นที่เอิกเกริก ในระหว่างงานเลี้ยงโจโฉได้สั่งให้เบิกเงินทองข้าวของเสื้อผ้าปูนบำเหน็จแก่บังเต๊กเป็นอันมาก
ก่อนจะเลิกงานโจโฉได้ปรารภกับทหารทั้งปวงว่า การศึกระหว่างเรากับเมือง ฮันต๋งมาถึงจุดแตกหักใกล้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ในวันพรุ่งนี้เราจะยึดเอาเมืองฮันต๋งให้จงได้ ให้ทหารทั้งปวงเตรียมตัวเตรียมใจเตรียมกำลังให้พร้อมสรรพ อย่าได้เร็วช้ากว่ากำหนด อย่าได้ขาดได้เกินแต่สิ่งหนึ่งสิ่งไร
เจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบ เดือนเก้า ขึ้นเก้าค่ำ เวลาเช้า โจโฉสั่งให้กรีฑาทัพพร้อมกันทุกค่าย ยกเข้าตีเมืองฮันต๋งทั้งสามด้าน เว้นไว้ก็แต่ด้านทิศใต้ซึ่งจะไปทางเมืองปาต๋งเพื่อเปิดทางให้เตียวล่อหนีจะได้ไม่ต่อสู้แบบหมาจนตรอก
ทหารกองทัพเว่ยได้ใช้บันไดและพะองกรูเข้าพาดกับกำแพงเมือง และใช้รถเข็นหอสูงลำเลียงทหารจะเข้าประชิดกำแพงเมือง ทหารข้างในเมืองก็ต่อสู้ป้องกันไว้เป็นสามารถ ทั้งยิงเกาทัณฑ์ ทิ้งก้อนศิลา และใช้หอกซัดใส่ข้าศึก ทำให้ทหารของโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
การศึกระหว่างฝ่ายตั้งรับกับฝ่ายเข้าตีเมืองในครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ต่างฝ่ายต่างหลั่งเลือดรับอรุณ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาความว่า “ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงให้ทหารเอาบันไดหก แลพะองเข้าไปพาดกำแพงเมือง ทหารบนหน้าที่เชิงเทินก็ยิงเกาทัณฑ์ ทิ้งก้อนศิลาลงมาถูกทหารโจโฉป่วยเจ็บตายเป็นอันมาก เหล่าทหารโจโฉก็เอาดินประสิวสุพรรณถันห่อล่ามชนวนฝักแค จุดทิ้งเข้าไปไหม้เรือนอาณาประชาราษฎรขึ้น ชาวเมืองทั้งปวงช่วยกันดับได้”
การสู้รบระหว่างฝ่ายตั้งรับและฝ่ายเข้าตีดำเนินไปตลอดทั้งวัน โดยไม่มีเวลาพักกินอาหาร โจโฉบัญชาการรบด้วยตนเอง ให้ทหารเว่ยเข้าตีเมืองฮันต๋งเป็นระลอก ๆ โดยไม่ระย่อท้อถอย ในขณะที่ข้างในเมืองฮันต๋งบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งเกรงกลัวว่ากองทัพเว่ยรุกเข้าเมืองได้แล้วจะทำอันตรายต่อครอบครัวและญาติมิตร จึงต่อสู้จนสุดความสามารถ ทั้งทหารและประชาชนได้ระดมกำลังหนุนช่วยกันและกันอย่างเด็ดเดี่ยว
ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จนกระทั่งตกเวลาใกล้ค่ำโจโฉจึงให้ทหารถอยกลับเข้าค่าย เตียวล่อเห็นข้าศึกมีกำลังมากเกรงว่าจะต้านทานกองทัพเว่ยไม่ได้ จึงปรึกษาด้วยที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่าจะคิดอ่านประการใด.
