ตอนที่ 388. ศึกชิงภาคตะวันตก
เจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบ เดือนสี่ โจโฉจัดแจงแก้ไขปัญหาวิกฤตในราชสำนักเสร็จสิ้นแล้ว ก็ดำริที่จะยกกองทัพไปปราบซุนกวนและเล่าปี่ เพื่อรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่งตามปณิธานเดิม แต่ที่ปรึกษาได้ท้วงติงว่าอย่าเพ่อตัดสินใจ สมควรรอให้ขุนพลคนสำคัญคือโจหยินและแฮหัวตุ้นมาประชุมพร้อมกันก่อน โจโฉจึงสั่งทหารให้หมายเรียกตามตัวสองขุนพลใหญ่เข้ามาเมืองหลวง
ทั้งโจหยินและแฮหัวตุ้นได้รับหมายแจ้งจากโจโฉแล้ว ต่างคนต่างรีบเดินทางกลับคืนเมืองหลวงทั้งกลางวันและกลางคืน โดยโจหยินเดินทางถึงเมืองหลวงก่อน แล้วรีบเข้าไปหาโจโฉถึงที่ในจวน โดยถือวิสาสะว่าเป็นญาติสนิทของโจโฉ มีแซ่เดียวกัน และมีศักดิ์ตำแหน่งเป็นขุนนางฝ่ายทหารชั้นผู้ใหญ่
ในเวลานั้นโจโฉเสพสุราเมาหลับอยู่ข้างในจวน เคาทูนายทหารเอกคนสนิทเห็นโจโฉเมามายเช่นนั้นจึงไม่กลับไปที่พักตามปกติ แต่ถือทวนทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าหน้าห้องพักในจวนของโจโฉเสียเอง
เคาทูเห็นโจหยินถือกระบี่เข้าประตูจวนมาใกล้จะถึงที่ยืนรักษาการณ์อยู่ จึงสกัดกั้นมิให้โจหยินเข้าไปที่ข้างใน โดยแจ้งแก่โจหยินว่าเวลานี้ท่านอัครมหาเสนาบดีกำลังพักผ่อน สมควรที่ท่านจะรออยู่ที่ด้านนอกก่อนจึงจะควร
โจหยินเห็นเคาทูถือทวนออกสกัดขวางหน้าไว้ดังนั้นก็ไม่พอใจ ครั้นได้ยินคำของ เคาทูก็โกรธ จึงตวาดใส่เคาทูว่า “ตัวกูเป็นลูกหลานว่านเครือของมหาอุปราช ตัวเป็นแต่ทหาร เหตุใดจึงมาล่วงว่าห้ามกูฉะนี้”
เคาทูได้ยินโจหยินอ้างฐานะความเป็นลูกท่านหลานเธออวดเบ่งเอาซึ่งหน้าดังนั้นก็ข่มใจไว้ให้เป็นปกติ และตอบโจหยินด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “ท่านเป็นลูกหลานวุยก๋งก็จริง แต่วุยก๋งให้ท่านไปรักษาเมือง ตัวเราเป็นแต่ทหารรักษาวุยก๋งอยู่ข้างใน ท่านมาทางไกลจะละให้เข้าไปนั้นยังไม่ได้”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความตอนนี้ชัดเจนกว่าว่า “ท่านเจียงกุน (โจหยิน) แม้นจะเป็นญาติกัน (กับโจโฉ) แต่ท่านเป็นขุนนางปกครองหัวเมืองชั้นนอก ข้าโค้วซู่ (เคาทู) แม้นจะมิได้เป็นญาติกัน แต่ปัจจุบันได้รับการบรรจุเป็นผู้รับใช้ฝ่ายใน นายท่านเมาสุรานอนหลับอยู่ จึงมิกล้าให้ท่านเข้าไป”
ในขณะที่สองนายทหารกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น โจโฉแม้เมาสุราหลับอยู่แต่เพราะเป็นคนที่มากด้วยความหวาดระแวง ครั้นได้ยินเสียงอึกทึกก็สะดุ้งตื่น และนอนนิ่งฟังคำโต้เถียงของสองนายทหารอยู่โดยตลอด พลางนึกตำหนิโจหยินว่าเป็นญาติใกล้ชิดแต่ไม่คิดถึงขนบธรรมเนียมและความเหมาะสม ผิดกับเคาทูซึ่งแม้ไม่ใช่ญาติแต่ก็มีความสัตย์ซื่อมั่นคงในระเบียบวินัย ไม่คร้ามเกรงต่อผู้ใด โจโฉคำนึงดังนั้นแล้วจึงลุกขึ้นแต่งตัวแล้วเดินออกไปที่ด้านนอก
พอโจโฉเดินมาถึงที่หน้าประตูห้อง ก็พอดีที่แฮหัวตุ้นเดินทางมาถึงอีกคนหนึ่ง สามนายทหารเอกเห็นโจโฉเดินออกมาดังนั้นจึงพากันเข้าไปคำนับโจโฉ
โจโฉรับคำนับสามนายทหารด้วยความยินดี แล้วปรารภความซึ่งได้ปรึกษากับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งและเมืองเสฉวน ให้โจหยินและแฮหัวตุ้นฟังทุกประการ และถามว่าท่านจะมีความเห็นประการใด
