ตอนที่ 389. อุบาย "ล่อให้ประมาท"
เจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบ เดือนห้า กองทัพแคว้นเว่ยของโจโฉยกไปประชิดด่านเองเปงก๋วนซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของเมืองฮันต๋ง แต่แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับซึ่งเป็นกองทัพหน้าของโจโฉประมาทมิได้ระมัดระวังป้องกันรักษาค่าย จึงเสียทีแก่กองทัพเมืองฮันต๋ง แตกพ่ายหนีกลับไปที่กองทัพหลวง
โจโฉฟังรายงานของสองนายทหารเอกตลอดแล้วก็โกรธ ตำหนิว่าพวกท่านทำการศึกร่วมกับเรามาก็ช้านาน ย่อมต้องรู้ดีว่าอันกองทัพซึ่งรีบร้อนเดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืนเมื่อไปถึงที่หมายย่อมเหนื่อยอ่อน ทหารย่อมเมื่อยล้าอิดโรย ดูหรือมิได้คิดอ่านป้องกันระมัดระวัง ทำการประมาทแก่ข้าศึก จึงเสียทีให้เสียฤกษ์ชัย โทษครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
ว่าแล้วโจโฉจึงมีคำสั่งให้เอาตัวแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับไปประหารชีวิต
สองนายทหารเอกได้ยินคำสั่งประหารดังนั้นก็ตกใจ บรรดาเพื่อนนายทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้าโจโฉพร้อมกัน วิงวอนขอให้โจโฉผ่อนผันอภัยโทษให้สักครั้งหนึ่ง ด้วยสองนายทหารดังกล่าวเคยประกอบความชอบในการสงครามมาแต่ก่อนเป็นอันมาก
ใจจริงของโจโฉก็หาได้ต้องการประหารแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับไม่ เพราะแฮหัวเอี๋ยนนั้นเป็นญาติสนิทและมีฝีมือประสบการณ์ในการศึกเป็นที่ไว้วางใจได้ ส่วนเตียวคับเล่าก็เป็นยอดทหารเสือคนหนึ่งของกองทัพ แต่เมื่อกระทำผิดพระอัยการศึกหากจะไม่ลงโทษประหารก็จะเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม โจโฉคำนึงว่าถึงแม้จะสั่งประหารก็ย่อมมีเพื่อนทหารผู้รู้ความนัยร้องขออภัยโทษเป็นมั่นคง การให้อภัยโทษในตอนนั้นก็จะรักษาระเบียบวินัยกองทัพไว้ได้ แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับก็จะไม่ต้องตกตาย ทั้งผู้คนทั้งปวงก็จะเกรงขามในความเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยของโจโฉที่ลงโทษทหารผู้กระทำผิดโดยไม่คิดเห็นแก่หน้าผู้ใดอีกด้วย เพราะเห็นถึงผลได้ทั้งสามประการดังกล่าว โจโฉจึงมีคำสั่งประหารชีวิตแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับ
ครั้นโจโฉเห็นเพื่อนนายทหารพากันคุกเข่าอ้อนวอนขอให้อภัยโทษต้องด้วยความคิดที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจก็มีความยินดี อมยิ้มเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนตีสีหน้าเป็นบึ้งตึง กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ตัวเราต้องการรักษาพระอัยการศึกให้เข้มงวดกวดขัน เพื่อความปลอดภัยและแข็งแกร่งของกองทัพ ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด จึงได้ลงโทษประหารดังนี้ แต่เพื่อเห็นแก่หน้าและน้ำใจของพวกท่านทั้งปวง ทั้งได้คำนึงถึงความชอบของ แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับที่มีมาแต่ก่อน เราจะยกโทษตายให้ครั้งหนึ่ง
แฮหัวเอี๋ยน เตียวคับ และบรรดาทหารทั้งปวงได้ฟังคำโจโฉดังนั้นก็มีความยินดี ต่างคำนับขอบคุณโจโฉพร้อมเพรียงกัน
โจโฉชำระความแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับซึ่งเสียทีแก่ข้าศึกเสร็จแล้ว จึงออกคำสั่งให้เคลื่อนทัพตรงไปที่ด่านเองเปงก๋วนต่อไป ระหว่างเส้นทางเดินทัพประกอบด้วยซอกเขาหุบเหว ห้วยหนองคลองน้ำและป่าอันรกชัฎ ทหารกองทัพเว่ยได้รับความลำบากเป็นอันมาก
โจโฉเห็นเส้นทางเดินทัพทุรกันดารลำบากแก่ทหารถึงปานนั้นก็รำพันขึ้นว่า “เราไม่รู้เลยว่าทางกันดารดังนี้ แม้รู้ก็หายกกองทัพมาไม่ แล้วก็เกรงข้าศึกจะเอาทหารมาซุ่มไว้”
คำรำพันของโจโฉดังกล่าวมีลักษณะท้อถอยอยู่ในที เพราะโจโฉบัดนี้อายุล่วงวัยแล้ว ประดุจตะวันยามบ่าย หาใช่แม่ทัพหนุ่มใหญ่เหมือนในอดีต กำลังวังชาก็ล้าลงตามอายุสังขาร ทั้งหลายปีมานี้โจโฉก็อิ่มเอมเปรมปรีด์ในยศศักดิ์อัครฐานและวาสนาทั้งปวง จึงยิ่งซ้ำเติมความเข้มแข็งแกร่งกล้าแต่อดีตให้ล้าลงเป็นอันมาก ทั้งโดยภูมิประเทศดังกล่าวนั้นก็ทุรกันดารเป็นที่ลำบากแก่ทหารแสนสาหัส ในขณะที่ทางกองทัพเว่ยไม่รู้ภูมิประเทศอย่างแจ่มแจ้ง จึงเกรงว่าอาจถูกกองทัพเมืองฮันต๋งแต่งทหารมาซุ่มโจมตีก็จะเสียทีแก่ข้าศึก
เคาทูและซิหลงสองนายทหารเอกซึ่งขี่ม้ากระหนาบข้างโจโฉได้ยินคำรำพันของโจโฉดังนั้น จึงขับม้าเข้ามาเคียงม้าของโจโฉ แล้วเอียงหน้ากระซิบแต่พอให้โจโฉได้ยินว่า “วุยก๋งอย่าเจรจาดังนี้ ถ้าทหารทั้งปวงรู้จะเสียใจ”
โจโฉฟังคำเตือนของสองนายทหารเอกก็ได้ยั้งคิดจึงพยักหน้า แล้วขี่ม้ารุดหน้าต่อไป พร้อมกับสั่งทหารให้ระมัดระวังการซุ่มโจมตีของข้าศึก
โจโฉนำกองทัพเว่ยมาถึงที่ตั้งค่ายเก่าของแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับ ซึ่งบัดนี้ถูกทหารเมืองฮันต๋งวางเพลิงเผาค่ายจนหมดสิ้นแล้ว จึงสั่งให้ตั้งค่ายลงในที่เดิม และสั่งทหารทั้งปวงให้ระมัดระวังตรวจตราเวรยามอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันข้าศึกที่จะยกมาปล้นค่ายในเวลาวิกาล
ครั้นเวลารุ่งขึ้นโจโฉจึงขี่ม้าพาเคาทู ซิหลง ออกจากค่ายขึ้นไปบนเนินเขาเพื่อตรวจตราภูมิประเทศ เตรียมทำศึกกับทหารเมืองฮันต๋งที่ตั้งมั่นอยู่บริเวณด่านเองเปงก๋วนต่อไป
การเคลื่อนทัพของกองทัพเว่ยดังกล่าว อยู่ในสายตาของหน่วยสอดแนมของทหารเมืองฮันต๋งที่เฝ้าสอดแนมติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด สามนายทหารเอกเมือง ฮันต๋งทราบรายงานข่าวแล้วจึงปรึกษากันว่าการศึกครั้งนี้โจโฉคุมกองทัพหลวงยกมาเอง ย่อมกวดขันระมัดระวังป้องกันรักษาค่ายไว้เป็นสามารถ ไม่อาจยกกำลังเข้าปล้นค่ายได้เหมือนที่กระทำกับแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับ ดังนั้นถ้าหากยกไปปล้นค่ายในเวลากลางคืนก็อาจถูกตีโต้ให้เปลืองกำลังทหารไปเปล่า จะคิดอ่านการสงครามต่อไปประการใดดี
เตียวโอยจึงว่าทหารแคว้นเว่ยย่อมต้องสรุปบทเรียนความพ่ายแพ้ของแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับ จึงป้องกันรักษาค่ายในเวลากลางคืนอย่างกวดขันไม่เป็นอันหลับนอน ดังนั้นในเวลากลางวันจึงอ่อนล้าอิดโรย และเห็นว่ากองทัพเว่ยเพิ่งเดินทัพมาถึง ไม่รู้ภูมิประเทศ โจโฉจึงน่าที่จะออกสำรวจตรวจตราภูมิประเทศเสียก่อน และภูมิทำเลที่โจโฉจะไปตรวจตราภูมิประเทศนั้นก็เห็นแต่เนินเขาใกล้ค่ายของโจโฉซึ่งเป็นที่สูง เห็นโจโฉจะไม่ระมัดระวังเหมือนตอนเวลากลางคืน จึงให้จัดกำลังทหารไปซุ่มไว้ในป่าเชิงเขา แม้นโจโฉขึ้นไปตรวจตราภูมิประเทศบนเนินเขาก็ให้ซุ่มโจมตีจับตัวโจโฉให้จงได้