ในขณะที่ทหารเมืองฮันต๋งกำลังกินโต๊ะเสพสุราฉลองชัยชนะกันอย่างเอิกเกริกนั้นก็ได้ยินเสียงประทัดสัญญาณดังขึ้นทั้งสามด้าน และธนูเพลิงก็ถูกยิงเข้ามาดุจห่าฝน แสงเพลิงไหม้ค่ายลุกสว่างไสว ได้ยินเสียงทหารกองทัพเว่ยโห่ร้องก้องกระหึ่ม จู่โจมรุกใกล้เข้ามาจากทั้งสามด้าน ยกเว้นก็แต่ด้านทิศใต้ที่จะไปเมืองฮันต๋งทางเดียวเท่านั้น
ทหารเมืองฮันต๋งเห็นเหตุการณ์ดังนั้นก็ตกใจ พากันแตกตื่นวิ่งหนีออกไปทางด้านทิศใต้ บังเต๊กและบรรดาแม่ทัพนายกองเห็นทหารเสียขวัญแตกตื่นไม่อาจต้านทานกองทัพของโจโฉได้จึงพาทหารหนีออกจากค่ายทางด้านทิศใต้กลับไปทางเมืองฮันต๋ง ทหารของโจโฉได้ไล่ตามฆ่าฟันทหารของเมืองฮันต๋งบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
ในขณะที่บังเต๊กพาทหารหนีกลับไปเมืองฮันต๋งนั้น สายลับของโจโฉที่แอบแฝงเข้ามาในกองทัพก็แปลกปลอมเป็นทหารของเมืองฮันต๋งติดตามไปด้วย และพอเข้าเขตเมืองฮันต๋งก็รีบปลีกตัวไปหาเอียวสงถึงที่บ้านพัก
ครั้นพบเอียวสงแล้วจึงได้แจ้งความทั้งปวงซึ่งโจโฉได้ใช้มา พร้อมทั้งมอบแผ่นทองและแผ่นเงินให้กับเอียวสง แล้วว่า “บัดนี้โจโฉผู้เป็นวุยก๋งรู้ข่าวว่าท่านมีสติปัญญา เป็นที่ชอบอัชฌาสัยกับเตียวล่อ ให้ท่านช่วยคิดอ่านยุยงให้เตียวล่อมีความสงสัยบังเต๊ก แลไมตรีท่านกับวุยก๋งจะได้มีต่อกันสืบไป”
นับเป็นการเจรจาทางธุรกิจการเมืองและติดสินบนตอบแทนที่ชัดเจนตรงไปตรงมายิ่งนัก ปรากฏการณ์ดังนี้ย่อมเป็นหลักฐานอันชัดเจนว่าพฤติกรรมของเอียวสงผู้เป็นที่ปรึกษาของเตียวล่อเจ้าเมืองฮันต๋งนั้นเป็นที่ขึ้นชื่อลือชากระฉ่อนทั้งหัวเมืองใกล้ไกล ดังนั้นเมื่อผู้ใดจะมาติดสินบาทคาดสินบนก็สามารถเจรจาว่ากล่าวได้อย่างตรงไปตรงมา มิพักต้องอ้อมค้อมถนอมกิริยามารยาทหรือเสียเวลาแม้แต่น้อย ผู้เป็นใหญ่ในบ้านเมืองที่มีคนแวดล้อมข้างตัวเป็นอย่างเอียวสงนี้ จึงไม่เพียงแต่จะหูหนวกตาบอดคนเดียวเท่านั้น ยังจะทำให้บ้านเมืองและราษฎรพินาศล่มจมอีกด้วย
เอียวสงได้รับแผ่นเงินแผ่นทองเป็นอันมากก็มีความยินดี เรียกคนใช้ในบ้านให้รีบเก็บแผ่นทองและแผ่นเงินเอาไปไว้ที่ข้างในแล้วกล่าวกับทหารของโจโฉว่า “การสิ่งนี้อย่าได้วิตกเลย เราจะคิดอ่านว่ากล่าวกับเตียวล่อ”
ทหารของโจโฉเห็นการสำเร็จดังประสงค์ตามที่รับคำสั่งมาก็มีความยินดี รีบคำนับลาเตียวล่อแล้วกลับไปรายงานความให้โจโฉทราบทุกประการ