แฮหัวตุ้นจึงว่าเมืองกังตั๋งนั้นอยู่แดนไกล มีทะเลขวางกั้นขัดสนนัก สมควรจะงดกองทัพไว้ก่อน ส่วนเมืองเสฉวนเล่าก็ทุรกันดาร และอยู่แดนไกลเช่นเดียวกัน ควรที่ท่านจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮันต๋งให้ได้เสียก่อน เมื่อได้เมืองฮันต๋งแล้วก็จะยกล่วงเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก
โจโฉได้ฟังข้อเสนอของแฮหัวตุ้นผิดแผกแตกต่างจากบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวง และนอกเหนือจากที่คาดคิดมาแต่ก่อน จึงไตร่ตรองพินิจพิเคราะห์อยู่เป็นครู่หนึ่ง สามนายทหารเห็นผู้เป็นนายยืนนิ่งใช้ความคิดเช่นนั้นจึงพากันนิ่งเงียบคอยฟังดำริของโจโฉ
โจโฉได้พิเคราะห์ข้อเสนอของแฮหัวตุ้นแล้วเห็นชอบกลเป็นที เพราะการที่จะยกไปตีเมืองกังตั๋งนั้นไม่เพียงลำบากขัดสนหนทางไกล ถึงแม้จะตีได้ก็ได้แต่หัวเมืองเดียว ถ้าหากยกไปตีเมืองฮันต๋งได้สำเร็จแล้วก็จะเป็นฐานกำลังในการยกกองทัพล่วงเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวนต่อไปด้วย ทั้งเห็นว่าเมืองฮันต๋งนั้นไม่เคยประจักษ์ฝีมือในการสงคราม ผิดกับเล่าปี่และซุนกวนซึ่งต่อฝีมือการศึกมายาวนานจึงอาจทำการด้านเมืองฮันต๋งได้สำเร็จโดยง่ายกว่า เมื่อได้เมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนแล้วเมืองกังตั๋งก็อาจยอมจำนนโดยไม่ต้องรบ
โจโฉไตร่ตรองดังนั้นแล้วจึงสรรเสริญความคิดของแฮหัวตุ้นเป็นอันมาก แล้วกล่าวตามประสาโจโฉว่าความคิดของท่านต้องด้วยความคิดของเรา เป็นอันว่าให้งดการศึกข้างเมืองกังตั๋งไว้ก่อน โดยจะยกไปตีเมืองฮันต๋งก่อน เมื่อได้เมืองฮันต๋งแล้วจึงยกล่วงไปตีเมืองเสฉวน และกำจัดซุนกวนเป็นที่สุด
ในวันรุ่งขึ้นโจโฉจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง แจ้งการตัดสินใจว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋ง ให้เกณฑ์ทหารเต็มอัตราศึกแล้วสั่งการแต่งตั้งให้แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเป็นกองทัพหน้า โจโฉเป็นกองทัพหลวง ส่วนโจหยินและแฮหัวตุ้นเป็นกองทัพหลัง ให้ทำหน้าที่คุมกองเสบียงสำหรับกองทัพด้วย
ครั้นเวลาฤกษ์ดีกองทัพแคว้นเว่ยก็กรีฑาทัพออกจากเมืองฮูโต๋ มุ่งหน้าไปแดนเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายหน่วยสอดแนมของเมืองฮันต๋งซึ่งทำหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารด้านเมืองฮูโต๋อย่างใกล้ชิดนั้น พอได้ทราบความว่าโจโฉตัดสินใจจะยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋งจึงรายงานข่าวให้เตียวล่อผู้เป็นเจ้าเมืองทราบ
เตียวล่อทราบข่าวแล้วจึงเรียกประชุมที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรึกษาความที่โจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้ว่าจะรับมือกับกองทัพของโจโฉประการใด
เตียวโอยซึ่งเป็นนายทหารเอกและเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่า “อันเมืองฮันต๋งนี้ก็เป็นที่คับขันอยู่แต่ด่านเองเปงก๋วน ถ้าเสียด่านนั้นแล้วเมืองฮันต๋งก็จะเสียด้วย แลหน้าด่านเองเปงก๋วนนั้นมีเนินเขาข้างหนึ่ง ป่าข้างหนึ่ง ขอให้แต่งทหารเป็นสองกองไปตั้งค่ายมั่นไว้คอยต้านทานกองทัพโจโฉจึงจะได้ ตัวท่านจงรักษาเมืองไว้ให้มั่นคง”
