ตอนที่ 387. สตรีกับการเมือง
เจี้ยนอันศกปีที่สิบเก้า เดือนอ้าย สถานการณ์ทางการเมืองในราชสำนักฮั่นอันเกิดแต่การที่สตรีเข้าแทรกแซงยุ่งเกี่ยวการปกครองบ้านเมืองเข้าสู่ขั้นวิกฤต โจโฉจับพยานหลักฐานได้ว่าพระมเหสีฮกเฮาคบคิดกับฮกอ้วนผู้บิดาให้วางแผนสังหารตน จึงให้ทหารคนสนิทไปจับกุมพระมเหสีฮกเฮา ฮกอ้วน และญาติพี่น้อง ตลอดจนสมัครพรรคพวกไว้ทั้งสิ้น
พระนางฮกเฮากราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ในขณะที่ยังทรงกันแสงว่า “อันชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้เห็นจะไม่รอดแล้ว” พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตรัสตอบด้วยพระอารมณ์โศกเศร้าอาดูรว่า “ทั้งนี้ก็เพราะเวรกรรมของเรา อย่าว่าแต่ตัวเจ้าจะถึงซึ่งความตายเลย อันชีวิตของเรานี้ก็ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด”
ฮัวหิมนั้นหะแรกเกรงพระบารมีจึงไม่กล้าขัดขวางพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ครั้นเห็นพระกิริยาอาการของทั้งสองพระองค์ ตลอดจนคำตรัสแล้วก็คิดว่าจะทำให้บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงซึ่งมีปกติมักสงสารแก่ผู้ทุกข์ยากเกิดความโกรธแค้นชิงชังต่อโจโฉ จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังคล้ายกับการตวาดว่า วุยก๋งสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้ามาคุมตัวนางฮกเฮาออกไป เหตุไฉนพระองค์จึงกันแสงหน่วงเหนี่ยวให้เนิ่นช้าอยู่นี้ โทษก็จะมีแก่ข้าพระพุทธเจ้า
ฮัวหิมเรียกชื่อของพระมเหสีว่าฮกเฮาเพราะถือว่าในพลันที่ได้ยึดตราสำหรับที่พระมเหสีแล้ว พระนางฮกเฮาก็ถูกถอดถอนพ้นจากตำแหน่งพระมเหสีลงเป็นชนสามัญ ครั้นกล่าวสิ้นความจึงสั่งทหารให้ลากเอาตัวพระนางฮกเฮาออกไปจากท้องพระโรง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ถูกพรากพระมเหสีออกไปจากอ้อมพระอุระก็ยิ่งโศกเศร้า ทรงกันแสงคร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนาเป็นอันมาก ในขณะนั้นทรงทอดพระเนตรเห็นเอ๊กสีซึ่งโจโฉสั่งให้มายึดตราสำหรับที่พระมเหสี นำตราสำคัญไปมอบแก่โจโฉแล้วเดินกลับเข้ามาในท้องพระโรง และมายืนอยู่ในที่เฝ้าตามตำแหน่ง จึงมีกระแสพระราชดำรัสกับเอ๊กสีว่า “เอ๊กสีบ้านเมืองแต่ก่อนมาเกิดเหตุฉะนี้ท่านยังพบเห็นบ้างหรือ”
เอ๊กสีไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะมีกระแสพระราชดำรัสกับตัวก็ตกตะลึง ครั้นได้ยินกระแสพระราชดำรัสแล้วก็มิรู้ที่จะตอบความประการใด พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเห็นเอ๊กสีอยู่ในอาการดังนั้นจึงทอดพระเนตรไปยังบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงซึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งที่เฝ้า เห็นทุกคนยืนก้มหน้านิ่งก็เสียพระทัย ทรงกันแสงเสียงดังก้องท้องพระโรงจนสิ้นพระสติสลบไปในที่นั้น
เอ๊กสีเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ขันทีทั้งปวงช่วยกันพยุงพระเจ้าเหี้ยนเต้เข้าไปที่ข้างในแล้วช่วยกันแก้ไขจนฟื้นคืนพระสติ
ทางฝ่ายฮัวหิมครั้นคุมตัวพระมเหสีฮกเฮาไปถึงจวนที่ว่าราชการของโจโฉแล้ว จึงรายงานความให้โจโฉทราบทุกประการ
โจโฉหันหน้ามาทางพระมเหสีแล้วตวาดว่า “ตัวกูอุตส่าห์คิดอ่านปราบปรามเสี้ยนหนามให้ราบคาบทั้งแผ่นดิน ตัวมึงจึงค่อยมีความสุข มึงมิรู้คุณกลับทรยศคบคิดกับบิดา มึงจะทำร้ายกู ครั้นจะเอามึงไว้นานไปมึงก็จะฆ่ากูเสีย”