เมื่อปรึกษาหารือกำหนดแผนการดังกล่าวแล้ว กองทัพเมืองฮันต๋งจึงจัดแจงแต่งกำลังลอบยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าบริเวณเชิงเขาใกล้ค่ายโจโฉ
ในขณะที่โจโฉกำลังตรวจตราดูภูมิประเทศอยู่นั้น เห็นการตั้งค่ายของทหารเมืองฮันต๋งนอกด่านเองเปงก๋วนมั่นคงแข็งแรงนัก จึงปรารภว่าข้าศึกมาตั้งค่ายในภูมิประเทศอันจำกัดดังนี้ การจะยกกำลังเข้าตีซึ่งหน้าขัดสนนัก แม้จะได้ชัยชนะก็สิ้นเปลืองกำลังทหารเป็นอันมาก
โจโฉปรารภพอจบความเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นจากสองข้างเนินเขา ได้ยินเสียงทหารเมืองฮันต๋งโห่ร้องก้องสนั่นตามแนวป่ารุกตรงเข้ามา โจโฉเห็นดังนั้นก็รู้ว่าถูกซุ่มโจมตีก็ตกใจ จึงถามเคาทูและซิหลงว่าจะคิดอ่านรบพุ่งประการใด
เคาทูรีบกล่าวตอบด้วยเสียงอันหนักแน่นว่าวุยก๋งอย่าปรารมภ์เลย ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ข้าศึกกล้ำกรายต่อวุยก๋งได้ แล้วหันหน้าไปทางซิหลงและกล่าวว่าขอซิหลงท่านได้อารักขาวุยก๋งกลับไปค่าย อย่าให้อันตรายกล้ำกรายถึงวุยก๋งเป็นอันขาด
ซิหลงรับคำเคาทูแล้วจึงขี่ม้าพาโจโฉกลับไปตามเส้นทางเดิมเพื่อจะกลับไปค่าย ในขณะที่เคาทูขี่ม้าถือทวนยืนเป็นสง่าท้าทายอยู่ ณ จุดเดิม
เอียวเหียมและเอียวหงงสองนายทหารเอกเมืองฮันต๋งซึ่งยกกำลังมาจู่โจมโจโฉในครั้งนี้ได้คุมทหารรุดมายังจุดที่เคาทูยืนอยู่อย่างรวดเร็ว เห็นเคาทูยืนม้าเป็นสง่าอยู่แต่ผู้เดียวก็พรั่นใจ แต่เห็นว่ากำลังทหารที่ตามมามีเป็นจำนวนมาก จึงสั่งทหารให้เข้าล้อมโจมตี
เคาทูขี่ม้าถือทวนสกัดหน้าสองนายทหารเอกเมืองฮันต๋งอย่างไม่พรั่นพรึง เอียวเหียมและเอียวหงงเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าตรงเข้ามารบกับเคาทูเป็นสามารถ การต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งผ่านพ้นไปได้เพียงสิบเพลง เอียวเหียมและเอียวหงงก็ทานกำลังเคาทูไม่ได้จึงชักม้าผละหนีออกจากวงรบ คุมทหารยกถอยกลับไป
ในขณะที่เสียงประทัดสัญญาณและเสียงโห่ร้องของทหารเมืองฮันต๋งดังขึ้นนั้น แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับอยู่ที่ค่าย ครั้นได้ยินเสียงทหารเมืองฮันต๋งที่มีลักษณะซุ่มจู่โจมก็คิดว่าอาจเกิดเหตุร้ายกับโจโฉ จึงรีบพาทหารยกตามไปที่เนินเขา พอไปถึงเชิงเขาก็สวนกับซิหลง ซึ่งกำลังขี่ม้าพาโจโฉจะกลับมาค่าย ทั้งแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับจึงเข้าไปคำนับโจโฉ แล้วจะพากันกลับเข้าค่าย พอดีเคาทูควบม้าตามมาถึง โจโฉจึงหันไปถามเคาทูว่าการรบเป็นประการใดบ้าง
เคาทูจึงรายงานความที่ได้สู้รบกับเอียวเหียมและเอียวหงงให้โจโฉฟังทุกประการ โจโฉฟังรายงานแล้วก็พยักหน้าและขี่ม้าพากันกลับไปที่ค่าย
โจโฉกลับถึงค่ายแล้วสั่งทหารให้คุมกำลังตั่งมั่นอยู่แต่ในค่าย ห้ามมิให้ออกรบให้กวดขันตรวจตราเวรยามอย่าได้ประมาท การทั้งนี้เป็นเพราะโจโฉตระหนักดีว่าไม่ทราบภูมิประเทศอย่างแจ่มแจ้งอย่างหนึ่ง ไม่ทราบสภาพการศึกอย่างทะลุปรุโปร่งอย่างหนึ่ง และเห็นลักษณะการตั้งค่ายที่หน้าด่านเองเปงก๋วนนั้นเข้มแข็งมั่นคงอีกประการหนึ่ง ดังนั้นในขณะที่ยังไม่เห็นช่องทางได้ชัยชนะจึงจำต้องคุมกำลังตั้งมั่นเอาไว้ก่อน