เตียวโอยผู้นี้สมเป็นเสนาธิการ เพราะสามารถล่วงรู้ยุทธภูมิและจุดยุทธศาสตร์ของเมืองฮันต๋งเป็นอย่างดี ว่าการที่ข้าศึกจากแคว้นเว่ยจะเข้าตีเมืองฮันต๋งได้นั้นจุดยุทธศาสตร์สำคัญคือด่านเองเปงก๋วน ซึ่งเป็นชัยภูมิสำคัญที่สามารถยันกองทัพของ โจโฉไว้ที่ยุทธภูมิแห่งนี้ได้ แต่ถ้าหากเสียด่านเองเปงก๋วนแล้วเมืองฮันต๋งก็จะเป็นอันตราย จึงเสนอให้ถือเอาด่านเองเปงก๋วนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการยันกองทัพของแคว้นเว่ย และกำหนดยุทธภูมิสองจุดทางด้านหน้าของด่านเองเปงก๋วน ซึ่งด้านหนึ่งภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและอีกด้านหนึ่งเป็นป่ารกชัฏและเสนอให้จัดกำลังทหารเป็นสองกองยกไปตั้งสกัดกองทัพโจโฉอยู่ที่ยุทธภูมิทั้งสองแห่ง ส่วนเตียวล่อให้รักษาเมืองฮันต๋งไว้ให้ปลอดภัย
เตียวล่อฟังข้อเสนอของเตียวโอยแล้วก็เห็นชอบ จึงแต่งตั้งให้เตียวโอย เอียว เหียม และเอียวหงง คุมทหารยกออกไปตั้งรับกองทัพโจโฉที่ด่านเองเปงก๋วนตามแผนการของเตียวโอยทุกประการ
สามนายทหารรับคำสั่งแล้วจึงคำนับลาเตียวล่อออกไปจัดแจงกองทัพ ถึงวันฤกษ์ดีก็กรีฑาทัพออกไปที่ด่านเองเปงก๋วน โดยกำหนดภาระหน้าที่ให้เตียวโอยทำหน้าที่รักษาด่าน เอียวเหียมและเอียวหงงคุมทหารคนละกองยกไปประจำยุทธภูมิทั้งสองแห่ง
เอียวเหียมและเอียวหงงคำนับลาเตียวโอยแล้วยกทหารออกไปเป็นระยะทางหกร้อยเส้น และตั้งประจำยุทธภูมิทั้งสองแห่งตามแผนการ โดยแต่ละกองตั้งค่ายรายกันไปทั้งสองข้างทาง ข้างละห้าร้อยค่าย และกำกับให้ทหารทั้งปวงระมัดระวังกวดขันรักษาค่ายให้มั่นคงเพื่อเตรียมรับมือกับกองทัพของโจโฉที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดนด่าน
ในขณะที่โจโฉยกกองทัพใหญ่ออกจากแคว้นเว่ยเพื่อทำสงครามเผด็จศึกชิงแคว้นตะวันตกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น หน่วยสอดแนมของเมืองเสฉวนได้ทราบข่าวศึก ทั้งทางด้านแคว้นเว่ยและทางด้านเมืองฮันต๋ง จึงรายงานความทั้งปวงให้เล่าปี่ทราบ
เล่าปี่ทราบความแล้วจึงเชิญขงเบ้งมาปรึกษา ปรารภว่าซึ่งโจโฉยกกองทัพใหญ่ไปตีเมืองฮันต๋งครั้งนี้ กุนซือจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
ขงเบ้งได้ฟังก็หัวเราะ ในมือขยับพัดขนนกโบกไปมาแล้วว่า ในภาคตะวันตกนี้ภูมิประเทศและสถานการณ์กำหนดให้เมืองฮันต๋งเป็นแคว้นที่จะต้องช่วงชิงกันระหว่างโจโฉกับท่าน ข้าพเจ้าได้คาดสถานการณ์ไว้นานแล้วว่าวันหนึ่งสงครามนี้จะต้องเกิด และบัดนี้สงครามนั้นก็เกิดแล้ว แต่ท่านอย่าปรารมภ์เลย ปล่อยให้โจโฉกับเตียวล่อทำสงครามกันให้อ่อนล้ากันไปทั้งสองฝ่ายแล้วจึงค่อยยกเข้าทำการต่อภายหลัง เมืองฮันต๋งจะตกได้แก่ท่านเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งหน่วยสอดแนมทั้งปวงให้ติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างแคว้นเว่ยกับเมืองฮันต๋งอย่างใกล้ชิด แล้วให้รายงานความให้ทราบทุกสถานการณ์