พระนางฮกเฮาได้ฟังคำโจโฉก็ยิ่งตกพระทัย มิรู้ที่จะตรัสประการใด โจโฉจึงสั่งทหารให้คุมตัวพระนางฮกเฮาไปประหารชีวิต ซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า วิธีการประหารชีวิตพระนางฮกเฮาในครั้งนั้นกระทำโดย “ให้ทหารเอาตะบองตีนางฮกเฮาถึงแก่ความตาย” ซึ่งคล้ายกับการลงโทษประหารของราชสำนักไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่สำเร็จโทษเชื้อพระวงศ์ด้วยการทุบด้วยท่อนจันทน์
หลังจากสั่งประหารพระนางฮกเฮาแล้ว โจโฉจึงสั่งทหารให้ไปจับตัวพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ของพระนางฮกเฮาที่ประสูติแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้เอาไปประหารชีวิตเสียด้วยวิธีการเดียวกัน
ครั้นเวลากลางคืนโจโฉจึงสั่งให้คุมตัวฮกอ้วน บอกสุ้น พร้อมบุตรภรรยา ข้าทาสบริวารและสมัครพรรคพวกประมาณสองร้อยคนเอาไปประหารที่ลานประหารในเมืองหลวงเสียทั้งสิ้น
วิกฤตการณ์ทางการเมืองในราชสำนักครั้งนี้จะพิจารณาว่าราชสำนักเป็นฝ่ายผิดก็ไม่ถนัดนัก เพราะการกระทำของโจโฉนั้นล่วงละเมิดพระราชอำนาจ และมีพฤติกรรมทางพฤตินัยที่ชิงอำนาจของฮ่องเต้อยู่แล้ว ดังนี้ราชสำนักจึงมีความชอบธรรมที่จะคิดกำจัดโจโฉเสีย แต่ครั้นจะพิจารณาว่าโจโฉเป็นฝ่ายผิดก็ไม่ถนัดเช่นเดียวกัน เพราะโจโฉนั้นเป็นถึงเอกอัครมหาเสนาบดี มีอิสริยยศเป็นที่เจ้าพระยา สำเร็จราชการแผ่นดิน ครองอำนาจทั้งทางการเมือง การทหารไว้เบ็ดเสร็จ ย่อมมีวิสัยของปุถุชนที่รู้เจ็บ รู้แค้น รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ร้อน รู้หนาว รู้หวงแหนติดยึดในอำนาจวาสนาซึ่งเหมือนกันทุกผู้คน การที่พระมเหสีฮกเฮาคิดอ่านแผนการสังหารโจโฉ โจโฉก็มีความชอบธรรมที่จะตอบโต้โดยเสมอกัน ดังนั้นหากจะพิจารณาความผิดก็เป็นความผิดของพระมเหสีฮกเฮาโดยแท้ เพราะพระนางล่วงละเมิดกฎมณเฑียรบาลแห่งราชสำนักฮั่น ซึ่งห้ามมิให้สตรีเข้ายุ่งเกี่ยวการบ้านเมือง การที่พระมเหสีเข้าแทรกแซงกิจการบ้านเมืองในการให้คุณให้โทษแก่ขุนนางข้าราชการ เลยเถิดไปถึงการวางแผนสังหารเอกอัครมหาเสนาบดี นับเป็นการก่อกรรมชนิดหนึ่งซึ่งกรรมนั้นย่อมมีวิบากสนองแก่พระนาง เป็นแต่ว่าวิบากกรรมได้สนองแก่พระนางทันตาเห็นเท่านั้น
และเหตุการณ์เช่นนี้มิใช่ว่าในอดีตไม่เคยเกิดขึ้น หากเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยพระเจ้าฮั่นโกโจปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น ที่พระมเหสีลิเฮาเข้าก้าวก่ายแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งในด้านการแต่งตั้ง โยกย้ายงานด้านบุคคล การสร้างเครือข่ายกองกำลัง ตลอดจนกิจการต่าง ๆ ของบ้านเมือง และมีวิบากกรรมที่พระนางและญาติพี่น้องต้องถูกประหารชีวิตจนหมดสิ้น
ในสมัยราชวงศ์ชิงก็มีปรากฏการณ์ที่พระมเหสีทรงประกอบกรรมอย่างเดียวกัน และทรงเสวยกรรมอย่างเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน เว้นก็แต่เมื่อครั้งพระนางซูสีไทเฮาเท่านั้นที่ทรงเข้าแทรกแซงการบริหารบ้านเมือง ถึงขนาดประพฤติฝ่ากฎมณเทียรบาลว่าราชการหลังม่าน และล่วงเลยไปถึงการควบคุมราชการบ้านเมืองไว้ในอุ้งหัตถ์ของพระนางทั้งสิ้น วิบากกรรมครั้งนั้นทำให้พระนางไร้เชื้อสายสืบทอดสกุล และเป็นวิบากกรรมที่ทำให้ประเทศจีนและประชาชนจีนต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของนักล่าอาณานิคมตะวันตก ประชาชนจีนทั้งประเทศต้องประสบชะตากรรมที่ยากแค้นแสนเข็ญ แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศจีนเป็นระบอบสาธารณรัฐในเวลาต่อมา