ในขณะเดียวกันนั้นกองทัพเมืองฮันต๋งก็ขยาดฝีมือนายทหารเอกของกองทัพเว่ย เห็นว่าหากรุกรบเข้าโจมตีก็ไม่อาจเอาชัยชนะแก่ฝีมือนายทหารเอกของกองทัพเว่ยได้โดยง่าย ดังนั้นกองทัพเมืองฮันต๋งจึงสั่งให้คุมกำลังตั้งมั่นอยู่ในด่านและในค่ายเช่นเดียวกัน
ทั้งสองฝ่ายตั้งยันกันอยู่ในลักษณะเช่นนี้ถึงห้าสิบวัน สายฝนต้นฤดูเริ่มโปรยปรายมา โจโฉรู้ดีว่าฤดูฝนกำลังมาถึง น้ำป่าจะหลากไหลให้ได้เวทนาแก่ทหาร ทั้งกองทัพเว่ยก็ไม่รู้สภาพภูมิประเทศว่าในป่านั้นถูกลักลอบตัดไม้ทำลายป่าไปมากน้อยเพียงไหน จึงเกรงว่าหากตั้งทัพยันกันอยู่ในลักษณะนี้น้ำป่าหลากมาแล้ว โคลนและท่อนซุงตลอดจนกิ่งไม้ที่ถูกตัดป่าจะไหลหลากท่วมทับทหารวายวอดสิ้นทั้งกองทัพ โจโฉจึงปรารภว่า “เรายกกองทัพมาครั้งนี้ทหารได้รับความลำบากนัก เห็นจะเอาเมืองฮันต๋งไม่ได้ จำจะยกกลับไปดีกว่า”
กาเซี่ยงได้ยินคำโจโฉดังนั้นจึงท้วงว่า กองทัพเรายกมาในครั้งนี้ยังไม่เคยทำศึกใหญ่กับกองทัพเมืองฮันต๋งเลย มีแต่การสู้รบประปรายเพียงสองครั้ง วุยก๋งจะรีบยกกองทัพกลับไปไย แม้ฤดูฝนใกล้จะมาถึงแต่ใช่ว่าฝนนั้นจะสร้างความลำบากให้แก่กองทัพเราฝ่ายเดียวก็หาไม่ กองทัพเมืองฮันต๋งก็ย่อมได้รับความลำบากดุจกัน อันกองทัพเราเคยตรากตรำกรำศึกตลอดมา มีความสามารถที่จะต้านทานความยากลำบากได้มากกว่ากองทัพเมืองฮันต๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านจะได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองฮันต๋งเป็นมั่นคง ขอจงรั้งรออยู่ก่อนเถิด
โจโฉได้ยินคำกาเซี่ยงก็เอียงหน้ามากระซิบที่ข้างหูของกาเซี่ยงว่า “เราเห็นทหารเมืองฮันต๋งออกมาตั้งค่ายอยู่มิได้ประมาท เราว่าจะยกกองทัพกลับไปนั้นหวังจะให้กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงข้าศึกจะได้คิดประมาทลง เราจึงแต่งทหารให้ยกอ้อมไปตีด่านเองเปงก๋วน ก็จะได้โดยง่าย”
แท้จริงการปรารภของโจโฉเป็นเพียงกลอุบายที่ต้องการทำให้กองทัพเมืองฮันต๋งตั้งอยู่ในความประมาท ซึ่งเป็นยุทโธบายที่ล้ำเลิศอย่างหนึ่งในพิชัยสงคราม เพราะหากข้าศึกคุมกำลังตั้งมั่นมิได้ประมาทตราบใด ก็ยากลำบากต่อการเข้าตี และการยกกำลังเข้าตีค่ายคูประตูหอรบของข้าศึกที่ตั้งมั่นอยู่นั้น ถือได้ว่าเป็นการบัญชาการทัพชั้นเลวที่สุด ดังนั้นยุทโธบายที่สำคัญอย่างหนึ่งในพิชัยสงครามคือต้องทำให้ข้าศึกตั้งอยู่ในความประมาท เพราะผู้ตั้งอยู่ในความประมาทก็คือผู้ตั้งอยู่ในความพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง
กาเซี่ยงได้ยินเสียงที่โจโฉกระซิบจึงเอียงหน้ามากระซิบโจโฉบ้างว่า ยุทโธบายของท่านครั้งนี้วิเศษล้ำเลิศนักราวกับว่าเทพยดาเข้าดลใจ
โจโฉได้ยินคำยอก็มีความยินดี ส่ายศีรษะเป็นทีถ่อมตัวแล้วหันไปกล่าวกับบรรดาทหารทั้งปวงว่าฤดูฝนกำลังจะมาถึง เพื่อมิให้ทหารได้ความยากลำบากให้เตรียมการถอยทัพ จากนั้นจึงกล่าวกับเตียวคับและแฮหัวเอี๋ยนว่า เมื่อครั้งก่อนท่านทั้งสองทำความผิดเสียทีแก่ข้าศึก เราได้ยกโทษให้ครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้จะให้ไปทำการสำคัญเพื่อแก้ตัว หากครั้งนี้เสียทีอีกก็จะตัดศีรษะเสียมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับได้ฟังดังนั้นจึงคำนับโจโฉแล้วว่า วุยก๋งมีการใดจะบัญชา ข้าพเจ้าทั้งสองก็พร้อมทำการให้สำเร็จดังประสงค์ แม้นผิดพลาดก็ให้วุยก๋งฆ่าเสียเถิด.
