ตอนที่ 391. เหตุที่หูหนวกตาบอด

หลังจากกองทัพเว่ยปราชัยในการรบแบบประปรายกับกองทัพเมืองฮันต๋งถึงสองครั้งแล้ว ทั้งสองฝ่ายได้ตั้งยันกันถึงห้าสิบวัน โจโฉจึงวางอุบายทำทีจะถอยทัพเพื่อให้กองทัพเมืองฮันต๋งประมาทแล้วยึดด่านเองเปงก๋วนได้ จากนั้นโจโฉจึงยกกองทัพไปประชิดเมืองฮันต๋ง ในขณะที่ภายในเมืองกำลังคิดอ่านหาทหารเอกฝีมือดีเพื่อรับมือกับกองทัพของโจโฉ

            เตียวล่อได้ฟังคำเงียมเภาว่ามีทหารเสือฝีมือดีอยู่ในเมืองฮันต๋ง สามารถรับมือกับทหารเอกของกองทัพเว่ยได้ จึงรีบถามเงียมเภาว่าทหารซึ่งมีฝีมือตามคำท่านนี้เป็นผู้ใดหรือ

            เงียมเภาจึงว่า “ม้าเฉียวเอาใจออกหากท่านนั้น บังเต๊กป่วยอยู่ไปด้วยไม่ได้ แลบังเต๊กนั้นมีฝีมือกล้าหาญ แลน้ำใจก็ซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าได้ยินสรรเสริญคุณท่านอยู่ว่าครั้งม้าเฉียวหนีโจโฉมาพึ่งท่านอยู่นี้ บังเต๊กก็พลอยได้เป็นสุขด้วย คิดจะแทนคุณท่านมิได้วายปาก”

            เตียวล่อได้ฟังคำเงียมเภาดังนั้นก็ระลึกได้ว่าม้าเฉียวมียอดทหารเสือมีฝีมืออยู่คนหนึ่งชื่อว่าบังเต๊ก เมื่อครั้งที่เตียวล่อให้ม้าเฉียวยกกองทัพไปช่วยเล่าเจี้ยงตีด่านแฮบังก๋วนซึ่งเล่าปี่ยึดครองไว้นั้น บังเต๊กซึ่งเป็นทหารเอกของม้าเฉียวป่วยอยู่จึงไปราชการสงครามไม่ได้ ครั้นได้ยินว่าบังเต๊กมีใจรำลึกถึงบุญคุณที่เตียวล่อได้ชุบเลี้ยงก็มีความยินดี พยักหน้าเป็นทีเห็นชอบกับข้อเสนอของเงียมเภา

            เงียมเภาเห็นดังนั้นจึงเสนอต่อไปว่า ขอให้ท่านหาตัวบังเต๊กมาว่ากล่าวแต่โดยดี เห็นทีบังเต๊กจะเต็มใจทำราชการด้วยท่าน แล้วจึงใช้ให้บังเต๊กยกทหารไปต้านทานโจโฉต่อไป

            เตียวล่อเห็นชอบกับข้อเสนอของเงียมเภา จึงสั่งทหารคนสนิทให้ไปเชิญบังเต๊กเข้ามาพบ ไต่ถามสารทุกข์สุขดิบและอาการป่วยไข้ตามธรรมเนียมแล้ว จึงปูนบำเหน็จเป็นทรัพย์สินเงินทองให้แก่บังเต๊กเป็นอันมาก

            บังเต๊กเห็นเตียวล่อห่วงหาอาทรและปูนบำเหน็จเป็นอันมากก็มีความยินดี คำนับขอบคุณเตียวล่อแล้วว่าข้าพเจ้าได้มาพึ่งพาท่านนานวันแล้ว ยังมิได้ทดแทนพระคุณสิ่งใด ดังนั้นหากท่านมีราชการสิ่งใดก็จงใช้สอยข้าพเจ้าอย่าได้แคลงใจเลย

            เตียวล่อได้ฟังคำบังเต๊กหนักแน่นดังนั้นก็มีความยินดี จึงว่าบัดนี้กองทัพเมืองฮูโต๋ยกมาประชิดติดเมืองเรา ท่านเต็มใจที่จะยกทหารออกไปต้านทานกองทัพข้าศึกได้หรือไม่