เพราะเหตุนี้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงกำหนดกฎกติกาว่า ห้ามมิให้สตรีเข้าแทรกแซงยุ่งเกี่ยวการบริหารราชการแผ่นดิน แม้กระนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถสกัดกั้นปรากฏการณ์เช่นนั้นได้ เจียงชิงภริยาของประธานเหมาเจ๋อตงได้จัดตั้งกลุ่มแก๊งสี่คนและเข้าแทรกแซงควบคุมการบริหารพรรค รัฐ และกองทัพ ในขณะที่เหมาเจ๋อตงกำลังป่วยหนัก และเป็นวิบากกรรมให้ต้องมีการยึดอำนาจภายในเพื่อกำจัดแก๊งสี่คนและฟื้นฟูประเทศใหม่
หลังเหตุการณ์ของเจียงชิงแล้ว ปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมไม่สิ้นไปจากโลก และวิบากกรรมนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ที่น่าสยดสยองสืบไปโดยมิพักต้องสงสัย คงเหลือแต่ว่าใครใดจะเข้าใจถ่องแท้ถึงกฎแห่งกรรมและวิบากแห่งกรรมที่ไม่เคยผันแปรได้หรือไม่เท่านั้น
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้หลังจากพระมเหสีฮกเฮาและพระราชบุตรทั้งสองถูกโจโฉสำเร็จโทษหมดสิ้นแล้ว ก็ทรงโศกเศร้ารำพึงรำพันถึงพระมเหสีและพระราชบุตรทุกวันเวลา ไม่เป็นอันเสวยและบรรทม จนทรงพระประชวร
โจโฉแจ้งเหตุดังนั้นก็คิดว่าอันชีวิตของเรานี้ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวาสนาครองตำแหน่งยศศักดิ์อัครฐานถึงปานนี้ จึงตั้งใจมาแต่เริ่มตั้งตัวว่าหากแม้นมีอำนาจวาสนาขึ้นเมื่อใดก็จะถืออำนาจนั้นอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ มาบัดนี้อำนาจสิทธิขาดในแผ่นดินก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเราสิ้น จะล้มราชบัลลังก์ยึดเอาราชสมบัติเสียเมื่อใดก็ได้ แต่ผู้คนทั้งแผ่นดินก็จะตราหน้าเป็นตราบาปในตัวเราไปตลอดชั่วกัลปาวสาน ดังนั้นจึงควรที่จะดำเนินการตามแนวทางการเมืองที่ได้ตกลงใจมาแต่เดิม ก็แลบัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ยังคงมีฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ และครองความเป็นโสดอยู่ หากได้ครองคู่กับลูกสาวของเราแล้ว อำนาจราชศักดิ์ทั้งปวงของเราแม้มิใช่ฐานะเจ้าก็จะเหมือนหนึ่งเป็นเจ้า และยังจะเหนือกว่าเจ้าและฮ่องเต้ด้วยซ้ำไป
โจโฉคิดดังนั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ถึงพระตำหนักที่ประทับ ถวายบังคมตามประเพณีแล้วจึงกราบทูลว่า “พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย อันตัวข้าพเจ้านี้แต่แรกก็ทูลไว้ว่าจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ซึ่งผู้ผิดนั้นก็ให้ทำตามโทษ ข้าพเจ้ามิได้คิดเป็นสองใจ คิดอยู่แต่ว่าจะทำนุบำรุงพระองค์ไปโดยสุจริต ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงอยู่คนหนึ่ง เฉลียวฉลาด ทั้งน้ำใจก็ดีสัตย์ซื่อ ข้าพเจ้าจะถวายพระองค์”
คำกราบบังคมทูลของโจโฉดังกล่าวนี้ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เห็นว่าเป็นคำกล่าวจากใจจริง และยกเป็นหลักฐานยกย่องสดุดีโจโฉเป็นอันมาก โดยเฉพาะในประการที่โจโฉเป็นผู้จำแนกแจกแจงผิดชอบชั่วดีได้กระจ่าง ในขณะที่สามก๊กฉบับวิจารณ์หลายฉบับและข้อวิจารณ์ของชมรมนักอ่านสามก๊กในหลายประเทศ ได้ระบุตรงกันว่าคำกราบบังคมทูลครั้งนี้ไม่ต่างอันใดกับคำกล่าวของโจโฉในสถานการณ์สงคราม และสถานการณ์อื่น ๆ คือกล่าวเพื่อให้มีเนื้อหาที่สวยหรูดูว่าตั้งอยู่ในธรรม และสมเหตุสมผลเท่านั้น เพราะเนื้อหาที่แท้จริงก็คือต้องการผูกดองเป็นญาติวงศ์กับพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพิ่มพูนยศถาศักดิ์ให้โจโฉเป็นพ่อตาของฮ่องเต้ และบุตรีก็จะมีฐานะเป็นพระมเหสีต่อไป