โจโฉฟังรายงานของสองนายทหารเอกตลอดแล้วก็โกรธ ตำหนิว่าพวกท่านทำการศึกร่วมกับเรามาก็ช้านาน ย่อมต้องรู้ดีว่าอันกองทัพซึ่งรีบร้อนเดินทัพทั้งกลางวันและกลางคืนเมื่อไปถึงที่หมายย่อมเหนื่อยอ่อน ทหารย่อมเมื่อยล้าอิดโรย ดูหรือมิได้คิดอ่านป้องกันระมัดระวัง ทำการประมาทแก่ข้าศึก จึงเสียทีให้เสียฤกษ์ชัย โทษครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
ว่าแล้วโจโฉจึงมีคำสั่งให้เอาตัวแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับไปประหารชีวิต
สองนายทหารเอกได้ยินคำสั่งประหารดังนั้นก็ตกใจ บรรดาเพื่อนนายทหารทั้งปวงเห็นดังนั้นก็คุกเข่าลงต่อหน้าโจโฉพร้อมกัน วิงวอนขอให้โจโฉผ่อนผันอภัยโทษให้สักครั้งหนึ่ง ด้วยสองนายทหารดังกล่าวเคยประกอบความชอบในการสงครามมาแต่ก่อนเป็นอันมาก
ใจจริงของโจโฉก็หาได้ต้องการประหารแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับไม่ เพราะแฮหัวเอี๋ยนนั้นเป็นญาติสนิทและมีฝีมือประสบการณ์ในการศึกเป็นที่ไว้วางใจได้ ส่วนเตียวคับเล่าก็เป็นยอดทหารเสือคนหนึ่งของกองทัพ แต่เมื่อกระทำผิดพระอัยการศึกหากจะไม่ลงโทษประหารก็จะเป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม โจโฉคำนึงว่าถึงแม้จะสั่งประหารก็ย่อมมีเพื่อนทหารผู้รู้ความนัยร้องขออภัยโทษเป็นมั่นคง การให้อภัยโทษในตอนนั้นก็จะรักษาระเบียบวินัยกองทัพไว้ได้ แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับก็จะไม่ต้องตกตาย ทั้งผู้คนทั้งปวงก็จะเกรงขามในความเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยของโจโฉที่ลงโทษทหารผู้กระทำผิดโดยไม่คิดเห็นแก่หน้าผู้ใดอีกด้วย เพราะเห็นถึงผลได้ทั้งสามประการดังกล่าว โจโฉจึงมีคำสั่งประหารชีวิตแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับ
ครั้นโจโฉเห็นเพื่อนนายทหารพากันคุกเข่าอ้อนวอนขอให้อภัยโทษต้องด้วยความคิดที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจก็มีความยินดี อมยิ้มเล็กน้อยแล้วเปลี่ยนตีสีหน้าเป็นบึ้งตึง กล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังว่า ตัวเราต้องการรักษาพระอัยการศึกให้เข้มงวดกวดขัน เพื่อความปลอดภัยและแข็งแกร่งของกองทัพ ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด จึงได้ลงโทษประหารดังนี้ แต่เพื่อเห็นแก่หน้าและน้ำใจของพวกท่านทั้งปวง ทั้งได้คำนึงถึงความชอบของ แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับที่มีมาแต่ก่อน เราจะยกโทษตายให้ครั้งหนึ่ง
แฮหัวเอี๋ยน เตียวคับ และบรรดาทหารทั้งปวงได้ฟังคำโจโฉดังนั้นก็มีความยินดี ต่างคำนับขอบคุณโจโฉพร้อมเพรียงกัน
โจโฉชำระความแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับซึ่งเสียทีแก่ข้าศึกเสร็จแล้ว จึงออกคำสั่งให้เคลื่อนทัพตรงไปที่ด่านเองเปงก๋วนต่อไป ระหว่างเส้นทางเดินทัพประกอบด้วยซอกเขาหุบเหว ห้วยหนองคลองน้ำและป่าอันรกชัฎ ทหารกองทัพเว่ยได้รับความลำบากเป็นอันมาก