            บังเต๊กเป็นทหารเสือ หลายเดือนที่ผ่านมาเอาแต่กินนอนเนื่องจากความป่วยเจ็บ แต่ในใจยังคงรุ่มร้อนและปรารถนาการสงครามตามวิสัยของชายชาติทหาร เหมือนหนึ่งเสือที่กำลังหิวกระหายเหยื่อ ครั้นได้ยินคำเตียวล่อก็เหมือนหนึ่งเสือได้คาวเลือด จึงรีบรับปากด้วยความกระตือรือร้นว่าข้าพเจ้าเต็มใจอาสาท่านมิได้เห็นแก่ชีวิต และสัญญาว่าตีกองทัพของโจโฉให้แตกพินาศไปให้จงได้

            เตียวล่อได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงสั่งจัดทหารให้บังเต๊กหมื่นหนึ่ง บังเต๊กคำนับลาเตียวล่อแล้วยกทหารออกจากเมืองฮันต๋งออกไปตั้งค่ายอยู่นอกเมือง ครั้นตั้งค่ายเสร็จบังเต๊กมีน้ำใจคะนองศึก ไม่อาจอดรนทนรอเนิ่นช้าต่อไป จึงขี่ม้าพาทหารออกไปท้ารบที่หน้าค่ายของโจโฉ

            ทหารของเมืองหลวงได้ยินบังเต๊กร้องท้าปรามาสโจโฉด้วยข้อความหยาบคายจึงนำความไปรายงานให้โจโฉทราบ โจโฉจึงถามว่านายทหารของเตียวล่อผู้นี้มีชื่อใด

            ทหารซึ่งรู้จักบังเต๊กจึงรายงานว่าทหารของเตียวล่อผู้นี้เดิมเป็นทหารเก่าของม้าเฉียว มีชื่อว่าบังเต๊ก

            โจโฉได้ยินชื่อ “บังเต๊ก” ก็ระลึกขึ้นได้ว่า “บังเต๊กคนนี้มีฝีมือกล้าแข็ง เป็นทหารม้าเฉียวครั้งรบกับเรา ณ ตำบลแม่น้ำอุยโห ซึ่งมาอยู่กับเตียวล่อนี้ด้วยความจำใจ เพราะม้าเฉียวหนีไปอยู่กับเล่าปี่ ณ เมืองเสฉวน”

            โจโฉระลึกดังนั้นแล้วอัธยาศัยที่ใคร่อยากได้คนดีมีฝีมือมาทำราชการด้วยก็กำเริบขึ้น จึงแทนที่โจโฉจะคิดอ่านทำสงครามปราบปรามข้าศึก กลับคิดว่าทำอย่างไรหนอจึงจะได้ตัวบังเต๊กมาใช้ในราชการ

            ในขณะนั้นโจโฉยังคิดแผนการไม่ออก แต่บังเต๊กมาท้ารบอยู่หน้าค่าย ครั้นจะนิ่งเฉยอยู่ก็ไม่สมควร โจโฉจึงออกคำสั่งสนามว่าบังเต๊กทหารเตียวล่อผู้นี้มีฝีมือเป็นอันมาก เราจะคิดอ่านเอาไว้ใช้ในราชการ ดังนั้นแม้ผู้หนึ่งผู้ใดออกรบด้วยบังเต๊กก็ห้ามไม่ให้ทำอันตรายบังเต๊กถึงแก่ชีวิต แม้นผู้ใดมิฟังคำก็จะลงโทษตามพระอัยการศึก

            โจโฉออกคำสั่งสนามดังนั้นแล้วจึงเรียกเตียวคับมาสั่งว่า ให้ท่านจัดแจงทหารยกออกไปรบกับบังเต๊กเพียงเพื่อปะทะไว้ไม่ให้กำเริบใจ แต่อย่าให้รบแตกหักถึงเจ็บตาย ไว้เป็นหน้าที่เราจะคิดกลอุบายเอาตัวบังเต๊กมาใช้ให้จงได้

            เตียวคับรับคำโจโฉแล้วคำนับลาออกไปจัดแจงทหาร แล้วยกออกจากค่ายตรงไปที่บังเต๊กตั้งขบวนทหารท้าทายอยู่นั้น