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงฟังคำกราบบังคมทูลของโจโฉแล้วก็ทรงทราบความหมายอันเป็นนัยยะที่แท้จริง แต่ฐานะของพระองค์ในขณะนี้มีหรือจะตรัสเป็นประการอื่นได้ ไม่ว่าจะต้องพระทัยหรือไม่ต้องพระทัยก็ตาม อัธยาศัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ทรงประพฤติพระองค์เป็นต้นอ้อลู่ลมเสมอมา ดังนั้นจึงทรงรับข้อเสนอของโจโฉแต่โดยดี และรับสั่งให้โจโฉหาฤกษ์ดีเพื่อจัดการพระราชพิธีอภิเษกสมรสตามประเพณีต่อไป
เจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบ เดือนสาม เป็นปีที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสด็จมาประทับที่เมืองฮูโต๋ครบยี่สิบปี และเป็นวันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ โจโฉเห็นเป็นฤกษ์ดีจึงได้จัดแจงแต่งการพระราชพิธีถวายตามรับสั่ง และส่งบุตรหญิงเข้าไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้สถาปนาบุตรีของโจโฉเป็นที่พระมเหสีแทนที่ตำแหน่งของพระนางฮกเฮา และนับแต่นั้นมาโจโฉก็มีฐานะเป็นพ่อตาของฮ่องเต้ เกี่ยวดองเข้าเป็นญาติวงศ์ของพระมหากษัตริย์ กอปรด้วยอิสริยยศและอิสริยศักดิ์เป็นอันมาก จะเป็นรองก็แต่ฮ่องเต้พระองค์เดียวเท่านั้น โดยไม่รวมถึงอำนาจรัฐที่โจโฉครองอยู่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกฐานะหนึ่ง ดังนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงจึงเกรงกลัวโจโฉ และยอมอยู่ในอำนาจจนหมดสิ้น โจโฉจะทำการสิ่งใดก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าท้วงติงทัดทานอีกต่อไป อำนาจวาสนาดังนี้จึงทำให้โจโฉมีน้ำใจกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก
ครั้นโจโฉจัดแจงแก้ไขปัญหาทางการเมืองในราชสำนักเสร็จสิ้นแล้ว ก็หมดห่วงปัญหาการในเมืองหลวง และเริ่มคิดถึงการรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง จึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาขุนนางข้าราชการและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาปรึกษาพร้อมกัน แล้วปรารภว่าเวลาบัดนี้ในเมืองหลวงมีความสงบสุขสันติ มีเสถียรภาพ ทั้งได้ทำนุบำรุงทแกล้วทหารและเสบียงกรังจนพร้อมบริบูรณ์แล้ว จึงดำริที่จะยกกองทัพไปปราบปรามเล่าปี่และซุนกวนเพื่อรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
กาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาฟังปรารภดังนั้นแล้วจึงเสนอว่าการทำศึกกับเมืองกังตั๋งและเมืองเสฉวนเป็นการใหญ่ เวลานี้แฮหัวตุ้นและโจหยินออกไปรักษาเมืองอยู่ข้างนอกมิได้ร่วมปรึกษาหารือด้วย ดังนั้นจึงสมควรที่จะเรียกโจหยินและแฮหัวตุ้นเข้ามาร่วมปรึกษาหารือก็จะเป็นประโยชน์แก่ราชการสงคราม
โจโฉได้ฟังคำติงของกาเซี่ยงดังนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าสองขุนพลคนสำคัญคือโจหยินและแฮหัวตุ้นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ไม่ชอบที่จะปรึกษาการสงครามในขณะที่บรรดาแม่ทัพนายกองยังไม่พร้อม จึงสั่งทหารให้ออกหมายเรียกตัวโจหยินและแฮหัวตุ้นมาเมืองหลวงโดยด่วน.