โจโฉเห็นเส้นทางเดินทัพทุรกันดารลำบากแก่ทหารถึงปานนั้นก็รำพันขึ้นว่า “เราไม่รู้เลยว่าทางกันดารดังนี้ แม้รู้ก็หายกกองทัพมาไม่ แล้วก็เกรงข้าศึกจะเอาทหารมาซุ่มไว้”
คำรำพันของโจโฉดังกล่าวมีลักษณะท้อถอยอยู่ในที เพราะโจโฉบัดนี้อายุล่วงวัยแล้ว ประดุจตะวันยามบ่าย หาใช่แม่ทัพหนุ่มใหญ่เหมือนในอดีต กำลังวังชาก็ล้าลงตามอายุสังขาร ทั้งหลายปีมานี้โจโฉก็อิ่มเอมเปรมปรีด์ในยศศักดิ์อัครฐานและวาสนาทั้งปวง จึงยิ่งซ้ำเติมความเข้มแข็งแกร่งกล้าแต่อดีตให้ล้าลงเป็นอันมาก ทั้งโดยภูมิประเทศดังกล่าวนั้นก็ทุรกันดารเป็นที่ลำบากแก่ทหารแสนสาหัส ในขณะที่ทางกองทัพเว่ยไม่รู้ภูมิประเทศอย่างแจ่มแจ้ง จึงเกรงว่าอาจถูกกองทัพเมืองฮันต๋งแต่งทหารมาซุ่มโจมตีก็จะเสียทีแก่ข้าศึก
เคาทูและซิหลงสองนายทหารเอกซึ่งขี่ม้ากระหนาบข้างโจโฉได้ยินคำรำพันของโจโฉดังนั้น จึงขับม้าเข้ามาเคียงม้าของโจโฉ แล้วเอียงหน้ากระซิบแต่พอให้โจโฉได้ยินว่า “วุยก๋งอย่าเจรจาดังนี้ ถ้าทหารทั้งปวงรู้จะเสียใจ”
โจโฉฟังคำเตือนของสองนายทหารเอกก็ได้ยั้งคิดจึงพยักหน้า แล้วขี่ม้ารุดหน้าต่อไป พร้อมกับสั่งทหารให้ระมัดระวังการซุ่มโจมตีของข้าศึก
โจโฉนำกองทัพเว่ยมาถึงที่ตั้งค่ายเก่าของแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับ ซึ่งบัดนี้ถูกทหารเมืองฮันต๋งวางเพลิงเผาค่ายจนหมดสิ้นแล้ว จึงสั่งให้ตั้งค่ายลงในที่เดิม และสั่งทหารทั้งปวงให้ระมัดระวังตรวจตราเวรยามอย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันข้าศึกที่จะยกมาปล้นค่ายในเวลาวิกาล
ครั้นเวลารุ่งขึ้นโจโฉจึงขี่ม้าพาเคาทู ซิหลง ออกจากค่ายขึ้นไปบนเนินเขาเพื่อตรวจตราภูมิประเทศ เตรียมทำศึกกับทหารเมืองฮันต๋งที่ตั้งมั่นอยู่บริเวณด่านเองเปงก๋วนต่อไป
การเคลื่อนทัพของกองทัพเว่ยดังกล่าว อยู่ในสายตาของหน่วยสอดแนมของทหารเมืองฮันต๋งที่เฝ้าสอดแนมติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด สามนายทหารเอกเมือง ฮันต๋งทราบรายงานข่าวแล้วจึงปรึกษากันว่าการศึกครั้งนี้โจโฉคุมกองทัพหลวงยกมาเอง ย่อมกวดขันระมัดระวังป้องกันรักษาค่ายไว้เป็นสามารถ ไม่อาจยกกำลังเข้าปล้นค่ายได้เหมือนที่กระทำกับแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับ ดังนั้นถ้าหากยกไปปล้นค่ายในเวลากลางคืนก็อาจถูกตีโต้ให้เปลืองกำลังทหารไปเปล่า จะคิดอ่านการสงครามต่อไปประการใดดี
เตียวโอยจึงว่าทหารแคว้นเว่ยย่อมต้องสรุปบทเรียนความพ่ายแพ้ของแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับ จึงป้องกันรักษาค่ายในเวลากลางคืนอย่างกวดขันไม่เป็นอันหลับนอน ดังนั้นในเวลากลางวันจึงอ่อนล้าอิดโรย และเห็นว่ากองทัพเว่ยเพิ่งเดินทัพมาถึง ไม่รู้ภูมิประเทศ โจโฉจึงน่าที่จะออกสำรวจตรวจตราภูมิประเทศเสียก่อน และภูมิทำเลที่โจโฉจะไปตรวจตราภูมิประเทศนั้นก็เห็นแต่เนินเขาใกล้ค่ายของโจโฉซึ่งเป็นที่สูง เห็นโจโฉจะไม่ระมัดระวังเหมือนตอนเวลากลางคืน จึงให้จัดกำลังทหารไปซุ่มไว้ในป่าเชิงเขา แม้นโจโฉขึ้นไปตรวจตราภูมิประเทศบนเนินเขาก็ให้ซุ่มโจมตีจับตัวโจโฉให้จงได้