ทางด้านกองทัพของโจโฉได้เดินทัพรอนแรมมุ่งสู่เมืองฮันต๋งทั้งกลางวันและกลางคืน โดยแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเป็นกองทัพหน้า ยกล่วงเข้าถึงปลายแดนเมืองฮันต๋งก่อน
พอกองทัพหน้ายกเข้าไปใกล้ชายแดนด่านเองเปงก๋วน หน่วยสอดแนมก็นำความมารายงานให้แฮหัวเอี๋ยนทราบว่าบัดนี้เมืองฮันต๋งทราบข่าวศึกแล้วตั้งรับอยู่ที่ด่านเองเปงก๋วน
แฮหัวเอี๋ยนพอทราบว่าข้าศึกรู้ตัวแล้วก็ไม่กล้าผลีผลามยกล่วงเข้าไปใกล้ จึงสั่งให้ปลงทัพแล้วตั้งค่ายมั่นไว้เป็นลักษณะค่ายรายเรียงกันไปถึงร้อยห้าสิบเส้น พอตั้งค่ายเสร็จก็เป็นเวลาค่ำ ทหารของกองทัพหน้าจึงรีบหุงหาอาหาร กินเสร็จแล้วจึงหลับนอนด้วยความอ่อนเพลีย การกวดขันระมัดระวังเวรยามป้องกันรักษาค่ายจึงหย่อนยานไป
ในขณะที่กองทัพของแฮหัวเอี๋ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดนของด่าน หน่วยสอดแนมของเมืองฮันต๋งซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจึงนำความไปรายงานให้เอียวเหียมและเอียวหงงทราบ
สองนายทหารเมืองฮันต๋งพอทราบความก็มาปรึกษากันว่ากองทัพหน้าของแคว้นเว่ยยกล่วงมาถึงเมืองเราเป็นเวลาค่ำ คงเหนื่อยอ่อนหย่อนเวรยามเป็นมั่นคง ควรที่เราจะยกกองทัพเข้าปล้นค่ายของแคว้นเว่ยเสียในคืนนี้ เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย
เมื่อปรึกษากันแล้วสองนายทหารจึงสั่งให้ลดธงทิวของค่ายต่าง ๆ ทั่วทั้งสองยุทธภูมิ แล้วกำชับทหารทั้งปวงให้ซุ่มตัวนิ่งเงียบมิให้เป็นที่ระแวงระวังแก่กองทัพเว่ย และสั่งทหารให้หุงหาอาหารกินตั้งแต่ตอนบ่าย เตรียมพร้อมที่จะยกไปปล้นค่ายของกองทัพโจโฉในยามแรกของคืนนี้
ยามแรกผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยาม กองทหารของเอียวเหียมและเอียวหงงได้เคลื่อนกำลังออกจากสองยุทธภูมิที่ตั้งมั่นอยู่อย่างเงียบกริบ โดยอาศัยความชำนาญภูมิประเทศเข้าล้อมค่ายของกองทัพหน้าของแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับไว้จนหมดสิ้น
ครั้นการทั้งปวงพร้อมแล้วเอียวเหียมจึงสั่งให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น ทหารเมืองฮันต๋งซึ่งล้อมค่ายทหารของแคว้นเว่ยอยู่ ได้ระดมยิงธนูเพลิงเข้าไปพร้อมกันทุกด้าน เพลิงได้เผาผลาญค่ายทหารของโจโฉโชติช่วงสว่างดุจกลางวัน
ทหารของกองทัพเว่ยกำลังหลับใหล ครั้นถูกโจมตีก็ตกใจตื่นขึ้น ละล้าละลังไม่ทันสวมเสื้อเกราะและจับอาวุธก็เห็นแสงเพลิงเผาผลาญทุกค่าย และเห็นทหารของเมืองฮันต๋งจู่โจมเข้ามาทุกด้านเป็นชุลมุน ต่างคนต่างตกใจ พากันวิ่งหนีเอาตัวรอด
ทหารเมืองฮันต๋งรุกจู่โจมเข้าไปในค่ายของทหารโจโฉ แล้วฆ่าฟันทหารของแคว้นเว่ยบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก
ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับตกใจตื่นขึ้นเห็นทหารเมืองฮันต๋งจู่โจมเข้ามาใกล้ตัว และเพลิงก็เผาผลาญค่ายทุกหนแห่ง ทั้งทหารของแคว้นเว่ยก็แตกตื่นตกใจคุมกันไม่ติด จึงรีบขี่ม้าพาทหารที่ใกล้ชิดหนีออกจากค่าย ย้อนกลับไปทางกองทัพหลวง
ครั้นถึงกองทัพหลวงแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับจึงตรงเข้าไปคำนับโจโฉ รายงานความซึ่งเสียทีแก่กองทัพเมืองฮันต๋งให้โจโฉทราบทุกประการ และขอรับโทษตามพระอัยการศึก.