พระนางฮกเฮากราบบังคมทูลพระเจ้าเหี้ยนเต้ในขณะที่ยังทรงกันแสงว่า “อันชีวิตข้าพเจ้าครั้งนี้เห็นจะไม่รอดแล้ว” พระเจ้าเหี้ยนเต้ก็ตรัสตอบด้วยพระอารมณ์โศกเศร้าอาดูรว่า “ทั้งนี้ก็เพราะเวรกรรมของเรา อย่าว่าแต่ตัวเจ้าจะถึงซึ่งความตายเลย อันชีวิตของเรานี้ก็ไม่รู้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อใด”
ฮัวหิมนั้นหะแรกเกรงพระบารมีจึงไม่กล้าขัดขวางพระเจ้าเหี้ยนเต้ แต่ครั้นเห็นพระกิริยาอาการของทั้งสองพระองค์ ตลอดจนคำตรัสแล้วก็คิดว่าจะทำให้บรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงซึ่งมีปกติมักสงสารแก่ผู้ทุกข์ยากเกิดความโกรธแค้นชิงชังต่อโจโฉ จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงอันดังคล้ายกับการตวาดว่า วุยก๋งสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้ามาคุมตัวนางฮกเฮาออกไป เหตุไฉนพระองค์จึงกันแสงหน่วงเหนี่ยวให้เนิ่นช้าอยู่นี้ โทษก็จะมีแก่ข้าพระพุทธเจ้า
ฮัวหิมเรียกชื่อของพระมเหสีว่าฮกเฮาเพราะถือว่าในพลันที่ได้ยึดตราสำหรับที่พระมเหสีแล้ว พระนางฮกเฮาก็ถูกถอดถอนพ้นจากตำแหน่งพระมเหสีลงเป็นชนสามัญ ครั้นกล่าวสิ้นความจึงสั่งทหารให้ลากเอาตัวพระนางฮกเฮาออกไปจากท้องพระโรง
พระเจ้าเหี้ยนเต้ถูกพรากพระมเหสีออกไปจากอ้อมพระอุระก็ยิ่งโศกเศร้า ทรงกันแสงคร่ำครวญเป็นที่น่าเวทนาเป็นอันมาก ในขณะนั้นทรงทอดพระเนตรเห็นเอ๊กสีซึ่งโจโฉสั่งให้มายึดตราสำหรับที่พระมเหสี นำตราสำคัญไปมอบแก่โจโฉแล้วเดินกลับเข้ามาในท้องพระโรง และมายืนอยู่ในที่เฝ้าตามตำแหน่ง จึงมีกระแสพระราชดำรัสกับเอ๊กสีว่า “เอ๊กสีบ้านเมืองแต่ก่อนมาเกิดเหตุฉะนี้ท่านยังพบเห็นบ้างหรือ”
เอ๊กสีไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะมีกระแสพระราชดำรัสกับตัวก็ตกตะลึง ครั้นได้ยินกระแสพระราชดำรัสแล้วก็มิรู้ที่จะตอบความประการใด พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงเห็นเอ๊กสีอยู่ในอาการดังนั้นจึงทอดพระเนตรไปยังบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงซึ่งยืนอยู่ในตำแหน่งที่เฝ้า เห็นทุกคนยืนก้มหน้านิ่งก็เสียพระทัย ทรงกันแสงเสียงดังก้องท้องพระโรงจนสิ้นพระสติสลบไปในที่นั้น
เอ๊กสีเห็นดังนั้นจึงสั่งให้ขันทีทั้งปวงช่วยกันพยุงพระเจ้าเหี้ยนเต้เข้าไปที่ข้างในแล้วช่วยกันแก้ไขจนฟื้นคืนพระสติ
ทางฝ่ายฮัวหิมครั้นคุมตัวพระมเหสีฮกเฮาไปถึงจวนที่ว่าราชการของโจโฉแล้ว จึงรายงานความให้โจโฉทราบทุกประการ
โจโฉหันหน้ามาทางพระมเหสีแล้วตวาดว่า “ตัวกูอุตส่าห์คิดอ่านปราบปรามเสี้ยนหนามให้ราบคาบทั้งแผ่นดิน ตัวมึงจึงค่อยมีความสุข มึงมิรู้คุณกลับทรยศคบคิดกับบิดา มึงจะทำร้ายกู ครั้นจะเอามึงไว้นานไปมึงก็จะฆ่ากูเสีย”
พระนางฮกเฮาได้ฟังคำโจโฉก็ยิ่งตกพระทัย มิรู้ที่จะตรัสประการใด โจโฉจึงสั่งทหารให้คุมตัวพระนางฮกเฮาไปประหารชีวิต ซึ่งสามก๊กฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ระบุว่า วิธีการประหารชีวิตพระนางฮกเฮาในครั้งนั้นกระทำโดย “ให้ทหารเอาตะบองตีนางฮกเฮาถึงแก่ความตาย” ซึ่งคล้ายกับการลงโทษประหารของราชสำนักไทยในสมัยกรุงศรีอยุธยาที่สำเร็จโทษเชื้อพระวงศ์ด้วยการทุบด้วยท่อนจันทน์