            ทหารของทั้งสองฝ่ายตั้งขบวนเป็นหน้ากระดานเว้นลานรบไว้ตรงกลาง พอ กลองศึกดังขึ้นบังเต๊กและเตียวคับก็ขี่ม้าปราดเข้าหากัน แต่พอต่อสู้กันได้ห้าเพลงเตียวคับก็ทำทีเป็นสู้ไม่ได้แล้วชักม้าหนีกลับเข้าไปในค่าย

            บังเต๊กเห็นได้ทีก็ขี่ม้าไล่ตามเตียวคับไป แฮหัวเอี๋ยนยืนม้าสังเกตการณ์อยู่เห็นดังนั้นจึงชักม้าเข้าขวางหน้าม้าบังเต๊กไว้ ทั้งสองฝ่ายได้ต่อสู้กันบนหลังม้าอีกเจ็ดเพลง แฮหัวเอี๋ยนก็ทำทีเป็นสู้ไม่ได้ ชักม้าถอยออกมา

            ซิหลงยืนคุมเชิงเป็นทีอยู่เห็นดังนั้นจึงขี่ม้าออกไปสกัดบังเต๊กไว้

            บังเต๊กกำลังคะนองด้วยเข้าใจว่ามีฝีมือเหนือกว่านายทหารเอกของโจโฉ และอยากจะลองฝีมือกับซิหลงดู จึงขี่ม้าเข้ารบกับซิหลง

            ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอีกสิบเพลง ซิหลงก็ทำทีสู้ไม่ได้และควบม้าถอยกลับเข้าค่าย บังเต๊กเห็นดังนั้นก็ยืนม้าเป็นสง่าและร้องร่าว่าผู้ใดมีฝีมือจะออกมาสู้รบกับเราอีก

            พอสิ้นเสียงเคาทูก็ชักม้าปราดเข้าไปหาบังเต๊ก บังเต๊กเห็นทหารโจโฉผู้นี้สูงใหญ่มีกำลังผิดกว่าคนทั้งปวงก็มิได้ตั้งอยู่ในความประมาท ขี่ม้าเข้ารบกับเคาทูอย่างดุเดือด

            ครั้นเพลงรบผ่านไปได้อีกห้าสิบเพลง เคาทูก็ชักม้าถอยออกจากลานรบ แล้วพา ทหารกลับไปที่ค่าย

            บังเต๊กกำลังกระหยิ่มยิ้มย่องที่ได้รับชัยชนะต่อทหารเอกของโจโฉถึงสี่คน เห็นเคาทูขี่ม้าผละออกไปก็ไม่ติดใจไล่ตาม อารามคึกคะนองลำพองใจในชัยชนะที่ได้มาโดยหารู้ไม่ว่าเป็นเพราะอุบายของโจโฉที่ไม่ต้องการทำสงครามแตกหัก บังเต๊กจึงคุมทหารกลับเข้าค่าย

            ฝ่ายนายทหารเอกของโจโฉทั้งสี่คนแม้จะประฝีมือกับบังเต๊กชั่วเวลาสั้น ๆ และด้วยเพลงรบไม่กี่เพลง แต่ก็เห็นว่าบังเต๊กนี้มีฝีมือเข้มแข็งกล้าหาญนัก ดังนั้นเมื่อต่างคนต่างเข้าไปหาโจโฉแล้วจึงได้สรรเสริญฝีมือของบังเต๊กเป็นอันมาก

            โจโฉได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงปรารภว่าพวกท่านมีความคิดอ่านประการใดถึงจะได้ตัวบังเต๊กมาทำราชการอยู่กับเรา

            บรรดานายทหารเอกทั้งสี่คนได้ฟังโจโฉปรารภดังนั้น ต่างคนต่างหันมามองหน้ากัน โดยมิได้กล่าวความประการใด

            ฝ่ายกาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาเมื่อเห็นทุกคนนิ่งเงียบจึงกล่าวว่า ข้าพเจ้ามีแผนการอุบายประการหนึ่งจะทำให้วุยก๋งได้ตัวบังเต๊ก โจโฉได้ฟังดังนั้นก็หันหน้ามามองกาเซี่ยง