ทั้งโจหยินและแฮหัวตุ้นได้รับหมายแจ้งจากโจโฉแล้ว ต่างคนต่างรีบเดินทางกลับคืนเมืองหลวงทั้งกลางวันและกลางคืน โดยโจหยินเดินทางถึงเมืองหลวงก่อน แล้วรีบเข้าไปหาโจโฉถึงที่ในจวน โดยถือวิสาสะว่าเป็นญาติสนิทของโจโฉ มีแซ่เดียวกัน และมีศักดิ์ตำแหน่งเป็นขุนนางฝ่ายทหารชั้นผู้ใหญ่
ในเวลานั้นโจโฉเสพสุราเมาหลับอยู่ข้างในจวน เคาทูนายทหารเอกคนสนิทเห็นโจโฉเมามายเช่นนั้นจึงไม่กลับไปที่พักตามปกติ แต่ถือทวนทำหน้าที่เป็นยามเฝ้าหน้าห้องพักในจวนของโจโฉเสียเอง
เคาทูเห็นโจหยินถือกระบี่เข้าประตูจวนมาใกล้จะถึงที่ยืนรักษาการณ์อยู่ จึงสกัดกั้นมิให้โจหยินเข้าไปที่ข้างใน โดยแจ้งแก่โจหยินว่าเวลานี้ท่านอัครมหาเสนาบดีกำลังพักผ่อน สมควรที่ท่านจะรออยู่ที่ด้านนอกก่อนจึงจะควร
โจหยินเห็นเคาทูถือทวนออกสกัดขวางหน้าไว้ดังนั้นก็ไม่พอใจ ครั้นได้ยินคำของ เคาทูก็โกรธ จึงตวาดใส่เคาทูว่า “ตัวกูเป็นลูกหลานว่านเครือของมหาอุปราช ตัวเป็นแต่ทหาร เหตุใดจึงมาล่วงว่าห้ามกูฉะนี้”
เคาทูได้ยินโจหยินอ้างฐานะความเป็นลูกท่านหลานเธออวดเบ่งเอาซึ่งหน้าดังนั้นก็ข่มใจไว้ให้เป็นปกติ และตอบโจหยินด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า “ท่านเป็นลูกหลานวุยก๋งก็จริง แต่วุยก๋งให้ท่านไปรักษาเมือง ตัวเราเป็นแต่ทหารรักษาวุยก๋งอยู่ข้างใน ท่านมาทางไกลจะละให้เข้าไปนั้นยังไม่ได้”
สามก๊กฉบับสมบูรณ์ได้พรรณนาความตอนนี้ชัดเจนกว่าว่า “ท่านเจียงกุน (โจหยิน) แม้นจะเป็นญาติกัน (กับโจโฉ) แต่ท่านเป็นขุนนางปกครองหัวเมืองชั้นนอก ข้าโค้วซู่ (เคาทู) แม้นจะมิได้เป็นญาติกัน แต่ปัจจุบันได้รับการบรรจุเป็นผู้รับใช้ฝ่ายใน นายท่านเมาสุรานอนหลับอยู่ จึงมิกล้าให้ท่านเข้าไป”
ในขณะที่สองนายทหารกำลังโต้เถียงกันอยู่นั้น โจโฉแม้เมาสุราหลับอยู่แต่เพราะเป็นคนที่มากด้วยความหวาดระแวง ครั้นได้ยินเสียงอึกทึกก็สะดุ้งตื่น และนอนนิ่งฟังคำโต้เถียงของสองนายทหารอยู่โดยตลอด พลางนึกตำหนิโจหยินว่าเป็นญาติใกล้ชิดแต่ไม่คิดถึงขนบธรรมเนียมและความเหมาะสม ผิดกับเคาทูซึ่งแม้ไม่ใช่ญาติแต่ก็มีความสัตย์ซื่อมั่นคงในระเบียบวินัย ไม่คร้ามเกรงต่อผู้ใด โจโฉคำนึงดังนั้นแล้วจึงลุกขึ้นแต่งตัวแล้วเดินออกไปที่ด้านนอก
พอโจโฉเดินมาถึงที่หน้าประตูห้อง ก็พอดีที่แฮหัวตุ้นเดินทางมาถึงอีกคนหนึ่ง สามนายทหารเอกเห็นโจโฉเดินออกมาดังนั้นจึงพากันเข้าไปคำนับโจโฉ
โจโฉรับคำนับสามนายทหารด้วยความยินดี แล้วปรารภความซึ่งได้ปรึกษากับบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวงว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองกังตั๋งและเมืองเสฉวน ให้โจหยินและแฮหัวตุ้นฟังทุกประการ และถามว่าท่านจะมีความเห็นประการใด