หลังจากสั่งประหารพระนางฮกเฮาแล้ว โจโฉจึงสั่งทหารให้ไปจับตัวพระราชบุตรทั้งสองพระองค์ของพระนางฮกเฮาที่ประสูติแต่พระเจ้าเหี้ยนเต้เอาไปประหารชีวิตเสียด้วยวิธีการเดียวกัน
ครั้นเวลากลางคืนโจโฉจึงสั่งให้คุมตัวฮกอ้วน บอกสุ้น พร้อมบุตรภรรยา ข้าทาสบริวารและสมัครพรรคพวกประมาณสองร้อยคนเอาไปประหารที่ลานประหารในเมืองหลวงเสียทั้งสิ้น
วิกฤตการณ์ทางการเมืองในราชสำนักครั้งนี้จะพิจารณาว่าราชสำนักเป็นฝ่ายผิดก็ไม่ถนัดนัก เพราะการกระทำของโจโฉนั้นล่วงละเมิดพระราชอำนาจ และมีพฤติกรรมทางพฤตินัยที่ชิงอำนาจของฮ่องเต้อยู่แล้ว ดังนี้ราชสำนักจึงมีความชอบธรรมที่จะคิดกำจัดโจโฉเสีย แต่ครั้นจะพิจารณาว่าโจโฉเป็นฝ่ายผิดก็ไม่ถนัดเช่นเดียวกัน เพราะโจโฉนั้นเป็นถึงเอกอัครมหาเสนาบดี มีอิสริยยศเป็นที่เจ้าพระยา สำเร็จราชการแผ่นดิน ครองอำนาจทั้งทางการเมือง การทหารไว้เบ็ดเสร็จ ย่อมมีวิสัยของปุถุชนที่รู้เจ็บ รู้แค้น รู้สุข รู้ทุกข์ รู้ร้อน รู้หนาว รู้หวงแหนติดยึดในอำนาจวาสนาซึ่งเหมือนกันทุกผู้คน การที่พระมเหสีฮกเฮาคิดอ่านแผนการสังหารโจโฉ โจโฉก็มีความชอบธรรมที่จะตอบโต้โดยเสมอกัน ดังนั้นหากจะพิจารณาความผิดก็เป็นความผิดของพระมเหสีฮกเฮาโดยแท้ เพราะพระนางล่วงละเมิดกฎมณเฑียรบาลแห่งราชสำนักฮั่น ซึ่งห้ามมิให้สตรีเข้ายุ่งเกี่ยวการบ้านเมือง การที่พระมเหสีเข้าแทรกแซงกิจการบ้านเมืองในการให้คุณให้โทษแก่ขุนนางข้าราชการ เลยเถิดไปถึงการวางแผนสังหารเอกอัครมหาเสนาบดี นับเป็นการก่อกรรมชนิดหนึ่งซึ่งกรรมนั้นย่อมมีวิบากสนองแก่พระนาง เป็นแต่ว่าวิบากกรรมได้สนองแก่พระนางทันตาเห็นเท่านั้น
และเหตุการณ์เช่นนี้มิใช่ว่าในอดีตไม่เคยเกิดขึ้น หากเคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยพระเจ้าฮั่นโกโจปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ฮั่น ที่พระมเหสีลิเฮาเข้าก้าวก่ายแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน ทั้งในด้านการแต่งตั้ง โยกย้ายงานด้านบุคคล การสร้างเครือข่ายกองกำลัง ตลอดจนกิจการต่าง ๆ ของบ้านเมือง และมีวิบากกรรมที่พระนางและญาติพี่น้องต้องถูกประหารชีวิตจนหมดสิ้น
ในสมัยราชวงศ์ชิงก็มีปรากฏการณ์ที่พระมเหสีทรงประกอบกรรมอย่างเดียวกัน และทรงเสวยกรรมอย่างเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยน เว้นก็แต่เมื่อครั้งพระนางซูสีไทเฮาเท่านั้นที่ทรงเข้าแทรกแซงการบริหารบ้านเมือง ถึงขนาดประพฤติฝ่ากฎมณเทียรบาลว่าราชการหลังม่าน และล่วงเลยไปถึงการควบคุมราชการบ้านเมืองไว้ในอุ้งหัตถ์ของพระนางทั้งสิ้น วิบากกรรมครั้งนั้นทำให้พระนางไร้เชื้อสายสืบทอดสกุล และเป็นวิบากกรรมที่ทำให้ประเทศจีนและประชาชนจีนต้องตกอยู่ภายใต้เงื้อมมือของนักล่าอาณานิคมตะวันตก ประชาชนจีนทั้งประเทศต้องประสบชะตากรรมที่ยากแค้นแสนเข็ญ แล้วนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศจีนเป็นระบอบสาธารณรัฐในเวลาต่อมา