เมื่อปรึกษาหารือกำหนดแผนการดังกล่าวแล้ว กองทัพเมืองฮันต๋งจึงจัดแจงแต่งกำลังลอบยกไปตั้งซุ่มอยู่ในป่าบริเวณเชิงเขาใกล้ค่ายโจโฉ
ในขณะที่โจโฉกำลังตรวจตราดูภูมิประเทศอยู่นั้น เห็นการตั้งค่ายของทหารเมืองฮันต๋งนอกด่านเองเปงก๋วนมั่นคงแข็งแรงนัก จึงปรารภว่าข้าศึกมาตั้งค่ายในภูมิประเทศอันจำกัดดังนี้ การจะยกกำลังเข้าตีซึ่งหน้าขัดสนนัก แม้จะได้ชัยชนะก็สิ้นเปลืองกำลังทหารเป็นอันมาก
โจโฉปรารภพอจบความเสียงประทัดสัญญาณก็ดังขึ้นจากสองข้างเนินเขา ได้ยินเสียงทหารเมืองฮันต๋งโห่ร้องก้องสนั่นตามแนวป่ารุกตรงเข้ามา โจโฉเห็นดังนั้นก็รู้ว่าถูกซุ่มโจมตีก็ตกใจ จึงถามเคาทูและซิหลงว่าจะคิดอ่านรบพุ่งประการใด
เคาทูรีบกล่าวตอบด้วยเสียงอันหนักแน่นว่าวุยก๋งอย่าปรารมภ์เลย ข้าพเจ้าจะทำหน้าที่สกัดกั้นไม่ให้ข้าศึกกล้ำกรายต่อวุยก๋งได้ แล้วหันหน้าไปทางซิหลงและกล่าวว่าขอซิหลงท่านได้อารักขาวุยก๋งกลับไปค่าย อย่าให้อันตรายกล้ำกรายถึงวุยก๋งเป็นอันขาด
ซิหลงรับคำเคาทูแล้วจึงขี่ม้าพาโจโฉกลับไปตามเส้นทางเดิมเพื่อจะกลับไปค่าย ในขณะที่เคาทูขี่ม้าถือทวนยืนเป็นสง่าท้าทายอยู่ ณ จุดเดิม
เอียวเหียมและเอียวหงงสองนายทหารเอกเมืองฮันต๋งซึ่งยกกำลังมาจู่โจมโจโฉในครั้งนี้ได้คุมทหารรุดมายังจุดที่เคาทูยืนอยู่อย่างรวดเร็ว เห็นเคาทูยืนม้าเป็นสง่าอยู่แต่ผู้เดียวก็พรั่นใจ แต่เห็นว่ากำลังทหารที่ตามมามีเป็นจำนวนมาก จึงสั่งทหารให้เข้าล้อมโจมตี
เคาทูขี่ม้าถือทวนสกัดหน้าสองนายทหารเอกเมืองฮันต๋งอย่างไม่พรั่นพรึง เอียวเหียมและเอียวหงงเห็นดังนั้นจึงขี่ม้าตรงเข้ามารบกับเคาทูเป็นสามารถ การต่อสู้แบบสองรุมหนึ่งผ่านพ้นไปได้เพียงสิบเพลง เอียวเหียมและเอียวหงงก็ทานกำลังเคาทูไม่ได้จึงชักม้าผละหนีออกจากวงรบ คุมทหารยกถอยกลับไป
ในขณะที่เสียงประทัดสัญญาณและเสียงโห่ร้องของทหารเมืองฮันต๋งดังขึ้นนั้น แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับอยู่ที่ค่าย ครั้นได้ยินเสียงทหารเมืองฮันต๋งที่มีลักษณะซุ่มจู่โจมก็คิดว่าอาจเกิดเหตุร้ายกับโจโฉ จึงรีบพาทหารยกตามไปที่เนินเขา พอไปถึงเชิงเขาก็สวนกับซิหลง ซึ่งกำลังขี่ม้าพาโจโฉจะกลับมาค่าย ทั้งแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับจึงเข้าไปคำนับโจโฉ แล้วจะพากันกลับเข้าค่าย พอดีเคาทูควบม้าตามมาถึง โจโฉจึงหันไปถามเคาทูว่าการรบเป็นประการใดบ้าง
เคาทูจึงรายงานความที่ได้สู้รบกับเอียวเหียมและเอียวหงงให้โจโฉฟังทุกประการ โจโฉฟังรายงานแล้วก็พยักหน้าและขี่ม้าพากันกลับไปที่ค่าย
โจโฉกลับถึงค่ายแล้วสั่งทหารให้คุมกำลังตั่งมั่นอยู่แต่ในค่าย ห้ามมิให้ออกรบให้กวดขันตรวจตราเวรยามอย่าได้ประมาท การทั้งนี้เป็นเพราะโจโฉตระหนักดีว่าไม่ทราบภูมิประเทศอย่างแจ่มแจ้งอย่างหนึ่ง ไม่ทราบสภาพการศึกอย่างทะลุปรุโปร่งอย่างหนึ่ง และเห็นลักษณะการตั้งค่ายที่หน้าด่านเองเปงก๋วนนั้นเข้มแข็งมั่นคงอีกประการหนึ่ง ดังนั้นในขณะที่ยังไม่เห็นช่องทางได้ชัยชนะจึงจำต้องคุมกำลังตั้งมั่นเอาไว้ก่อน