แฮหัวตุ้นจึงว่าเมืองกังตั๋งนั้นอยู่แดนไกล มีทะเลขวางกั้นขัดสนนัก สมควรจะงดกองทัพไว้ก่อน ส่วนเมืองเสฉวนเล่าก็ทุรกันดาร และอยู่แดนไกลเช่นเดียวกัน ควรที่ท่านจะยกกองทัพไปตีเอาเมืองฮันต๋งให้ได้เสียก่อน เมื่อได้เมืองฮันต๋งแล้วก็จะยกล่วงเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวนได้โดยสะดวก
โจโฉได้ฟังข้อเสนอของแฮหัวตุ้นผิดแผกแตกต่างจากบรรดาที่ปรึกษาและขุนนางทั้งปวง และนอกเหนือจากที่คาดคิดมาแต่ก่อน จึงไตร่ตรองพินิจพิเคราะห์อยู่เป็นครู่หนึ่ง สามนายทหารเห็นผู้เป็นนายยืนนิ่งใช้ความคิดเช่นนั้นจึงพากันนิ่งเงียบคอยฟังดำริของโจโฉ
โจโฉได้พิเคราะห์ข้อเสนอของแฮหัวตุ้นแล้วเห็นชอบกลเป็นที เพราะการที่จะยกไปตีเมืองกังตั๋งนั้นไม่เพียงลำบากขัดสนหนทางไกล ถึงแม้จะตีได้ก็ได้แต่หัวเมืองเดียว ถ้าหากยกไปตีเมืองฮันต๋งได้สำเร็จแล้วก็จะเป็นฐานกำลังในการยกกองทัพล่วงเข้าไปตีเอาเมืองเสฉวนต่อไปด้วย ทั้งเห็นว่าเมืองฮันต๋งนั้นไม่เคยประจักษ์ฝีมือในการสงคราม ผิดกับเล่าปี่และซุนกวนซึ่งต่อฝีมือการศึกมายาวนานจึงอาจทำการด้านเมืองฮันต๋งได้สำเร็จโดยง่ายกว่า เมื่อได้เมืองฮันต๋งและเมืองเสฉวนแล้วเมืองกังตั๋งก็อาจยอมจำนนโดยไม่ต้องรบ
โจโฉไตร่ตรองดังนั้นแล้วจึงสรรเสริญความคิดของแฮหัวตุ้นเป็นอันมาก แล้วกล่าวตามประสาโจโฉว่าความคิดของท่านต้องด้วยความคิดของเรา เป็นอันว่าให้งดการศึกข้างเมืองกังตั๋งไว้ก่อน โดยจะยกไปตีเมืองฮันต๋งก่อน เมื่อได้เมืองฮันต๋งแล้วจึงยกล่วงไปตีเมืองเสฉวน และกำจัดซุนกวนเป็นที่สุด
ในวันรุ่งขึ้นโจโฉจึงเรียกประชุมบรรดาที่ปรึกษาและแม่ทัพนายกองทั้งปวง แจ้งการตัดสินใจว่าจะยกกองทัพไปตีเมืองฮันต๋ง ให้เกณฑ์ทหารเต็มอัตราศึกแล้วสั่งการแต่งตั้งให้แฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเป็นกองทัพหน้า โจโฉเป็นกองทัพหลวง ส่วนโจหยินและแฮหัวตุ้นเป็นกองทัพหลัง ให้ทำหน้าที่คุมกองเสบียงสำหรับกองทัพด้วย
ครั้นเวลาฤกษ์ดีกองทัพแคว้นเว่ยก็กรีฑาทัพออกจากเมืองฮูโต๋ มุ่งหน้าไปแดนเมืองฮันต๋ง
ฝ่ายหน่วยสอดแนมของเมืองฮันต๋งซึ่งทำหน้าที่ติดตามความเคลื่อนไหวและข่าวสารด้านเมืองฮูโต๋อย่างใกล้ชิดนั้น พอได้ทราบความว่าโจโฉตัดสินใจจะยกกองทัพมาตีเมืองฮันต๋งจึงรายงานข่าวให้เตียวล่อผู้เป็นเจ้าเมืองทราบ
เตียวล่อทราบข่าวแล้วจึงเรียกประชุมที่ปรึกษาแม่ทัพนายกองทั้งปวง ปรึกษาความที่โจโฉยกกองทัพมาครั้งนี้ว่าจะรับมือกับกองทัพของโจโฉประการใด
เตียวโอยซึ่งเป็นนายทหารเอกและเป็นที่ปรึกษาได้เสนอว่า “อันเมืองฮันต๋งนี้ก็เป็นที่คับขันอยู่แต่ด่านเองเปงก๋วน ถ้าเสียด่านนั้นแล้วเมืองฮันต๋งก็จะเสียด้วย แลหน้าด่านเองเปงก๋วนนั้นมีเนินเขาข้างหนึ่ง ป่าข้างหนึ่ง ขอให้แต่งทหารเป็นสองกองไปตั้งค่ายมั่นไว้คอยต้านทานกองทัพโจโฉจึงจะได้ ตัวท่านจงรักษาเมืองไว้ให้มั่นคง”