เพราะเหตุนี้ผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์จีนจึงกำหนดกฎกติกาว่า ห้ามมิให้สตรีเข้าแทรกแซงยุ่งเกี่ยวการบริหารราชการแผ่นดิน แม้กระนั้นแล้วก็ยังไม่สามารถสกัดกั้นปรากฏการณ์เช่นนั้นได้ เจียงชิงภริยาของประธานเหมาเจ๋อตงได้จัดตั้งกลุ่มแก๊งสี่คนและเข้าแทรกแซงควบคุมการบริหารพรรค รัฐ และกองทัพ ในขณะที่เหมาเจ๋อตงกำลังป่วยหนัก และเป็นวิบากกรรมให้ต้องมีการยึดอำนาจภายในเพื่อกำจัดแก๊งสี่คนและฟื้นฟูประเทศใหม่
หลังเหตุการณ์ของเจียงชิงแล้ว ปรากฏการณ์เช่นนี้ย่อมไม่สิ้นไปจากโลก และวิบากกรรมนั้นก็ยังคงทำหน้าที่ที่น่าสยดสยองสืบไปโดยมิพักต้องสงสัย คงเหลือแต่ว่าใครใดจะเข้าใจถ่องแท้ถึงกฎแห่งกรรมและวิบากแห่งกรรมที่ไม่เคยผันแปรได้หรือไม่เท่านั้น
ฝ่ายพระเจ้าเหี้ยนเต้หลังจากพระมเหสีฮกเฮาและพระราชบุตรทั้งสองถูกโจโฉสำเร็จโทษหมดสิ้นแล้ว ก็ทรงโศกเศร้ารำพึงรำพันถึงพระมเหสีและพระราชบุตรทุกวันเวลา ไม่เป็นอันเสวยและบรรทม จนทรงพระประชวร
โจโฉแจ้งเหตุดังนั้นก็คิดว่าอันชีวิตของเรานี้ไม่เคยคาดคิดว่าจะมีวาสนาครองตำแหน่งยศศักดิ์อัครฐานถึงปานนี้ จึงตั้งใจมาแต่เริ่มตั้งตัวว่าหากแม้นมีอำนาจวาสนาขึ้นเมื่อใดก็จะถืออำนาจนั้นอยู่ภายใต้พระปรมาภิไธยของฮ่องเต้ มาบัดนี้อำนาจสิทธิขาดในแผ่นดินก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของเราสิ้น จะล้มราชบัลลังก์ยึดเอาราชสมบัติเสียเมื่อใดก็ได้ แต่ผู้คนทั้งแผ่นดินก็จะตราหน้าเป็นตราบาปในตัวเราไปตลอดชั่วกัลปาวสาน ดังนั้นจึงควรที่จะดำเนินการตามแนวทางการเมืองที่ได้ตกลงใจมาแต่เดิม ก็แลบัดนี้พระเจ้าเหี้ยนเต้ยังคงมีฐานะเป็นพระมหากษัตริย์ และครองความเป็นโสดอยู่ หากได้ครองคู่กับลูกสาวของเราแล้ว อำนาจราชศักดิ์ทั้งปวงของเราแม้มิใช่ฐานะเจ้าก็จะเหมือนหนึ่งเป็นเจ้า และยังจะเหนือกว่าเจ้าและฮ่องเต้ด้วยซ้ำไป
โจโฉคิดดังนั้นแล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ถึงพระตำหนักที่ประทับ ถวายบังคมตามประเพณีแล้วจึงกราบทูลว่า “พระองค์อย่าทรงพระวิตกเลย อันตัวข้าพเจ้านี้แต่แรกก็ทูลไว้ว่าจะช่วยทำนุบำรุงแผ่นดิน ซึ่งผู้ผิดนั้นก็ให้ทำตามโทษ ข้าพเจ้ามิได้คิดเป็นสองใจ คิดอยู่แต่ว่าจะทำนุบำรุงพระองค์ไปโดยสุจริต ข้าพเจ้ามีบุตรหญิงอยู่คนหนึ่ง เฉลียวฉลาด ทั้งน้ำใจก็ดีสัตย์ซื่อ ข้าพเจ้าจะถวายพระองค์”
คำกราบบังคมทูลของโจโฉดังกล่าวนี้ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เห็นว่าเป็นคำกล่าวจากใจจริง และยกเป็นหลักฐานยกย่องสดุดีโจโฉเป็นอันมาก โดยเฉพาะในประการที่โจโฉเป็นผู้จำแนกแจกแจงผิดชอบชั่วดีได้กระจ่าง ในขณะที่สามก๊กฉบับวิจารณ์หลายฉบับและข้อวิจารณ์ของชมรมนักอ่านสามก๊กในหลายประเทศ ได้ระบุตรงกันว่าคำกราบบังคมทูลครั้งนี้ไม่ต่างอันใดกับคำกล่าวของโจโฉในสถานการณ์สงคราม และสถานการณ์อื่น ๆ คือกล่าวเพื่อให้มีเนื้อหาที่สวยหรูดูว่าตั้งอยู่ในธรรม และสมเหตุสมผลเท่านั้น เพราะเนื้อหาที่แท้จริงก็คือต้องการผูกดองเป็นญาติวงศ์กับพระเจ้าเหี้ยนเต้ เพิ่มพูนยศถาศักดิ์ให้โจโฉเป็นพ่อตาของฮ่องเต้ และบุตรีก็จะมีฐานะเป็นพระมเหสีต่อไป