ในขณะเดียวกันนั้นกองทัพเมืองฮันต๋งก็ขยาดฝีมือนายทหารเอกของกองทัพเว่ย เห็นว่าหากรุกรบเข้าโจมตีก็ไม่อาจเอาชัยชนะแก่ฝีมือนายทหารเอกของกองทัพเว่ยได้โดยง่าย ดังนั้นกองทัพเมืองฮันต๋งจึงสั่งให้คุมกำลังตั้งมั่นอยู่ในด่านและในค่ายเช่นเดียวกัน
ทั้งสองฝ่ายตั้งยันกันอยู่ในลักษณะเช่นนี้ถึงห้าสิบวัน สายฝนต้นฤดูเริ่มโปรยปรายมา โจโฉรู้ดีว่าฤดูฝนกำลังมาถึง น้ำป่าจะหลากไหลให้ได้เวทนาแก่ทหาร ทั้งกองทัพเว่ยก็ไม่รู้สภาพภูมิประเทศว่าในป่านั้นถูกลักลอบตัดไม้ทำลายป่าไปมากน้อยเพียงไหน จึงเกรงว่าหากตั้งทัพยันกันอยู่ในลักษณะนี้น้ำป่าหลากมาแล้ว โคลนและท่อนซุงตลอดจนกิ่งไม้ที่ถูกตัดป่าจะไหลหลากท่วมทับทหารวายวอดสิ้นทั้งกองทัพ โจโฉจึงปรารภว่า “เรายกกองทัพมาครั้งนี้ทหารได้รับความลำบากนัก เห็นจะเอาเมืองฮันต๋งไม่ได้ จำจะยกกลับไปดีกว่า”
กาเซี่ยงได้ยินคำโจโฉดังนั้นจึงท้วงว่า กองทัพเรายกมาในครั้งนี้ยังไม่เคยทำศึกใหญ่กับกองทัพเมืองฮันต๋งเลย มีแต่การสู้รบประปรายเพียงสองครั้ง วุยก๋งจะรีบยกกองทัพกลับไปไย แม้ฤดูฝนใกล้จะมาถึงแต่ใช่ว่าฝนนั้นจะสร้างความลำบากให้แก่กองทัพเราฝ่ายเดียวก็หาไม่ กองทัพเมืองฮันต๋งก็ย่อมได้รับความลำบากดุจกัน อันกองทัพเราเคยตรากตรำกรำศึกตลอดมา มีความสามารถที่จะต้านทานความยากลำบากได้มากกว่ากองทัพเมืองฮันต๋ง ข้าพเจ้าเห็นว่าท่านจะได้ชัยชนะแก่กองทัพเมืองฮันต๋งเป็นมั่นคง ขอจงรั้งรออยู่ก่อนเถิด
โจโฉได้ยินคำกาเซี่ยงก็เอียงหน้ามากระซิบที่ข้างหูของกาเซี่ยงว่า “เราเห็นทหารเมืองฮันต๋งออกมาตั้งค่ายอยู่มิได้ประมาท เราว่าจะยกกองทัพกลับไปนั้นหวังจะให้กิตติศัพท์ทั้งนี้รู้ไปถึงข้าศึกจะได้คิดประมาทลง เราจึงแต่งทหารให้ยกอ้อมไปตีด่านเองเปงก๋วน ก็จะได้โดยง่าย”
แท้จริงการปรารภของโจโฉเป็นเพียงกลอุบายที่ต้องการทำให้กองทัพเมืองฮันต๋งตั้งอยู่ในความประมาท ซึ่งเป็นยุทโธบายที่ล้ำเลิศอย่างหนึ่งในพิชัยสงคราม เพราะหากข้าศึกคุมกำลังตั้งมั่นมิได้ประมาทตราบใด ก็ยากลำบากต่อการเข้าตี และการยกกำลังเข้าตีค่ายคูประตูหอรบของข้าศึกที่ตั้งมั่นอยู่นั้น ถือได้ว่าเป็นการบัญชาการทัพชั้นเลวที่สุด ดังนั้นยุทโธบายที่สำคัญอย่างหนึ่งในพิชัยสงครามคือต้องทำให้ข้าศึกตั้งอยู่ในความประมาท เพราะผู้ตั้งอยู่ในความประมาทก็คือผู้ตั้งอยู่ในความพ่ายแพ้แล้วนั่นเอง
กาเซี่ยงได้ยินเสียงที่โจโฉกระซิบจึงเอียงหน้ามากระซิบโจโฉบ้างว่า ยุทโธบายของท่านครั้งนี้วิเศษล้ำเลิศนักราวกับว่าเทพยดาเข้าดลใจ
โจโฉได้ยินคำยอก็มีความยินดี ส่ายศีรษะเป็นทีถ่อมตัวแล้วหันไปกล่าวกับบรรดาทหารทั้งปวงว่าฤดูฝนกำลังจะมาถึง เพื่อมิให้ทหารได้ความยากลำบากให้เตรียมการถอยทัพ จากนั้นจึงกล่าวกับเตียวคับและแฮหัวเอี๋ยนว่า เมื่อครั้งก่อนท่านทั้งสองทำความผิดเสียทีแก่ข้าศึก เราได้ยกโทษให้ครั้งหนึ่งแล้ว บัดนี้จะให้ไปทำการสำคัญเพื่อแก้ตัว หากครั้งนี้เสียทีอีกก็จะตัดศีรษะเสียมิให้เป็นเยี่ยงอย่างสืบไป
แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับได้ฟังดังนั้นจึงคำนับโจโฉแล้วว่า วุยก๋งมีการใดจะบัญชา ข้าพเจ้าทั้งสองก็พร้อมทำการให้สำเร็จดังประสงค์ แม้นผิดพลาดก็ให้วุยก๋งฆ่าเสียเถิด.