เตียวโอยผู้นี้สมเป็นเสนาธิการ เพราะสามารถล่วงรู้ยุทธภูมิและจุดยุทธศาสตร์ของเมืองฮันต๋งเป็นอย่างดี ว่าการที่ข้าศึกจากแคว้นเว่ยจะเข้าตีเมืองฮันต๋งได้นั้นจุดยุทธศาสตร์สำคัญคือด่านเองเปงก๋วน ซึ่งเป็นชัยภูมิสำคัญที่สามารถยันกองทัพของ โจโฉไว้ที่ยุทธภูมิแห่งนี้ได้ แต่ถ้าหากเสียด่านเองเปงก๋วนแล้วเมืองฮันต๋งก็จะเป็นอันตราย จึงเสนอให้ถือเอาด่านเองเปงก๋วนเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการยันกองทัพของแคว้นเว่ย และกำหนดยุทธภูมิสองจุดทางด้านหน้าของด่านเองเปงก๋วน ซึ่งด้านหนึ่งภูมิประเทศเป็นเทือกเขาและอีกด้านหนึ่งเป็นป่ารกชัฏและเสนอให้จัดกำลังทหารเป็นสองกองยกไปตั้งสกัดกองทัพโจโฉอยู่ที่ยุทธภูมิทั้งสองแห่ง ส่วนเตียวล่อให้รักษาเมืองฮันต๋งไว้ให้ปลอดภัย
เตียวล่อฟังข้อเสนอของเตียวโอยแล้วก็เห็นชอบ จึงแต่งตั้งให้เตียวโอย เอียว เหียม และเอียวหงง คุมทหารยกออกไปตั้งรับกองทัพโจโฉที่ด่านเองเปงก๋วนตามแผนการของเตียวโอยทุกประการ
สามนายทหารรับคำสั่งแล้วจึงคำนับลาเตียวล่อออกไปจัดแจงกองทัพ ถึงวันฤกษ์ดีก็กรีฑาทัพออกไปที่ด่านเองเปงก๋วน โดยกำหนดภาระหน้าที่ให้เตียวโอยทำหน้าที่รักษาด่าน เอียวเหียมและเอียวหงงคุมทหารคนละกองยกไปประจำยุทธภูมิทั้งสองแห่ง
เอียวเหียมและเอียวหงงคำนับลาเตียวโอยแล้วยกทหารออกไปเป็นระยะทางหกร้อยเส้น และตั้งประจำยุทธภูมิทั้งสองแห่งตามแผนการ โดยแต่ละกองตั้งค่ายรายกันไปทั้งสองข้างทาง ข้างละห้าร้อยค่าย และกำกับให้ทหารทั้งปวงระมัดระวังกวดขันรักษาค่ายให้มั่นคงเพื่อเตรียมรับมือกับกองทัพของโจโฉที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดนด่าน
ในขณะที่โจโฉยกกองทัพใหญ่ออกจากแคว้นเว่ยเพื่อทำสงครามเผด็จศึกชิงแคว้นตะวันตกอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดนั้น หน่วยสอดแนมของเมืองเสฉวนได้ทราบข่าวศึก ทั้งทางด้านแคว้นเว่ยและทางด้านเมืองฮันต๋ง จึงรายงานความทั้งปวงให้เล่าปี่ทราบ
เล่าปี่ทราบความแล้วจึงเชิญขงเบ้งมาปรึกษา ปรารภว่าซึ่งโจโฉยกกองทัพใหญ่ไปตีเมืองฮันต๋งครั้งนี้ กุนซือจะมีความคิดเห็นเป็นประการใด
ขงเบ้งได้ฟังก็หัวเราะ ในมือขยับพัดขนนกโบกไปมาแล้วว่า ในภาคตะวันตกนี้ภูมิประเทศและสถานการณ์กำหนดให้เมืองฮันต๋งเป็นแคว้นที่จะต้องช่วงชิงกันระหว่างโจโฉกับท่าน ข้าพเจ้าได้คาดสถานการณ์ไว้นานแล้วว่าวันหนึ่งสงครามนี้จะต้องเกิด และบัดนี้สงครามนั้นก็เกิดแล้ว แต่ท่านอย่าปรารมภ์เลย ปล่อยให้โจโฉกับเตียวล่อทำสงครามกันให้อ่อนล้ากันไปทั้งสองฝ่ายแล้วจึงค่อยยกเข้าทำการต่อภายหลัง เมืองฮันต๋งจะตกได้แก่ท่านเป็นมั่นคง
เล่าปี่ได้ฟังดังนั้นก็เห็นด้วย จึงสั่งหน่วยสอดแนมทั้งปวงให้ติดตามสถานการณ์สงครามระหว่างแคว้นเว่ยกับเมืองฮันต๋งอย่างใกล้ชิด แล้วให้รายงานความให้ทราบทุกสถานการณ์
ทางด้านกองทัพของโจโฉได้เดินทัพรอนแรมมุ่งสู่เมืองฮันต๋งทั้งกลางวันและกลางคืน โดยแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับเป็นกองทัพหน้า ยกล่วงเข้าถึงปลายแดนเมืองฮันต๋งก่อน