พระเจ้าเหี้ยนเต้ทรงฟังคำกราบบังคมทูลของโจโฉแล้วก็ทรงทราบความหมายอันเป็นนัยยะที่แท้จริง แต่ฐานะของพระองค์ในขณะนี้มีหรือจะตรัสเป็นประการอื่นได้ ไม่ว่าจะต้องพระทัยหรือไม่ต้องพระทัยก็ตาม อัธยาศัยของพระเจ้าเหี้ยนเต้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ทรงประพฤติพระองค์เป็นต้นอ้อลู่ลมเสมอมา ดังนั้นจึงทรงรับข้อเสนอของโจโฉแต่โดยดี และรับสั่งให้โจโฉหาฤกษ์ดีเพื่อจัดการพระราชพิธีอภิเษกสมรสตามประเพณีต่อไป
เจี้ยนอันศกปีที่ยี่สิบ เดือนสาม เป็นปีที่พระเจ้าเหี้ยนเต้ได้เสด็จมาประทับที่เมืองฮูโต๋ครบยี่สิบปี และเป็นวันตรุษจีนหรือวันขึ้นปีใหม่ โจโฉเห็นเป็นฤกษ์ดีจึงได้จัดแจงแต่งการพระราชพิธีถวายตามรับสั่ง และส่งบุตรหญิงเข้าไปถวายพระเจ้าเหี้ยนเต้
พระเจ้าเหี้ยนเต้จึงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าให้สถาปนาบุตรีของโจโฉเป็นที่พระมเหสีแทนที่ตำแหน่งของพระนางฮกเฮา และนับแต่นั้นมาโจโฉก็มีฐานะเป็นพ่อตาของฮ่องเต้ เกี่ยวดองเข้าเป็นญาติวงศ์ของพระมหากษัตริย์ กอปรด้วยอิสริยยศและอิสริยศักดิ์เป็นอันมาก จะเป็นรองก็แต่ฮ่องเต้พระองค์เดียวเท่านั้น โดยไม่รวมถึงอำนาจรัฐที่โจโฉครองอยู่อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกฐานะหนึ่ง ดังนั้นบรรดาขุนนางข้าราชการทั้งปวงจึงเกรงกลัวโจโฉ และยอมอยู่ในอำนาจจนหมดสิ้น โจโฉจะทำการสิ่งใดก็ไม่มีผู้ใดหาญกล้าท้วงติงทัดทานอีกต่อไป อำนาจวาสนาดังนี้จึงทำให้โจโฉมีน้ำใจกำเริบขึ้นกว่าแต่ก่อนเป็นอันมาก
ครั้นโจโฉจัดแจงแก้ไขปัญหาทางการเมืองในราชสำนักเสร็จสิ้นแล้ว ก็หมดห่วงปัญหาการในเมืองหลวง และเริ่มคิดถึงการรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง จึงเรียกบรรดาที่ปรึกษาขุนนางข้าราชการและแม่ทัพนายกองทั้งปวงเข้ามาปรึกษาพร้อมกัน แล้วปรารภว่าเวลาบัดนี้ในเมืองหลวงมีความสงบสุขสันติ มีเสถียรภาพ ทั้งได้ทำนุบำรุงทแกล้วทหารและเสบียงกรังจนพร้อมบริบูรณ์แล้ว จึงดำริที่จะยกกองทัพไปปราบปรามเล่าปี่และซุนกวนเพื่อรวบรวมแผ่นดินเข้าเป็นหนึ่ง ท่านทั้งปวงจะมีความเห็นเป็นประการใด
กาเซี่ยงซึ่งเป็นที่ปรึกษาฟังปรารภดังนั้นแล้วจึงเสนอว่าการทำศึกกับเมืองกังตั๋งและเมืองเสฉวนเป็นการใหญ่ เวลานี้แฮหัวตุ้นและโจหยินออกไปรักษาเมืองอยู่ข้างนอกมิได้ร่วมปรึกษาหารือด้วย ดังนั้นจึงสมควรที่จะเรียกโจหยินและแฮหัวตุ้นเข้ามาร่วมปรึกษาหารือก็จะเป็นประโยชน์แก่ราชการสงคราม
โจโฉได้ฟังคำติงของกาเซี่ยงดังนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าสองขุนพลคนสำคัญคือโจหยินและแฮหัวตุ้นไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง ไม่ชอบที่จะปรึกษาการสงครามในขณะที่บรรดาแม่ทัพนายกองยังไม่พร้อม จึงสั่งทหารให้ออกหมายเรียกตัวโจหยินและแฮหัวตุ้นมาเมืองหลวงโดยด่วน.