เอียวสงรับสินบนของโจโฉแล้วจึงรีบเข้าไปหาเตียวล่อก่อนบังเต๊ก คำนับเตียวล่อแล้วจึงว่าข้าพเจ้าได้ยินกิตติศัพท์ว่าซึ่งท่านใช้ให้บังเต๊กนำทหารไปสกัดกองทัพโจโฉไว้ในครั้งนี้ บังเต๊กยกทหารเข้าตีค่ายโจโฉได้หลายค่าย ยึดทรัพย์สินเงินทองข้าวของไว้ได้เป็นอันมาก แล้วบังเต๊กมีใจโลภใคร่ได้ทรัพย์สินนั้นไว้เป็นของตน จึงเกรงว่าหากทำศึกเนิ่นช้าไปท่านก็จะรู้ว่าได้ทรัพย์สินไว้ จึงแกล้งทำเป็นเสียทีทิ้งค่ายหนีโจโฉมา โดยบังเต๊กหวังเอาอามิสที่ปิดบังจากสินศึกเป็นสมบัติตัว ทำให้ท่านเสียราชการศึก
เตียวล่อได้ฟังคำเอียวสงก็ลังเลสงสัย เพราะเนื้อความที่เอียวสงกล่าวนั้นเป็นรายละเอียดของการสงคราม หากไร้มูลความจริงก็ยากที่จะอ้างเอ่ยได้ แต่การที่บังเต๊กจะตีค่ายโจโฉได้จริงหรือไม่นั้น จะฟังจากเอียวสงข้างเดียวย่อมไม่ชอบ เตียวล่อลังเลสงสัยดังนี้จึงนิ่งอึ้งมิได้ว่ากล่าวประการใด
ฝ่ายบังเต๊กเมื่อกลับถึงเมืองฮันต๋งแล้วได้ตรงไปบ้านพักก่อน เก็บศาสตราวุธ เสื้อเกราะ เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงออกมาหาเตียวล่อ
เตียวล่อกำลังลังเลสงสัยอยู่ เหลือบตามองไปที่ด้านหน้าจวนเห็นบังเต๊กเดินเข้ามา ก็ไม่พอใจ ครั้นบังเต๊กคำนับตามธรรมเนียมแล้วเตียวล่อจึงถามว่าท่านไปทำการศึกครั้งนี้เหตุไฉนจึงแตกหนีมา
บังเต๊กจึงรายงานความซึ่งได้ทำศึกกับกองทัพโจโฉจนกระทั่งตีได้ค่ายของโจโฉแล้วจึงจัดงานเฉลิมฉลองชัยเพื่อบำรุงขวัญทหาร แต่ถูกโจโฉโจมตีในเวลากลางคืนจึงเสียทีแตกหนีมา และเห็นเป็นการร้อนจึงนำข้าวของเครื่องใช้ไปเก็บที่บ้านก่อน แล้วรีบรุดมารายงานความให้ท่านทราบ
เตียวล่อฟังรายงานจากบังเต๊กเห็นสมกับความที่เอียวสงได้กล่าวมาแต่ก่อน เพราะฟังได้ว่าบังเต๊กตีได้ค่ายของโจโฉจริงย่อมจะได้ทรัพย์สิ่งสินเป็นอันมาก แต่บังเต๊กกลับไม่รายงานถึงสินศึกแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำหลังจากแตกพ่ายมาแล้วยังกลับไปบ้านพักก่อนอ้างว่าเอาข้าวของไปเก็บ ชะรอยจะเอาสินศึกไปเก็บที่บ้านสมกับคำของเอียวสง
เตียวล่อคิดดังนั้นก็โกรธเป็นอันมาก สั่งทหารให้จับตัวบังเต๊กเอาไปประหารชีวิต
เงียมเภาซึ่งเป็นที่ปรึกษาเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบเข้าไปคุกเข่าคำนับเตียวล่อแล้วว่า บัดนี้การศึกประชิดอยู่ ท่านจะประหารนายทหารเอกนั้นไม่สมควร บังเต๊กทำการได้ชัยครั้งหนึ่ง ปราชัยครั้งหนึ่ง ผิดชอบกลบเกลื่อนกันไป จึงควรที่ท่านจะงดโทษบังเต๊กไว้ครั้งหนึ่งก่อน