พอกองทัพหน้ายกเข้าไปใกล้ชายแดนด่านเองเปงก๋วน หน่วยสอดแนมก็นำความมารายงานให้แฮหัวเอี๋ยนทราบว่าบัดนี้เมืองฮันต๋งทราบข่าวศึกแล้วตั้งรับอยู่ที่ด่านเองเปงก๋วน
แฮหัวเอี๋ยนพอทราบว่าข้าศึกรู้ตัวแล้วก็ไม่กล้าผลีผลามยกล่วงเข้าไปใกล้ จึงสั่งให้ปลงทัพแล้วตั้งค่ายมั่นไว้เป็นลักษณะค่ายรายเรียงกันไปถึงร้อยห้าสิบเส้น พอตั้งค่ายเสร็จก็เป็นเวลาค่ำ ทหารของกองทัพหน้าจึงรีบหุงหาอาหาร กินเสร็จแล้วจึงหลับนอนด้วยความอ่อนเพลีย การกวดขันระมัดระวังเวรยามป้องกันรักษาค่ายจึงหย่อนยานไป
ในขณะที่กองทัพของแฮหัวเอี๋ยนเคลื่อนเข้ามาใกล้ชายแดนของด่าน หน่วยสอดแนมของเมืองฮันต๋งซึ่งติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดจึงนำความไปรายงานให้เอียวเหียมและเอียวหงงทราบ
สองนายทหารเมืองฮันต๋งพอทราบความก็มาปรึกษากันว่ากองทัพหน้าของแคว้นเว่ยยกล่วงมาถึงเมืองเราเป็นเวลาค่ำ คงเหนื่อยอ่อนหย่อนเวรยามเป็นมั่นคง ควรที่เราจะยกกองทัพเข้าปล้นค่ายของแคว้นเว่ยเสียในคืนนี้ เห็นจะได้ชัยชนะโดยง่าย
เมื่อปรึกษากันแล้วสองนายทหารจึงสั่งให้ลดธงทิวของค่ายต่าง ๆ ทั่วทั้งสองยุทธภูมิ แล้วกำชับทหารทั้งปวงให้ซุ่มตัวนิ่งเงียบมิให้เป็นที่ระแวงระวังแก่กองทัพเว่ย และสั่งทหารให้หุงหาอาหารกินตั้งแต่ตอนบ่าย เตรียมพร้อมที่จะยกไปปล้นค่ายของกองทัพโจโฉในยามแรกของคืนนี้
ยามแรกผ่านพ้นไปครึ่งชั่วยาม กองทหารของเอียวเหียมและเอียวหงงได้เคลื่อนกำลังออกจากสองยุทธภูมิที่ตั้งมั่นอยู่อย่างเงียบกริบ โดยอาศัยความชำนาญภูมิประเทศเข้าล้อมค่ายของกองทัพหน้าของแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับไว้จนหมดสิ้น
ครั้นการทั้งปวงพร้อมแล้วเอียวเหียมจึงสั่งให้จุดประทัดสัญญาณขึ้น ทหารเมืองฮันต๋งซึ่งล้อมค่ายทหารของแคว้นเว่ยอยู่ ได้ระดมยิงธนูเพลิงเข้าไปพร้อมกันทุกด้าน เพลิงได้เผาผลาญค่ายทหารของโจโฉโชติช่วงสว่างดุจกลางวัน
ทหารของกองทัพเว่ยกำลังหลับใหล ครั้นถูกโจมตีก็ตกใจตื่นขึ้น ละล้าละลังไม่ทันสวมเสื้อเกราะและจับอาวุธก็เห็นแสงเพลิงเผาผลาญทุกค่าย และเห็นทหารของเมืองฮันต๋งจู่โจมเข้ามาทุกด้านเป็นชุลมุน ต่างคนต่างตกใจ พากันวิ่งหนีเอาตัวรอด
ทหารเมืองฮันต๋งรุกจู่โจมเข้าไปในค่ายของทหารโจโฉ แล้วฆ่าฟันทหารของแคว้นเว่ยบาดเจ็บล้มตายเป็นอันมาก
ฝ่ายแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับตกใจตื่นขึ้นเห็นทหารเมืองฮันต๋งจู่โจมเข้ามาใกล้ตัว และเพลิงก็เผาผลาญค่ายทุกหนแห่ง ทั้งทหารของแคว้นเว่ยก็แตกตื่นตกใจคุมกันไม่ติด จึงรีบขี่ม้าพาทหารที่ใกล้ชิดหนีออกจากค่าย ย้อนกลับไปทางกองทัพหลวง
ครั้นถึงกองทัพหลวงแฮหัวเอี๋ยนและเตียวคับจึงตรงเข้าไปคำนับโจโฉ รายงานความซึ่งเสียทีแก่กองทัพเมืองฮันต๋งให้โจโฉทราบทุกประการ และขอรับโทษตามพระอัยการศึก.