            กาเซี่ยงจึงกล่าวสืบไปว่าเตียวล่อมีที่ปรึกษาผู้หนึ่งมีชื่อว่าเอียวสง แลเอียวสงนั้นเป็นคนโลภในทรัพย์สินเงินทอง แต่ละวันคิดแต่เรื่องละโมบ และแสวงหาประโยชน์ส่วนตน เอียวสงเป็นคนช่างเพ็ดทูล จะกล่าววาจาประการใดก็ต้องใจเตียวล่อนัก ดังนั้นจึงขอให้ท่านแต่งทรัพย์สินเงินทองของมีค่าเป็นอันมากมอบให้แก่เอียวสง และให้เอียวสงยุยงเตียวล่อว่าบังเต๊กไม่เต็มใจทำราชการสงคราม คิดแต่จะเอาใจออกหากจากเตียวล่อ เตียวล่อเป็นคนขี้ระแวงก็จะสงสัยบังเต๊ก จากนั้นจึงค่อยคิดอ่านต่อไป คงจะได้ตัวบังเต๊กโดยง่าย

            เอียวสงที่กาเซี่ยงพูดถึงครั้งนี้ก็คือเอียวสงเจ้าเก่าซึ่งเล่าปี่เคยใช้ให้ซุนเขียนนำทรัพย์สินเงินทองไปติดสินบนเพื่อยุยงเตียวล่อให้หวาดระแวงม้าเฉียว จนม้าเฉียวต้องเข้าสวามิภักดิ์กับเล่าปี่ อันฝีไม้ลายปากในการเพ็ดทูลให้เจ้านายเชื่อถือของเอียวสงนั้นคงเป็นที่ประจักษ์ชัด จึงลือชาปรากฏทั่วไป แต่ที่น่าพิสดารก็คือข่าวที่ลือชาปรากฏว่าเอียวสงเป็นคนละโมบในทรัพย์สิน สามารถติดสินบนให้เพ็ดทูลประการใดก็ได้นั้น ถึงแม้เป็นข่าวที่กระฉ่อนไปในหลายหัวเมือง แต่ไฉนหนอคนอย่างเตียวล่อจึงไม่ได้ยิน ทั้งนี้ย่อมเป็นไปตามคำโบราณว่าอันผู้เป็นใหญ่เมื่อแวดล้อมอยู่ภายในหมู่คนพาล หูก็ต้องหนวก ตาก็ต้องบอด ไม่ได้ยินไม่ได้เห็นสิ่งใดตามความเป็นจริง จะได้ยินและได้เห็นเฉพาะสิ่งซึ่งตกแต่งแสดงหรือเพ็ดทูลเท่านั้น เหตุนี้กลียุคและความฉิบหายจึงไม่อาจหลีกเลี่ยงกับผู้เป็นใหญ่ที่มีหมู่คนพาลแวดล้อมดังนี้แล

            โจโฉได้ฟังคำกาเซี่ยงดังนั้นก็เห็นด้วย แต่เพราะเหตุที่ฝ่ายกองทัพเมืองหลวงไม่ถนัดคุ้นเคยภูมิประเทศเมืองฮันต๋งและสายสนกลใน โจโฉจึงถามต่อไปว่าแล้วจะทำฉันใดจึงจะนำข้าวของเงินทองไปมอบแก่เอียวสงได้

            กาเซี่ยงครุ่นคิดพิเคราะห์อยู่ครู่หนึ่งจึงเสนอว่า ให้เอาทองและเงินหลอมรีดเป็นแผ่น แล้วให้ทหารซึ่งไว้ใจซ่อนไว้ในเสื้อ จากนั้นท่านจึงท้ารบด้วยบังเต๊กแล้วทำอุบายทิ้งค่ายเสียชั่วคราว บังเต๊กก็จะมายึดเอาค่ายนี้ แล้วให้ทหารนั้นแปลกปลอมเข้าเป็นทหารของบังเต๊ก วันรุ่งขึ้นท่านจึงค่อยยกกองทัพกระหน่ำตีกองทัพบังเต๊กให้แตกพ่ายไป บังเต๊กก็จะหนีกลับไปเมืองฮันต๋ง แล้วทหารนั้นจึงค่อยเอาแผ่นทองและแผ่นเงินไปติดสินบนให้เอียวสง