เตียวล่อได้ฟังคำเงียมเภาก็โลเลตามคำท้วงจึงกล่าวกับบังเต๊กว่า เราเห็นแก่เงียมเภาจึงงดโทษตายให้ตัวครั้งหนึ่ง วันพรุ่งนี้จะให้ยกทหารออกไปรบกับโจโฉ หากแม้นเสียทีกลับมาเราก็จะตัดศีรษะเสีย
บังเต๊กไม่รู้ความนัยที่เตียวล่อถูกเอียวสงยุยงจนความคิดวิปริตฟั่นเฟือนไป ครั้นได้ฟังคำเตียวล่อก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะถึงแม้จะทำการสงครามประการใดผลได้ก็มีแต่เสมอตัวหรือไม่ก็ถึงตาย แต่เมื่ออยู่เฉพาะหน้าบังเต๊กก็จำใจต้องรับคำ แล้วคำนับลาเตียวล่อออกไปจัดแจงทหารเตรียมพร้อมไว้
ทางฝ่ายโจโฉครั้นยกกองทัพมาประชิดเมืองฮันต๋งแล้ว จึงคิดอ่านอุบายขุดบ่อล่อปลาหวังจะจับตัวบังเต๊ก ดังนั้นพอตกเวลากลางคืนโจโฉจึงเรียกแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเข้ามาสั่งการเป็นความลับถึงในค่ายพักว่าในวันพรุ่งนี้เราจะจับตัวบังเต๊กให้ได้ ให้พวกท่านคุมทหารคนละกองแยกไปตั้งซุ่มอยู่สองข้างเนินเขาทางด้านขวาของค่าย และให้ขุดหลุมไว้บนเนินเขา เอาดินกลบปากหลุมไว้อย่าให้เป็นที่สงสัย ในวันพรุ่งนี้จะล่อให้บังเต๊กตกลงไปในหลุมนั้น เมื่อบังเต๊กพลัดตกลงไปในหลุมแล้วให้พวกท่านพา ทหารออกไปจับตัวบังเต๊ก และอย่าให้เป็นอันตรายได้
แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับรับคำสั่งโจโฉแล้วคำนับลาออกไปจัดแจงทหารยกไปทำการตามคำสั่งของโจโฉตั้งแต่คืนวันนั้น แล้วคุมทหารซุ่มคอยทีตามแผนอุบายของโจโฉทุกประการ
ครั้นวันรุ่งขึ้นโจโฉจึงจัดทหารคนสนิทเพียงสิบสี่สิบห้าคนขึ้นไปอยู่บนเนินเขาด้านหลังหลุมซึ่งขุดไว้นั้น และสั่งให้จัดแจงทหารอีกสามกองยกเข้าตีเมืองฮันต๋ง
เตียวล่อทราบข่าวว่ากองทัพเว่ยจะยกเข้าโจมตีเมือง จึงสั่งให้บังเต๊กยกทหารออกไปรบสกัดไว้ พอบังเต๊กคุมทหารยกออกนอกประตูเมือง เคาทูได้ขี่ม้านำทหารมาสกัดไว้
ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันบนหลังม้าเป็นสามารถ หลังจากเพลงรบผ่านไปได้สามสิบเพลงเคาทูทำเป็นต่อสู้ฝีมือบังเต๊กไม่ได้ จึงชักม้าผละหนีไปที่เนินเขาซึ่งโจโฉได้วางอุบายซุ่มทหารและขุดหลุมล่อบังเต๊กไว้นั้น
บังเต๊กไม่รู้กลศึกเข้าใจว่าได้ทีจึงขี่ม้าไล่ตามเคาทูไปจนกระทั่งถึงเนินเขา ก็ได้ยินเสียงคนร้องมาจากข้างบนว่า “อันเมืองฮันต๋งนั้นเหมือนอยู่ในเงื้อมมือเรา เตียวล่อนั้นเหมือนลูกไก่ เราจะหักเข้าตีเอาเมือง ตัวบังเต๊กก็จะพลอยตายเสียด้วย จงเร่งคิดอ่านเข้ามานบนอบเราโดยดีจะได้พ้นความตาย”
บังเต๊กได้ยินเสียงทรงไว้ซึ่งอำนาจก็ประหลาดใจ ละสายตาจากเคาทูแล้วมองไปข้างบน เห็นโจโฉใส่เสื้อคลุมสีแดงยืนม้าอยู่ภายใต้สัปทน มีทหารแวดล้อมเพียงสิบสี่สิบห้าคน ก็คิดว่าถึงแม้นเราไล่ตามไปจับเคาทูได้ หรือแม้จับทหารโจโฉได้สักร้อยพันก็จะได้ความชอบไม่เท่ากับจับโจโฉได้เพียงคนเดียว
บังเต๊กคิดเห็นแต่ทางจะได้โดยลืมคำนึงไปว่าวิสัยคนที่เป็นจอมทัพไฉนเลยจะมายืนม้าท้าทายข้าศึกอยู่ในลักษณะเช่นนี้ ดังนั้นบังเต๊กจึงมิได้ระแวงสงสัย คิดแต่จะจับตัวโจโฉไปมอบแก่เตียวล่อเป็นบำเหน็จความชอบ และชักบังเหียนม้าให้วิ่งไปที่โจโฉยืนม้าอยู่
สายตาบังเต๊กจ้องจับเขม้นอยู่ที่โจโฉ แต่พอขี่ม้าเข้าไปใกล้จะถึงตัวโจโฉในทันใดนั้น ทั้งบังเต๊กและม้าซึ่งขี่ก็ถลำคะมำหน้าตกลงไปในหลุมซึ่งโจโฉขุดล่อไว้ เสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้น ทหารของโจโฉกลุ้มรุมเข้ามาจากทุกทิศทาง ช่วยกันจับตัว บังเต๊กไว้ได้ แล้วเอาเชือกมัดนำไปมอบให้แก่โจโฉ
โจโฉเห็นกลอุบายบรรลุผลสำเร็จก็มีความยินดี ยืนม้าดูเหตุการณ์ด้วยความปรีดาปราโมทย์เป็นอันมาก ครั้นเห็นทหารมัดตัวบังเต๊กพามามอบที่ตรงหน้าก็ยกมือขวาเป็นทีว่าให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่แล้วสงบถ้อยคำไว้
จากนั้นโจโฉจึงมองไปที่หน้าบังเต๊ก เห็นก้มหน้าสงบนิ่ง ไม่มีทีท่าว่าจะอาละวาด หรือประพฤติในทางปรปักษ์ ก็รู้ทีว่าบังเต๊กยอมสยบอยู่ภายในใจแล้ว จึงลงจากหลังม้าเข้าไปแก้มัดให้บังเต๊ก
แล้วถามว่า “ตัวท่านจะยอมอยู่ด้วยเราหรือ เราจะไว้ชีวิต”
บังเต๊กได้ยินคำโจโฉดังนั้นก็คิดว่าโจโฉนี้สมเป็นผู้นำคน มิได้มีความพยาบาทต่อทหารของข้าศึก มีความเปิดเผย องอาจกล้าหาญมิได้ยำเกรงอันตรายจึงกล้าแก้มัดเราโดยที่ยังไม่รู้ว่าเราจะพร้อมใจอยู่ด้วยหรือไม่ ต่างกับเตียวล่ออย่างลิบลับ เพราะเตียวล่อนั้นเป็นคนใจเบา ไร้ความคิด ไม่รู้ผิดแลชอบ แม้นเราจะอยู่กับเตียวล่อต่อไปก็จะได้รับอันตราย ควรที่จะอยู่กับโจโฉจึงจะได้รับความสุขสืบไป
บังเต๊กคำนึงดังนั้นแล้วจึงว่า “ตัวข้าพเจ้าเป็นข้าศึก ท่านจับได้ไม่ฆ่าเสียนั้นคุณหาที่สุดมิได้ ข้าพเจ้าขออยู่ทำราชการสนองคุณท่านไปจนกว่าจะสิ้นชีวิต”
โจโฉได้ฟังคำบังเต๊กดังนั้นก็มีความยินดี สั่งทหารให้จัดม้าให้บังเต๊กขี่ตัวหนึ่ง แล้วจึงพาทหารทั้งปวงกลับเข้าไปที่ค่าย และให้แต่งโต๊ะเลี้ยงรับขวัญบังเต๊กเป็นที่เอิกเกริก ในระหว่างงานเลี้ยงโจโฉได้สั่งให้เบิกเงินทองข้าวของเสื้อผ้าปูนบำเหน็จแก่บังเต๊กเป็นอันมาก