            แผนการของกาเซี่ยงลึกลับซับซ้อนยุ่งยากกว่าแผนการเมื่อครั้งที่เล่าปี่ใช้ซุนเขียนไปติดสินบนเอียวสงเป็นอันมาก ทั้งนี้เป็นผลมาจากการไม่รู้สภาพการณ์ของฝ่ายเมืองฮันต๋ง โจโฉเองแม้เห็นว่าเป็นเรื่องยุ่งยาก แต่หลังจากไตร่ตรองแล้วเห็นว่าไม่มีแผนการอื่นใดดีกว่าแผนการนี้ จึงเรียกทหารที่วางใจและมีสติปัญญาว่ากล่าวเจรจามาสั่งการตามคำของกาเซี่ยงทุกประการ จากนั้นจึงให้ซิหลงกับเคาทูคุมทหารเป็นกองล่อ ยกออกไปท้ารบกับบังเต๊กตามแผนการของกาเซี่ยง

            แล้วโจโฉจึงเรียกเตียวคับและแฮหัวเอี๋ยนให้จัดแจงทหารอีกกองหนึ่งเตรียมปล้นค่ายของบังเต๊กตามแผนการของกาเซี่ยงทุกประการ

            นายทหารซึ่งรับคำสั่งของโจโฉตามแผนการของกาเซี่ยงแล้ว ต่างคนต่างรีบไปจัดแจงตามคำสั่งมิได้ขาดตกบกพร่อง

            ทางฝ่ายบังเต๊กเห็นเคาทูกับซิหลงออกมาท้ารบก็กระหยิ่มใจเพราะเพิ่งได้ชัยชนะมาหยก ๆ จึงยกทหารออกไปรบตามคำท้า

            ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างดุเดือด เพียงครู่เดียวทั้งเคาทูและซิหลงก็ทำทีเป็นสู้ไม่ได้ พาทหารถอยร่นไปทางหน้าค่ายของโจโฉ แล้วพาทหารถอยผ่านไป บังเต๊กเห็นได้ทีก็พา ทหารโจมตีเข้าไปถึงในค่ายของโจโฉ

            ทางฝ่ายโจโฉเตรียมการคอยทีอยู่ก่อนแล้ว เห็นดังนั้นจึงทำทีพาทหารหนีออกจากค่าย บังเต๊กไม่รู้กลก็พาทหารเข้าไปยึดค่ายโจโฉไว้ ได้ทรัพย์สินสิ่งของและเสบียงอาหารเป็นจำนวนมาก

            บังเต๊กเห็นทหารของโจโฉแตกหนีไป และเห็นว่ายึดค่ายของโจโฉได้แล้วจึงไม่ติดใจไล่ตามตี และด้วยความกระหยิ่มใจในชัยชนะจึงสั่งให้แต่งโต๊ะเลี้ยงสุราฉลองชัยแก่ทหารเป็นที่สนุกสนานตั้งแต่เวลาบ่ายจนถึงเวลาค่ำ

            จนเวลาล่วงพ้นยามหนึ่งบังเต๊กและทหารก็ยังเลี้ยงดูเฉลิมฉลองกันเป็นที่ครื้นเครง เสียงร้องเพลงตีกลองเคาะไม้และเสียงหัวเราะดังฝ่าความเงียบของราตรีเป็นระยะ ๆ

            ทางฝ่ายซิหลงและเคาทูเมื่อคุมทหารผ่านค่ายโจโฉไปแล้วก็ไปชุมนุมกำลังพลอยู่ที่ข้างทิศเหนือของค่ายโจโฉระยะสองร้อยเส้น ในขณะที่แฮหัวเอี๋ยนคุมทหารซุ่มอยู่ทางข้างทิศตะวันออกและเตียวคับคุมทหารซุ่มอยู่ข้างทิศตะวันตก เปิดไว้ก็แต่เฉพาะด้านทิศใต้ อันเป็นทางซึ่งจะไปเมืองฮันต๋งเท่านั้น

            สี่นายทหารเอกของโจโฉซุ่มกำลังคอยท่าให้บังเต๊กและทหารตั้งอยู่ในความประมาทตามแผนการของกาเซี่ยง ครั้นได้ยินเสียงทหารในค่ายของบังเต๊กอึกทึกครึกโครมเป็นลักษณะเมาสุราแล้วจึงให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น.

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

ตัวอย่างกระทู้ธรรม ธรรมศึกษาชั้นตรี 5

I miss you all กับ I miss all of you ต่างกันอย่างไร

ปัญหาและเฉลยวิชาธรรม นักธรรมชั้นโท สอบในสนามหลวง วันเสาร์ ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๘