ก่อนจะเลิกงานโจโฉได้ปรารภกับทหารทั้งปวงว่า การศึกระหว่างเรากับเมือง ฮันต๋งมาถึงจุดแตกหักใกล้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้ว ในวันพรุ่งนี้เราจะยึดเอาเมืองฮันต๋งให้จงได้ ให้ทหารทั้งปวงเตรียมตัวเตรียมใจเตรียมกำลังให้พร้อมสรรพ อย่าได้เร็วช้ากว่ากำหนด อย่าได้ขาดได้เกินแต่สิ่งหนึ่งสิ่งไร
เจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบ เดือนเก้า ขึ้นเก้าค่ำ เวลาเช้า โจโฉสั่งให้กรีฑาทัพพร้อมกันทุกค่าย ยกเข้าตีเมืองฮันต๋งทั้งสามด้าน เว้นไว้ก็แต่ด้านทิศใต้ซึ่งจะไปทางเมืองปาต๋งเพื่อเปิดทางให้เตียวล่อหนีจะได้ไม่ต่อสู้แบบหมาจนตรอก
ทหารกองทัพเว่ยได้ใช้บันไดและพะองกรูเข้าพาดกับกำแพงเมือง และใช้รถเข็นหอสูงลำเลียงทหารจะเข้าประชิดกำแพงเมือง ทหารข้างในเมืองก็ต่อสู้ป้องกันไว้เป็นสามารถ ทั้งยิงเกาทัณฑ์ ทิ้งก้อนศิลา และใช้หอกซัดใส่ข้าศึก ทำให้ทหารของโจโฉบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก
การศึกระหว่างฝ่ายตั้งรับกับฝ่ายเข้าตีเมืองในครั้งนี้เป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ต่างฝ่ายต่างหลั่งเลือดรับอรุณ สามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) พรรณนาความว่า “ครั้นเวลารุ่งเช้าโจโฉจึงให้ทหารเอาบันไดหก แลพะองเข้าไปพาดกำแพงเมือง ทหารบนหน้าที่เชิงเทินก็ยิงเกาทัณฑ์ ทิ้งก้อนศิลาลงมาถูกทหารโจโฉป่วยเจ็บตายเป็นอันมาก เหล่าทหารโจโฉก็เอาดินประสิวสุพรรณถันห่อล่ามชนวนฝักแค จุดทิ้งเข้าไปไหม้เรือนอาณาประชาราษฎรขึ้น ชาวเมืองทั้งปวงช่วยกันดับได้”
การสู้รบระหว่างฝ่ายตั้งรับและฝ่ายเข้าตีดำเนินไปตลอดทั้งวัน โดยไม่มีเวลาพักกินอาหาร โจโฉบัญชาการรบด้วยตนเอง ให้ทหารเว่ยเข้าตีเมืองฮันต๋งเป็นระลอก ๆ โดยไม่ระย่อท้อถอย ในขณะที่ข้างในเมืองฮันต๋งบรรดาแม่ทัพนายกองทั้งปวงซึ่งเกรงกลัวว่ากองทัพเว่ยรุกเข้าเมืองได้แล้วจะทำอันตรายต่อครอบครัวและญาติมิตร จึงต่อสู้จนสุดความสามารถ ทั้งทหารและประชาชนได้ระดมกำลังหนุนช่วยกันและกันอย่างเด็ดเดี่ยว
ทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บล้มตายลงเป็นอันมาก จนกระทั่งตกเวลาใกล้ค่ำโจโฉจึงให้ทหารถอยกลับเข้าค่าย เตียวล่อเห็นข้าศึกมีกำลังมากเกรงว่าจะต้านทานกองทัพเว่ยไม่ได้ จึงปรึกษาด้วยที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองว่าจะคิดอ่านประการใด.